ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 640 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 12781 - 12800 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12781 | รัฐบาลราชอาณาจักรเลโซโทเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเลโซโทประจำประเทศไทย (พลตรี ลีเนโอ เบอร์นาร์ด ปูปา) | กต | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลตรี ลีเนโอ เบอร์นาร์ด ปูปา (Major General Lineo Bernard Poopa) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเลโซโทประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สืบแทน นางสาวอึนเซเบ อิดเลตต์ โคโคเม (Mr. Ntsebe Idlett Kokome) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12782 | การปรับปรุงคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 | กก | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ เนื่องจากเลขาธิการคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ (พลตรี จารึก อารีราชการัณย์) ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการและเลขาธิการของคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการและเลขาธิการ แทน และให้อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีล้มละลาย เป็นกรรมการเพิ่มเติม ตามมติคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12783 | หลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม | นร04 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษต้องพิจารณาแต่งตั้งจากกรรมการกฤษฎีกาที่มาจากคณะต่าง ๆ ประกอบเป็นคณะพิเศษเท่านั้น โดยในกรณีที่ร่างกฎหมายใดมีความจำเป็นที่ต้องมีกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายนั้น ตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม คณะรัฐมนตรีอาจมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายนั้นได้ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการดังกล่าว และให้แต่งตั้งเลขานุการได้ตามความจำเป็น ดังเช่นที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ....) รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อร่างกฎหมายใดที่จัดทำขึ้นตามแผนการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านแล้วเสร็จ ให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านจัดส่งร่างกฎหมายไปยังส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงสำหรับร่างกฎหมายนั้น เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับร่างกฎหมายนั้น ตามแนวทางที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านกำหนดต่อไป ๒. มอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมประสานงานในรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12784 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... | นร09 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12785 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 จำนวน 3 ฉบับ | รง | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... และ (๓) ร่างกฎกระทรวงเงินค่าทำศพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราค่ารักษาพยาบาลและค่าฟื้นฟูสมรรถภาพที่ให้นายจ้างจ่ายเมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย และจำเป็นต้องฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังจากประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย รวมทั้งกำหนดอัตราค่าทำศพแก่ผู้จัดการศพของลูกจ้างกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายหรือสูญหายเนื่องจากการทำงาน เพื่อให้ลูกจ้างได้รับความเป็นธรรมและมีโอกาสกลับเข้ามาอยู่ในระบบการจ้างงานภายหลังการประสบอันตรายจากการทำงานให้นายจ้าง อีกทั้งทำให้ผู้จัดการศพของลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าทำศพเมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายหรือสูญหายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างด้วย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการกำหนดคำว่า “สถานพยาบาล” ในร่างกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... ให้ชัดเจนว่าเป็นสถานพยาบาลของรัฐ เพราะอัตราค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐและในสถานพยาบาลเอกชนมีความแตกต่างกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ นายจ้าง และลูกจ้างให้ความสำคัญและมีการบริหารจัดการให้เป็นไปตามมาตรฐานของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12786 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จำนวน 4 ฉบับ | มท | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎรสำหรับคนซึ่งมีสัญชาติไทย ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร และกำหนดค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎรสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอดำเนินการเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยที่จะต้องกำหนดเลขประจำอาคารและจัดทำทะเบียนอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการขอขึ้นทะเบียนราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12787 | มาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง | พม | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกรณีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และอาคารชุดตามประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินพร้อมอาคาร หรืออาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านแถวและกรณีห้องชุดในอาคารชุด รวมทั้งค่าจดทะเบียนการโอน ซึ่งมีราคาซื้อขายไม่เกิน ๑ ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน ๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการ (๑) ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินพร้อมอาคารหรืออาคารที่อยู่อาศัยตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และ (๒) ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และเป็นการลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และอาคารชุด ตามประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ตัดการอ้างข้อ ๒ (๗) (ฎ) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินฯ และการอ้างข้อ ๑ (๗) (ช) แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๕๓ ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดฯ ออก เนื่องจากมิใช่กรณีการกำหนดให้เรียกเก็บหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แต่เป็นการประกาศหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเพื่อประโยชน์ในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมที่กฎกระทรวงได้กำหนดไว้แล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรประเมินผลความคุ้มค่าประสิทธิภาพและประสิทธิผล ความสอดคล้องระหว่างอุปสงค์กับอุปทานที่มีอยู่ในตลาด เพื่อนำมปรับปรุงแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระยะ ๕ ปีแรก และแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ ๒๐ ปี ให้เหมาะสมใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง และนำมาปรับปรุงมาตรการสนับสนุนที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งควรติดตามและประเมินผลความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เป็นระยะ ภายหลังจากที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการที่ได้จัดทำไว้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกปีจนกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จ และควรสร้างความรับรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12788 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2562 | นร63 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (เพิ่มเติม) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท และ (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ โดยรายละเอียดงบประมาณสำหรับการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟาเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท และการดำเนินการตามโครงการเร่งด่วน (Flagship Project) ภายใต้แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ทางราชการเป็นสำคัญ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นแหล่งงบประมาณในการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท การดำเนินการตามโครงการเร่งด่วน (Flagship Project) ภายใต้แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ รวมทั้งการเร่งรัดการเวนคืนที่ดิน และการประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12789 | แนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Ecosystem) | กค | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Ecosystem) และการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ตามแนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้น โดยกระทรวงการคลังได้กำหนดให้มีหน่วยบริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-Stop Service : OSS) สำหรับวิสาหกิจเริ่มต้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของวิสาหกิจเริ่มต้นทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นจนถึงเริ่มการดำเนินธุรกิจ และเป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างวิสาหกิจเริ่มต้นกับภาครัฐและเอกชน รวมทั้งกำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น เพื่อสนับสนุนด้านการเงินแก่วิสาหกิจเริ่มต้น และสนับสนุนค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการเบ็ดเสร็จดังกล่าว รวมถึงกองทุนฯ อาจให้ค่าตอบแทนแก่วิสาหกิจเริ่มต้นที่มีศักยภาพทุกเดือนในช่วงที่วิสาหกิจเริ่มต้นยังไม่มีรายได้และเป็นผู้ลงทุนให้กับวิสาหกิจเริ่มต้นเมื่อมีความพร้อมที่จะจัดตั้งเป็นบริษัท และหากวิสาหกิจประสบความสำเร็จ กองทุนฯ จะขายหุ้นให้แก่นักลงทุนที่สนใจผ่านช่องทางต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะทำให้มีเงินกลับเข้ามาในกองทุนฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนการส่งเสริมระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้นเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรเพิ่มสำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นหน่วยงานดำเนินการหลักในบางภารกิจ เช่น การจัดตั้ง OSS การกำหนดรูปแบบกองทุนฯ และต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. ๒๕๖๐ ในเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายให้กับกองทุนอื่นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12790 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการควบคุมการนำเข้าสินค้ารถยนต์ที่ใช้แล้ว โดยกำหนดประเภทของรถยนต์ที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร ประเภทของรถยนต์ที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร และประเภทของรถยนต์ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนอาจไม่ต้องทำลาย หรือส่งรถยนต์ดังกล่าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร แต่อาจใช้วิธีการส่งมอบให้สถานศึกษาหรือหน่วยงานราชการใช้ในการศึกษาทดลอง และการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ควรให้จำหน่ายโดยมีเงื่อนไขให้ส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรได้ นอกจากนี้ การกำหนดระเบียบหรือแนวทางปฏิบัติ ควรให้มีความเชื่อมโยงสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การห้ามนำเข้าชิ้นส่วนของตัวถังหรือโครงรถของรถยนต์และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว การงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้ว การงดรับจดทะเบียนรถที่ไม่ผ่านมาตรฐานด้านมลพิษ มาตรฐานด้านความปลอดภัยตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น และควรมีมาตรการกำกับ ดูแล ตรวจสอบที่รัดกุม เพื่อไม่ก่อให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายหรือการตีความไปในทางที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างประกาศฯ ที่จะป้องกันปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและเพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ปัจจุบันมีกฎซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่างยังคงมีผลใช้บังคับอยู่โดยผลของบทเฉพาะกาลมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงควรพิจารณาดำเนินการออกกฎที่เกี่ยวข้องตามบทบัญญัติของกฎหมายปัจจุบันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการมีบทเฉพาะกาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12791 | ปฏิญญาว่าด้วยการมาตรฐานที่ตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชายและการกำหนดมาตรฐาน (Declaration on Gender Responsive Standards and Standards Development) | อก | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบปฏิญญาว่าด้วยการมาตรฐานที่ตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชายและการกำหนดมาตรฐาน (Declaration on Gender Responsive Standards and Standards Development) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงคำมั่นร่วมกันของหน่วยงานด้านมาตรฐานแห่งชาติของรัฐต่าง ๆ ให้มีการกำหนดและจัดทำมาตรฐานของตนเพื่อสร้างความตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามปฏิญญาฯ โดยจะมีพิธีลงนามในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12792 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | มท | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย โดยการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินไม่เกิน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นการดำเนินงานในลักษณะของรายการปีเดียว และไม่มีผลเป็นการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ อันจะเป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต โดยขอให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรที่กระทรวงมหาดไทยจะรายงานผลการดำเนินงานต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในโอกาสแรก และจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศน์โดยรวมเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการดำเนินโครงการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานของรัฐ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการกำหนดรูปแบบของฝายชะลอน้ำตามโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เพื่อให้มีการจ้างแรงงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแล โครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12793 | โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) | กค | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อรองรับ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ ๓ โครงสร้างพื้นฐาน ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับปริญญาตรี และ (๒) โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นโครงการที่มีเงื่อนไขพิเศษผ่อนปรนกว่าการดำเนินการให้กู้ยืมตามเงื่อนไขปกติของ กยศ. เพื่อสนับสนุนให้มีนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสาขาที่เป็นความต้องการในอุตสาหกรรมเป้าหมายมากขึ้น และหากในอนาคต กยศ. มีความจำเป็นต้องขอรับงบประมาณ ขอให้ กยศ. ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนโดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน และคำนึงถึงการสูญเสียรายได้ของ กยศ. โดยไม่กระทบต่อภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย และจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลเพื่อใช้ประกอบในการบริหารจัดการกำลังแรงงานของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรให้ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้มีส่วนร่วมในการพิจารณากำหนดสาขาวิชาให้ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง และควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12794 | การดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) | ดศ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐนำมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านสารสนเทศเพื่อการประมวลผลข้อมูล (Infrastructure Architecture) และกรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance Framework) ไปใช้เป็นมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นผู้ให้คำแนะนำ ติดตาม และประเมินผลต่อไป ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) และให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการคลาวด์กลางภาครัฐ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น ให้ครบถ้วน โดยให้รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกี่ยวกับประเด็นการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงิน ๔,๕๕๔.๒ ล้านบาท เพื่อการจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐว่า การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่เข้าข่ายการดำเนินโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณในอนาคต ซึ่งตามมาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการนั้น จะต้องจัดทำข้อมูลรายละเอียดตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในการจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐจะต้องมีการบูรณาการและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ และไม่ซ้ำซ้อนกับการจัดหาคลาวด์ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้หน่วยงานภาครัฐร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในการจัดทำรายการข้อมูลภาครัฐ (Government Data Catalog) และระบบนามานุกรม (Directory Services) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๕. ในส่วนของการจัดตั้ง “สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Government Big Data Institute : GBD)” เป็นหน่วยงานภายในภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อรองรับการให้บริการด้านการพัฒนาบุคลากรและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ของภาครัฐ นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ในการจัดตั้งสถาบันจะต้องดำเนินการภายใต้ขอบเขตวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลตามมาตรา ๓๕ ของพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวจะต้องไม่กระทบต่อภารกิจของหน่วยงานตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้ใช้จ่ายจากรายได้ของหน่วยงานเป็นหลัก และความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินการพัฒนาบุคลากร เห็นควรให้นำภารกิจงานที่หน่วยงานภาครัฐต้องดำเนินการมาเป็นแบบฝึกหัดหรือเป็นกรณีศึกษาในการฝึกอบรม และกำหนดเป็นเป้าหมายหรือตัวชี้วัดความสำเร็จการดำเนินงานของสถาบัน รวมถึงเป็นเกณฑ์ในการประเมินผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ารับการฝึกอบรมด้วย เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาบุคลากรสัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสถาบันได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12795 | การตอบรับเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมทบในสภาบริหารของโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment : PISA) | ศธ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการตอบรับคำเชิญในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมทบในสภาบริหารของโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment : PISA) เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการดำเนินงานสำหรับการเข้าร่วมโปรแกรม PISA ในรอบการประเมิน PISA 2021 และมีสถานภาพการเข้าเป็นสมาชิกสมทบได้ทันต่อการเข้าร่วมประชุมสภาบริหารของโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) สำหรับการดำเนินงานโปรแกรม PISA ในรอบการประเมิน PISA 2021 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมทบในสภาบริหารของโปรแกรม PISA เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการดำเนินงานและเบิกจ่ายให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาด้วยว่า เมื่อประเทศไทยเข้าร่วมสมาชิกสมทบในสภาบริหารของโปรแกรม PISA แล้ว ประเทศไทยจะต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ (Rule) และการปฏิบัติ (Practice) ของ OECD จึงสมควรพิจารณาถึงผลกระทบของประเทศไทย ตลอดจนข้อดีและข้อเสียของการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมทบในสภาบริหารให้ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12796 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสุเทพ ชิตยวงษ์ และนายบุญรักษ์ ยอดเพชร) | ศธ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. นายสุเทพ ชิตยวงษ์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒. นายบุญรักษ์ ยอดเพชร ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12797 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (จำนวน 2 คน 1. นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ ฯลฯ) | พณ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ รวม ๒ คน แทนผู้ที่ลาออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ ประธานกรรมการ ๒. นายปรีชา ส่งวัฒนา กรรมการผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12798 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย (จำนวน 4 คน 1. นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ฯลฯ) | มท | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอัจย์แห่งประเทศไทย จำนวน ๔ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งจะครบวาระสองปี ในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ๒. นายอรุณ บุญชม ๓. นายปริญญา ประหยัดทรัพย์ ๔. นายวิรุฬห์ พรพัฒน์กุล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12799 | ร่างพระราชกำหนดการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร09 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ชะลอการดำเนินการร่างพระราชกำหนดการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชกำหนดดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนเหตุความจำเป็นที่ต้องตราเป็นพระราชกำหนด และให้รับความเห็นของกลุ่มองค์กรวิชาชีพครูต่าง ๆ เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้วไปยังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยเห็นว่า (๑) ไม่ควรเปลี่ยนชื่อตำแหน่ง “ผู้อำนวยการสถานศึกษา” เป็น “ครูใหญ่” (๒) ให้ยกเลิกตำแหน่ง “ผู้ช่วยครูใหญ่” และให้เป็น “รองผู้อำนวยการสถานศึกษา” ดังเดิม (๓) ไม่ควรเปลี่ยนคำว่า “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” เป็น “ใบรับรองความเป็นครู” (๔) ควรเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียได้แสดงความคิดเห็นในการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และ (๕) ควรชะลอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจนกว่าจะมีรัฐสภาชุดใหม่ ไปพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12800 | การแต่งตั้งประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (จำนวน 13 คน 1. ศาสตราจารย์สนิท อักษรแก้ว ฯลฯ) | นร11 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๑๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์สนิท อักษรแก้ว เป็นประธานสภา ๒. คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายคณิศ แสงสุพรรณ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายเทวินทร์ วงศ์วานิช เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. รองศาสตราจารย์ศักรินทร์ ภูมิรัตน เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
|
.....