ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 238 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 4741 - 4760 จากข้อมูลทั้งหมด 124181 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4741 | มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2566-2570) | นร.10 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบข้อเสนอมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
(พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อให้ส่วนราชการและองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลนำไปปฏิบัติต่อไป และรับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
(พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) พร้อมปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ (เมื่อสิ้นสุดมาตรการ)
ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๖
เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ โดยมาตรการที่เสนอมาในครั้งนี้ต่อเนื่องจากมาตรการฉบับเดิม
ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ และ (๒)
มาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ
โดยมาตรการฉบับใหม่แตกต่างไปจากมาตรการฉบับเดิมในเรื่องของหลักการที่มุ่งเน้นการควบคุมขนาดกำลังคนและงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐให้สมดุลกับบทบาทภารกิจของภาครัฐ
โดยในส่วนของมาตรการบริหารอัตรากำลังปกติกรณีการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือนได้ปรับแนวทางการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุ
เป็น ๒ ช่วง ได้แก่ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๗ ให้ตรึงอัตรากำลัง
ไม่เพิ่มกรอบอัตรากำลังตั้งใหม่ในภาพรวม และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘–๒๕๗๐
ให้จัดสรรอัตราว่างตามขนาดของส่วนราชการ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการฉบับเดิม
สำหรับการรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการฉบับเดิมครอบคลุมผลการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุข้าราชการพลเรือน
โดย อ.ก.พ. กระทรวงได้จัดสรรคืนให้ส่วนราชการทันที ๑๙,๑๒๑ อัตรา (ร้อยละ ๗๑.๔๐)
จากอัตราว่างทั้งหมด ๒๖,๗๘๑ อัตรา ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
สำนักงาน ก.พ.ร.
รวมทั้งส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงาน ก.พ.ร.
ที่เห็นควรพิจารณารายละเอียดจำนวนบุคลากรแต่ละประเภทที่ได้รับอนุมัติตามกรอบ
จำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวนอัตราเกษียณ จำนวนอัตราว่าง หรือองค์ประกอบอื่น ๆ
ที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์
การทบทวนหรือการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับภารกิจตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน
ตามสถานการณ์ด้านกำลังคนและงบประมาณในแต่ละปี
รวมถึงติดตามประเมินผลระดับความสำเร็จตามตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้
เพื่อที่จะนำไปทบทวนแนวทางการกำหนดเป้าหมายของมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐในรอบถัดไป
และควรพิจารณาค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เพื่อจูงใจในการทำงาน
รวมถึงการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ในการจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ส่วนราชการและองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลนำไปปฏิบัติ
ควรมุ่งเน้นความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบราชการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) หมุดหมายที่ ๑๓
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4742 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการคู่ขนาน ปี 2565/66 และปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) | พณ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
และเห็นชอบหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๕/๖๖
กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๗๑๖,๑๐๐,๙๙๒ บาท หลักการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี ๒๕๖๕/๖๖ จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
ปี ๒๕๖๕/๖๖ กรอบวงเงินรวม ๓๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาแหล่งเงินเพื่อดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
และมาตรการคู่ขนาน ปี ๒๕๖๕/๖๖ ตามความจำเป็นเหมาะสม
โดยต้องไม่เกินกรอบวงเงินตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ หรืองบกลาง หรือแหล่งเงินอื่น ๆ ตามความจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรนำผลการดำเนินงานในอดีตมาประกอบการพิจารณาถึงความเหมาะสมและจำเป็นและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติ
พิจารณาแหล่งเงินในการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้ทันต่อระยะเวลาโครงการที่กำหนดไว้
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานตามจริง
และควรพิจารณากำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการที่สะท้อนผลลัพธ์ของโครงการได้อย่างแท้จริง
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย หรือปรับปรุงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชน เร่งรัดจัดทำระบบ
หรือกลไกตรวจสอบแหล่งที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4743 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2565/2566 | อก. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี
๒๕๖๕/๒๕๖๖ ทั้ง ๙ เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ
โดยราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต ปี ๒๕๖๕ /๒๕๖๖ ในอัตรา ๑,๐๘๐ บาท ต่อตันอ้อย ณ
ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๖๔.๘๐
บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี
๒๕๖๕/๒๕๖๖ เท่ากับ ๔๖๒.๘๖ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ส่วนราชการอาจพิจารณาข้อผูกพันและระดับการอุดหนุนภายในโดยรวมของสินค้าเกษตรทุกรายการในแต่ละปีที่ไทยให้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ผลิตสินค้าเกษตรในประเทศ
จะต้องไม่เกินจำนวนที่ไทยได้ผูกพันไว้ตามความตกลง AOA ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงงานเท่ากับส่วนต่างดังกล่าวตามนัยมาตรา
๕๖ ของพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๕
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย
ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ
และควรพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนควบคู่กับการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
เพื่อลดต้นทุนและสร้างผลตอบแทนให้แก่ชาวไร่อ้อยที่สูงขึ้น
รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นเป็นแบบรายเขตคำนวณราคาอ้อยแทนการกำหนดเป็นราคาเดียวทั้งประเทศแต่ต้องไม่สูงกว่าที่กว่าที่กฎหมายกำหนด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4744 | การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร กรณีสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน | นร.12 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
ให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร
ประเภทหน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระ ๑.๒
ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร
ประเภทกองทุนที่เป็นนิติบุคคล ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบริหารกองทุนดังกล่าวจะบริหารในรูปของคณะกรรมการ
ซึ่งไม่มีหน่วยธุรการรองรับการทำหน้าที่ใน ๓ รูปแบบที่กำหนด ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ
องค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติ หรือส่วนราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖
มีนาคม ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4745 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 เรื่อง การจำแนกประเภทที่ดินจังหวัดขอนแก่น (เฉพาะแห่ง) | นร16 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง
การจำแนกประเภทที่ดินจังหวัดขอนแก่น (เฉพาะแห่ง)
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนชื่อมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจากเดิม
“เรื่อง การจำแนกประเภทที่ดิน จังหวัดขอนแก่น (เฉพาะแห่ง)” เป็น “เรื่อง
การจำแนกประเภทที่ดินจากป่าไม้ถาวร” ๑.๒ ทบทวนเนี้อหาของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
จากเดิม “อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาที่ดินเกี่ยวกับการจำแนกพื้นที่ที่กันออกจากการกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
เขตอุทยานแห่งชาติ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแล้วเป็นเขตที่เพิกถอนให้เป็นพื้นที่ที่ได้จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย” เป็น “(๑) อนุมัติให้จำแนกพื้นที่ราษฎร ๓ ตำบลในอำเภอภูเวียง
จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ประมาณ ๕๓,๗๒๖ ไร่ ออกจากป่าไม้ถาวร เพื่อให้ราษฎรทำกินหรือใช้ประโยชน์อย่างอื่น (๒)
กรณีการจำแนกพื้นที่ที่กันออกจากการกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
เขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตที่เพิกถอน
ให้ถือเป็นพื้นที่ที่ได้จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร
โดยใช้เป็นหลักการครอบคลุมทั่วประเทศ” ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4746 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 รายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองนครศรีธรรมราช | ศป. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติให้สำนักงานศาลปกครองเปลี่ยนแปลงรายการเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ จากรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองนครศรีธรรมราช
จำนน ๑๘๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองนครศรีธรรมราช
บริเวณศูนย์ราชการรองนาสาร อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน ๔๒๙,๔๔๙,๐๐๐
บาท
และอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปครองนครศรีธรรมราช
จำนวน ๓,๐๒๖,๒๐๐ บาท
ไปสมทบในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองนครศรีธรรมราชได้
โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙-พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน
๑๓๘,๒๔๖,๙๐๐ บาท
ที่ได้รับอนุมัติเงินจัดสรรและเป็นเงินคงเหลืออยู่ในบัญชีของสำนักงานศาลปกครองแล้ว
และเงินสมทบของสำนักงานศาลปกครอง จำนวน ๔,๙๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือจำนวน
๒๘๖,๓๐๒,๑๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๖๙
โดยขอให้สำนักงานศาลปกครองจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นที่ต้องใช้ในแต่ละปีต่อไป ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙-พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙-พ.ศ. ๒๕๖๙
๒.
ให้สำนักงานศาลปกครองรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรเร่งดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จและถือปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ ของทางราชการ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4747 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | นร.04 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติสั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีตั้งแต่วันที่
๓ มีนาคม ๒๕๖๖ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
(นาอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) เป็นผู้รักษาราชการแทน ตามนัยมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินของกระทรวงคมนาคมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและต่อเนื่อง
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ในกรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นาอธิรัฐ รัตนเศรษฐ)
ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4748 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าอากรใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำการประมง และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน รอบปีการประมง 2566-2567 พ.ศ. .... | กษ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าอากรใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำการประมง
และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน รอบปีการประมง ๒๕๖๖-๒๕๖๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าอากรใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำการประมงและยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านแก่ผู้ขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน
ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๘
เพื่อเป็นการลดภาระและบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจแก่ผู้ขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง
และประโยชน์ที่จะได้รับเกี่ยวกับการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์
และรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4749 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2566 | นร.11 สศช | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
เห็นชอบ และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๖
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖
ที่ได้มีมติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
และการจัดทำรายงานความกาวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
ราย ๓ เดือน ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4750 | (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ระยะที่ 1 พ.ศ. (2566-2570) | สธ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
(ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
พร้อมทั้งนำแผนเข้าระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (Electronic
Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform :
eMENSCR) เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการสำคัญต่าง ๆ
ตามแผนต่อไป โดยร่างแผนปฏิบัติการด้านอาหาร ระยะที่ ๑ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแผนชี้นำการขับเคลื่อนการดำเนินงานและเป็นกรอบในการบริหารจัดการจัดสรรทรัพยากร
และกำกับติดตามประเมินผลสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเพื่อบูรณาการนโยบายและแผนแต่ละระดับที่เกี่ยวข้อง
มุ่งสู่การแก้ไขปัญหาได้ตรงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ประกอบด้วย ๖ เป้าหมาย เช่น
จำนวนคนขาดแคลนอาหารลดลง และมีกลไกประสานงานกลางและบูรณาการการดำเนินงาน ๑๘
ตัวชี้วัด เช่น ภายในปี ๒๕๗๐ ทุกจังหวัดจะมีรายงานผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษสูง
และจะมีโครงการสำคัญภายใต้แผนเข้าสู่ระบบ eMENSCR จำนวน
๑๐โครงการ และ ๔ ยุทธศาสตร์ เช่น ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ด้านความมั่นคงอาหาร
และยุทธศาสตร์ที่ ๒ ด้านคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร โดยมีตัวอย่างโครงการ เช่น
โครงการจัดสรรที่ดินทำกินให้เกษตรกรรายย่อยและผู้ด้อยโอกาส
และโครงการขยายผลโครงการ Green Industry (GI) เพื่อยกระดับผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ตามที่คณะกรรมการอาหารแห่งชาติเสนอ
และให้คณะกรรมการอาหารแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น
ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการภายใต้ร่างแผนปฏิบัติการดังกล่าว
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ในโอกาสแรกก่อน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4751 | รายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน | มท. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๕ มีมติ ๓
ประเด็น สรุปได้ว่า (๑)
เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงแผนแม่บทและแผนแม่บทอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่าน
โดยให้ปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่านหลังเก่าเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก
(๒) เห็นชอบให้จังหวัดน่านจัดทำแผนแม่บทและแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านฉบับใหม่
โดยทบทวนแผนแม่บทฉบับเดิมในภาพรวม และการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณต่าง ๆ
ในเมืองเก่าให้เหมาะสม
โดยจัดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ และให้จังหวัดน่านรับความเห็นของคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า ไปพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และ (๓)
รับทราบและเห็นชอบในหลักการการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าน่านที่เห็นชอบโครงการปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่านหลังเก่าเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก
ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงบประมาณ เช่น ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัด คำนึงถึงภูมิทัศน์
วัฒนธรรม (Cultural Landscape) ของพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งมีโบราณสถานและแหล่งศิลปกรรมสำคัญตั้งอยู่โดยรอบด้วย
และสร้างความรับรู้และความเข้าใจต่อการมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านในทุกมิติ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าน่านในระยะยาวต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4752 | ผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) พื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน | นร16 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการใช้เส้นปรับปรุงการสำรวจแนวเขต
ปี ๒๕๕๓ ในการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map)
พื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดนครราชสีมา
และจังหวัดปราจีนบุรี และให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดปราจีนบุรี
ร่วมกันตรวจสอบข้อมูลพื้นที่ของจุดที่ไม่ชัดเจนให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน
และเร่งรัดดำเนินการสำรวจเพื่อจัดทำแนวกันชน (Buffer Zone) ที่ชัดเจน
เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของพื้นที่มรดกโลกและสภาพพื้นที่ป่าไม้
ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด แนวทางการคุ้มครองการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่ได้ดำเนินการจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายและการคุ้มครองและรับรองการดำเนินการของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ
คณะทำงาน และเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง รอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4753 | การเยียวยาค่าตอบแทนใบประกอบโรคศิลปะเภสัชกรขององค์การเภสัชกรรม | สธ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนใบประกอบโรคศิลปะเภสัชกรขององค์การเภสัชกรรม
ในอัตรา ๑,๐๐๐ บาท และ ๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4754 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนในพื้นที่เจ้าพระยาใหญ่ | นร.14 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนในพื้นที่เจ้าพระยาใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๘๔ รายการ ภายใต้กรอบวงเงิน ๗๒๓.๕๔๑๖ ล้านบาท โดยรายละเอียดของแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการจัดทำหลักเกณฑ์การใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำนองและการจ่ายเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหาย ตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี ๒๕๖๕ (๑๓ มาตรการ) เรื่องการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศที่ไม่ใช่มาตรการเชิงโครงสร้างให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4755 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันเกินกว่างบประมาณรายจ่ายที่ได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ปปท. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงาน
ป.ป.ท.
ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๔๔๒,๐๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
สำหรับขั้นตอนการเบิกจ่ายงบประมาณ เห็นควรให้สำนักงาน ป.ป.ท.
ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
โดยคำนึงถึงความประหยัดเพื่อประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4756 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) | กค. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) โดยปรับปรุงคุณสมบัติของผู้ขอรับสินเชื่อ
ปรับปรุงวงเงินโครงการฯ ปรับวงเงินกู้ต่อรายและขยายระยะเวลาเงินกู้
ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายสินเชื่อของธนาคารออมสิน และเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น
ให้ธนาคารกำหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการในการให้สินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารออมสิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
ควรมีการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ ๓ จังหวัด
รับรู้และสามารถเข้ามาตรการในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากภาครัฐได้อย่างทั่วถึง
ควรกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และกระบวนการสินเชื่อของธนาคาร
และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้มีความชัดเจนเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4757 | การประชุม Intergovernmental Negotiation Body และการประชุม Working Group on Amendments to the International Health Regulations (2005) | สธ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกรอบการเจรจา ท่าทีของการเจรจา และแนวทางของไทยสำหรับการประชุม Intergovernmental Negotiation Body (INB) และการประชุม
Working Group on Amendments to the International Health Regulations
(2005) มีสาระสำคัญ เช่น (๑) จะให้ความเห็นในเชิงหลักการและทางเทคนิค
โดยจะคำนึงถึงประเด็นที่สำคัญต่อไทย คำนึงถึงกฎหมายภายในประเทศ (๒)
เน้นย้ำหลักการของการดำเนินการด้านต่าง ๆ เช่น การสร้างความเสมอภาค
การสร้างเสริมสมรรถนะอย่างยั่งยืน และการแลกเปลี่ยนข้อมูล (๓)
เน้นย้ำการขับเคลื่อนระบบสนับสนุนทั้งด้านกลไกทางการเงินและด้านเทคนิคและเทคโนโลยี ๒.
อนุมัติให้คณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม Intergovernmental
Negotiation Body (INB) และการประชุม Working Group on
Amendments to the International Health Regulations (2005) ประกอบด้วย
(๑) กระทรวงสาธารณสุข (๒) กระทรวงการต่างประเทศ และ (๓) หน่วยงานอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่อร่วมเจรจาอนุสัญญา
ข้อตกลง หรือตราสารระหว่างประเทศอื่น ๆ ขององค์การอนามัยโลก ด้านการป้องกัน
การเตรียมความพร้อม
การรับมือกับการระบาดและการฟื้นฟูระบบสุขภาพภายหลังการระบาดของโรค
ตลอดจนการเจรจาปรับแก้กฎอนามัยระหว่างประเทศ ๒๐๐๕ โดยให้ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข
เป็นหัวหน้าคณะ
โดยไม่ต้องมีการเสนอองค์ประกอบคณะผู้แทนของฝ่ายไทยให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายกรณี ๓.
อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมพิจารณาหารือกับหน่วยงานอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก
ในกรณีที่มีการปรับเปลี่ยนกรอบการเจรจาดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือขัดผลประโยชน์ของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4758 | การแก้ไขปัญหาการฝ่าฝืนกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม | นร.04 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า
จากกรณีที่มีผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมจำนวนมากได้ประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
โดยมีการนำอาคารประเภทอื่น (เช่น แพ เต็นท์ กระโจม ห้องแถว โฮมสเตย์)
มาให้บริการที่พักแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ซึ่งลักษณะและโครงสร้างอาคารไม่สอดคล้องกับอาคารที่จะนำมาประกอบธุรกิจโรงแรมตามที่กฎหมายกำหนด
จึงทำให้ไม่สามารถขอรับใบอนุญาตให้ใช้อาคารเป็นโรงแรม
เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมต่อไปได้
กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้วโดยจัดทำร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓
ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๖
ส่วนร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. .... ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการในการประชุมครั้งนี้
โดยร่างกฎกระทรวงทั้ง ๓
ฉบับดังกล่าวจะมีผลเป็นการขยายประเภทอาคารลักษณะพิเศษให้สามารถนำมาใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมได้
โดยกำหนดให้มีมาตรฐานของอาคารและความปลอดภัยสำหรับอาคารลักษณะพิเศษ
ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้
อันจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการสถานที่พักโดยเฉพาะผู้ประกอบการ
SMEs ภาคธุรกิจขนาดย่อมและขนาดเล็กในเมืองท่องเที่ยวเมืองรองสามารถนำอาคารที่มีรูปแบบพิเศษอื่นมาประกอบธุรกิจโรงแรมได้
และสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนต่อไป อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันยังมีกรณีผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม อีกประมาณ ๗,๖๔๐ แห่ง
ซึ่งประกอบกิจการโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายฉบับอื่นซึ่งไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของกระทรวงมหาดไทย
เช่น กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
เป็นต้น ซึ่งการแก้ไขปัญหาการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวจะต้องได้รับความร่วมมือและการบูรณาการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการฝ่าฝืนกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่มีอยู่ในปัจจุบัน
(ประมาณ ๗,๖๔๐ แห่ง) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้
ให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า
เพื่อให้การพิจารณาแก้ไขปัญหาการฝ่าฝืนกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมเป็นไปด้วยความรอบคอบและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องสำรวจและตรวจสอบสภาพพื้นที่ในความรับผิดชอบที่มีการบุกรุกเข้าไปประกอบธุรกิจโรงแรมด้วยว่าเป็นพื้นที่ที่ยังคงมีความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
เสื่อมสภาพไปแล้ว
หรือเสื่อมสภาพไปแล้วแต่ยังสามารถและสมควรนำกลับมาฟื้นฟูให้คืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม
โดยคำนึงถึงความจำเป็นเหมาะสม ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม
และประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้
จะต้องพิจารณาดำเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบและต้องไม่ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4759 | โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2566 | กค. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปีการผลิต ๒๕๖๖
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย
และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐ ตามระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ
รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร)
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรมีการหารือเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของกรอบวงเงินในการดำเนินการ
ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ และควรพิจารณาความเหมาะสมของงบประมาณการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4760 | แนวทางการดำเนินการและกรอบวงเงินชดเชย ตามโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟู และพัฒนาเกษตรกร ลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง | กษ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงและที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณยืนยัน
ว่าการขออนุมัติโครงการแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
ลูกหนี้ธนาคารของรัฐ ๔ แห่ง ก่อให้เกิดภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต
ซึ่งเข้าข่ายตามบทบัญญัติในมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง
การกำหนดอัตราชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินกิจกรรม
มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๘ พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่กำหนดให้ต้องมียอดคงค้างของภาระที่รัฐต้องรับชดเชยหรือสูญเสียรายได้ทั้งหมดรวมกันไม่เกินร้อยละ
๓๒ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดย ณ สิ้นวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๖
ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยตามมาตรา ๒๘ ดังกล่าว มีไม่เพียงพอสำหรับการอนุมัติโครงการฯ
(หนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๘/ล ๕๑๒ ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๖)
นั้น กระทรวงการคลังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เนื่องจากโครงการฯ จะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป
จึงมิได้ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังที่รัฐบาลจะรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญสียรายได้จากการดำเนินการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ และเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาได้ ๒. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง
โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ควรพิจารณาแนวทางในการฟื้นฟูเกษตรกรให้สามารถประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการออมและการให้ความรู้ทางการเงิน
เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้และรายได้ที่เพียงพอ พร้อมทั้งสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
และควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเงื่อนไขและวิธีดำเนินโครงการฯ
อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|