ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 653 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 13041 - 13060 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13041 | การจัดทำรายงานการพัฒนามนุษย์ของประเทศไทย (Thailand Human Development Report) ฉบับที่ 6 | กต | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างข้อตกลงทางการเงิน (Financing Agreement) ระหว่างโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) กับรัฐบาลไทย เพื่อสนับสนุนการจัดทำรายงานการพัฒนามนุษย์ของประเทศไทย (Thailand Human Development Report : HDR) ฉบับที่ ๖ ที่กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับ UNDP จัดทำรายงาน HDR ขึ้นภายใต้หัวข้อ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง : การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนและชุมชนเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sufficiency Economy Philosophy : Empowering People and Communities to Achieve SDGs)” โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และปัญหาความเหลื่อมล้ำในไทย การยกตัวอย่างโครงการที่ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางพัฒนามนุษย์และชุมชน รวมถึงการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดทำนโยบายเพื่อการบรรลุ SDGs ทั้งนี้ ร่างข้อตกลงฯ ระบุให้ฝ่ายไทยต้องชำระเงินสนับสนุน จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ภายในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒ ๑.๒ เห็นชอบให้อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงทางการเงินฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดทำรายงาน HDR กระทรวงการต่างประเทศควรกำกับการดำเนินงานของผู้จัดทำรายงานอย่างใกล้ชิดให้เป็นไปตามกรอบและแนวทางที่คณะกรรมการกำกับการจัดทำรายงานกำหนด เพื่อควบคุมให้เนื้อหารายงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการนำเสนอกรณีศึกษาที่หลากหลายของการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในบริบทต่าง ๆ เพื่อให้รายงานฉบับนี้เป็นเครื่องมือสำหรับขยายแนวคิดการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนที่ตอบสนองต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับไทยและนานาประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13042 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2562 (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๒ (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) ในวงเงิน ๒๔,๗๙๔,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของสำนักงาน ป.ป.ส. แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณเหลือจ่ายที่บรรลุวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานบูรณาการเดียวกัน รวม ๓ รายการ จำนวน ๔,๗๙๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย โครงการปราบปรามยาเสพติด งบรายจ่ายอื่น รายการโครงการแก้ไขปัญหาฝิ่น ยาเสพติดและความมั่นคงพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๑,๔๑๕,๐๐๐ บาท งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน จำนวน ๒,๔๗๔,๖๗๔ บาท โครงการป้องกันยาเสพติด งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๙๐๔,๓๒๖ บาท รวมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรม ภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ๑.๒ สำหรับขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ ส่วนการขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ในส่วนของการดำเนินการปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เพื่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๒๑๕ เป็นกรณีพิเศษ นั้น ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) ดำเนินการขอยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวต่อคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐตามนัยมาตรา ๒๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การดำเนินโครงการในระยะต่อไป ควรพิจารณาแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเสี่ยงบริเวณชายแดนที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนและประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และควรให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการของโครงการฯ ที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างเป็นธรรม เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13043 | การปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุมของสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) | คค | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. การปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุมของสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ณ กรุงเทพฯ โดยด่วน (ระยะที่ ๑) ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๔๕,๔๘๓,๐๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ส่วนที่เหลือ จำนวน ๓๕,๔๗๗,๐๐๐บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. สำหรับค่าจ้างออกแบบปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุม ICAO ณ กรุงเทพฯ (ระยะที่ ๒) วงเงิน ๖,๓๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการจ้างออกแบบเพื่อปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุมในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนหน่วยรับงบประมาณในการดำเนินการปรับปรุงอาคารสำนักงานและอาคารหอประชุม ICAO ดังกล่าว ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานเพื่อให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๓ และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗ (๑) และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13044 | รัฐบาลสาธารณรัฐโคลอมเบียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย (นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด) | กต | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติแต่งตั้ง นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด (Mrs. Ana Maria Prieto Abad) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอันเดลโฟ โฆเซ การ์เซีย กอนซาเลซ (Mr. Andelfo Jose Garcia Gonzalez) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13045 | ขอความเห็นชอบในชนิด ขนาด และจำนวน ของเสื้อเกราะป้องกันกระสุน เพื่อใช้ในราชการ ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามมาตรา 46/2 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 | ปง | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในชนิด ขนาด และจำนวนของเสื้อเกราะป้องกันกระสุน ระดับ ๓ เอ จำนวน ๕๐ ตัว เพื่อใช้ในราชการของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ตามที่สำนักงาน ปปง. เสนอ และให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดหาเสื้อเกราะป้องกันกระสุนดังกล่าว ควรดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินว่าด้วยการมีใช้ และพกพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ อย่างเคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนดังกล่าว ให้สำนักงาน ปปง. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป โดยต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่มุ่งสนับสนุนและส่งเสริมการนำผลงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อจัดหาพัสดุและครุภัณฑ์ของหน่วยงานภาครัฐ สำนักงาน ปปง. ควรพิจารณาให้ความสำคัญในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการตามบัญชีนวัตกรรมไทย ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13046 | ขอความเห็นชอบโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างฝายราษีไศลและฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ โดยดำเนินโครงการชลประทานเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ ระยะที่ 1 | กษ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลและคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างฝายราษีไศลและฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ โดยโครงการชลประทานเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ ระยะที่ ๑ วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๓,๒๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ในส่วนของเงินงบประมาณ กรมชลประทานจะดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามคำสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒ มอบหมายให้กรมชลประทาน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลและคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ควรติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการชลประทานเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ ระยะที่ ๑ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในพื้นที่ทั้งที่เข้าร่วมและไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ (เกษตรกรที่มีและไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน) เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่โดยโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และสามารถใช้ปรับปรุงเป็นต้นแบบสำหรับการดำเนินการในส่วนที่เหลือหากจำเป็น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13047 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2561 | นร63 | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดย กพอ. ได้มีมติ ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) เห็นชอบการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพิ่มเติมอีก ๒ อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมพัฒนาบุคลากรและการศึกษา (๒) กำหนดหลักเกณฑ์การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยกำหนดรูปแบบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมและการเผยแพร่ผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และ (๓) เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกว่าด้วยเบี้ยประชุมคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการเฉพาะกิจ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และมอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมกับ สกพอ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่ สกพอ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ สกพอ. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดเบี้ยประชุมคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการเฉพาะกิจ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะอนุกรรมการ ควรกำหนดให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษใหม่ และการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรฐานระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบการกำหนดเบี้ยประชุมคณะกรรมการนโยบาย คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการเฉพาะกิจ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะอนุกรรมการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13048 | การขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน และหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน | นร12 | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน และหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน) โดยเพิ่มเติมว่า “ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะซึ่งยังมิได้รับการพิจารณาประเมินค่างานและจัดกลุ่มองค์การมหาชนจากคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนได้รับการจัดกลุ่มในกลุ่มที่ ๓ (บริการสาธารณะทั่วไป) ไปพลางก่อน จนกว่าสำนักงาน ก.พ.ร. จะแจ้งมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนให้ทราบ” ๒. เห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร) จากเดิม “ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่ แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ” เป็น “ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ” ๓. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งดำเนินการรวบรวมหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับองค์การมหาชน และแจ้งให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลองค์การมหาชนและองค์การมหาชนทุกแห่งทราบ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยให้นำความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (๑) อาจพิจารณาให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำข้อเสนอของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปปรับใช้โดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายจัดตั้งขององค์การมหาชน (๒) การกำหนดค่าตอบแทนฯ จะต้องมีการบริหารอย่างเหมาะสมภายใต้ขอบเขตอำนาจตามกฎหมายจัดตั้งองค์กรนั้น ๆ เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการทำงาน จึงไม่ควรอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด (๓) ควรให้องค์การมหาชนที่เคยได้รับการจัดกลุ่มไว้แล้วแต่มีความจำเป็นต้องให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาประเมินค่างานและจัดกลุ่มใหม่ (มีการมอบหมายภารกิจเพิ่มมากขึ้น/ยุบเลิกองค์การมหาชนเดิมและจัดตั้งขึ้นใหม่) จึงควรให้หน่วยงานดังกล่าวได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มเดิมไปพลางก่อนจนกว่าคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนจะพิจารณาแล้วเสร็จ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13049 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน | กษ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน และให้ใช้แนวทางการปฏิรูประบบบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน แบ่งเป็น โครงการสร้างระบบบริหารนมโรงเรียน (คณะกรรมการกลาง/สถานภาพขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย/งบประมาณ/วิธีการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน/คู่สัญญาซื้อขาย) และแนวทางการบริหารจัดการนมโรงเรียน (จัดสรรปริมาณน้ำนมดิบ ปริมาณการจำหน่าย และพื้นที่การจำหน่ายนมโรงเรียนให้กับผู้ประกอบการ/เกษตรกรผู้มีสิทธิ์จำหน่ายน้ำนมดิบ/นมที่จัดส่งให้โรงเรียน/บทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนกลไกในการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนทั้งระบบ เพื่อให้การบริหารจัดการเกี่ยวกับโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งลดความซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย สำหรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการบริหารจัดการให้แก่คณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน และคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนทุกคณะ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนแม่บทการบริหารให้เกิดความชัดเจนก่อน โดยพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนกลุ่มเป้าหมายจะได้รับ อย่างรอบคอบ รวมถึงการพิจารณาแหล่งเงินให้ครอบคลุมครบถ้วน และจัดทำแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมวัตถุประสงค์ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสม จำเป็น ตามนัยกฎหมายวินัยการเงินการคลังและกฎหมายวิธีการงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น ควรมีการบังคับใช้แนวทางบริหารจัดการกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเข้มงวด เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ดื่มนมที่มีคุณค่าอย่างมีคุณภาพตามเจตนารมณ์ของโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็น เหมาะสมในการนำผลิตภัณฑ์นมอัดเม็ด (เช่น นมอัดเม็ดสวนจิตรลดา) มาเป็นอาหารเสริมให้แก่นักเรียนเพิ่มเติมจากอาหารเสริม (นม) โรงเรียนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13050 | ขอความเห็นชอบขอเพิ่มเป้าหมายโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน | กษ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเพิ่มเป้าหมายเกษตรกรในโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน จากเดิม ๑๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน เป็น ๒๔๙,๙๑๘ ครัวเรือน (เพิ่มเป้าหมาย ๙๙,๙๑๘ ครัวเรือน) เนื่องจากมีเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เข้ามาปรับปรุงทะเบียนเพิ่มเติมภายในกรอบเวลาที่กำหนด โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และค่าชดเชยต้นทุนเงิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องอันเกิดจากผลของการเพิ่มเป้าหมายจากเดิมอีก ๙๙,๙๑๘ ครัวเรือน ให้เป็นไปตามลักษณะวิธีการที่ได้ดำเนินการมาแล้วในโครงการฯ หรือเพิ่มเติมได้แต่อยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วตามมติเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (๓,๔๕๗.๗๖ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องตรวจสอบพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น และกำหนดให้มีกลไกในการติดตามและตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้โครงการฯ เกิดความโปร่งใส คุ้มค่า รวมทั้งมีการติดตามและตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรเพื่อความถูกต้องของข้อมูลและป้องกันปัญหาความซ้ำซ้อน ตลอดจนจัดเก็บเอกสารหลักฐานการรับและจ่ายเงินให้ครบถ้วนเพื่อความโปร่งใสและสามารถติดตามตรวจสอบการดำเนินงานในระยะต่อไปได้ นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ควรพัฒนาการใช้ระบบการใช้บริการพร้อมเพย์เพื่อลดภาระงบประมาณในการจัดสรรค่าธรรมเนียมการบริการโอนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13051 | ขอความเห็นชอบการขยายระยะเวลาและขยายฐานรายได้ของกลุ่มเป้าหมายการรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด | พม | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ตั้งแต่แรกเกิด-๖ ปี แบบขยายฐานรายได้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งการขยายฐานรายได้ดังกล่าวสอดคล้องกับการใช้ฐานเกณฑ์รายได้ของผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ แต่จะมีผลทำให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะต้องคำนึงถึงแผนการคลังระยะปานกลางและการจัดเก็บรายได้แผ่นดิน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ คาดการณ์กลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๑,๔๔๓,๔๙๖ คน งบประมาณทั้งสิ้น ๑๐,๓๙๓,๑๗๑,๒๐๐ บาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ตั้งรองรับไว้แล้ว จำนวน ๖,๙๐๘,๑๓๔,๔๐๐ บาท ๑.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการตรวจสอบคุณสมบัติเป็นไปตามข้อเท็จจริงของฐานรายได้ผู้มีสิทธิ์ในแต่ละปี และจำนวนเด็กที่มีสิทธิ์ให้มีความชัดเจน ถูกต้องและครอบคลุม โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดกับโครงการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงการคลังศึกษาการจ่ายเงินอุดหนุนดังกล่าวผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลผู้มีสิทธิ์ไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับการจัดสวัสดิการของรัฐในกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน กำหนดให้มีกลไกและมาตรการการติดตามตรวจสอบที่รวดเร็ว ถูกต้อง สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายระยะเวลาให้เงินอุดหนุนและการขยายฐานรายได้ดังกล่าว เห็นควรให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนจัดทำรายละเอียด ข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย พร้อมแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงกับฐานเกณฑ์รายได้ของผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำหรับภาระงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพัฒนาระบบฐานข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการในระยะยาว รวมถึงพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้เงินจากการให้เงินแบบให้เปล่าไปสู่การให้เงินแบบมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer) เช่น การให้พ่อแม่นำเด็กเข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด การเข้ารับการตรวจสุขภาพตามระยะเวลา การเข้าเรียนตามเกณฑ์เพื่อสนับสนุนให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ช่วงวัยเรียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13052 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเลิกมาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ] | กค | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีเกี่ยวกับสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operation Headquarters : ROH) สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters : IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Center : ITC) ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามโครงการต่อต้านการกัดกร่อนฐานภาษีและการโยกย้ายกำไร (BEPS) ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) อันสืบเนื่องจากการที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก Inclusive Framework on Base Erosion and Profit Shifting (Inclusive Framework on BEPS) ซึ่งจัดตั้งโดย OECD จึงต้องนำโครงการดังกล่าวมาปฏิบัติ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการชักจูงให้บริษัทที่เป็นสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ๒ (ROH2) สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (ITC) มาขออนุมัติเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (IBC) เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมายและผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศที่อาจเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13053 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาบรรพชาอุปสมบท โครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยไม่ถือเป็นวันลา | พศ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ โดยเตรียมการจนถึงวันลาสิกขา ระหว่างวันที่ ๒-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๒ รวมเป็นเวลา ๑๕ วัน ๑.๒ การใช้สิทธิการลาตามข้อ ๑ ดังกล่าว ให้สิทธิแก่ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เคยลาบรรพชาอุปสมบทระหว่างรับราชการแล้ว สามารถจะลาบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก ๑.๓ ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่เคยลาบรรพชาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิในการลาบรรพชาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาบรรพชาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่รับราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาบรรพชาอุปสมบทและยังคงสิทธิในการรับเงินเดือนระหว่างลาไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๔ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ผู้ลาบรรพชาอุปสมบทจะต้องเข้าร่วมบรรพชาอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นในโครงการอย่างชัดเจนและมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากบรรพชาอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนด จะไม่ได้รับสิทธิในการลาตามมติคณะรัฐมนตรี ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของราชการหรือหน่วยงานที่จัดโครงการ และจากการร่วมบริจาคสมทบของพุทธศาสนิกชน และผู้ร่วมบรรพชาอุปสมบท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13054 | โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 - 2570 (ดำเนินการเฉพาะในระยะที่ 1 พ.ศ. 2561 - 2564) | ศธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินงานโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ (ดำเนินการเฉพาะในระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) และอนุมัติให้ดำเนินการ รวมทั้งเห็นชอบให้จัดสรรงบประมาณ โดยขอเบิกจ่ายในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายเป็นงบดำเนินการผลิตบัณฑิตและงบลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในสถาบันฝ่ายผลิตแพทย์ รวมจำนวนทั้งสิ้น ๓๔,๘๓๘.๔ ล้านบาท แบ่งเป็น (๑) งบดำเนินการผลิตบัณฑิตในอัตรา ๓๐๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี หรือ ๑.๘ ล้านบาท/คน/หลักสูตร รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑๖,๕๐๒.๔ ล้านบาท และ (๒) งบลงทุนเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนด้านการแพทย์ในอัตรา ๒ ล้านบาท/คน/หลักสูตร รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑๘,๓๓๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อม ความจำเป็นและความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้
๑. พิจารณาทบทวนการเป็นนักศึกษาคู่สัญญาของนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐและคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๒ และมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยไม่ให้นำเหตุแห่งการบรรจุแพทย์เข้ารับราชการเพื่อชดใช้ทุนมาใช้ในการขออัตรากำลังแพทย์เพิ่มขึ้นอีก ๒. ในการดำเนินโครงการฯ ให้พิจารณาดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเรื่อง การกระจายกำลังคนไปยังพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งการธำรงรักษาแพทย์ไว้ในระบบราชการด้วย ๓. พิจารณากำหนดแนวทางการร่วมมือกับภาคเอกชนในการผลิตบุคลากรสาขาแพทย์และสาขาอาชีพอื่นที่ยังขาดแคลน ให้สอดคล้องกับความต้องการในภาพรวมทั้งระบบ รวมทั้งสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13055 | แผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย | สธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗) เป็นแผนที่เกี่ยวข้องกับการนำข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์มาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุข และมีเป้าหมายที่จะบูรณาการการใช้ข้อมูลพันธุกรรมในด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่ประชาชน และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทำคำของบประมาณและจัดสรรงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนแผนภายใต้งบบูรณาการ รวม ๔,๕๗๐ ล้านบาท ระยะเวลา ๕ ปี และอนุมัติให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหน่วยงานกลาง และมีโครงสร้างองค์กรเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก รวมทั้งอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรวบรวมความต้องการพัฒนาจีโนมิกส์ประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนที่เหมาะสม ให้มีอุตสาหกรรมการแพทย์ เกิดการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย โดยมีถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับสูง และมีการเพิ่มตำแหน่งงานสำหรับคนไทย ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ให้กระทรวงสาธารณสุข สวรส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า และประโยขน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข สวรส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น ควรพิจารณาเพิ่มรายชื่อ “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ศลช.)” ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานด้านอุตสาหกรรมทางการแพทย์โดยตรงตามภารกิจเข้าร่วมในรายชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ควรกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนผลลัพธ์ของการยกระดับสุขภาพของประชาชนที่ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีการแพทย์แบบจีโนมิกส์ และการเกิดอุตสาหกรรมการแพทย์สมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การกำหนดกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานวิจัย/สถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพจากต่างประเทศ และการปรับโครงสร้างองค์กรของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โดยการจัดตั้งองค์กรเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ควรดำเนินการเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13056 | การรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของการประชุมระหว่างประเทศ เรื่องประชากรและการพัฒนา ในการประชุมคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนา สมัยที่ 52 | กต | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาทางการเมืองในโอกาสครบรอบ ๒๕ ปี ของการประชุมระหว่างประเทศเรื่องประชากรและการพัฒนา ในการประชุมคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนา สมัยที่ ๕๒ ซึ่งสหประชาชาติกำหนดให้มีการรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยไม่มีการลงนามในช่วงการประชุมคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนา (Commission on Population and Development : CPD) ครั้งที่ ๕๒ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๒ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการยืนยันความสำคัญของแผนปฏิบัติการของการประชุมระหว่างประเทศเรื่องประชากรและการพัฒนา (Programme of Action of the International Conference on Population and Development : PoA of ICPD) ซึ่งมีส่วนช่วยอนุวัติวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ และความจำเป็นของการได้รับเงินสนับสนุนที่เพียงพอในการอนุวัติ PoA of ICPD สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการอนุวัติ PoA of ICPD ตลอดจนเรียกร้องให้รัฐบาล หน่วยงานสหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศ องค์การระดับภูมิภาค ภาคประชาสังคม และองค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ ร่วมกันอนุวัติ PoA of ICPD และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนฯ ๑.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13057 | การรับรองเอกสารหลักการแวนคูเวอร์ในการรักษาสันติภาพและการป้องกันการเกณฑ์และการใช้ประโยชน์จากทหารเด็ก (Vancouver Principles on Peacekeeping and the Prevention of the Recruitment and Use of Child Soldiers) | กห | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองเอกสารหลักการแวนคูเวอร์ในการรักษาสันติภาพและการป้องกันการเกณฑ์และการใช้ประโยชน์จากทหารเด็ก (Vancouver Principles on Peacekeeping and the Prevention of the Recruitment and Use of Child Soldiers) มีสาระสำคัญในการส่งเสริมหลักการในการคุ้มครองเด็กและการปกป้องเด็กจากการเกณฑ์และบังคับให้เป็นทหารในสถานการณ์การขัดกันด้วยอาวุธ โดยได้เน้นย้ำความสำคัญของการคุ้มครองเด็กในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพทั้งของสหประชาชาติและภายใต้องค์การระหว่างประเทศระดับภูมิภาค โดยเอกสารหลักการแวนคูเวอร์ฯ ได้เสนอให้บรรจุประเด็นการคุ้มครองเด็กและการปกป้องเด็กจากการเกณฑ์และบังคับให้เป็นทหารในการกำหนดอาณัติ (Mandate) การวางแผนกองกำลัง การฝึกอบรม การเฝ้าระวังและรายงาน มาตรการในการคุ้มครองและดูแลเด็ก การสอบสวน การรักษาวินัยของกองกำลังที่เข้าร่วมภารกิจ การส่งเสริมบทบาทสตรี การปลดอาวุธและการกลับคืนสู่สังคม และการสนับสนุนให้ประเด็นการบังคับเด็กเป็นทหารเป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการพิจารณามาตรการลงโทษของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือกับกลไกของสหประชาชาติและประเทศสมาชิกในการจัดทำแนวปฏิบัติที่ดี และให้ผู้แทนกระทรวงกลาโหมที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารหลักการแวนคูเวอร์ฯ ในการประชุม “2019 United Nations Peacekeeping Ministerial on Uniformed Capabilities, Performance and Protection” ในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รวมทั้งมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13058 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อการตรวจคนเข้าเมือง | กค | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อการตรวจคนเข้าเมือง ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๒ ที่เห็นควรให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการตรวจคนเข้าเมืองตามร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เช่น (๑) การกำหนดให้นำเงินกองทุนเพื่อการตรวจคนเข้าเมืองไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองระหว่างรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ควรจะดำเนินการเฉพาะกรณีที่ไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายนั้นได้ และหากเป็นกรณีที่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปก่อน เงินค่าใช้จ่ายที่ได้รับคืนในภายหลังนั้น จะต้องพิจารณาว่าสมควรที่จะนำกลับเข้ากองทุนเพื่อการตรวจคนเข้าเมืองหรือไม่ (๒) การกำหนดให้มีการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมการตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทางอากาศระหว่างประเทศ ไม่ควรหมายความรวมถึงผู้โดยสารซึ่งถือหนังสือเดินทางไทย และผู้โดยสารชาวต่างชาติที่เดินทางในราชอาณาจักร และ (๓) กรณีการเรียกค่าธรรมเนียมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรเรียกเก็บเท่าที่จำเป็นต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการจัดทำร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13059 | รัฐบาลราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนประจำประเทศไทย (นายษามิร อัลอัดวาน) | กต | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายษามิร อัลอัดวาน (Mr.Thamer Al-Adwan) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สืบแทน นายมุฮัมมัด ชะเราะรี บะคีต เอล ฟะเยซ (Mr.Mohamad Sharari Bakheet El Fayez) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13060 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (นายไมตรี อินทุสุต) | พม | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายไมตรี อินทุสุต เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน แทนผู้ที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
.....