ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1698 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33941 - 33960 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33941 | รายงานการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 46 และ การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 6 | ศธ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ ๔๖ และการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๔ ที่ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงในนามหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและองค์การซีมีโอ โดยเฉพาะความร่วมมือในการจัดโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาผู้บริหารในศตวรรษที่ ๒๑ ของกระทรวงศึกษาธิการ และการดำเนินโครงการการจัดการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส การดำเนินโครงการทวิภาษา และการดำเนินโครงการการมีส่วนร่วมของชุมชนของซีมีโอ ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยและอินโดนีเซียได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาระหว่างไทยและอินโดนีเซีย ประกอบด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวสารและสิ่งพิมพ์วิชาการ การแลกเปลี่ยนครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ การรับรองคุณวุฒิการศึกษา การให้ทุนแก่นักเรียน การดำเนินโครงการวิจัยร่วม การจัดฝึกอบรมด้านการอาชีวศึกษาและเทคนิค เป็นต้น ๒. ที่ประชุมรับทราบการปาฐกถาเรื่อง A Transformtion in Vocational Technical Education - The Way Forward โดย Dr. Law Song Seng ที่กล่าวถึงความสำเร็จในการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาของสิงคโปร์ ซึ่งนับเป็นต้นแบบการพัฒนาการดำเนินงานด้านอาชีวศึกษาของประเทศซีมีโอ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้เสนอข้อคิดเห็นในการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีศึกษาของซีมีโอ เกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงยุทธศาสตร์ของซีมีโอ ได้แก่ การสนับสนุนการขยายเวลาของการดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมค จากเดิม ๑ ปี เป็นระยะเวลา ๒ ปี การส่งเสริมความร่วมมือกับซีมีโอในการพัฒนาภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารร่วมกัน ความร่วมมือในการพัฒนาด้าน ICT เพื่อเชื่อมโยงให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และการจัดตั้งสถาบันความเป็นเลิศของซีมีโอเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในภูมิภาค ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของประธานสภาซีเมค เป็น ๒ ปี ให้ลดระยะเวลาจัดการประชุมสภาซีเมค เหลือเพียง ๒ วัน พร้อมทั้งมอบให้สำนักเลขาธิการซีมีโอศึกษาแนวทางการดำเนินการดังกล่าวเพื่อจัดทำเป็นข้อมติเสนอต่อสภาซีเมคเพื่ออนุมัติต่อไป ๔. สาระสำคัญของการจัดประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๖ ประกอบด้วย การรายงานการยกร่างแผน ๕ ปี ด้านการศึกษาของอาเซียน การรับทราบการจัดการแข่งขันกีฬาประถมศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๔ ณ ประเทศอินโดนีเซีย และการจัดค่ายเยาวชนมัธยมศึกษาอาเซียน ปี ๒๕๕๓ ที่ประเทศไทย และเห็นชอบร่างขอบเขตการดำเนินงานของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาของอาเซียน + ๓ ๕. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการประสานงานเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาของอาเซียนในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ที่สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อพิจารณารายละเอียดการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซียน รวมทั้งการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
|
||||||||||||||||||||||||
33942 | การขออนุมัติเปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิประจำประเทศไทย (นายชุมพล พรประภา) | กต | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ขอเปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิประจำประเทศไทย โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมทั่วประเทศไทย ๒. แต่งตั้งนายชุมพล พรประภา เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิประจำประเทศไทย โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมทั่วประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||
33943 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด พ.ศ. .... | คค | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๘ รวมทั้งถนนต่อเชื่อม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
33944 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์) เสนอขอแก้ไขคำผิดของร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาตรา ๑๐ ซึ่งแก้ไขมาตรา ๑๐๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พระพุทธศักราช ๒๔๖๙ จาก “(๑) ความผิดฐานลักลอบหรือหลีกเลี่ยงศุลกากร ให้หักจ่ายเป็นเงินสินบนและรางวัลร้อยละ ๕๕ จากเงินค่าขายของกลาง โดยให้หักจ่ายเป็นเงินสินบนร้อยละ ๓๐ เป็นเงินรางวัลร้อยละ ๒๕ แต่กรณีที่มิได้ริบของกลาง หรือของกลางไม่อาจจำหน่ายได้ ให้หักจ่ายจากเงินค่าปรับ ส่วนรายที่ไม่มีผู้แจ้งความนำจับ ให้หักจ่ายเป็นเงินรางวัลร้อยละ ๓๐” เป็น “(๑) ความผิดฐานลักลอบหรือหลีกเลี่ยงศุลกากรให้หักจ่ายเป็นเงินสินบนและรางวัลร้อยละ ๔๕ จากเงินค่าขายของกลาง โดยให้หักจ่ายเป็นเงินสินบนร้อยละ ๓๐ เป็นเงินรางวัลร้อยละ ๑๕ แต่กรณีที่มิได้ริบของกลาง หรือของกลางไม่อาจจำหน่ายได้ ให้หักจ่ายจากเงินค่าปรับ ส่วนรายที่ไม่มีผู้แจ้งความนำจับ ให้หักจ่ายเป็นเงินรางวัลร้อยละ ๒๐” ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุลกากร พระพุทธศักราช ๒๔๖๙ โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติการจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลให้เกิดความเหมาะสมและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น เพิ่มเติมคำนิยมของกฎหมาย เรื่อง ของถ่ายยานพาหนะ ของผ่านด่าน การผ่านด่าน และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดนให้มีความชัดเจนและทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยพิธีการศุลกากรที่เรียบง่ายและสอดคล้องกันที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
33945 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงศึกษาธิการ) (นางสิริรักษ์ รัชชุศานติ) | ศธ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสิริรักษ์ รัชชุศานติ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาธุรกิจและบริการ (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
33946 | รัฐบาลสาธารณรัฐตูนิเซียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายมุฮัมมัด ฮัสซัยรี (Mr. Mohamed Hassairi)] | กต | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายมุฮัมมัด ฮัสซัยรี (Mr. Mohamed Hassairi) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตูนิเซียประจำประเทศไทยคนใหม่ สืบแทน นายไฟซาล กูยา (Mr. Faysal Gouia) โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงจาการ์ตา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
33947 | ผลการสำรวจเส้นทาง R3A ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - จีน | กต | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการสำรวจ R3A ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน และผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - จีน สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้นำรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและคณะร่วมสำรวจเส้นทาง R3A โดยรถยนต์จากเชียงแสน - เชียงของ (ไทย) - ห้วยทราย (ลาว) - หลวงน้ำทา - จิ่งหง (จีน) ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ เพื่อสำรวจพัฒนาการและศักยภาพของการเชื่อมโยงระหว่างกันในภูมิภาค และผลักดันให้มีการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมระหว่างกันในอาเซียน โดยการสำรวจเส้นทาง R3A เริ่มต้นจากบ่อแก้ว แขวงห้วยทราย ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ถึงเมืองจิ่งหง ในมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ถนนในส่วนของลาวเป็นถนน ๒ เลน มีระยะทาง ๒๒๘ กิโลเมตร ก่อสร้างสร้างโดยบริษัทของไทย ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ ระหว่างกิโลเมตรที่ ๑ - ๘๔ ส่วนที่ ๒ ระหว่างกิโลเมตรที่ ๘๔ - ๑๖๐ และส่วนที่ ๓ ระหว่างกิโลเมตรที่ ๑๖๐ - ๒๒๘ ก่อสร้างโดยบริษัทของจีน โดยเส้นทางที่ไทยก่อสร้างส่วนที่ ๑ ประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ระหว่างเมืองบ่อแก้วถึงเวียงภูคา มีสภาพเป็นหลุม/บ่อและพื้นผิวถนนขรุขระ โดยมีช่วงที่สภาพพื้นผิวขรุขระมากที่สุดประมาณ ๒๗ กิโลเมตร ทั้งนี้ เส้นทางช่วงดังกล่าวอยู่ระหว่างการซ่อมแซมและปรับปรุง มีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ เส้นทางส่วนที่ ๒ และ ๓ มีสภาพค่อนข้างดี ในส่วนของเส้นทางจากด่านบ่อเต็น ชายแดนลาวไปยังเมืองจิ่งหงของจีน ซึ่งจีนเป็นผู้ก่อสร้างเอง เป็นถนน ๒ เลน มีระยะทางประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร มีสภาพถนนดีมากตลอดสาย ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - จีน (ASEAN - China Foreign Ministers’ Meeting) ซึ่งจัดขึ้นที่นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมได้หารือกันในประเด็นทิศทางความร่วมมือในทศวรรษที่ ๓ ของความสัมพันธ์อาเซียน - จีน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นย้ำและผลักดันการส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาความร่วมมืออาเซียน - จีน สู่ประเด็นยุทธศาสตร์ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน การประสานงานเพื่อร่วมมือและสนับสนุนกันและกันในการกำหนดท่าทีร่วมในประเด็นระดับโลก (globai issues) และในกลไกระดับโลก รวมทั้งร่วมกันผลักดันวิถีทางการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบเอเชียที่มีลักษณะที่เปิดเผย และไม่มีการตั้งเงื่อนไขใด ๆ และร่วมกันพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติ คือ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และสถาบัน และการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชน (physical, institutional and people - to - people connectivituy) โดยให้ความสำคัญกับการบรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) ทั้งนี้ จีนได้เน้นย้ำจุดยืนต่อ East Asia Summit (EAS) หลังจากที่รับสหรัฐอเมริกาและรัสเซียเข้าร่วม โดย EAS ยึดหลักการ จุดประสงค์ และแนวทางการดำเนินการตามที่ปรากฏในแถลงการณ์ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ คือ คงความเป็น leader - led forum ยึดหลักฉันทามติ การเปิดกว้าง (openness) การดำเนินการที่ทุกฝ่ายสะดวกใจ (comfortable pace) และการไม่แทรกแซงกิจการภายใน บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน และควรรักษาทิศทางความร่วมมือที่มีอยู่ คือ ผลักดันความร่วมมือใน ๕ สาขาสำคัญ (priority areas) ได้แก่ ไข้หวัดนก ความมั่นคงด้านพลังงาน การศึกษา การเงิน และการจัดการภัยพิบัติ รวมทั้งสนับสนุนบทบาทนำของอาเซียนในเวทีความร่วมมือในเอเซียตะวันออก
|
||||||||||||||||||||||||
33948 | รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ระหว่างวันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2553) | พณ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตามที่ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑ - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ สามารถจับกุมได้ ๒๘๓ คดี ยึดของกลางได้ ๘๐,๑๖๔ ชิ้น
|
||||||||||||||||||||||||
33949 | การดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศตามยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ | กต | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการโครงการ/กิจกรรมสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในต่างประเทศดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ สอดคล้องกับแนวทางของยุทธศาสตร์ เช่น การจัดกิจกรรมสนับสนุนการศึกษาและการอบรมทักษะพิเศษ การสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพให้แก่นักศึกษา การมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐกับนักศึกษา การจัดกิจกรรมเปิดโลกทัศน์และดูงานให้แก่นักศึกษา การสนับสนุน การจัดตั้งชมรมหรือสมาคมนักศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กลุ่มนักศึกษาเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการจัดกิจกรรมสันทนาการการกีฬา หรือในโอกาสเทศกาลสำคัญของท้องถิ่น ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศที่ผ่านมาประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และนักศึกษาได้แสดงความประสงค์ขอให้มีการดำเนินโครงการ/กิจกรรมในปีต่อ ๆ ไป ๒. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดสรรงบประมาณจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๕๐ ล้านบาท เพื่อให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๒๓ ทุน ในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ณ ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย อียิปต์ และออสเตรเลีย ปัจจุบันมีนักศึกษา ๑ ราย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว และอีก ๑ ราย คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับประเทศไทยภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. กระทรวงการต่างประเทศได้มุ่งเน้นการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศในด้านการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาศักยภาพและคุณภาพของครูและผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ยังได้แสวงหาความร่วมือจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาบุคลากรการศึกษา ได้แก่ โครงการของรัฐบาลออสเตรเลียร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการฝึกอบรมครูจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
|
||||||||||||||||||||||||
33950 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล [(ครั้งที่ 5) ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2553)] | ศธ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ครั้งที่ ๕) ข้อมูล ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้มอบหมายให้ศูนย์การศึกษาพิเศษร่วมมือกับโรงพยาบาลจัดศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล จำนวน ๒๙ ศูนย์การเรียน สามารถให้บริการทางการศึกษาแก่เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลระหว่างเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๓ เฉลี่ยเดือนละประมาณ ๒,๓๐๐ คน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (แผนฟื้นผูเศรษฐกิจระยะที่ ๒ : ๒๕๕๓) แผนงานยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งระบบให้ทันสมัย โครงการพัฒนาครูทั้งระบบ เฉพาะค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ จำนวน ๗,๙๐๓,๔๗๖ บาท ส่วนงบประมาณการอบรมสัมมนาครูอัตราจ้างที่ทำหน้าที่สอนที่โรงพยาบาล/บุคลากร นิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล และสื่อการเรียนการสอน วงเงิน ๓,๒๒๖,๔๖๐ บาท ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการนี้ต่อคณะรัฐมนตรีทุกสิ้นปีงบประมาณจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการ |
||||||||||||||||||||||||
33951 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2553) | กค | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) โดยมีการเบิกจ่ายจำนวนทั้งสิ้น ๘๕๕,๔๔๕.๑๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๓.๑๐ ของวงเงินจำนวน ๒,๕๘๔,๓๓๖.๐๘ ล้านบาท ประกอบด้วย
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕๕๓,๓๒๓.๑๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๖.๗๓ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๒๐.๐๐) อยู่ร้อยละ ๖.๗๓ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๕๒๐,๐๙๗.๐๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๐.๑๔ และรายจ่ายลงทุนจำนวน ๓๓,๒๒๖.๑๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙.๖๔ ต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๑๐.๐๐) อยู่ร้อยละ ๐.๓๖ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๓ สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๔๕,๐๔๗.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๕.๑๑ ของวงเงินงบประมาณเหลื่อมปี จำนวน ๑๗๙,๓๗๗.๙๐ ล้านบาท ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรร (ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓) จำนวนทั้งสิ้น ๓๓๔,๙๕๘.๑๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๕๗,๐๗๔.๔๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๖.๗๕
|
||||||||||||||||||||||||
33952 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) แทนตำแหน่งที่ว่าง (นางโสมสุดา ลียะวณิช) | วธ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางโสมสุดา ลียะวณิช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ แทนนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามนัยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๒ มาตรา ๑๓ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
33953 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของนายนิคม สังฆรักษ์ (นายนิธิรักษ์ สังฆรักษ์ ผู้สืบสันดานของนายนิคม สังฆรักษ์) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายนิคม สังฆรักษ์ (นายนิธิรักษ์ สังฆรักษ์ ผู้สืบสันดานของนายนิคม สังฆรักษ์) ตามคำขอที่ ๖/๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการรักษาคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพน้ำท่าในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ที่ทำเหมืองแร่ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรและกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวโดยเคร่งครัด และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการตรวจสอบ กำกับดูแลเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมจากการที่ผู้ขอประทานบัตรรายงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และในการทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ อปท. เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้นที่ซึ่งอาจมีผลกระทบได้ทราบว่ามีกองทุนสุขภาพอนามัยในช่วงการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อประกันความเสี่ยงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่หรือบริเวณใกล้เคียงและแสดงผลการดำเนินงานกองทุนให้ อปท. ทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
33954 | ขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช | ศธ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปลี่ยนแปลงรายการอาคารเรียนของโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จากอาคารเรียนแบบ ๓๒๔/๔๑ หลังคาทรงไทย ๑ หลัง ในวงเงิน ๒๙,๖๒๕,๒๐๐ บาท ไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด เป็นอาคารเรียนแบบพิเศษ ๗ ชั้น ในวงเงิน ๓๖,๙๑๘,๙๐๐ บาท โดยผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้ สพฐ. ทำความตกลงในรายละเอียดของค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
33955 | ขออนุมัติร่างอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลยูเครน | กต | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับยูเครน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน และกรรมาธิการ ๓๗ ท่าน โดยมีอธิบดีกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทน เป็นเลขานุการ ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดท่าทีของฝ่ายไทยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการดำเนินการต่าง ๆ อันเป็นผลต่อเนื่องจากการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยและยูเครน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลยูเครน ครั้งที่ ๑ ณ กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน ที่จะจัดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
33956 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียนสมัยพิเศษ ที่เกาะลอมบอก สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | กต | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียนสมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔ ที่เกาะลอมบอกสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอตามกรอบอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานต่อไป โดยสาระสำคัญของการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบกับแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการดำเนินการต่อพม่าซึ่งควรคำนึงถึงบริบทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากมีการเลือกตั้ง ประกอบกับอาเซียนจะเป็นประชาคมในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ อาเซียนจึงควรส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตยในพม่าโดยสนับสนุนให้มีการหารือระหว่างนางอองซาน ซูจี กับรัฐบาลของพม่าเพื่อร่วมกันวางแผนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพม่า และโน้มน้าวให้ประชาคมโลกยุติการคว่ำบาตรพม่าและเลิกล้มความพยายามที่จะตั้ง Commission of Inquiry เกี่ยวกับผู้นำพม่า ทั้งนี้ มอบหมายให้อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนเยือนพม่าเพื่อสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยในพม่าต่อไป ๒. ที่ประชุมเห็นว่าประชาคมโลกควรสนับสนุนการลดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีโดยใช้โอกาสจากการที่เกาหลีเหนือพยายามหาช่องทางเจรจากับเกาหลีใต้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอให้อินโดนีเซียในฐานะประธานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) ได้ปรึกษากับประเทศที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในการเจรจา ๖ ฝ่าย เพื่อสอบถามว่า ARF จะสามารถมีส่วนสนับสนุนการลดความตึงเครียดได้อย่างไร ๓. ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้เพื่อคงไว้ซึ่งเสถียรภาพและความมั่นคง โดยการจัดทำแนวทาง (guidelines) การนำปฏิญญาฯ มาปฏิบัติให้แล้วเสร็จในโอกาสแรก และพิจารณาจัดทำหลักปฏิบัติ (Code of Conduct) ในทะเลจีนใต้ในโอกาสต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบกับแนวความคิดให้ประเทศผู้อ้างสิทธิ์หาหลักการร่วมกัน (Common principles) ที่จะให้เจรจากับจีนต่อไป รวมทั้งสนับสนุนข้อเสนอที่จะให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยืนยันหลักการของ Safe passage ในทะเลจีนใต้ และส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ภัยพิบัติ หรือน้ำมันรั่ว (oil spill) เป็นต้น ๔. ที่ประชุมรับทราบจากเลขาธิการอาเซียนว่า อาเซียนจะต้องเร่งรัดการนำข้อตกลงอาเซียนมาปฏิบัติ ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้าข้อตกลง ๘๗ ข้อ จาก ๑๐๘ ข้อมาปฏิบัติ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอให้ภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม รวมทั้งภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมอาเซียนด้วย และให้องค์การต่าง ๆ เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank - ADB) ให้ความเห็นเกี่ยวกับการจัดทำ Scorecard ของประชาคมอาเซียน อีกทั้งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนโดยใช้แผนแม่บทในการส่งเสริมความเชื่อมโยงในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) เป็นกรอบในการปฏิบัติ และเสนอให้มีการสร้าง ASEAN branding เพื่อสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ๕. ที่ประชุมพิจารณาเห็นควรผลักดันให้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit - EAS) เน้นการหารือในประเด็นด้านยุทธศาสตร์มากกว่าประเด็นความร่วมมือในลักษณะงานด้าน functional และได้ย้ำว่า EAS ควรพิจารณาบทบาทของจีน และความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศอาเซียน และประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์อาเซียนต่อ EAS และเห็นชอบต่อข้อเสนอของเลขาธิการอาเซียนที่จะจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาเซียนเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ของอาเซียนต่อ EAS ในประเทศไทย (คาดว่าประมาณเดือนเมษายน ๒๕๕๔) ซึ่งไทยจะประสานกับอาเซียนต่อไป ๖.ที่ประชุมเห็นชอบกับแนวความคิดที่จะให้อาเซียนมีการประสานท่าทีใน Global Issues ต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การมีท่าทีร่วมกันในเวทีระหว่างประเทศ ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอตัวอย่างมาตรการที่สามารถปูทางไปสู่เป้าหมายนี้ เช่น การให้คณะกรรมการอาเซียนที่นิวยอร์ก เจนิวา และเวียนนา ประสานท่าทีในเวทีสหประชาชาติ โดยเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในเรื่องการรักษาสันติภาพ การจัดการภัยพิบัติ และความมั่นคงทางทะเล ซึ่งไทยเสนอเป็นเจ้าภาพ ASEAN Maritime Forum ครั้งที่ ๒ ในปีนี้ นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้อาเซียนร่วมกำหนดวิสัยทัศน์เรื่องมุมมองอาเซียนใน global issues ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนในเดือนพฤษภาคม ศกนี้ และมีเป้าหมายระยะยาวที่จะทำแผนงานในเรื่องนี้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ๗. ที่ประชุมเห็นชอบกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ (Terms of Reference - TOR) ของคณะกรรมการประสานงานอาเซียนว่าด้วยเรื่องความเชื่อมโยง (ASEAN Connectivity Coordinating Committee - ACCC) เพื่อให้คณะกรรมาธิการทำงานได้อย่างจริงจังโดยแต่ละประเทศสมาชิกกำหนดจะส่งรายชื่อผู้แทนที่จะปฏิบัติงานอยู่ในคณะกรรมการดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคม ศกนี้ |
||||||||||||||||||||||||
33957 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของสหภาพยุโรป EU White Paper (ระยะที่ 2) | อก | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของมาตรการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของสหภาพยุโรป EU White Paper (ระยะที่ ๒) (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินโครงการเร่งด่วนตามกลยุทธ์การดำเนินงานตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของ EU ระยะที่ ๒ ประกอบด้วย ๑๓ โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น ๓๖๘.๓๔ ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพิ่มโอกาสทางการค้าของสินค้ารักษ์สิ่งแวดล้อมในตลาดโลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง ๓ ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในการผลิตสินค้ารักษ์สิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยในส่วนของการดำเนินการตามมาตรการและกรอบงบประมาณ นั้น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการจัดทำแผนแม่บทที่กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด ตลอดจนรายละเอียดแผนการดำเนินงาน พร้อมวงเงินค่าใช้จ่าย และหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจน โดยนำผลการประเมินในเบื้องต้นที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของมาตรการระยะที่ ๑ มาประกอบการจัดทำแผนดังกล่าวและเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงอตุสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า มาตรการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของ EU ระยะที่ ๒ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ควรคำนึงถึงมติคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งครอบคลุมเรื่องการจัดทำคลังข้อมูลเพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ การพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องมาตรฐานสิ่งแวดล้อม การพัฒนาห้องปฏิบัติการสู่มาตรฐานสากล และการพัฒนากฎระเบียบและมาตรฐานของไทยเพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ สำหรับโครงการที่นำเสนอเพื่อขอรับงบประมาณในการดำเนินการ ควรพิจารณาให้ความสำคัญกับโครงการที่นำไปสู่การปฏิบัติที่เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรมมากกว่าโครงการที่มีกิจกรรมในลักษณะเป็นการศึกษา และในการดำเนินโครงการเป็นการดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อภาคเอกชน เช่น การจัดซื้อเครื่องมือทดสอบ การฝึกอบรมผู้ประกอบการ เป็นต้น เห็นควรให้มีการพิจารณาแนวทางการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนประกอบด้วย เพื่อให้การใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมควรจัดทำแผนแม่บทที่กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดตลอดจนรายละเอียดแผนการดำเนินงาน พร้อมวงเงินค่าใช้จ่าย และหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||||||||
33958 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พ.ศ. .... | นร | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญโดยสรุปคือ
๑. กำหนดคำนิยามที่สำคัญ ได้แก่ “การพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” “แผนแม่บท” “แผนงานหรือโครงการ” “หน่วยงาน” “กพส.” และ “สพส” ๒. กำหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียกโดยย่อว่า “กพส.” โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นกรรมการและเลขานุการ ๓. กำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียกโดยย่อว่า “สพส.” เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ๔. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำแผนแม่บท แผนงาน หรือโครงการ ตามที่กำหนด ๕. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการบริหารและการควบคุมโครงการ ตามที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||
33959 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ ตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ชะลอเรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ ตามมติคณะรัฐมนตรี ไว้ก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคายางมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งมีแนวทางจัดสรรเงินกองทุนพัฒนายางพาราจากการจัดเก็บเงินสงเคราะห์ (cess) เพื่อสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยางทั้งด้านวิชาการ การวิจัย การเงิน การผลิต การแปรรูป การตลาด และการรักษาเสถียรภาพราคายาง รวมถึงกิจการอื่นที่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางได้อย่างครบวงจร โดยมิจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินจากภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
33960 | รายงานผลการเดินทางคณะผู้แทนการค้านำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางพรทิวา นาคาศัย) เดินทางไปเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ณ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ระหว่างวันที่ 19 - 24 มกราคม 2554) | พณ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเดินทางของคณะผู้แทนการค้านำโดยรัฐมนตรีว่ากากระทรวงพาณิชย์ (นางพรทิวา นาคาศัย) เพื่อเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ณ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ในเบื้องต้นฝ่ายบังกลาเทศได้แสดงความสนใจซื้อข้าวนึ่งจากไทยในปริมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ตัน รวมทั้งจัดทำสัญญาระยะยาวเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านอาหารของบังกลาเทศ เนื่องจากบังกลาเทศมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวเฉลี่ยปีละ ๑ ล้านตัน ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอการซื้อขายข้าวในรูปแบบ CIF - LO (Liner out) หรือ FOB รวมทั้งการชำระเงินโดยการเปิด L/C เงินสดขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยจะมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้เจรจาในนามของรัฐบาลไทย สำหรับการเจรจาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายเห็นควรมีการขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเป็น ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ในการนี้ฝ่ายบังกลาเทศขอให้ไทยทบทวนรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี ๒๒๙ รายการที่ไทยได้ให้สิทธิการยกเว้นภาษีในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๑ ให้มีผลอีกครั้ง ส่วนไทยได้เสนอให้มีการรื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทยบังกลาเทศ (Joint Trade Committee : JTC) หลังจากที่ได้ว่างเว้นมานานถึง ๒๑ ปี เพื่อเป็นเวทีในการหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ส่งเสริมความสัมพันธ์ และแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งขอให้บังกลาเทศสนับสนุนการลงทุนของบริษัทไทยในสาขาอื่น ๆ ซึ่งฝ่ายบังกลาเทศแสดงความยินดีที่บริษัท อิตาเลียนไทยเดเวลอปเมนท์ จำกัด ที่เข้ามารับงานก่อสร้างสะพานและทางด่วนในกรุงธากา ๒. ผลการเจรจากับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝ่ายไทยขอให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ไทยมีศักยภาพ และให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของคณะผู้แทนทางการค้าทั้งภาครัฐและเอกชนระหว่างสองประเทศมากขึ้นเพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งสนับสนุนให้นักลงทุนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น สำหรับการหารือในเรื่องความร่วมมือด้านการค้าข้าว ฝ่ายไทยขอให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สนับสนุนภาคเอกชนนำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้นโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยและข้าวนึ่ง ซึ่งฝ่ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้เสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาการลงทุนร่วมกับกลุ่ม Jumeriah Group ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าข้าว (Rice Distribution Center) ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ ยังได้หารือกับผู้นำเข้าข้าวในตะวันออกกลาง (Platinum Corporation) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การค้าข้าวโลก และแนวทางการผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ บริษัท Platinum Corporation ส่งออกข้าวนึ่งไปยังประเทศในแอฟริกาประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ตัน โดยนำเข้าข้าวนึ่งจากไทยในสัดส่วนร้อยละ ๗๐ จากปริมาณข้าวนึ่งที่นำเข้าทั้งหมด และมีแผนการที่จะเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวขาวจากไทยเนื่องจากมีแผนงานขยายตลาดข้าวขาวในกลุ่มประเทศลูกค้า
|
.....