ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 632 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 12621 - 12640 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12621 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (นายกัมพล ตติยกวี) | วธ | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายกัมพล ตติยกวี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนผู้ที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12622 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2562 | นร11 | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๖๒ โดยความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๖๒ การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานลดลง รายได้และผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย การเจ็บป่วยยังต้องเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่และโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น คดีอาญารวมเพิ่มจากคดียาเสพติดที่เพิ่มขึ้น และการเกิดอุบัติเหตุและจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงทั้งในช่วงปกติและช่วงเทศกาล สำหรับสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ เช่น เยาวชนมีความเสี่ยงต่อการเป็นภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตายมากขึ้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือป้องกันแก้ไขอย่างจริงจัง เป็นต้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12623 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้ ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำรวจความต้องการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลทางการเกษตรของเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์การเกษตร และให้การสนับสนุนเครื่องมือและเครื่องจักรกลทางการเกษตรแก่กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวตามลำดับความพร้อมในการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงเครื่องมือเครื่องจักรกลดังกล่าว นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณเร่งรัดและขยายผลการดำเนินมาตรการหรือแผนการสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตรแก่เกษตรกรอย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการให้เกษตรกรใช้เครื่องจักรกลที่ผลิตภายในประเทศ เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการและแรงงานไทย โดยอาจพิจารณากำหนดมาตรการทางการเงินการคลังเพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12624 | การปลูกไม้มีค่าในพื้นที่ต่าง ๆ | นร04 | 11/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าเพิ่มเติม ดังนี้
๑. การปลูกไม้มีค่าในพื้นที่สาธารณะ เพื่อเป็นร่มเงาและเป็นทรัพย์สินร่วมกันของชุมชนและท้องถิ่น ๒. การปลูกไม้มีค่าในพื้นที่การเกษตรบริเวณหัวไร่ปลายนาและให้พิจารณาขยายผลไปสู่การทำเกษตรแปลงใหญ่ด้วย ๓. การขึ้นทะเบียนไม้มีค่าจากการปลูกในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายและ/หรือการบริหารจัดการในอนาคตต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12625 | สถานะและมาตรการรองรับการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2562 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ 28 มกราคม 2562 | พณ | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะและมาตรการรองรับการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๒ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. มาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษที่กำหนดให้การประดิษฐ์ที่มีสารสกัดจากกัญชาธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ เป็นการประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตรที่ประกาศโฆษณาแล้ว แต่ผู้ขอรับสิทธิบัตรยังไม่ได้ยื่นคำขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ มาตรการดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว เมื่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ ๒๕๖๒ มีผลใช้บังคับ โดยเปิดโอกาสให้สามารถนำกัญชาไปทำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังจำเป็นต้องใช้มาตรการดังกล่าวต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรเกี่ยวกับกัญชาที่ได้ยื่นก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ จึงไม่จำเป็นต้องเสนอมาตรการระยะยาวเพื่อรองรับมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษอีก ๒. กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามข้อ ๕ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๒ โดยเสนอร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเลิกมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒) และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒ อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. กรณีอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๒ ไม่ได้มีสภาพบังคับเป็นมาตรการพิเศษ และไม่ได้มีผลเป็นการแก้ไขกฎหมาย จึงไม่ต้องกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรองรับกรณีดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12626 | การขอต่ออายุการกู้เงินภายใต้ Euro Commercial Paper (ECP) Programme ครั้งที่ 3 | กค | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่ออายุการกู้เงินภายใต้ Euro Commercial Paper (ECP) Programme ครั้งที่ ๓ วงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ ต่อไปอีก ๑๐ ปี (การต่ออายุการกู้เงินภายใต้ ECP Programme ครั้งที่ ๒ จะครบกำหนดสิ้นสุดในวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกู้เงินและการบริหารหนี้สาธารณะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ และคำนึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้ เสถียรภาพและความยั่งยืนทางการเงินการคลังตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12627 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) ของโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House: CCH) | กค | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) สำหรับโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร โดยให้สามารถเบิกจ่ายเงินได้ภายใน ๑ เดือน หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการติดตามเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานให้เร่งดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ โดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12628 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน ๓,๑๒๑ ล้านบาท เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12629 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมจำนวน ๑๑,๓๑๙.๕๘๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและ ขสมก. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรให้ ขสมก. ดำเนินการขอบรรจุแผนการกู้เงินจำนวนดังกล่าวไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และให้ ขสมก. ดำเนินการกู้เงินได้เมื่อแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และได้บรรจุวงเงินกู้ของ ขสมก. ที่เสนอในครั้งนี้ไว้ด้วยแล้ว โดยให้การกู้เงินดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย คำนึงถึงความคุ้มค่า ประโยชน์ที่จะได้รับ ความสามารถในการชำระหนี้ การกระจายภาระการชำระหนี้ที่เหมาะสม ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12630 | ขออนุมัติแผนหลักการฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก และแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ | นร | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ ๑.๑ เห็นชอบแผนหลักการฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก รวม ๔ ด้าน ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๙) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑,๔๕๖.๙๘ ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการแผนงานเร่งด่วนที่มีความพร้อม จำนวน ๑๑ โครงการ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงินงบประมาณ ๗๕๔.๕๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ รวม ๖ ด้าน ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๒) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๕,๗๐๑.๕ ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการแผนงานเร่งด่วนที่มีความพร้อม จำนวน ๙ โครงการ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงินงบประมาณ ๑,๕๑๓.๕ ล้านบาท ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันทีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการสนับสนุนตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๔ มอบหมายให้ สทนช. อำนวยการและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนหลักที่วางไว้ทั้ง ๒ แผน รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๒ อย่างเคร่งครัด ดังนี้ ๑.๔.๑ การฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก (๑) ให้หน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเร่งด่วน จำนวน ๑๑ โครงการ โดยให้ดำเนินการเตรียมความพร้อมให้ชัดเจน พร้อมทั้งวางแผนเยียวยาในเรื่องการจัดหาที่อยู่ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อไปด้วย และ (๒) ให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ กนช. ทราบเป็นระยะต่อไป ๑.๔.๒ การฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ (๑) ต้องสร้างความเข้าใจและการรับรู้ให้กับประชาชน (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเตรียมความพร้อมและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแผนที่กำหนด และ (๓) ให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ สนทช. ทราบเป็นระระต่อไป ๒. ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของแผน และการบริหารจัดการแผน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นให้เพื่อขับเคลื่อนแผนหลักดังกล่าว เห็นควรให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมและจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้จัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการ และให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามแผนให้ถูกต้อง ทั่วถึงโดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับของส่วนรวม พร้อมทั้งให้จัดเตรียมมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12631 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับอาคารประกอบและทดสอบดาวเทียม ภายใต้โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) | อว | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนทั่วไป ค่าครุภัณฑ์ จากรายการอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับอาคารประกอบและทดสอบดาวเทียม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ๑ ระบบ วงเงินทั้งสิ้น ๒๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด) ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นรายการอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับอาคารประกอบและทดสอบดาวเทียม พร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และฝุ่น อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ๑ ระบบ วงเงินทั้งสิ้น ๒๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ตามนัยข้อ ๗ (๒) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และให้จัดทำรายละเอียดให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนเสนอขอความเห็นชอบความเหมาะสมของราคารายการดังกล่าวกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงปบระมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12632 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และในภาพรวมของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร01 | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และในภาพรวมของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยภาพรวมสถิติผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้วถึงร้อยละ ๘๔.๗๑ และยังคงมีเรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร้อยละ ๑๕.๒๙ สำหรับภาพรวมสถิติผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้วถึงร้อยละ ๘๙.๙๑ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และมอบหมายให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญแก่การแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ๒. ให้ส่วนราชการใช้กลไกของผู้นำการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน (Chief Complaint Executive Officer : CCEO) ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการดำเนินงานด้านการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ ประสานความร่วมมือ ติดตามและประเมินผลการดำเนินการเรื่องราวร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12633 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าลุ่มน้ำปาย บางส่วน ในท้องที่ตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... | ทส | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าลุ่มน้ำปาย บางส่วน ในท้องที่ตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าลุ่มน้ำปาย บางส่วน ในท้องที่ตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ออกจากการเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพื่อก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดกลางอ่างเก็บน้ำห้วยม่วงก๋อน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมชลประทานดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนของพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ และดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน โดยไม่ดำเนินการใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12634 | รายงานประจำปี 2561 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การประเมินผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑) (๒) การจัดทำ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) (๓) การขับเคลื่อนกรอบแนวทางการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ และ (๔) การขับเคลื่อนศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธาน กพยช. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12635 | สรุปผลการดำเนินมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการและการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ | กค | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ ของประชาชนที่สนใจ ตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๒-๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ จำนวนทั้งสิ้น ๓๔,๘๖๕ ราย และมีเลขบัญชีธนาคารที่จะนำมาใช้ชำระเงิน จำนวน ๔๐,๐๗๔ เลขบัญชี ๒. การรับสมัครร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมมาตรการฯ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑-๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ มีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมมาตรการฯ จำนวน ๒๑๓ ราย และมีจำนวนสาขา ๑๙,๕๕๑ สาขาทั่วประเทศ ซึ่งได้ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการฯ ผ่านทางเว็บไซต์ www.epayment.go.th ๓. ข้อมูลการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และจำนวนเงินชดเชย ตั้งแต่วันที่ ๑-๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ มีผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ที่ซื้อสินค้าและบริการ จำนวน ๖,๔๖๖ ราย ชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ จำนวน ๑๒,๗๔๐ รายการ คิดเป็นมูลค่าสินค้าและบริการรวมภาษีมูลค่าเพิ่มเท่ากับ ๑๖,๒๓๘,๑๗๔ บาท มีภาษีมูลค่าเพิ่ม ๙๑๕,๘๖๑ บาท และผู้เข้าร่วมมาตรการฯ จะได้รับเงินชดเชยคืนเป็นจำนวนเงิน ๖๕๔,๑๘๖ บาท ๔. การดำเนินการตามมาตรการฯ ใช้เงินงบประมาณ ๖๕๔,๑๘๖ บาท อยู่ในวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๙,๒๔๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอขออนุมัติและจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12636 | รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน ชุดที่ 2 | รง | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน ชุดที่ ๒ วาระที่ ๑ (๔ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓ ตุลาคม ๒๕๖๑) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างกลไกในการพัฒนาการคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน โดยการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อรวบรวมข้อมูลและศึกษาแนวทางเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน รวมทั้งประเด็นการกำหนดอัตราค่าตอบแทน จำนวน ๓ คณะ ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการคุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนางานที่รับไปทำที่บ้าน (๒) คณะอนุกรรมการกำหนดอัตราค่าตอบแทนในงานที่รับไปทำที่บ้าน และ (๓) คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎกระทรวงที่ออกตามความในบทบัญญัติ มาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. การยกร่างและพิจารณากฎหมายลำดับรอง ซี่งมีผลบังคับใช้แล้ว ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่มีลักษณะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของหญิงมีครรภ์หรือเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี พ.ศ. ๒๕๖๐ และ (๒) ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน เรื่อง อัตราค่าตอบแทนในงานที่รับไปทำที่บ้าน ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเกี่ยวกับผู้รับงานไปทำที่บ้าน อันนำไปสู่ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหา เช่น (๑) ควรปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านมากยิ่งขึ้น (๒) ควรจัดทำฐานข้อมูลผู้จ้างงานและผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพื่อใช้กำหนดมาตรการ/แนวทางในการบริหารจัดการ และ (๓) ควรส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่ม/การจัดตั้งกลุ่ม เพื่อให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านมีความเข้มแข็งมีอำนาจในการต่อรองกับผู้จ้างงาน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12637 | รายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ มีนาคม ๒๕๖๒ เพื่อปฏิบัติภารกิจส่งเสริม รักษา ขยายตลาด และติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับปัญหาด้านแรงงาน รวมทั้งสร้างขวัญกำลังใจให้แก่แรงงานไทย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยี่ยมผู้ฝึกงานด้านเทคนิคชาวไทย ณ ศูนย์ฝึกอบรมผู้ฝึกงานก่อนเข้าทำงาน ขององค์กรพัฒนาแรงงานระดับนานาชาติ ประเทศญี่ปุ่น (International Manpower Development Organization, Japan : IM Japan) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ขอให้ผู้ฝึกงานตั้งใจทำงาน เรียนรู้และฝึกฝนประสบการณ์ด้านเทคนิค เพื่อนำกลับมาปรับใช้ พัฒนา และนำไปสู่การยกระดับภาคอุตสาหกรรมของไทยต่อไป ๒. การเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขแรงงานและสวัสดิการญี่ปุ่น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือโครงการฝึกปฏิบัติงานทางเทคนิคในญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้ฝึกงานต่างชาติและประกันคุณภาพองค์กรผู้จัดหาคนไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นมิให้เก็บค่าธรรมเนียมการจัดส่งในอัตราที่สูงเกินสมควร รวมถึงสนับสนุนให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคจากญี่ปุ่นให้แก่ไทย ๓. การหารือข้อราชการกับอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานในญี่ปุ่น ซึ่งจากการที่ญี่ปุ่นได้อนุญาตให้แรงงานต่างชาติที่ถือวีซ่าผู้ที่มีเทคนิคเฉพาะ (Specified Skills Worker) รูปแบบใหม่ ทำให้แรงงานไทยให้ความสนใจไปทำงานที่ญี่ปุ่นมากขึ้น จึงได้มอบหมายให้สำนักงานแรงงานในญี่ปุ่นรายงานสถานการณ์ดังกล่าวให้กระทรวงแรงงานทราบเป็นระยะด้วย โดยอัครราชทูตฯ เห็นว่าฝ่ายไทยควรคำนึงถึง supply ของตลาดแรงงานในไทยด้วย เนื่องจากนโยบาย Thailand 4.0 ทำให้มีความต้องการแรงงานทักษะฝีมือในไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมทั้งได้หารือเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านการรับแรงงานผู้มีทักษะเฉพาะ (MOC on Specified Skills Worker) ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของทั้งสองประเทศและป้องกันไม่ให้ผู้เดินทางไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นเสียค่าใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ๔. การเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้หารือเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเปิดรับแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานตามระบบวีซ่าแบบใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อรับแรงงานในสาขาที่ญี่ปุ่นขาดแคลน จำนวน ๑๔ สาขา จำนวน ๓๔๕,๐๐๐ คน ภายใน ๕ ปี โดยทั้งฝ่ายญี่ปุ่นจะเตรียมจัดการทดสอบความรู้ความสามารถในไทย (ประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๖๒) สำหรับ ๖ สาขา เช่น งานดูแลผู้สูงอายุ งานเครื่องจักรและเครื่องมือ เป็นต้น (๒) เตรียมมาตรการป้องกันการจ้างงานแบบผิดกฎหมายและปัญหาแรงงานถูกหลอกลวง และ (๓) จัดทำโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่แรงงานต่างชาติ ส่วนฝ่ายไทยจะดำเนินการตรวจสอบ/ป้องกัน/ดำเนินคดีกับผู้ที่หลอกลวงแรงงาน และจะประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ชัดเจนให้แก่แรงงานเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12638 | รายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 | นร | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเป็นการรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาและออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ (ครบกำหนดวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒) จำนวน ๑๘ มาตรา แบ่งเป็นร่างกฎหมายลำดับรอง จำนวน ๑๓ มาตรา และแบบของประกาศ ระเบียบหรือข้อบัญญัติ และหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัตินี้อีก จำนวน ๕ มาตรา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยจะสามารถจัดทำและยกร่างกฎหมายลำดับรองได้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ จำนวน ๙ มาตรา จะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12639 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการระดมทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ) | กค | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่เป็นดอกเบี้ยสลากออมทรัพย์และรางวัลสลากออมทรัพย์ที่ออกจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป และเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับดอกเบี้ยที่คำนวณตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้อง ครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตลอดจนรายงานผลการดำเนินงานและสัมฤทธิ์ตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการในโอกาสแรก นอกจากนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ควรพิจารณาปรับลดราคาสลากต่อหน่วยลงเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงสลากออมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12640 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ (เดือนมกราคม - มีนาคม 2562) | นร11 | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา ๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๒) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าซึ่งเป็นผลการดำเนินการที่สำคัญในแต่ละด้านของการปฏิรูปประเทศ เช่น ด้านการเมือง (โรงเรียนประชาธิปไตย : ให้มีการปฏิรูปและพัฒนาระบบการศึกษา รวมทั้งต้องพัฒนาโรงเรียนทุกโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการให้เป็น “โรงเรียนประชาธิปไตย”) ด้านการกฎหมาย (การผลักดันกฎหมายลดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคม) และการปฏิรูปกระบวนการทำงานของภาครัฐเป็น E-government เป็นต้น ๒. ปัญหาอุปสรรค คือ หน่วยงานได้แจ้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศมายังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๑๑ หน่วยงาน ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รายงานเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านที่เกี่ยวข้องและอยู่ระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ๓. ข้อเสนอแนะ คือ ให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบตามแผนการปฏิรูปประเทศเร่งตรวจสอบการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ โดยในกรณีที่หน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการได้ ให้หน่วยงานดังกล่าวเร่งดำเนินการตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศใช้เป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตรวจสอบรายละเอียดความสอดคล้องของแผนการปฏิรูปประเทศกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
|
.....