ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1699 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33961 - 33980 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33961 | ขอแก้ไขข้อความการระบุกลุ่มเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน (การแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า 13 นิคมสหกรณ์) | ทส | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบการขอแก้ไขข้อความการระบุกลุ่มเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน (การแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า ๑๓ นิคมสหกรณ์) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๔ ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย คือ “สมาชิกผู้เช่าที่ดินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า” เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เรียกร้องการแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า ๑๓ นิคมสหกรณ์ ต่อเนื่องมาโดยตลอด และสอดคล้องกับการดำเนินการของคณะกรรมการศึกษาแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า ๑๓ นิคมสหกรณ์ อีกทั้งการพิจารณาให้สิทธิจะได้เฉพาะสมาชิกนิคมสหกรณ์การเช่าที่ดินตามข้อมูลบัญชีรายชื่อสมาชิกนิคมสหกรณ์การเช่าที่ดินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) เท่านั้น ๑.๒ ขอขยายระยะเวลาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๔ ที่มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการศึกษาแก้ไขปัญหาด้านเอกสารสิทธิฯ ดำเนินการสำรวจและจัดทำข้อมูลรายละเอียดในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนสิ้นเดือนกุมภาพัน์ ๒๕๕๔ ออกไปอีก ๑ เดือน ๒. ทั้งนี้ ยังให้คงข้อความการระบุกลุ่มเป้าหมาย “สมาชิกผู้เช่าที่ดินของกลุ่มเครือข่ายสหกรณ์นิคมผู้เช่า“ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๔ |
|||||||||||||||||||||
33962 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินเขตบริหารพิเศษมาเก๊า สาธารณรัฐประชาชนจีน | ปง | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงาน ปปง. จัดทำความตกลงกับ The Financial Intelligence Office (GIF) เขตบริหารพิเศษมาเก๊า สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยใช้ร่างบันทึกความเข้าใจ [Memorandum of Understanding (MOU)] เรื่อง ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ โดยมีการปรับแก้ไขข้อความแตกต่างไปจากร่างดังกล่าวเล็กน้อย ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้ลงนาม MOU ดังกล่าวของฝ่ายไทย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เลขาธิการ ปปง. เป็นผู้ลงนาม
|
|||||||||||||||||||||
33963 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเกาะภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเกาะภูเก็ต พ.ศ. 2548) | มท | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเกาะภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม บริเวณหมายเลข ๗.๑๘ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเกาะภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นอาคาร อุปกรณ์ท่อสูบน้ำ และท่อน้ำทิ้ง สำหรับการผลิตน้ำประปาในที่ดินประเภทดังกล่าวได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
33964 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งประกอบด้วย เงินกู้โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท และเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี สำหรับใช้ในกรณีที่อาจขาดเงินทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเร่งปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ดำเนินการเพิ่มรายได้ในส่วนการขนส่งเชิงพาณิชย์ การขนส่งสินค้า และการบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการบริหารจัดการที่ดินเพื่อการหาประโยชน์ด้านพาณิชย์ของ รฟท. ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายลง ความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นในการให้บริการ รวมทั้งควรควบคุมและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามมาตรฐานและเป็นต้นทุนที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดผลการขาดทุนขององค์กร ส่งผลให้สภาพคล่องทางการเงินของ รฟท. ดีขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการโดยด่วนต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
33965 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ พ.ศ. .... | กห | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนด ๑.๒ กำหนดให้การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาต และการขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ให้ยื่นคำขอต่อกรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ตามแบบและระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกำหนดวิธีพิจารณาและตรวจสอบในเรื่องคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอเอกสาร และหลักฐานต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาต หากเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ไม่ต้องการให้คนต่างด้าวประกอบกิจการโรงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ควรแก้ไขคุณสมบัติ ดังนี้ “มีบุคคลซึ่งไม่ใช่คนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวถือหุ้นมากกว่ากึ่งหนึ่งของคนต่างด้าวของนิติบุคคลนั้น และมีสิทธิออกเสียงรวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสิทธิออกเสียงทั้งหมด” และควรพิจารณากระบวนการควบคุมผู้ได้รับใบอนุญาตและผู้บริหารโรงงานให้ดำเนินการเป็นไปอย่างเข้มงวดรัดกุมและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหากระทบต่อความมั่นคงในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปศึกษาว่าในกรณีที่กระทรวงกลาโหมจะประกอบอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยการจัดตั้งโรงงานผลิตอาวุธจะสามารถดำเนินการหรือมีแนวทางในการดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ อาจเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย แล้วแจ้งผลการศึกษาและคำแนะนำให้กระทรวงกลาโหมเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
33966 | การเตรียมการด้านบุคลากรเพื่อรองรับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ | มท | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาหารือการเกลี่ยอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดบึงกาฬ เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระด้านงบประมาณและอัตรากำลัง หากดำเนินการแล้วไม่เพียงพอ ให้กระทรวงมหาดไทยนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
33967 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการเครือข่ายการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ปี 2555 - 2556 | ศธ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงศึกษาธิการรับเรื่อง ขออนุมัติดำเนินการโครงการเครือข่ายการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
33968 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของวัฒนธรรมในการสร้างความปรองดองแห่งชาติและ การปฏิรูปประเทศไทย" | สสป | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “บทบาทของวัฒนธรรมในการสร้างความปรองดองแห่งชาติและการปฏิรูปประเทศไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมให้ชัดเจน ๒. รัฐบาลควรส่งเสริมวัฒนธรรมที่พึงประสงค์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ๓. รัฐบาลควรใช้มิติทางวัฒนธรรมในการสร้างความปรองดองแห่งชาติ วัฒนธรรมที่สำคัญ คือ วัฒนธรรมรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รณรงค์ให้นักการเมือง ข้าราชการ ประชาชน เยาวชนมีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริงและถูกต้อง ๔. รัฐบาลควรรณรงค์ให้นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ประชาชน และเยาวชน ปฏิบัติตามคุณธรรม ๔ ประการ ที่พระราชทานในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้แก่ เมตตาธรรม สามัคคีธรรม สุจริตธรรม และความเที่ยงธรรม เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ๕. รัฐบาลควรรณรงค์ให้นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ประชาชน และเยาวชน ปฏิบัติตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ๖. รัฐบาลควรใช้มิติทางวัฒนธรรมในการปฏิรูปประเทศไทยทั้ง ๓ ด้าน คือ การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ การปฏิรูปด้านสังคม และการปฏิรูปด้านการเมืองการปกครอง ทั้งนี้ ในการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ควรมีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นรากฐาน ในการปฏิรูปด้านสังคม ควรมีศาสนาและการศึกษาเป็นรากฐาน และในการปฏิรูปด้านการเมือง ควรมีธรรมาธิปไตยและธรรมาภิบาลเป็นรากฐาน ๗. รัฐบาลควรแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมศาสนาสัมพันธ์แห่งชาติ ทำหน้าที่ในการส่งเสริมความร่วมมือ ความเข้าใจอันดี และความสามัคคีระหว่างศาสนาต่าง ๆ และผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อใช้พลังศาสนาในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมความมั่นคงของชาติ การสร้างความปรองดองแห่งชาติ และการปฏิรูปประเทศไทย ๘. ในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๔ พรรษา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐบาลควรกำหนดให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีแห่งการปฏิบัติธรรมและรักษาวัฒนธรรมไทย เพื่อถวายเป็นพระราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ เพื่อให้วัฒนธรรมซึ่งเป็นมรดกของชาติ เป็นทุนที่สำคัญของสังคม มีบทบาทในการป้องกัน แก้ไขปัญหาสังคม ในการพัฒนาสังคม ในการสร้างความปรองดองของชาติและในการปฏิรูปประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||
33969 | โครงการโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ 4 และโครงการโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 2 | พน | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๒๓,๗๒๔.๕ ล้านบาท และโครงการโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ ๔ วงเงินลงทุนรวม ๒๑,๔๗๔ ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยในส่วนของโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ ๒ ให้ดำเนินการได้เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว และให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การให้ความสำคัญในการดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ในพื้นที่โครงการอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ยังไม่เห็นด้วยและมีข้อกังวลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องด้วย การใช้เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ มาดำเนินการ รวมทั้งการพิจารณาแนวทางการตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความเหมาะสมในระยะต่อไป และข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
33970 | ผลการเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐรวันดา (ระหว่างวันที่ 17 - 21 พฤศจิกายน 2553) | กต | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐรวันดา พร้อมคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนรวันดา ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ เรียนรู้และเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาของไทย และแสวงหาลู่ทางด้านธุรกิจ เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน โดยนายกรัฐมนตรีรวันดาและคณะได้เข้าพบและหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดจนพบปะผู้แทนหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชนไทย ซึ่งผลการหารือสรุปได้ ดังนี้
๑. ฝ่ายรวันดาเห็นควรให้มีการจัดทำความตกลงทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับรวันดา ซึ่งนักธุรกิจไทยเห็นพ้องถึงความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า - การลงทุนระหว่างกัน อาทิ ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และอาจมีการทำความตกลงระหว่างองค์กรของภาคเอกชนของทั้งสองประเทศด้วย ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการส่งเสริมความเชื่อมโยง (connectivity) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงทางกายภาพ ในฐานะที่เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทั้งภายในและนอกภูมิภาค รวมทั้งได้กล่าวถึงสาขาธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพสูงคือ อุตสาหกรรมการเกษตร เช่น การทำฟาร์มกุ้ง ฟาร์มไก่ และการผลิตอาหารสัตว์ ๓. นายกรัฐมนตรีรวันดาเสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาจัดทำความตกลงทางการค้าร่วมกันเพื่อเป็นกรอบในการส่งเสริมความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมต่อไป โดยฝ่ายไทยจะส่งร่างความตกลงมาตรฐานให้ฝ่ายรวันดาพิจารณาต่อไป สำหรับนายกรัฐมนตรีของไทยได้กล่าวถึงความร่วมมือทางวิชาการซึ่งไทยได้จัดสรรทุนฝึกอบรมประจำปีให้ประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา รวมทั้งยังสามารถพิจารณาจัดหลักสูตรและทุนการศึกษาในสาขาที่ตรงกับความต้องการของฝ่ายรวันดาได้ด้วย นอกจากนี้ ได้แจ้งให้ทราบถึงการส่งทหารไทยเข้าร่วมในภารกิจ UNAMID โดยขอรับความร่วมมือจากฝ่ายรวันดาในการให้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวของทหารไทยในพื้นที่ปฏิบัติงานและช่วยดูแลให้ทหารไทยสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยความเรียบร้อยด้วย
|
|||||||||||||||||||||
33971 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2554 | นร | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ รายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ การเตรียมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้าน และการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจบริการจัดส่งด่วน (Express Delivery Service : EDS) ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กบส. รวม ๒ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ การเตรียมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของไทยเกี่ยวกับเตรียมความพร้อมของการสร้างความเชื่อมโยงกับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกเมืองทวาย โดยการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินการโครงการดังกล่าวในระดับประเทศอย่างมีเอกภาพ ยึดหลักความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่ดีระหว่างภาครัฐและเอกชน (Strategic Partnership) รวมทั้งพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ สิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าการลงทุน และพื้นที่เศรษฐกิจ โดยในระยะเร่งด่วน มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมของด่านศุลกากรที่บ้านพุน้ำร้อนและหาข้อยุติในประเด็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่าโดยเร็ว ๒.๑.๒ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจฝั่งตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้คณะกรรมการ กบส. ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยเพิ่มเติมผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการ ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการฯ ทำหน้าที่กำหนดกรอบทิศทาง ยุทธศาสตร์ แผนการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ สิ่งอำนวยความสะดวก และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ทวายกับพื้นที่อุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย ๒.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ ในการพิจารณาศึกษาทบทวนรูปแบบการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามันที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และปริมาณการขนส่งสินค้าที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่ ๒.๒ การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจบริการจัดส่งด่วน (Express Delivery Service : EDS) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาโครงสร้างธุรกิจ EDS และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง สภาพการแข่งขันในภาพรวม กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีในสาขาบริการดังกล่าว เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดท่าทีการเจรจาและนโยบายการเปิดเสรีภาคบริการของประเทศไทยในอนาคต ทั้งนี้ ให้รายงานผลการศึกษาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการ กบส. พิจารณาภายใน ๖ เดือน
|
|||||||||||||||||||||
33972 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปไทย - ลาว ครั้งที่ 1/2554 | กห | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปไทย - ลาว ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เพื่อใช้เป็นกรอบการประชุมและกรอบการเจรจาระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณ แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกการประชุมฯ มีการทบทวนผลการปฏิบัติงานร่วมกันในรอบ ๕ เดือนที่ผ่านมา คือ ความร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปไทย - ลาว ความร่วมมือในการรักษาเส้นเขตแดนไทย - ลาว การตรวจพื้นที่ชายแดนไทย - ลาว ความร่วมมือในการดูแลรักษาและป้องกันตลิ่งถูกกัดเซาะ และการแก้ไขปัญหาการดูดทรายในแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดนไทย - ลาว การติดต่อประสานงานและการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลระหว่างประเทศไทย - ลาว ความร่วมมือในการป้องกันและลักลอบค้าชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย และความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกรอบการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปไทย - ลาว และกลไกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐสภาได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๒ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับกรณีที่พิจารณาเห็นว่าอาจะมีสารัตถะอื่นใดที่เข้าข่ายเป็นเรื่องตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ แล้ว เพื่อความรอบคอบ อาจพิจารณาระบุข้อความในส่วนท้ายของบันทึกการประชุมฯ ว่า “บันทึกการประชุมฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อฝ่ายไทยได้ดำเนินกระบวนการทางกฎหมายภายในของไทยสำหรับการมีผลใช้บังคับเรียบร้อยแล้ว และได้แจ้งยืนยันเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวผ่านช่องทางการทูตไปยังฝ่ายลาวแล้ว” ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
33973 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายพรชัย จิระชนากุล) | สธ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายพรชัย จิระชนากุล ให้ดำรงตำแหน่งนายแทพย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานการรักษา กลุ่มบริการเฉพาะทาง สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาการในตำแหน่ง ซึ่งไม่ก่อนวันที่สำนักงาน ก.พ. ได้รับคำขอประเมินพร้อมเอกสารประกอบการประเมินครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
33974 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | ศธ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ จัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน เพื่อกำกับดูแลและส่งเสริมการบริหารงานของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐในการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่เห็นว่า บทบัญญัติของร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... อาจมีเนื้อหาและสาระที่มีความซ้ำซ้อนกับพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่อยู่ในความรับผิดชอบและเป็นภารกิจของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นส่วนราชการที่กำกับดูแลและส่งเสริมการบริหารงานด้านแรงงานทั้งระบบ ดังนั้น การดำเนินการตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สอดคล้องและเชื่อมโยงโดยไม่ซ้ำซ้อนกับภารกิจของกระทรวงแรงงาน |
|||||||||||||||||||||
33975 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองปูยู เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองปูยู เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองปูยู จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเกาะสะท้อน และตำบลโฆษิต อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ถึงกิโลเมตรที่ ๑๑.๒๕๐ ในท้องที่ตำบลเกาะสะท้อน และตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
33976 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำน้ำเสียวใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำน้ำเสียวใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำน้ำเสียวใหญ่ จากศูนย์กลางฝายยางบ้านชาดหัวเรือ กิโลเมตรที่ ๖๘.๖๐๐ ในท้องที่ตำบลหัวเรือ และตำบลโพธิ์ชัย อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ถึงศูนย์กลางฝายบ้านดงใหม่ กิโลเมตรเที่ ๑๗๘.๕๐๐ ในท้องที่ตำบลทุ่งศรีเมือง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
33977 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บ ค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 3 ฉบับ | กษ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑ ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ ๑ ขวา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑ ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ ๑ ขวา จากกิโลเมตรที่ ๗.๔๔๐ ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ ๑ ขวา ในท้องที่ตำบลหนองหญ้าไซ อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๑๕.๑๕๐ ในท้องที่ตำบลหนองผักนาค อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำกุดตาเพชร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำกุดตาเพชร ในท้องที่ตำบลกุดตาเพชร อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำร่องน้ำซับ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำร่องน้ำซับ ในท้องที่ตำบลบุ่ง อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||
33978 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนการสร้างความปรองดอง | สสป | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนการสร้างความปรองดอง ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการปลูกยางพาราต้องถึงเกษตรกรที่ยากจนโดยตรง ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๒๑ ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๐ ๒. ตรวจสอบคุณภาพกล้ายางให้ตรงสายพันธุ์ ๓. สนับสนุนเงินและปัจจัยการผลิตไม่น้อยกว่าไร่ละ ๑๑,๐๐๐ บาท ในระยะเวลา ๗ ปี จนเปิดกรีดยาง ซึ่งจะให้ผลผลิตเฉลี่ย ๓๐๐ กิโลกรัม/ไร่/ปี จะทำรายได้เฉลี่ย ๑๕,๖๐๐ บาท/ไร่/ปี (ประมาณการรายได้ถึงปีที่ ๑๐ กรณีที่ราคายางกิโลกรัมละ ๘๐ บาท) ๔. สนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในการปลูกและแปรรูปยางพาราร่วมกัน และส่งเสริมให้เกษตรกรเรียนรู้วิธีการเพาะพันธุ์กล้ายางเพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพเสริม โดยให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานโดยบูรณาการทำงานร่วมกัน
|
|||||||||||||||||||||
33979 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 14 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๑๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนได้ร่วมรับรองแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จในการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวให้เป็นหนึ่งเดียวของภูมิภาคอาเซียน สำหรับประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการร่วมรับรองแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวคือ ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภายในประเทศและสร้างจุดขายร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ตลอดจนเพิ่มคุณภาพนักท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยและทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย ๒. ที่ประชุมเห็นชอบให้ประเทศไทยทำหน้าที่เป็นประธานคณะทำงานด้านการตลาดและการสื่อสาร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการตลาดอาเซียน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก ASEAN NTOs Fund จำนวน ๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนคณะทำงานอีก ๒ คณะ ที่ประชุมเห็นชอบให้มาเลเซียเป็นประธานคณะทำงานด้านการพัฒนาสินค้า และฟิลิปปินส์เป็นประธานคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ สำหรับประโยชน์ไทยจะได้รับจากการเป็นประธานคณะทำงานดังกล่าวคือ สนับสนุนผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยและบริการอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร สปา ร้านขายของที่ระลึก และยังเป็นการสนับสนุนการจัดทำแพคเกจท่องเที่ยวร่วมกันเพื่อครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกอันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย ประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาคอาเซียนโดยรวม ๓. ประเทศไทยได้รายงานต่อที่ประชุมเกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมายภายในประเทศ (Domestic Clearance) เพื่อให้สามารถลงนามในข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพด้านท่องเที่ยวอาเซียน (MRA for Tourism Professionals) ได้ทันภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ณ กรุงเทพฯ โดยจะเชิญผู้แทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียนและสถานกงสุลของประเทศสมาชิกอาเซียนในประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามดังกล่าว สำหรับประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการลงนามในข้อตกลงดังกล่าว คือ โอกาสในการทำงานด้านการบริการการท่องเที่ยวจะสูงขึ้นในกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนเป็นการยกระดับมาตรฐานและคุณสมบัติของวิชาชีพด้านการท่องเที่ยว จำนวน ๓๒ ตำแหน่งงานใน ๖ สาขา ซึ่งจะทำให้ค่าตอบแทนสูงขึ้นและแรงงานไทยมีโอกาสแข่งขันสูงขึ้น ๔. รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนยินดีกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศในอาเซียนสูงกว่า ๖๕ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒ จากปีก่อน สำหรับประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ทั้งสิ้น ๑๕.๘๔ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๙๖ จากปีก่อน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศอาเซียนประมาณ ๔.๔ ล้านคน หรือเท่ากับร้อยละ ๒๗.๘๗ ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียมากที่สุด (ร้อยละ ๔๕) ลาว (ร้อยละ ๑๖) และสิงคโปร์ (ร้อยละ ๑๓)
|
|||||||||||||||||||||
33980 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากภาวะวิกฤตของประเทศไทย | รง | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากภาวะวิกฤตของประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปการเบิก - จ่ายเงินตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุม ดังนี้ ๑.๑ เงินช่วยเหลือผู้ประกอบการในย่านราชประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพนักงาน งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๓๑๖,๓๖๗,๓๓๗.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๒๖๒,๓๔๕,๒๘๙.๖๓ บาท คงเหลือ ๕๔,๐๒๒,๐๔๗.๓๗ บาท ๑.๒ เงินช่วยเหลือลูกจ้างที่นายจ้างรักษาสภาพการจ้างไว้ งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๒๖,๒๖๕,๔๓๕.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๒๒,๒๐๑,๖๒๐.๔๒ บาท คงเหลือ ๔,๐๖๓,๘๑๔.๕๘ บาท ๑.๓ เงินช่วยเหลือลูกจ้างนอกระบบประกันสังคม งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๘,๑๗๕,๐๐๐.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๑,๙๖๕,๐๐๐.๐๐ บาท คงเหลือ ๖,๒๑๐,๐๐๐.๐๐ บาท ๑.๔ เงินช่วยเหลือลูกจ้างในระบบประกันสังคมที่ถูกเลิกจ้าง งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๘,๘๐๕,๔๗๗.๐๐ บาท ยังไม่มีการเบิกจ่าย ๑.๕ เงินช่วยเหลือลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตน (ส่งเงินสมทบไม่ครบ ๖ เดือน) งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๖๓๐,๐๐๐.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๑๙๕,๐๐๐.๐๐ บาท คงเหลือ ๔๓๕,๐๐๐.๐๐ บาท ๑.๖ ลูกจ้างนอกระบบประกันสังคมที่ถูกเลิกจ้าง งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๒๙๒,๕๐๐.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๙๐,๐๐๐.๐๐ บาท คงเหลือ ๒๐๒,๕๐๐.๐๐ บาท ๑.๗ เงินช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ทรัพย์สินถูกเพลิงไหม้และรักษาสภาพการจ้างพนักงานไว้ (ใช้เงินเหลือจ่ายจากข้อ ๑.๑) งบประมาณที่ได้รับจัดสรร ๑๐๖,๒๙๒,๒๘๐.๐๐ บาท เบิกจ่าย ๑,๐๗๖,๑๒๗.๐๐ บาท คงเหลือ ๑๐๕,๒๑๖,๑๕๓.๐๐ บาท ๒. ความคืบหน้าโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ มีดังนี้ ๒.๑ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มโรงแรมและสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง โดยดำเนินการฝึกอบรมตามความประสงค์ของนายจ้างโดยใช้งบประมาณปกติ ได้แก่ จัดฝึกอบรมให้กับพนักงานในกลุ่มโรงแรม จัดฝึกอบรมให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ SME BANK จัดฝึกอบรมให้กับพนักงานบริษัทวงศ์ไพฑูรย์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท แพลททินั่ม ฟูดส์ เซ็นเตอร์ จำกัด และจัดฝึกอบรมให้กับผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ จากสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ๒.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานดำเนินโครงการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะด้านภาษาให้กับผู้ประกอบอาชีพอิสระในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามแนวทางของโครงการต้นกล้าอาชีพ ๒.๓ ที่ประชุม รศก. ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานดำเนินการพิจารณาปรับปรุงโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ โดยใช้รูปแบบลักษณะเดียวกับโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน (โครงการต้นกล้าอาชีพ) ๒.๔ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดประชุมเพื่อจัดทำกรอบโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ โดยมีกลุ่มเป้าหมายตามโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบที่ รศก. มีมติเห็นชอบในการประชุม รศก. ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ ทั้งนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้แต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ ๒.๕ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบเกี่ยวกับการกำหนดพื้นที่ กลุ่มเป้าหมาย และหลักสูตรฝึกอบรมตามที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทยเสนอ ๓. สรุปการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมกรณีค่าเช่าและค่าบริการกลุ่มราชประสงค์ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้เบิกจ่ายเงินช่วยเหลือไปแล้วทั้งสิ้น ๒๕๓,๐๐๔,๓๔๒.๒๑ บทา โดยผู้ค้ารายย่อยได้รับการช่วยเหลือ ๒,๐๖๕ ราย ส่วนกรณีค่าเช่าพื้นที่ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน และ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานเบิกจ่ายเงินทดแทนให้กับธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ในวงเงินเดือนละ ๒.๕ ล้านบาท เป็นเวลา ๓ เดือน ตามที่มีการเช่าพื้นที่จริง ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้รับอนุมัติให้ใช้งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ในวงเงิน ๗.๕ ล้านบาท จากสำนักงบประมาณแล้ว
|
.....