ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1959 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 39161 - 39180 จากข้อมูลทั้งหมด 124242 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
39161 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐวิสาหกิจ | กค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบต่อข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐ วิสาหกิจ 3 แห่ง ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวล ชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2552 โดยคณะกรรมการ ฯ เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สำหรับ กปภ. จำนวน 1,174.711 ล้านบาท และ รฟท. จำนวน 2,355 ล้านบาท ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ ส่วนกรณีของ ขสมก. เนื่องจากกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า ขสมก. ไม่สามารถให้บริการรถโดยสารตาม โครงการเช่ารถ NGV จำนวน 4,000 คัน ได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จึงเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการ สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของ ขสมก. จำนวน 1,128 ล้านบาท ตามข้อเสนอของกระทรวงคมนา คม 2. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) และกระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย และ ขสมก.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้ กปภ. จัดทำ ระบบบัญชี โดยแยกบัญชีรายได้และค่าใช้จ่ายของการให้บริการเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม เพื่อให้การคำนวณต้นทุน และประมาณการทางการเงินมีความชัดเจน และให้ความสำคัญในการบริหารต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานให้ มีประสิทธิภาพ กับให้ รฟท. เร่งนำเสนอแผนฟื้นฟูกิจการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูป ธรรมโดยเร็วทั้งในการปรับองค์กร การบริหารจัดการเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มจากสิน ทรัพย์ของ รฟท. และให้ ขสมก. พิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2551 ที่เห็นชอบ การปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการของระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพโดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กร และอัตรากำลังเพื่อลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานในภาพรวม และทบทวนประมาณการฐานะการเงินให้สอดคล้องกับแนว ทางการดำเนินงานดังกล่าว รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับขั้นตอนการขอรับการจัดสรรงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่ง จะต้องแสดงเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ในการเสนอขออนุมัติปรับราคาที่เป็นธรรมในทุกมิติ ทั้งในมิติความเป็นธรรมของประชาชน มิติความเป็นธรรมของ องค์กร และมิติความเป็นธรรมของรัฐ และแสดงให้เห็นว่าหากปรับราคาค่าบริการอย่างเป็นธรรมและหากจำเป็น ต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล องค์กรจะมีรายได้และการบริหารจัดการเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ให้มีการประเมิน ผลการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาการขอรับเงินอุดหนุนในปีต่อ ๆ ไป และปรับโครงสร้างราคาค่า บริการให้สอดคล้องกับต้นทุนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดวงเงินอุดหนุนการบริการสาธารณะในปี ต่อ ๆ ไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
39162 | มาตรการเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และการป้องกันไฟป่า | ทส | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และการป้องกันไฟป่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการดำเนินงานในการป้องกันและปราบปรามการ บุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และป้องกันไฟป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีดาวเทียม และเทคโนโลยีสาร สนเทศภูมิศาสตร์มาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดจนการเฝ้าระวังติดตาม และประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และการป้องกันไฟป่า สำหรับการจัดซื้อยานพาหนะ โดยเฉพาะอากาศยานลักษณะต่าง ๆ หากมีความจำเป็นควร ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการ บูรณาการจัดหาร่วมกับหน่วยงานที่มีอากาศยานอยู่แล้วจำนวนมาก และมีการใช้เครื่องปฏิบัติภารกิจอยู่เป็นประจำ เป็นต้น และความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน ของพื้นที่ที่จะดำเนินมาตรการให้ชัดเจนและเร่งดำเนินการในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนการจัด หาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีในการเพิ่มการปฏิบัติงานนั้น หากเป็นการจัดหาจากต่างประเทศ ควรพิจารณา นำวิธีการการค้าแบบแลกเปลี่ยน (Barter Trade) มาดำเนินการ เพื่อเป็นการช่วยระบายสินค้าเกษตรของไทยใน สต็อกของรัฐบาลไปต่างประเทศ นอกจากนี้ ในการตรวจลาดตระเวนพื้นที่และการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิประเทศ ควรพิจารณาทางเลือกในการนำอุปกรณ์อื่น ๆ นอกเหนือจากเครื่องบินมาใช้ตามความเหมาะสมด้วย เช่น เรือเหาะ พารามอเตอร์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ส่วนงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตามความจำเป็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
39163 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี 2552 (งบกลาง) เพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ปี 2552 | ทส | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการมาตรการและแนวทางการดำเนินงานแก้ไขและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ประจำปี พ.ศ. 2552 ได้แก่ บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี พ.ศ. 2552 การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเตรียมรับสถานการณ์ภัย แล้ง ปี พ.ศ. 2552 และการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าแก่ผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่วิกฤติ 2. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอแผนงาน/กิจกรรมตามมาตรการและแนวทางการดำเนินงาน ฯ รวม 5 แผนงาน 21 กิจกรรม ประกอบด้วย แผนงานการอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนาแหล่งน้ำ และบริหารจัดการน้ำ แผนงาน การจัดหาน้ำสะอาดให้กับหมู่บ้านภัยแล้งทั่วประเทศ แผนงานการสำรวจและพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อเป็นแหล่ง น้ำเสริมสำหรับการเกษตร แผนงานการฟื้นฟูสภาพป่าและปรับปรุงนิเวศต้นน้ำเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้ง และแผนงานบรรเทาภัยแล้งและแก้ไขปัญหาไฟป่า 3. สำหรับกิจกรรมตามมาตรการและแนวทางการดำเนินงานแก้ไขและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ประจำปี พ.ศ. 2552 ที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว รวมทั้งการขอรับ การสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 งบกลาง จำนวน 1,846.7092 ล้านบาท นั้น ให้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
39164 | การรักษาเสถียรภาพอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในกรณีโรงงานน้ำตาลรีไฟน์ชัยมงคลไม่สามารถจ่ายเงินค่าอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2551/2552 ให้กับชาวไร่อ้อยได้ครบถ้วน | อก | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงิน 450 ล้านบาท โดยใช้น้ำตาลทรายที่ซื้อจากโรงงานน้ำตาลรีไฟน์ชัยมงคลจำนำเป็นหลักประกันภายใต้เงื่อน ไขว่ากองทุน ฯ ต้องมีกรรมสิทธิ์ในน้ำตาลทรายที่นำไปจำนำเป็นหลักประกันกับ ธ.ก.ส. และมอบให้กระทรวงอุตสาห กรรม (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) จัดการ ดำเนินการและควบคุมกำกับดูแลในการจัดเก็บ และ การจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อชำระหนี้ให้กับ ธ.ก.ส. โดยกำหนดเวลาดำเนินการไม่เกิน 10 เดือน (มีนาคม-ธันวา คม 2552) ตามงวดการจำหน่ายน้ำตาลทรายโควตา ก. ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามแนวทาง ขั้นตอน และวิธีการเพื่อให้ ชาวไร่อ้อยได้รับเงินค่าอ้อยค้างชำระครบถ้วน และ ธ.ก.ส. ได้รับการชำระหนี้ครบถ้วนและไม่ก่อภาระหนี้เพิ่มเติมให้แก่ กองทุน ฯ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีมาตรการที่สามารถควบคุม กำกับ และตรวจสอบติดตามการ ดำเนินการได้อย่างชัดเจน โปร่งใส 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ให้สำนักงานคณะกรรม การอ้อยและน้ำตาลทรายในฐานะหน่วยงานที่ดูแลอุตสาหกรรมน้ำตาลน้ำทรายต้องบริหารจัดการและควบคุมกำกับดู แลให้มีการจ่ายเงินให้กับชาวไร่อ้อยอย่างครบถ้วน และเมื่อมีการจำหน่ายตาลทรายแล้วต้องนำเงินมาชำระหนี้กับกอง ทุน ฯ ทันทีและครบถ้วนตามเวลาด้วย และควรกำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน โดยใช้กรณี ที่เคยเกิดขึ้นเป็นแนวทางเพื่อเป็นหลักประกันรายได้ให้ชาวไร่อ้อย และเพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ทรายมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น รวมทั้งการสำรวจสภาพคล่องและสินเชื่อที่ให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำ ตาลทรายในแต่ละฤดูกาล นอกจากนี้ ควรเข้มงวดไม่ให้มีผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลรายอื่นอาศัยช่องทางดังกล่าว ในการแก้ไขปัญหาในอนาคต เพราะจะเป็นการสร้างภาระให้กับกองทุน ฯ และรัฐบาลในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนิน การด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
39165 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1.1 ยกเลิกบทบัญญัติในมาตราที่เกี่ยวข้องกับบทนิยามของหน่วยงานเฉพาะด้าน การจัดตั้งหน่วยงาน เฉพาะด้านของสำนักงาน การแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่บริหารหน่วยงานเฉพาะด้าน และการกำหนดให้มี หัวหน้าหน่วยงานเฉพาะด้านที่มีอำนาจบริหารกิจการโดยอิสระ 1.2 กำหนดบทนิยามคำว่า "เจ้าหน้าที่" และ "ลูกจ้าง" ใหม่ 1.3 กำหนดให้สำนักงานจัดสรรเงินและรายได้ส่วนหนึ่งตั้งเป็นกองทุนภายในของสำนักงาน เรียกว่า "กองทุนพัฒนาการเรียนรู้สาธารณะ" เพื่อใช้ในการบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ 1.4 แก้ไขปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในการควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหาร งานทั่วไปในการออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศหรือข้อกำหนดให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการที่ไม่มีหน่วยงาน เฉพาะด้าน 1.5 กำหนดให้ผู้อำนวยการมีหน้าที่บริหารกิจการของสำนักงานให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด ประกาศ นโยบาย มติคณะกรรมการบริหาร 1.6 กำหนดให้ผู้อำนวยการมีอำนาจต่าง ๆ เกี่ยวกับบุคลากรหรือการวางระเบียบเกี่ยวกับการดำเนิน งานของสำนักงาน เป็นผู้แทนของสำนักงาน มอบอำนาจให้บุคคลใดทำการแทนได้ และยกเลิกการกำหนดอัตรา เงินเดือนของหัวหน้าหน่วยงานเฉพาะด้าน 1.7 แก้ไขเพิ่มเติมให้เจ้าหน้าที่พ้นจากตำแหน่งเมื่อครบกำหนดเวลาจ้างตามสัญญาหรือให้เป็นไปตาม เงื่อนไขที่ได้ระบุไว้ในสัญญา 2. ให้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและ กระทรวงการคลังกรณีร่างมาตรา 5 กำหนดให้มีการจัดสรรเงินและรายได้ส่วนหนึ่งตั้งเป็นกองทุนภายในของสำนัก งาน ฯ เพื่อใช้ในการบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ เมื่อมีการยกเลิกบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและการจัด การหน่วยงานเฉพาะด้าน และได้แก้ไขให้ผู้อำนวยการเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ทุกตำแหน่ง ตลอดจนเมื่อ องค์การมหาชนมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการโดยมีอำนาจในการกำหนดระเบียบ ข้อบังคับ ในเรื่องการเงิน การบัญชี การงบประมาณ เงินรายได้ของหน่วยงานไม่ต้องนำส่งคืนคลังและสามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการ ภายในองค์กรได้อยู่แล้ว เห็นควรแก้ไขร่างมาตรา 5 ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2547 โดยไม่จำเป็นต้องตั้งกองทุนพัฒนา การเรียนรู้สาธารณะเป็นกองทุนภายในสำนักงาน ฯ อีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
39166 | จ่ายเงินตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงาน/ลูกจ้างประจำที่มีเงินเดือน/ค่าจ้างเต็มขั้นสูงของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด | ทก | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงาน/ลูกจ้างประจำที่มีเงินเดือน/ค่า
จ้างเต็มขั้นสูงของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ 6/2551 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
39167 | การขออนุมัติวงเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเงินทุนหมุนเวียนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กู้เงินในประเทศระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเงิน ทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องในปี พ.ศ. 2552 ในวงเงิน 20,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ส่วนการค้ำประกันการกู้เงินให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง 2. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลให้ กฟผ. ยังคงประสบปัญหาสภาพคล่อง ดังนั้น กฟผ. ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในสภาวการณ์ดังกล่าว เพื่อมิให้เกิดผลกระทบรุนแรง ต่อองค์กร ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
39168 | เป้าหมายการส่งออกปี 2552 | พณ | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเป้าหมายการส่งออกสินค้าปี 2552 ซึ่งจะลดลงเมื่อเทียบกับ ปี 2551 โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 คาดว่าการส่งออกจะลดลงมากและอาจจะกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของ ปี โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัวลงในปี 2552 อาทิ ความต้องการในตลาดโลกที่ลดลงตามเศรษฐ กิจของตลาดส่งออกหลัก และปัญหาการขาดสภาพคล่องของผู้ซื้อในต่างประเทศจากผลกระทบของวิกฤตทางการ เงินที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น เป็นต้น สำหรับปัจจัยสนับสนุนให้ช่วงครึ่งหลังของปี 2552 คาดว่าการส่งออกจะมี แนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้น อาทิ เศรษฐกิจของตลาดส่งออกสำคัญโดยเฉพาะตลาดหลักคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวดี ขึ้นเป็นลำดับ ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและราคาน้ำมันโลกอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งผู้ประกอบการไทยได้รับการยอม รับในด้านการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐาน เป็นต้น 2. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า เป้าหมายการส่งออกปี 2552 และข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการส่งออกปี 2552 เป็นผลมาจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาค เอกชนและสมาคมการค้าทุกอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2552 แต่ในขณะนี้สถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ควรที่จะพิจารณาทบทวนเรื่องดังกล่าวให้สอด คล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการ ต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายการส่งออกร้อยละ 0-3 ควรมีการแยก กำหนดเป้าหมายด้านราคาและปริมาณ และคำนึงถึงปัจจัยภาวะทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดย เฉพาะภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน สำหรับโครงการครัวไทยสู่โลกเป็นโครงการที่ครอบคลุมใน หลายมิติควรประกอบด้วยส่วนราชการต่าง ๆ โดยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละส่วนให้ชัดเจน ปรับรสชาด อาหารไทยและพัฒนาให้เกิดความหลากหลายตรงตามต้องการของตลาด ส่วนการดำเนินมาตรการส่งเสริมการส่ง ออกของไทยควรพิจารณาใช้ประโยชน์จากกลไกของสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศ อย่างเต็มที่ รวมทั้งสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกในเรื่องภาษีวัตถุดิบของสินค้าที่นำเข้าเพื่อส่งออก โดยให้ พิจารณาสนับสนุนมาตรการจัดตั้ง Free one สำหรับอุตสาหกรรมอัญมณี สำหรับมาตรการด้านการสื่อสารและ สร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทย ควรมีการบูรณาการการดำเนินงานระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาห กรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ โครงการ Thailand Brand ของภาคเอกชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทาง เศรษฐกิจให้กับกลุ่มลูกค้าต่างชาติและเพื่อความเป็นเอกภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
39169 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 8/2552 | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและ
เลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 8/2552 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2552 ซึ่งที่ประชุม ได้พิจารณาแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 (2553-2555) และโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรสำหรับปี การผลิต 2551/2552 2. เห็นชอบมติคณะกรรมการ รศก. ดังนี้ 2.1 เห็นชอบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 (2553-2555) โดยมีวงเงินลงทุนเบื้องต้น 1,566,867 ล้านบาท 2.2 เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 เพื่อ ทำหน้าที่พิจารณารายละเอียดความเหมาะสมของโครงการ และจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามกรอบแผน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ฯ พิจารณาความเหมาะสมของวงเงินลงทุน แหล่งเงินลงทุน และรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม รวม ทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 กำกับ ติดตามการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายของ แผนปฏิบัติการ และแผนการดำเนินโครงการ 2.3 เห็นควรให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2552 เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่ คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง โดยยกเลิกคณะกรรมการกำกับด้านการเงินและการระดมทุน สำหรับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการ ฯ ในข้อ 2.2 แทน 2.4 ในกรณีที่โครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย เช่น พระราช บัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการ ในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 เป็นต้น เมื่อคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ ฯ พิจารณากลั่นกรองแล้วเสร็จ ให้ หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไป 2.5 ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแจ้งกระทรวงที่เกี่ยวข้องจัดทำ รายละเอียดโครงการ และแผนการดำเนินการโครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 เพื่อนำเสนอคณะกรรม การกลั่นกรองโครงการ ฯ พิจารณาภายใน 1 เดือน 2.6 เห็นชอบให้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรสำหรับปีการผลิต 2551/2552 เพื่อชดเชยให้แก่หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องต่อไป 2.7 สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เห็นชอบให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร องค์การคลังสินค้า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดหาเม็ดเงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานไปก่อน โดยอาจเจียดจ่ายจากงบ ประมาณของหน่วยงาน ซึ่งรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณชดเชยคืนให้ต่อไปในโอกาสแรก
|
|||||||||||||||||||||||||||
39170 | การรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงวันที่ 8 เมษายน 2552 | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงวันที่
8 เมษายน 2552 ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ 1. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจ หน้าที่ โดยปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยบริเวณทำเนียบรัฐบาล และบ้านพักประธานองคมนตรี โดย เคร่งครัด และป้องกันเหตุการณ์ที่จะก่อให้เกิดการปะทะกันของกลุ่มต่าง ๆ และไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง รวมทั้ง อำนวยความสะดวกในการจราจรโดยประสานงานกับเครือข่ายต่าง ๆ ให้มากที่สุดเพื่อให้ประชาชนสัญจรไปมาได้ อย่างสะดวก 2. ให้ทุกส่วนราชการจัดให้มีการป้องกันเหตุร้ายหรือการก่อวินาศกรรม โดยจัดให้มีเวรยามดูแลรักษา สถานที่ราชการโดยเฉพาะส่วนราชการที่อยู่ในบริเวณที่จะมีการชุมนุมขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||
39171 | การประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (อธิบดีกรมอาเซียน) รายงานสถานะ
ล่าสุดของการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา สรุปได้ว่า ภาพรวมในเรื่องของสารัตถะมี 3 กรอบ ได้แก่ การประชุมสุดยอดอาเซียน+1 การประชุมสุดยอดอาเซียน+3 และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) หรือ ที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าการประชุมสุดยอดอาเซียน+6 ใน 3 กรอบนี้คาดว่า จะมีการรับรองเอกสารประมาณ 26-27 ฉบับ โดยการประชุมสุดยอดอาเซียน+3 จะให้ความสำคัญในเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือกันเพื่อแก้ไข ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลก การสร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงานชีวภาพ ส่วนการประชุมสุดยอด อาเซียน+6 จะให้ความสำคัญในเรื่องวิกฤตด้านการเงินการคลัง และการเสริมสร้างขีดความสามารถในการจัดการ กับภัยพิบัติ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า จะมีการส่งมอบโบราณวัตถุของกัมพูชาคืนให้แก่ นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาในการประชุมครั้งนี้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
39172 | การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายมานิต นพอมรบดี)
รายงานว่า คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติมีมติให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศ กาลสงกรานต์ได้ตามหลักเกณฑ์ของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 กล่าวคือ วันละ 2 เวลา ระหว่างเวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. ผู้ซื้อต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี และกระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมาย ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทุกหมู่บ้านไปรณรงค์เรื่องนี้ด้วย ส่วนการออกประกาศห้ามดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรถยนต์ส่วนบุคคลนั้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากจะต้องพิจารณารายละเอียด และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเพราะอาจมีประเด็นปัญหาการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล จึงต้องนำ ไปพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
39173 | การเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 20 ประเทศ (จี-20) | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาห
กรรม 20 ประเทศ (จี-20) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2552 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร สรุปได้ดังนี้ 1. ทุกประเทศเห็นพ้องกันถึงความจำเป็นในการทุ่มเทงบประมาณเพื่อดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐ กิจโลกที่แท้จริง ซึ่งประมาณการว่าจะมีการใช้งบประมาณเพื่อการนี้ทั่วโลกรวมกันประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์ สหรัฐ 2. ปัญหาเกี่ยวกับระบบการเงินและสถาบันการเงิน ต้องมีการจัดระบบให้มีการไหลเวียนของการเงิน การบริหารจัดการ และการตรวจสอบให้เกิดความสมดุล เพื่อป้องกันมิให้เป็นปัจจัยให้เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ขึ้นอีกในอนาคต 3. การดำเนินการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาความยากจน รวมทั้งการดำเนินโครงการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ จะใช้เงินงบประมาณจำนวนประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการให้ สินเชื่อทั้งในด้านการค้าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการปรับโครงสร้างหรือการกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะ หน้าของประเทศต่าง ๆ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกจะเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการให้ เงินกู้แก่ประเทศสมาชิกให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารโลกจะเปิดให้กู้เงินครั้งใหม่เพื่อดำเนินโครง การเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และเพื่อปรับปรุงระบบสวัสดิการของประชาชน ส่วนกองทุนการเงินระหว่าง ประเทศจะให้การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการดำเนินการค้าระหว่างประเทศในวงเงิน 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4. ทิศทางในการสนับสนุนเศรษฐกิจโลกในอนาคต จะมุ่งเน้นให้เกิดการขยายตัวและพัฒนาอย่างยั่ง ยืนควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม 5. ทุกประเทศเห็นพ้องกันถึงการสนับสนุนการเจรจาการค้ารอบโดฮาซึ่งจะกำหนดจัดการประชุมที่ ประเทศอิตาลีในปลายปีนี้ ให้บรรลุผลอย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
39174 | ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... | คค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยร่าง พระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้ 1.1 แก้ไขบทนิยาม "การขนส่งส่วนบุคคล" หมายความว่า การขนส่งเพื่อการค้า หรือธุรกิจของตน เอง (ตัดถ้อยคำ "ด้วยรถที่มีน้ำหนักเกินกว่า 1,600 กิโลกรัม" ออก เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตรถในปัจจุบัน ทำให้รถที่ใช้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลมีน้ำหนักเกินกว่า 1,600 กิโลกรัม) 1.2 กำหนดประเภทรถที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ให้มีเฉพาะ (1) การ ขนส่งโดยรถยนต์ทหารตามกฎหมาย ฯ และ (2) การขนส่งโดยรถยนต์สาธารณะ รถยนต์บริการ รถยนต์ส่วน บุคคล รถยนต์สามล้อ รถจักรยานยนต์ และรถแทรกเตอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ 1.3 กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตหลายฉบับ ในหลายเส้นทาง อาจนำรถที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ประกอบการขนส่งในเส้นทางหนึ่งไปใช้ทำการขนส่งอีกเส้นทาง หนึ่งที่ได้รับใบอนุญาตในลักษณะหมุนเวียนได้ โดยต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากนายทะเบียน 1.4 กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไขที่อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกำหนด รวมทั้งให้อธิบดีกรมการขนส่งทางบกมีอำนาจกำหนดเครื่องใช้หรือ อุปกรณ์สำหรับตรวจสภาพรถเป็นการเพิ่มเติมได้ 1.5 กำหนดมาตรการลงโทษสถานตรวจสภาพรถที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยนายทะเบียน มีอำนาจสั่งระงับการดำเนินการพักใช้หรือยกเลิกใบอนุญาตนอกเหนือจากโทษเพิกถอนใบอนุญาต และให้ผู้ได้รับ ใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถซึ่งถูกยกเลิกหรือเพิกถอนใบอนุญาตต้องส่งคืนใบอนุญาต และส่งคืนเอกสาร หลักฐานหรือดำเนินการอื่นใดเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานตามที่อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกำหนด 2. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการขนส่งโดยรถยนต์นั่งส่วน บุคคลที่ใช้ประกอบการขนส่งเพื่อสินจ้างซึ่งเดิมอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการขนส่ง ฯ รวมทั้งการใช้ค่าเสียหายแก่ บุคคลภายนอกก็เป็นไปตามกฎหมายนี้ แต่ร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขจะทำให้การขนส่งโดยรถยนต์ดังกล่าวไม่อยู่ ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการขนส่ง ฯ และจะมีผลกระทบต่อการคุ้มครองบุคคลภายนอก ส่วนการให้ผู้ได้รับใบ อนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางในเส้นทางหนึ่งไปใช้อีกเส้นทางหนึ่งในลักษณะหมุนเวียนโดยได้รับอนุญาต เป็นหนังสือจากนายทะเบียน นั้น อาจเกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการในแต่ละเส้นทาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อผู้ประกอบการขนส่งฝ่ายเดียว ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
39175 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ ตำบลห้วยโป่ง และตำบล มาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2537 พ.ศ. .... | อก | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริม
ทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527 พ.ศ. .... ตาม ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้อง เวนคืนท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมือง ระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. 2527 ให้ตรงตามความเป็นจริง โดยแก้ไขแปลงหมายเลขที่ 207 เป็น "แปลงหมาย เลขที่ 207 ชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครอง นายสุรพงษ์ ภู่ธนะพิบูล ตั้งบ้านเรือนอยู่แขวงหรือตำบลเนินพระ เขต หรืออำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ที่ดินตั้งอยู่ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง หนังสือ สำคัญประเภท น.ส. 3 ก เลขที่ 142 เลขที่ดิน 59 เนื้อที่ตามหนังสือสำคัญ 12 ไร่-งาน 72 ตารางวา เนื้อที่ ต้องเวนคืน 12 ไร่-งาน 72 ตารางวา" และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนิน การต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
39176 | ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... | คค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่าง พระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้ 1.1 แก้ไขบทนิยาม "รถยนต์ส่วนบุคคล" โดยแก้ไขเพิ่มเติมน้ำหนักของรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จากน้ำหนักไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม เป็น น้ำหนักไม่เกิน 2,200 กิโลกรัม โดยน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่ เกิน 3,500 กิโลกรัม ซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่งเพื่อสินจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก 1.2 กำหนดห้ามใช้รถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน รถที่ทะเบียนระงับ รถที่แจ้งการไม่ใช้รถ หรือรถทีนาย ทะเบียนเพิกถอน รวมทั้งรถที่จดทะเบียนแล้วแต่ยังมิได้เสียภาษีรถประจำปี เว้นแต่รถบางประเภท เช่น รถที่นำ เข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักรชั่วคราว รถใหม่ที่เจ้าของรถมีความจำเป็นต้องใช้ระหว่างรอจดทะเบียน รถใหม่ที่ผู้ ส่งต้องขับไปเพื่อส่งให้ตัวแทนจำหน่ายรถ รถที่ใช้วิ่งทดสอบ หรือรถอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง 1.3 ให้อำนาจนายทะเบียนและผู้ตรวจการมีอำนาจเข้าตรวจในสถานที่ ซึ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่ามี รถค้างชำระภาษีประจำปี หรือมีการใช้รถสิ้นอายุการใช้งาน หรือมีการใช้รถโดยไม่จดทะเบียน และยึดรถไว้เพื่อ ตรวจสอบหรือยึดแผ่นป้ายทะเบียนคืนได้ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก 1.4 กำหนดให้นายทะเบียนและผู้ตรวจการซึ่งอธิบดีกรมการขนส่งทางบกมอบหมาย มีอำนาจยึด แผ่นป้ายทะเบียนรถคืนได้เมื่อรถนั้นสิ้นอายุการใช้งาน และมีอำนาจออกหนังสือเรียกเจ้าของรถหรือผู้ขับรถมา ให้ถ้อยคำหรือยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริงได้เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยหรือผู้ร้องเรียนว่าเจ้าของรถหรือผู้ขับกระทำความ ผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 รวมทั้งเพิ่มเติมบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ไม่มาพบผู้ตรวจการ หรือ นายทะเบียนตามหนังสือเรียกดังกล่าว 1.5 แก้ไขอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับการอนุญาตให้นำรถมาใช้เป็นการชั่วคราว และเครื่องหมาย พิเศษสำหรับรถที่ได้รับอนุญาตให้นำมาใช้เป็นการชั่วคราวและเครื่องหมายแสดงการใช้รถ 2. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรณีที่ผู้ซื้อรถไม่นำรถมาจด ทะเบียนภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่กำหนดไว้ในใบรับรถ ควรกำหนดบทลงโทษเป็นโทษปรับรายวัน ส่วนการ เพิ่มน้ำหนักของรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลเป็นไม่เกิน 2,200 กิโลกรัม และน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 3,500 กิโลกรัม ทำให้ความคล่องตัวในการขับขี่น้อยลง อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดได้ สำหรับการ กำหนดให้นายทะเบียนมีอำนาจอนุญาตให้รถที่ยังไม่จดทะเบียนและชำระภาษีได้โดยผู้อนุญาตต้องเสียค่าธรรม เนียมนั้น ควรแก้ไขเรื่องระยะเวลาการจดทะเบียนให้สั้นลงและบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดจะเหมาะสมกว่า และ ในการให้อำนาจนายทะเบียนและผู้ตรวจการมีอำนาจในการเข้าตรวจสถานที่และยึดแผ่นป้ายทะเบียนรถคืนนั้น อาจเป็นการกระทบสิทธิของประชาชนมากเกินไป ควรกำหนดเพียงยึดแผ่นป้ายทะเบียนรถไว้เพื่อตรวจสอบเท่า นั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
39177 | คณะกรรมการต่างๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (สำนักงบประมาณ) | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอแต่งคณะกรรมการประสานงานระหว่างหน่วย
ราชการการทางการเงิน โดยมีองค์ประกอบ จำนวน 11 คน ดังนี้ 1. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานกรรมการ 2. อธิบดีกรมบัญชีกลาง รองประธานกรรมการ 3. รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กรรมการ 4. รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ 5. รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง กรรมการ 6. ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน 1 กรรมการ 7. ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ กรรมการ 8. ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมบัญชีกลาง กรรมการ 9. ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย กรรมการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน 10. ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและระเบียบ กรรมการและเลขานุการ สำนักงบประมาณ 11. นิติกร ระดับเชี่ยวชาญ สำนักงบประมาณ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
39178 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2552 | มท | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี
2552 ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน และมอบหมายให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนิน การต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการ/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวย การความปลอดภัยทางถนนเสนอ ดังนี้ 1. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ให้หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก 5 ด้าน อย่างเคร่งครัด เข้มงวดและจริงจัง โดย นำมาตรการ 8 มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการป้องปรามผู้กระทำผิด กฎหมาย มาตรการด้านสังคมและชุมชน มาตรการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนและรถยนต์ มาตรการ ด้านการช่วยเหลือ กู้ชีพ กู้ภัย มาตรการด้านการจราจรและการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง มาตรการ รณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนัก และมาตรการด้านการรายงานผลและวิเคราะห์ข้อมูล เป็นแนวทาง ในการดำเนินงาน 2. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน กำหนดเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงเตรียมความพร้อม (ระหว่างวันที่ 16-31 มีนาคม 2552) ช่วงปฏิบัติการเข้มข้น (ระหว่างวันที่ 1-9 เมษายน 2552) และช่วงดำเนินการรณรงค์ในช่วง เทศกาล (ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2552) 3. แผนการดำเนินงาน ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการ/ศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุ ทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2552 ในส่วนกลาง ระดับจังหวัด อำเภอ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจ ร่วมแบบบูรณาการบนถนนสายหลัก สายรอง และถนนในเขตชุมชน หมู่บ้านทั่วประเทศ และการจัดตั้งจุดสกัด กั้นชุมชน หมู่บ้าน
|
|||||||||||||||||||||||||||
39179 | พิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสหพันธรัฐรัสเซียและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2552-2554 | วธ | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำพิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสหพันธ
รัฐรัสเซียและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2554 และมอบให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามในพิธีสาร ฯ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
39180 | แนวทางและแผนปฏิบัติการตามมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2552 | รง | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รายงานผลการดำเนิน
การตามมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2552 ได้แก่ การดำเนินโครงการ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกันป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2552 "Safety Holi day" โดยการจัดฝึกอบรมและฝึกอาชีพให้ความรู้ ความเข้าใจด้านการขับขี่ปลอดภัย และการซ่อมบำรุงรักษารถ ยนต์ และรถจักรยานยนต์ และการดำเนินโครงการให้บริการตรวจสภาพซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ และรถจักรยาน ยนต์ ประกอบด้วย การตั้งจุดบริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ณ ที่ตั้งสถาบันพัฒนาฝีมือแรง งานภาค (สพภ.)/ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด (ศพจ.) ระหว่างวันที่ 16 มีนาคม-10 เมษายน 2552 และจัด ตั้งจุดบริการบนถนนสายหลัก จำนวนอย่างน้อย 12 จุดบริการ ช่วงระหว่างเทศกาล 7 วันอันตราย รวมทั้งการ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้เดินทางทราบเกี่ยวกับการตั้งจุดบริการในช่วงเทศกาลและระหว่างเทศกาล พร้อมทั้ง กิจกรรมอื่น ๆ ทั้งนี้ จากการดำเนินการตามโครงการ ฯ มีผู้เข้ารับบริการตรวจเช็คสภาพและซ่อมบำรุงรักษารถ ยนต์ รถจักรยานยนต์ จำนวน 2,882 คัน ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 1,357 คน และการบริการอื่น ๆ เช่น บริการ น้ำดื่ม ผ้าเย็น นวดแผนไทย ฯลฯ จำนวน 831 คน
|
.....