ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 634 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 12661 - 12680 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12661 | รายงานสรุปผลการประชุมเครือข่ายข้อมูลเฝ้าระวังยาเสพติดอาเซียน ครั้งที่ 7 | ยธ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมเครือข่ายข้อมูลเฝ้าระวังยาเสพติดอาเซียน (ASEAN Drug Monitoring Network : ADMN) ครั้งที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๕-๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันหารือ แลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพื่อนำมาจัดทำรายงานเฝ้าระวังสถานการณ์ยาเสพติดอาเซียน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และร่วมกันพิจารณาทบทวนปรับปรุงร่างคู่มือระบบ ASEAN Drug Monitoring Report System ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านวิชาการที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงนวัตกรรมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งผลจากการประชุมฯ ทำให้เห็นถึงพัฒนาการของความร่วมมือที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในเชิงลึกมากขึ้นของประเทศสมาชิก จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในเชิงลึกทำให้ทราบได้ว่า ทุกประเทศกำลังเผชิญกับขบวนการค้ายาเสพติดที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงและซื้อขายยาเสพติดผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยใช้เงินสกุล Digital หรือ Bitcoin ในการซื้อขายยาเสพติดและใช้บริการขนส่งพัสดุเป็นช่องทางลำเลียง โดยผลจากความร่วมมือดังกล่าว คือ ทุกประเทศในประชาคมอาเซียนจะรู้เท่าทันสถานการณ์และความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยนำข้อมูลที่ได้รับจากการประชุมฯ ไปปรับใช้ในการวางแผน กำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์เพื่อการเฝ้าระวัง ป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศตนเอง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากยาเสพติด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12662 | รายงานการเงินประจำปีพร้อมรายงานผลการตรวจสอบ (สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560) | อส | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินประจำปีของสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมรายงานผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า งบการเงินไม่ได้แสดงฐานะการเงินของสำนักงานอัยการสูงสุดไม่ถูกต้องอย่างมีนัยสำคัญ งบการเงินไม่ได้แสดงฐานะการเงินของสำนักงานอัยการสูงสุด ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งขณะนี้สำนักงานอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงแก้ไขบัญชีดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะมีการติดตามการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้แล้วเสร็จต่อไป ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12663 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 | กค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. สัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ต้องไม่เกินร้อยละ ๖๐ ๒. สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล ต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ต้องไม่เกินร้อยละ ๓๕ ๓. สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ๔. สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ ต้องไม่เกินร้อยละ ๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12664 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ 99 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 (G20 Finance Ministers and Central Bank Governors Meeting) การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 ที่ประชุมได้รับฟังรายงานความคืบหน้าในประเด็นที่ประเทศญี่ปุ่นต้องการผลักดันและให้ความสำคัญ ได้แก่ การศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในเศรษฐกิจโลก (Global Imbalance) ผลกระทบเชิงนโยบายของสังคมสูงอายุ (Aging and tis policy implications) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ (Quality Infrastructure Investment) การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage) และการศึกษามาตรการภาษีระหว่างประเทศ (International Taxation) ๒. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๙ ที่ประชุมได้สนับสนุนแนวทางที่ธนาคารโลกจะใช้เงินเพิ่มทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญแก่ประเทศสมาชิก ดำเนินนโยบายสร้างตลาดเชิงรุกเพื่อพัฒนาภาคเอกชนให้แข็งแกร่ง รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในกลุ่มประเทศรายได้น้อย สนับสนุนการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีความสามารถด้านเทคโนโลยี และเรียกร้องให้ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศรายได้น้อยให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนและเหมาะสม ๓. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แก่ การประชุมหารือกับผู้แทนธนาคารโลก การประชุมหารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างประเทศ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณะผู้แทนไทย ได้แก่ การสัมมนาภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกับ Asia and Pacific Department (APD) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) การสัมมนา Fiscal Forum ในหัวข้อ Investing in People and Infrastructure และการประชุมเพิ่มทุนในสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๑๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12665 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ขอส่งรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) | สตง | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ และของกองทุนเพื่อการพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดิน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า งบการเงินแสดงฐานะการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ และวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ และของกองทุนเพื่อการพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดิน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12666 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนเมษายน 2562 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ ประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๘ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง และเป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๑๖ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๗๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๓๗ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๔๑ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย จำนวน ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ มีทั้งหมด จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12667 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่าย รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ เปลี่ยนแปลงเป็นรายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลแพ่งพระโขนงและศาลอาญาพระโขนง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ | ศย | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานศาลยุติธรรมเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่าย รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ จำนวน ๒ รายการ ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร งบประมาณทั้งสิ้น ๓๖๕,๓๑๐,๐๐๐ บาท เปลี่ยนแปลงเป็นค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลแพ่งพระโขนงและศาลอาญาพระโขนง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร งบประมาณทั้งสิ้น ๓๖๕,๓๑๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ค่าควบคุมงานก่อสร้างที่ทำการศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร งบประมาณทั้งสิ้น ๖,๔๑๗,๙๐๐ บาท เปลี่ยนแปลงเป็นค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลแพ่งพระโขนงและศาลอาญาพระโขนง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร งบประมาณทั้งสิ้น ๖,๔๑๗,๙๐๐ บาท ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมกำกับดูแลการดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยที่เห็นว่า เมื่อก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จ จะต้องนำส่งรายละเอียดอาคารให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ เพื่อขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา และการใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาด้านราคาค่าก่อสร้างโครงการดังกล่าวให้ครบถ้วนถูกต้องตามหลักวิชาช่าง ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12668 | รัฐบาลสาธารณรัฐลัตเวียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐลัตเวียประจำประเทศไทย (นายมาริส เซลกา) | กต | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมาริส เซลกา (Mr. Maris Selga) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐลัตเวียประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12669 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน - เอกชัย ที่ชุมชนวัดสะแกงาม และที่บ้านหลังวัด พ.ศ. .... | คค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๒ สายทางยกระดับบางขุนเทียน-เอกชัย ที่ชุมชนวัดสะแกงาม และที่บ้านหลังวัด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๒ สายทางยกระดับบางขุนเทียน-เอกชัย ที่ชุมชนวัดสะแกงาม และที่บ้านหลังวัด เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ก่อนการก่อสร้างทางหลวง กระทรวงคมนาคมควรให้ความสำคัญกับแนวทางการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวง โดยเฉพาะการก่อสร้างที่กีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ รวมทั้งควรคำนึงถึงผลกระทบจากการระบายน้ำภายหลังการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และกรมทางหลวงควรปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๕๙ โดยดำเนินการโครงการได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติตามขั้นตอนแล้ว พร้อมทั้งดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12670 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกฐานะศูนย์ฝึกยุทธวิธีตำรวจ ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับกองกำกับการ สังกัดกองบังคับการฝึกอบรมตำรวจกลาง ให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมตำรวจกลาง เป็นหน่วยงานระดับกองบังคับการ กองบัญชาการศึกษา และแบ่งหน่วยงานภายในออกเป็นกองกำกับการ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาทบทวนอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกองบังคับการฝึกอบรมตำรวจกลาง เพื่อมิให้ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของศูนย์ฝึกยุทธวิธีตำรวจกลางที่ขอยกฐานะขึ้นเป็นหน่วยงานระดับกองบังคับการ ควรพิจารณาระบบงานที่จำเป็นต้องเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกองบังคับการฝึกอบรมตำรวจกลางและศูนย์ฝึกยุทธวิธีตำรวจกลางให้มีความเป็นเอกภาพและสามารถบูรณาการร่วมกัน ควรพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังข้าราชการตำรวจทั้งจำนวนและระดับตำแหน่งที่มีอยู่เดิมให้สอดคล้องกับภาระงานและปริมาณงานที่จะต้องปฏิบัติของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาใช้อัตรากำลังข้าราชการตำรวจ ตามพระราชกฤษฎีกาข้าราชการตำรวจประเภทไม่มียศ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งได้กำหนดประเภทตำแหน่งและลักษณะงานเช่นเดียวกับกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน หรืออัตรากำลังรูปแบบอื่น อาทิ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างชั่วคราวมาปฏิบัติภารกิจดังกล่าว และการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการทบทวนบทบาทภารกิจและปรับปรุงการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างดังกล่าว สำหรับในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12671 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 12 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๒ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : MTI-GT) มีสาระสำคัญเป็นการรับทราบความสำเร็จที่ผ่านมาของความร่วมมือภายใต้แผนงาน IMT-GT เช่น อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อหัวของประชากร อัตราการว่างงานที่ลดลงของประเทศ IMT-GT รวมทั้งได้ระบุถึงกรอบทิศทางการขับเคลื่อนแผนงานระหว่างประเทศสมาชิกที่สนับสนุนซึ่งกันและกันในเรื่องต่าง ๆ ในระยะต่อไป เช่น การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจที่หก (เชื่อมโยงจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส เข้ากับรัฐเประและรัฐกลันตัน และตอนใต้ของเกาะสุมาตรา) การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมในสาขาต่าง ๆ การส่งเสริมสินค้าฮาลาลสู่สากล การเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และทักษะแรงงาน การพัฒนาเมืองสีเขียว เป็นต้น ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับผู้นำประเทศแผนงาน IMT-GT ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่๑๒ แผนงาน IMT-GT ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๔ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12672 | รายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ 6 | มท | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ ๖ (The 6th ASEAN Ministerial Meeting on Disaster Management : AMMDM) เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองปุตราจายา ซึ่งที่ประชุม AMMDM ครั้งที่ ๖ รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ (ASEAN Committee on Disaster Management : ACDM) และศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (The ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance : AHA Centre) การพัฒนาคู่มือเพื่อใช้เป็นมาตรฐานสำหรับอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ และที่ประชุม AMMDM ครั้งที่ ๖ ได้เห็นชอบในหลักการเรื่องต่าง ๆ รวมถึงการปรับอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (AHA Centre Fund : ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance) จากเดิม ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น ๙๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ เพื่อใช้ในการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมภายใต้ความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (ASEAN Agreement on Disaster Management and Emergency Response : AADMER) สำหรับการเผชิญภัยพิบัติและการให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ประสบภัยพิบัติ การจัดส่งทีมประเมินความเสียหาย การจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น และสนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์ AHA Centre ๑.๒ อนุมัติการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน AHA Centre Fund ที่เพิ่มขึ้นตามผลการประชุม AMMDM ครั้งที่ ๖ จากเดิม ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ปรับเป็น ๙๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อสมทบเข้ากองทุน AHA Centre Fund ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ จำนวน ๙๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้แล้ว จำนวน ๑,๕๗๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่ยังขาดอยู่ขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ ขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า คณะกรรมการของ AHA Centre ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศควรติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณของศูนย์ AHA Centre ในแต่ละปีอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การใช้งบประมาณที่ได้รับเพิ่มขึ้นอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งควรมีการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมภายใต้แผนการดำเนินงานของศูนย์ AHA Centre เพื่อให้การช่วยเหลือเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12673 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการจัดหายานพาหนะเพื่อการขนย้ายเครื่องจักรกล | กษ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ จำนวน ๙๘๗.๔๔ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการจัดหายานพาหนะเพื่อการขนย้ายเครื่องจักรกล ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำบัญชีเครื่องจักรเครื่องมือต่าง ๆ และแจ้งให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานกลาง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานจัดทำแผนบริหารจัดการการใช้งานและการบำรุงรักษายานพาหนะ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานของกรมชลประทาน ให้ชัดเจน เป็นระบบ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12674 | การดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ของเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินและการทำของ | กค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การจัดโครงสร้างองค์กรรูปแบบอื่นที่มิใช่ส่วนราชการ : หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ) เพื่อให้สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ของเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินและการทำของ โดยยกเลิกการกำหนดให้สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ เป็นหน่วยงานทดลองปฏิบัติการจัดโครงสร้างองค์กรเป็นหน่วยงานบริการรูปแบบพิเศษ (Service Delivery : SDU) โดยจะบริหารจัดการองค์กรด้วยกลไกทุนหมุนเวียนตามกรอบแนวทางการกำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์เร่งพัฒนาโครงสร้างที่เหมาะสมของสำนักกษาปณ์ทั้งในด้านการผลิตและบริหารจัดการแทนการเป็นหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (Service Delivery : SDU) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการตามภารกิจหลัก ตลอดจนสามารถขจัดปัญหาอุปสรรคในการบริหารจัดการของสำนักกษาปณ์ทั้งในด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการพัสดุ ด้านการเงินและงบประมาณได้ต่อไป รวมทั้งให้กรมธนารักษ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของรายงานการศึกษาในการออกระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการพัสดุและการก่อหนี้ผูกพันของเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินและการทำของ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12675 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม | คค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ในวงเงิน ๖๖,๘๔๘.๓๓ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๘ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๖๘) โดยดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือที่ประกาศใช้ล่าสุด และเพื่อความคล่องตัวในการบริหารงบประมาณของ รฟท. ให้ รฟท. มีอำนาจในการปรับปรุงรายละเอียดด้านงบประมาณค่าก่อสร้าง ค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าเวนคืนที่ดิน และรายละเอียดอื่น ๆ ที่สำคัญภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ นั้น กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีให้กับ รฟท. เป็นค่าจ้างที่ปรึกษาสำรวจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเวนคืน ค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ และค่าจ้างที่ปรึกษาประกวดราคา วงเงินรวม ๑๐,๒๕๕.๓๓ ล้านบาท สำหรับค่าก่อสร้าง จำนวน ๕๕,๔๖๒.๐๐ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๑,๑๓๑ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๕๖,๕๔๓.๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้จากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ รฟท. กู้ต่อ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินโดยตรง ทั้งในส่วนของเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ๒. อนุญาตให้ รฟท. กู้เงินได้ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อดำเนินโครงการฯ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น (๑) ให้ รฟท. กำกับดูแลการเบิกจ่ายงบลงทุนของโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ตลอดจนดำเนินการแยกทรัพย์สินในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐเป็นผู้รับภาระการลงทุนออกจากบัญชีของ รฟท. ให้ชัดเจน (๒) ให้ รฟท. วางแผนบริหารจัดการการดำเนินงาน และเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง และเมื่อโครงการฯ แล้วเสร็จ กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ควรมีแนวทางการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายอื่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการขนส่งทางรางอย่างเป็นรูปธรรม (Open Access) เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ (๓) ให้ รฟท. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการโครงการในภาพรวมให้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งกำหนดรูปแบบและแนวทางการบริหารจัดการย่านลานกองเก็บตู้สินค้าที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าจากทางถนนสู่ทางราง และลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ และ (๔) ให้ รฟท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาจัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามแนวเส้นทางและบริเวณสถานีรถไฟ (Transit-Oriented Development : TOD) รวมทั้งจัดทำแผนการพัฒนาและเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมขนส่งสาธารณะระบบต่าง ๆ ควบคู่กับการพัฒนาโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนของโครงการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12676 | หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา ประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ | สธ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดเบี้ยประชุมของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา ประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทนอื่นเฉพาะในการเดินทาง ได้แก่ เบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษาในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ที่เป็นข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการการเมือง ให้ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามสิทธิที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และสำหรับบุคคลที่มิได้เป็นข้าราชการให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการดังกล่าวโดยเทียบตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี) ๑.๒ ประธานอนุกรรมการและอนุกรรมการในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ที่เป็นข้าราชการให้ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามสิทธิที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับบุคคลที่มิได้เป็นข้าราชการให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการดังกล่าวโดยเทียบตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า การใช้จ่ายงบประมาณในเรื่องดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย และควรให้นำความเห็นของกระทรวงการคลังมาประกอบการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทนอื่นเฉพาะในการเดินทาง เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกันในภาพรวม และสถาบันวัคซีนแห่งชาติต้องเสนอขอรับการประเมินค่างานและจัดกลุ่มองค์การมหาชนจากคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12677 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดขนาด ลักษณะ และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ และการแสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดขนาด ลักษณะ และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ และการแสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดขนาด ลักษณะ และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ และการแสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อกำหนดให้มีแผ่นป้ายทะเบียนรถสำหรับสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าของต่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่สำนักงานดังกล่าว เป็นการเฉพาะ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12678 | ร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับมาตรการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ รวม 2 ฉบับ | พณ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับมาตรการตอบโต้การอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะการให้การอุดหนุนแก่การส่งออก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะการให้การอุดหนุนแก่การส่งออก ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับจากการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการคำนวณประโยชน์ที่ผู้รับการอุดหนุนได้รับจากรัฐบาลประเทศแหล่งกำเนิดหรือประเทศผู้ส่งออก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12679 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นกรณี ที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างเพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ กับถนนไกรลาศ ได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12680 | การปรับปรุงตำแหน่งผู้แทนสำรองของรัฐบาลไทยในสภาสมาชิก (Council of Members) ของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชีย | กค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงตำแหน่งผู้แทนสำรองของรัฐบาลไทยในสภาสมาชิก (Council of Members) ของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชีย จาก “รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่กำกับดูแลสำนักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน” เป็น “ที่ปรึกษาหรือรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่กำกับดูแลสำนักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน” และสำหรับตำแหน่งผู้แทนให้เป็นไปตามเดิม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
.....