ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1696 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33901 - 33920 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33901 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา | อก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาบุคลากร ห้องทดสอบ และการสร้างและพัฒนาฐานข้อมูล ในระยะ ๕ ปี ๑.๒ การจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราและไม้ยางพารา ในรูปแบบสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ โดยให้ได้รับงบสนับสนุนการจัดตั้งจากภาครัฐ เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยเป็นหน่วยงานหลักในการวิจัยและพัฒนา ถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมในการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางเป็นระบบ และมีความหลากหลายต่อเนื่อง ๒. ยกเว้นในส่วนของการนำเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (CESS) มาใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ให้พิจารณาดำเนินการเมื่อร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว เพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ที่เห็นควรให้มีการกำหนดสัดส่วนของงบประมาณจาก CESS สำหรับนำมาใช้ในการดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาฯ พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดของยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เช่น ภายใน ๕ ปี ต้องสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกร้อยละ ๕ จำนวนงานวิจัยที่มุ่งสู่เชิงพาณิชย์และที่สามารถนำไปลงทุนต่อยอดเป็นธุรกิจนวัตกรรม รวมถึงจำนวนนักวิจัยและบุคลากรด้านเทคนิค การสร้างกลไกร่วมรับความเสี่ยงด้านการเงิน เพื่อเป็นมาตรการในการสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนด้านวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านภาษีการวิจัยและพัฒนาด้านยางและไม้ยางพาราให้ภาคเอกชนสามารถหักรายจ่ายในการทำวิจัยและพัฒนาได้ ๓ - ๔ เท่า รวมถึงการสนับสนุนเงินให้เปล่าบางส่วนในการพัฒนาต้นแบบ (prototype) หรือการผลิตนำร่อง (pilot plant production) โดยการต่อยอดจากงานวิจัย หรือการสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยสำหรับการลงทุนในธุรกิจ นวัตกรรมด้านยาง หรือไม้ยางพารา และการกำหนดแนวทางวิจัยและพัฒนาที่ชัดเจน โดยเฉพาะการวิเคราะห์เทคโนโลยีจากสิทธิบัตร รวมถึงการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาร่วมวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาฯ นอกจากนี้ ในขั้นตอนการแปลงยุทธศาสตร์สู่ระดับปฏิบัติ โดยการจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เห็นควรให้มีการกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดในระดับโครงการที่ชัดเจนและสะท้อนกับยุทธศาสตร์เพื่อใช้ในการติดตามประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการ รวมทั้งเพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาอนุมัติงบประมาณแผนงาน/โครงการของสำนักงบประมาณ และเห็นควรให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานที่อาจมีแผนงาน/โครงการในลักษณะเดียวกัน เช่น สถาบันวิจัยยางและสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง (THAIST) เป็นต้น เพื่อให้เกิดการบูรณาการการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ ลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และเป็นการประหยัดงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33902 | การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ | กค | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๒ เรื่อง การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้จำหน่ายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังถือต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ หลักทรัพย์ที่ได้จากการยึดทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ที่ได้มาโดยนิติเหตุ ๑.๒.๒ หลักทรัพย์ที่ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่นเนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ ๑.๒.๓ หลักทรัพย์อื่นที่ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือไว้เนื่องจากไม่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ ๑.๓ ในการจำหน่ายหุ้นตามข้อ ๑.๒ เห็นสมควรมอบอำนาจให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐ และนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในกิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนของกระทรวงการคลังต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาวิธีการจำหน่ายหลักทรัพย์ ควรคำนึงถึงช่วงเวลาในการจำหน่ายหลักทรัพย์ และวิธีการปฏิบัติให้มีความโปร่งใส เพื่อให้ผลตอบแทนสู่ภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุดตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งการจัดให้มีกระบวนการและหลักเกณฑ์มาตรฐานในการคัดเลือกหลักทรัพย์รอการจำหน่าย โดยเฉพาะในส่วนของหลักทรัพย์ได้รับโอนมาจากส่วนราชการอื่นเนื่องจากหมดความจำเป็นตามนโยบายของภาครัฐ และหลักทรัพย์อื่นที่ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องถือไว้เนื่องจากไม่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
33903 | การจัดตั้งสถาบันการก่อสร้างแห่งประเทศไทย | อก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดตั้งสถาบันการก่อสร้างแห่งประเทศไทยเป็นสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้มูลนิธิเพื่อสถาบันการก่อสร้างแห่งประเทศไทย ๑.๒ ให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของสถาบันก่อสร้างแห่งประเทศไทยในระยะแรกของการจัดตั้งสถาบันฯ เป็นเวลา ๔ ปี ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ภายในวงเงิน ๔๙๖ ล้านบาท จนกว่าสถาบันฯ จะพึ่งตนเองได้ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ตั้งคำของบประมาณให้แก่สถาบันฯ ๑.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมให้การสนับสนุนด้านสถานที่ตั้งสำนักงาน บุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ ในระยะเริ่มต้นของการจัดตั้งสถาบันฯ รวมทั้งงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จนกว่าสถาบันฯ จะสรรหาบุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์ และดำเนินงานต่าง ๆ โดยใช้งบประมาณของสถาบันฯ เองได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับค่าบริการต่าง ๆ ที่สถาบันฯ จะดำเนินการเรียกเก็บ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการประเมินผลความคุ้มค่าและผลลัพธ์ของสถาบันฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำแผนความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้าง หากมีความจำเป็นที่จะให้ภาครัฐมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาร่วมกันกับภาคเอกชนและต้องใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งคราว ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
33904 | การลงนามในความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการประติบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง การปกป้องสิทธิในด้านทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมและอำนวยความสะดวก เพื่อเสริมสร้างการค้า และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้า รวมทั้งข้อยกเว้นทั่วไปและข้อจำกัดในการใช้มาตรการปกป้องดุลการชำระเงิน และการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า ๒. นำเสนอความตกลงฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓. เมื่อรัฐสภาเห็นชอบความตกลงฯ แล้ว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สามารถลงนามในความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ และหลังจากลงนามแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันความตกลงฯ ต่อประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33905 | ขออนุมัติแลกเปลี่ยนที่ดินที่บันดาร์ เสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม | กค | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แลกเปลี่ยนที่ดินที่บันดาร์ เสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ระหว่างแปลงเลขที่ ๒๔๕๘๑ และแปลงเลขที่ ๓๓๖๗๑ (หรือเลขที่เดิม ๒๔๒๐๒) กับแปลงเลขที่ ๖๓๑๖๗, ๖๓๑๖๘, ๖๓๑๖๙ และ ๖๓๑๗๐ โดยให้เป็นไปตามสิทธิและเงื่อนไขต่าง ๆ ตามสัญญาเช่าเดิมทุกประการ และในการแลกเปลี่ยนที่ดินดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33906 | การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติหลักการแผนพัฒนาเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ 60 ล้านไร่ | กษ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติหลักการแผนพัฒนาเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ ๖๐ ล้านไร่ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมชลประทานได้เสนอผลการดำเนินงานในการปรับปรุงแผนพัฒนาการเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เต็มศักยภาพ ๖๐ ล้านไร่ ต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อทราบแล้ว เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยแผนการพัฒนาการชลประทานอย่างเต็มศักยภาพฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาและบริหารจัดการน้ำ แยกเป็นมาตรการด้านการใช้สิ่งก่อสร้าง ที่เน้นการพัฒนาโครงการและการใช้น้ำในลุ่มน้ำเป็นสำคัญ ก่อนที่จะพิจารณาแนวทางการผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำในอันดับถัดไป โดยจะเน้นเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภาวะขาดแคลนน้ำและอุทกภัยก่อน และด้านการบริหารจัดการ เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี การประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแหล่งกักเก็บน้ำ และโครงการชลประทานภายในลุ่มน้ำและระหว่างลุ่มน้ำ รวมทั้งการกำหนดแผนการดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำ ออกเป็น ๓ ระยะ คือ แผนระยะสั้น (ก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕) แผนระยะกลาง (ก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) และแผนระยะยาว (ก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป) ๒. จากแผนการพัฒนาการชลประทานอย่างเต็มศักยภาพฯ คาดว่าจะสามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มเติมอีกประมาณ ๒๖,๖๐๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๓๔.๐๔ ล้านไร่ เมื่อรวมกับปริมาณน้ำเก็บกักและพื้นที่ชลประทานที่มีอยู่ในปัจจุบันจะทำให้มีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ ๑๐๒,๙๗๓ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณร้อยละ ๕๒ ของปริมาณน้ำท่าในประเทศ และถ้าสามารถดำเนินการได้ตามแผนจะทำให้มีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น ๖๒.๔ ล้านไร่ |
|||||||||||||||||||||||||||
33907 | รายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ จำนวน 382 ล้านบาท | นร | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ และให้ดำเนินการตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ตามที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้กำหนดกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้าฯ ไว้จำนวน ๔๓๓.๔๓๔ ล้านบาท แต่กรอบวงเงินที่กระทรวงคมนาคมเสนอในครั้งนี้ จำนวน ๓๘๒ ล้านบาท โดยใช้หลักเกณฑ์สัดส่วนร้อยละ ๑.๕ ของค่าตัวรถไฟฟ้า และสัดส่วนร้อยละ ๔ ของค่างานระบบรถไฟฟ้า เพื่อให้เป็นไปตามหลักการเดียวกันกับการคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ซึ่งสำนักงบประมาณพิจารณาตามหลักเกณฑ์แนวทางและขอบเขตการพิจารณางบประมาณ รายการค่าจ้างที่ปรึกษาฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้ว วงเงินที่พิจารณาได้เป็นเงิน ๓๙๕.๕๒๔ ล้านบาท ดังนั้น วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอจึงต่ำกว่าวงเงินค่าจ้างตามเกณฑ์ของสำนักงบประมาณที่พิจารณาได้เป็นจำนวน ๑๓.๕๒๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓.๕ จึงเห็นว่ากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอเป็นกรอบวงเงินที่เหมาะสม ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าในขั้นตอนการพิจารณาจัดจ้างที่ปรึกษาฯ รฟม. ควรกำหนดรายละเอียดประสบการณ์ของที่ปรึกษาตามความต้องการของโครงการเท่านั้น เนื่องจากจะมีผลกระทบต่ออัตราค่าจ้าง รวมทั้งพิจารณาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
33908 | การรวบรวมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานเฉลิมพระเกียรติฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2554 | นร | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้รวบรวมเกี่ยวกับโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวกับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งในส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และที่จะดำเนินการ โดยมีส่วนราชการต่าง ๆ จำนวน ๑๒๕ โครงการ/กิจกรรม รวม ๗ หน่วยงาน ซึ่งคณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรมจะดำเนินการพิจารณาตามหลักเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ต่อไป ดังนี้
๑. สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๖ โครงการ/กิจกรรม ๒. กระทรวงกลาโหม จำนวน ๘๔ โครงการ/กิจกรรม ๓. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน ๑ โครงการ/กิจกรรม ๔. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๔ โครงการ/กิจกรรม ๕. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ๕. กระทรวงวัฒนธรรม จำนวน ๑๔ โครงการ/กิจกรรม ๖. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๒ โครงการ/กิจกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
33909 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) (นางสาวพรสวรรค์ วงษ์ไกร) | ศธ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวพรสวรรค์ วงษ์ไกร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกิจการอุดมศึกษาเอกชน (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33910 | ร่างนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2555 - 2559) และร่างยุทธศาสตร์การวิจัย (พ.ศ. 2555 - 2559) 4 ภูมิภาค | วช | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ ฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และร่างยุทธศาสตร์การวิจัย (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้นำนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติฯ ไปเป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัยให้เชื่อมโยงสอดคล้องกับสถานการณ์และปัญหาของประเทศ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และเพื่อใช้เป็นกรอบทิศทางในการจัดทำและประเมินข้อเสนอการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐที่เสนอของบประมาณในปีต่อไป โดยกำหนด ๕ ยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ ประกอบด้วย (๑) การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางสังคม (๒) การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (๓) การอนุรักษ์ เสริมสร้าง และพัฒนาทุน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๔) การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนานวัตกรรมและบุคลากรทางการวิจัย และ ๕) การปฏิรูประบบวิจัยของประเทศเพื่อการบริหารจัดการความรู้ ผลงานวิจัย นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ทรัพยากร และภูมิปัญญาของประเทศสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และสาธารณะ ด้วยยุทธวิธีที่เหมาะสมที่เข้าถึงประชาชนและประชาสังคมอย่างแพร่หลาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับแผนงานวิจัยในแต่ละกลยุทธ์ ควรมีจุดเน้นที่สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงและภาวะความเสี่ยงในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น แผนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของประเทศรองรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนที่ครอบคลุม ๓ เสาหลักทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม/วัฒนธรรม และการเมือง/ความมั่นคง แผนการวิจัยความสมดุลระหว่างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน เป็นต้น และควรกำหนดแนวทางในการติดตามและประเมินผลงานวิจัย รวมทั้งติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามระยะเวลาและเป้าหมายที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ การขอจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวกับงานวิจัยในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยกลั่นกรองการขอจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเพื่อลดความซ้ำซ้อนและก่อให้เกิดการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานงานกับสถาบันการศึกษา ศึกษา ทบทวน และปรับปรุง กฎระเบียบ กลไก ขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการศึกษาในภาครัฐที่มีความสนใจในการทำงานวิจัยสามารถดำเนินการวิจัยร่วมกับภาคเอกชนได้มากขึ้น ๒.๓ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีการลงทุนด้านการวิจัยให้มากยิ่งขึ้น ๒.๔ ในกลุ่มเรื่องวิจัยที่ควรมุ่งเน้น ๑๓ เรื่อง ควรเพิ่มเติมเรื่องวิจัยเกี่ยวกับการตลาดต่างประเทศ ระบบทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ๒.๕ การวิจัยถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ควรมีการเชื่อมโยงเพื่อนำผลการวิจัยไปสู่การลงทุนในเชิงพาณิชย์เพิ่มมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||
33911 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 10 | ทก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๐ (The Tenth ASEAN Telecommunications & Information Technology Ministers Meeting : 10th TELMIN) เมื่อวันที่ ๑๓ - ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมรับทราบการจัดทำแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (ASEAN Master Plan on Connectivity) ซึ่งรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๗ เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ โดยภายใต้แผนแม่บทฯ มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ๒ โครงการ คือ ASEAN Broadband Corridor และ ASEAN ICT Skills Standards ๑.๒ ที่ประชุมได้รับรองแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน และมอบให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมมือกับสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียนปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ และมีความเห็นว่าแผนดังกล่าวเป็นแผนแบบเบ็ดเสร็จภายใต้ยุทธศาสตร์ ๖ ยุทธศาสตร์ เพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญ ๔ ประการคือ ประการที่ ๑ ไอซีทีเป็นเครื่องมือในการผลักดันความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน ประการที่ ๒ อาเซียนเป็นศูนย์กลางด้านไอซีทีของโลกแห่งหนึ่ง ประการที่ ๓ ประชากรอาเซียนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และประการที่ ๔ ไอซีทีมีส่วนช่วยส่งเสริมการเป็นประชาคมอาเซียน รวมทั้งรับทราบข้อเสนอของเจ้าหน้าที่อาวุโสฯ เกี่ยวกับการจัดสรรเงินกองทุนไอซีทีอาเซียน (ASEAN ICT Fund) การจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็น การเปิดโอกาสให้ภาคอุตสาหกรรมคู่เจรจาอาเซียน และองค์กรระหว่างประเทศมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่แผนแม่บทฯ ให้ภาคอุตสาหกรรมและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ ๑.๓ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๐ มีสาระสำคัญคือ การสนับสนุนความร่วมมือด้านไอซีทีเพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นประชาคมอาเซียน การรับรองแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน การให้เจ้าหน้าที่อาวุโสฯ และสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมอาเซียนปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ และร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาในการดำเนินการตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของกระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรมีความชัดเจนในการกำหนดหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรมตามยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน รวมทั้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการเพื่อให้การนำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียนไปสู่การปฏิบัติของประเทศไทยเกิดความชัดเจน มีเอกภาพเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสอดคล้องกับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ ๒) ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33912 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า แทนตำแหน่งที่ว่าง (นายบุญมา เตชะวณิช) | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายบุญมา เตชะวณิช ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า แทนพลตำรวจเอก ชาญชิต เพียรเลิศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ มีนาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
33913 | โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง จังหวัดระยอง เพิ่มเติม | นร | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. อนุมัติมีมติในหลักการโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง จังหวัดระยอง เพิ่มเติม และขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม จำนวน ๙ โครงการ ประกอบด้วย โครงการเร่งด่วนภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ จำนวน ๗ โครงการ วงเงิน ๒๐๘.๕๐ ล้านบาท โครงการเร่งด่วนเพื่อลดและขจัดมลพิษ จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๑ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างสถานีขนถ่ายและระบบขนส่งขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๖๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า บางโครงการอาจจะต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการต่อเนื่องเกินปีงบประมาณปัจจุบัน เช่น โครงการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียรวมเทศบาลนครระยอง วงเงิน ๑๕๐.๔๓ ล้านบาท ฉะนั้น การขอจัดสรรเงินงบประมาณรายการดังกล่าวควรพิจารณาตามศักยภาพ ความพร้อมของหน่วยปฏิบัติ และหากไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณก็สมควรที่จะดำเนินการตามระเบียบวิธีการและขั้นตอนของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33914 | ขออนุมัติอัตรากำลังพนักงานราชการ | มท | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนพนักงานราชการไว้แล้ว จำนวน ๒๗.๙ ล้านบาท หากกระทรวงมหาดไทยประสงค์จะจ้างพนักงานราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้กระทรวงมหาดไทยปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของกระทรวงมหาดไทยมาดำเนินการ ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ (คพร.) เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่มีมติเห็นชอบตามมติคณะอนุกรรมการบริหารพนักงานราชการ คณะที่ ๑ ด้านการกำหนดลักษณะงาน กรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ ดังนี้ ๒.๑ อนุมัติให้กำหนดกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเพิ่มเติมในกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕) รวม ๒๒๕ อัตรา โดยกำหนดเป็นชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต จำนวน ๑๗๐ อัตรา และชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤตประจำศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๑ - ๘ (ยกเว้นเขต ๑๖ จังหวัดชัยนาท) ศูนย์ละ ๑๐ อัตรา จำนวน ๑๗๐ อัตรา และชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤตประจำจังหวัดในจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูง จำนวน ๑๑ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี สตูล ตรัง อุทัยธานี ตาก อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ นครศรีธรรมราช และระยอง จังหวัดละ ๕ อัตรา จำนวน ๕๕ อัตรา ทั้งนี้ ให้มีการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤตทั้ง ๒ ชุดดังกล่าว ที่ คพร. ได้จัดสรรอัตรากำลังพนักงานราชการให้ทั้ง ๒๒๕ อัตรา เมื่อสิ้นสุดกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ว่าได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ ผลผลิต และผลลัพธ์ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ อย่างไร ด้วย ๒.๒ ไม่อนุมัติการกำหนดอัตรากำลังพนักงานราชการสำหรับชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤติประจำส่วนกลาง และชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤตประจำศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๑ - ๑๘ ๒.๓ ไม่อนุมัติการกำหนดอัตรากำลังพนักงานราชการสำหรับภารกิจการเป็นเลขานุการคณะกรรมการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยระดับจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) และภารกิจการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
33915 | การขอเปลี่ยนแปลงการย้ายสถานที่ตั้งหรือการขอนำกำลังการผลิตไปตั้งที่ใหม่และขยายกำลังการผลิต | อก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้บริษัท น้ำตาลราชบุรี จำกัด เปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งโรงงาน โดยตั้งอยู่ที่เดิมที่ตำบลเบิกไพร อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และมีกำลังการผลิต ๑๐,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว และนำกำลังการผลิต ๙,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และขยายกำลังการผลิตเป็น ๒๘,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๒. ให้บริษัท อุตสาหกรรมน้ำตาลชลบุรี จำกัด เปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งโรงงาน โดยไปตั้งที่ตำบลหนองกลับ อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ และมีกำลังการผลิต ๓๖,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว ๑.๓. ให้บริษัท รวมเกษตรกรอุตสาหกรรม จำกัด นำกำลังการผลิต ๘,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และขยายกำลังการผลิตเป็น ๒๕,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๔. ให้บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด นำกำลังการผลิต ๔,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และขยายกำลังการผลิตเป็น ๑๒,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๕. ให้บริษัท น้ำตาลระยอง จำกัด นำกำลังการผลิต ๒,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ และขยายกำลังการผลิตเป็น ๑๕,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๖. ให้บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด นำกำลังการผลิต ๒,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว และขยายกำลังการผลิตเป็น ๑๒,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๑.๗. ให้บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด นำเครื่องจักรที่มีกำลังการผลิต ๒,๐๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ไปตั้งใหม่ที่อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร และขยายกำลังการผลิตเป็น ๑๒,๕๐๐ ตันอ้อยต่อวัน ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมในการขยายกำลังการผลิตและย้ายสถานที่ตั้งโรงงานน้ำตาล ที่เห็นควรจัดทำข้อมูลกำลังการผลิตในภาพรวมทั้งหมดที่ได้รับอนุญาตแล้ว กำลังการผลิตที่ใช้จริง และข้อมูลปริมาณผลผลิตอ้อยในปัจจุบันเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการอนุมัติย้ายโรงงานให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดการขอย้ายหรือขยายกำลังการผลิตบ่อยครั้ง ยกเว้นจะมีเหตุผลสมควรที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ นอกจากนี้ ในการอนุญาตให้มีการขยายกำลังการผลิต กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจะต้องมีเงินทุนเพื่อใช้ในการรักษาเสถียรภาพที่จะเกิดขึ้นจากภาวะราคาอ้อยตกต่ำในอนาคตโดยการขึ้นราคาน้ำตาลทรายในประเทศเพื่อเป็นรายได้ของกองทุนฯ โดยให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) วิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินความสามารถของกองทุนฯ จากภาวการณ์ปรับเปลี่ยนของราคาน้ำตาลในตลาดโลกเพื่อเตรียมความพร้อมไว้รองรับภาระของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และในการลดความเสี่ยงจากภาวะราคาน้ำตาลตกต่ำในอนาคต การคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตน้ำตาลของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ควรครอบคลุมเอทานอลและผลผลิตอื่น ๆ ที่ได้จากอ้อยด้วย โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมัน E20 และ E85 ให้ชัดเจน จึงต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีการดำเนินการลดต้นทุนการผลิตอ้อยอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรองรับกับราคาอ้อยที่อาจลดลงอันเนื่องมาจากการลดลงของราคาน้ำตาลในตลาดโลกในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33916 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์) | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33917 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี (นายชูล เจร์มานุช) | กต | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชูล เจร์มานุช ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตตมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมาเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33918 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. .... | สผ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. .... ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกำหนดระยะเวลาในการชำระค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์ฝ่ายหรือการบังคับให้อากาศยานลงสู่พื้นดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้กำหนดระยะเวลาที่ผู้ควบคุมอากาศยานหรือเจ้าของอากาศยานจะต้องนำค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์ฝ่ายหรือการบังคับให้อากาศยานลงสู่พื้นดินมาชำระให้แก่กองทัพอากาศภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากกองทัพอากาศ แต่ตามมาตรา ๒๔ ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้บัญญัติให้กองทัพอากาศไปดำเนินการเรียกให้เจ้าของอากาศยานหรือผู้ควบคุมอากาศยานชำระค่าใช้จ่ายโดยเร็วเท่านั้น โดยกำหนดระยะเวลาในการชำระค่าใช้จ่ายจะเป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด ดังนั้น ในการออกระเบียบดังกล่าวก็สมควรกำหนดระยะเวลาซึ่งทางราชการจะได้รับประโยชน์สูงสุด ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒. รับทราบการดำเนินการของกระทรวงกลาโหมตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยกองทัพอากาศได้ตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายของกองทัพอากาศดำเนินการร่างระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. .... โดยกำหนดระยะเวลาในการเรียกให้เจ้าของอากาศยานหรือผู้ควบคุมอากาศยานชำระค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์ฝ่ายหรือการบังคับให้อากาศยานลงสู่พื้นดินภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากกองทัพอากาศและกระทรวงคมนาคมมีความเห็นว่า การออกระเบียบดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงกลาโหมที่จะกำหนดระยะเวลาที่ทางราชการจะได้รับประโยชน์สูงสุด กระทรวงคมนาคมจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
33919 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 | กษ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิม รายการเรดาร์ตรวจวัดกลุ่มฝนแบบประจำที่ (ความถี่ S Band) พร้อมอุปกรณ์ประกอบ จำนวน ๑ ชุด เป็น จัดซื้อเรดาร์ตรวจวัดกลุ่มฝน แบบประจำที่ (ความถี่ S Band) พร้อมอุปกรณ์ประกอบ และอาคารประกอบ จำนวน ๑ แห่ง ส่วนวงเงินให้เป็นไปตามที่สำนักงบประมาณเห็นชอบเรื่องราคาแล้ว (๒๘๐,๗๐๙,๒๐๐ บาท) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33920 | โครงการพัฒนาการอ่านหน่วยด้วยระบบอัตโนมัติ (Automatic Meter Reading : AMR) ระยะที่ 2 | มท | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินงานโครงการพัฒนาการอ่านหน่วยด้วยระบบอัตโนมัติ (Automatic Meter Reading : AMR) ระยะที่ ๒ เพื่อดำเนินการติดตั้งมิเตอร์พร้อมระบบอ่านหน่วยอัตโนมัติเพิ่มเติมอีกจำนวน ๕๐,๐๐๐ ชุด ในวงเงินลงทุนรวม ๑,๔๗๗.๙๑ ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๓๖๙.๔๘ ล้านบาท และเงินกู้ในประเทศ ๑,๑๐๘.๔๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กฟภ. เสนอความต้องการกู้เงินแต่ละปีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุโครงการเงินกู้ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ส่วนรูปแบบการลงทุนโครงการ AMR ในระยะต่อไป ให้พิจารณาศึกษาแนวทางการลงทุนในรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPPs) เนื่องจากโครงการมีอัตราผลตอบแทนทางการเงินสูง จึงมีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการในรูปแบบดังกล่าว แต่หากพิจารณาเห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการด้วยตนเอง ขอให้พิจารณาแนวทางการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจและสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ นอกจากนี้ กฟภ. จะต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการชำรุดของมิเตอร์และการละเมิดการใช้ไฟฟ้าเพื่อลดความสูญเสียที่เกิดจากการชำรุดของมิเตอร์และการละเมิดการใช้ไฟฟ้าและการคิดค่าบริการการใช้ข้อมูล Load Profile ของผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ สำหรับการพัฒนาการอ่านหน่วยด้วยระบบอัตโนมัติในอนาคต ควรคำนึงถึงแนวโน้มการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่จะเชื่อมต่อไปยังครัวเรือน สถานประกอบการ และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่มสามารถใช้ข้อมูลที่ได้จากระบบการอ่านหน่วยด้วยระบบอัตโนมัติสำหรับบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....