ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1693 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33841 - 33860 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33841 | ขอความเห็นชอบในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมใหญ่ประจำปีของโรตารีสากล ปี พ.ศ. 2555 และขออนุมัติจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดการประชุมใหญ่ประจำปีของโรตารีสากล ปี พ.ศ. 2555 | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมใหญ่ประจำปีของโรตารีสากล ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๒. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามข้อตกลงในการจัดประชุมใหญ่ประจำปีของโรตาลีสากล ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) เสนอขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามขั้นตอน และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นเหมาะสม |
|||||||||||||||||||||||||||
33842 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป).เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๒ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินตนเองของ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๓ เห็นชอบข้อเสนอของ ค.ต.ป. เกี่ยวกับการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการที่ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะ โดยในการดำเนินงานตามข้อเสนอเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานให้ ค.ต.ป. ทราบความก้าวหน้าในการดำเนินงานทุก ๖ เดือน ต่อ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง สำหรับกระทรวง คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) กลุ่มกระทรวง สำหรับส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง และ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด สำหรับจังหวัดที่รับผิดชอบ ๒. ให้แก้ไขชื่อโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเอง จากเดิม “โครงการส่งเสริมและขยายผลการลงทุนต้นทุนการผลิตข้าว” เป็น “โครงการส่งเสริมและขยายผลการลดต้นทุนการผลิตข้าว” ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงศึกษาธิการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33843 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 ที่มีข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะ (เรื่อง ร่วมฝ่าวิกฤตความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ) | สช | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง ร่วมฝ่าวิกฤตความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ ต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ โดยมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติฯ มี ดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐบาล คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) นำแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยที่จะลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มความเป็นธรรม นำไปสู่สังคมสุขภาวะ ในประเด็นการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ การจัดการทรัพยากร สังคมและสุขภาวะ ประชาธิปไตยและการเมือง การศึกษา และสื่อทุกประเภทในทุกระดับ ๑.๒ ให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๘๗ (๑) ที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น โดยให้มีการปฏิรูปกระบวนการนโยบายสาธารณะเพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และมีการดำเนินงานที่เร่งด่วน ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้มีภาคีเครือข่ายประชาชน และองค์กรที่เกี่ยวข้องจัดทำให้เกิดกระบวนการนโยบายสาธารณะที่เป็นธรรม ตระหนักถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน ๑.๒.๒ ให้มีการกำหนดกรอบและกติการ่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะและการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ความสำคัญกับประเด็นการปฏิรูป ๑.๒.๓ พัฒนากลไกเพื่อการปฏิรูประบบการวิจัยแห่งชาติและระบบการสร้างปัญญาสาธารณะ ๑.๒.๔ สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการพัฒนาสมรรถนะของสังคมและระดับการมีส่วนร่วมในการติดตามให้ความเห็นอย่างจริงจังในกลไกพหุภาคีและเครื่องมือที่มีอยู่ในการจัดการความขัดแย้งที่เกิดจากนโยบายของรัฐ ๑.๒.๕ จัดให้มีกลไกการจัดการความไม่เป็นธรรม ในระดับชาติ ระดับภูมิภาค หรือกลุ่มจังหวัด ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจนเพื่อจัดทำรายละเอียดในแต่ละประเด็นตามแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง การนำมติไปสู่การปฏิบัติควรจัดลำดับความสำคัญและทำการศึกษาให้ชัดเจนก่อนกำหนดแนวทางและมาตรการที่จะดำเนินการ การกำหนดแนวทางการติดตามประเมินผลควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงและการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคส่วนที่มีการดำเนินงานสอดคล้องกัน รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งข้อมูลที่เป็นมติ รายงานการประชุมคณะกรรมการคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ผลการดำเนินงานที่มีผลกระทบต่อสาธารณชน และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในประเด็นการให้มีการจำกัดสิทธิการถือครองที่ดิน เน้นการส่งเสริมการใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับสมรรถนะของดินและภูมินิเวศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33844 | มติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เรื่อง แผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าลำพูน | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าเสนอ โดยมติคณะกรรมการฯ มี ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าลำพูน ๑.๒ เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าลำพูน เป็นกรอบแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าลำพูน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป โดยแผนแม่บทและผังแม่บทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้พื้นที่บริเวณเมืองเก่าลำพูนได้รับการคุ้มครอง ดูแลการพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้สอย และดำรงคุณค่าความเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของประเทศ โดยกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าที่มีความสำคัญที่ต้องเร่งวางแผนการอนุรักษ์และพัฒนาเพื่อให้สามารถดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรม และป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ และส่งเสริมทัศนียภาพขององค์พระบรมธาตุให้เด่นชัด รวม ๒ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่หลัก เนื้อที่รวม ๐.๑๓๕ ตารางกิโลเมตร (๘๔.๓๓ ไร่) และพื้นที่ต่อเนื่อง เนื้อที่รวม ๐.๕๑๓ ตารางกิโลเมตร (๓๒๐.๘๔ ไร่) และการกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงานและโครงการเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่า จำนวน ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนากลไกและกระบวนการบริหารจัดการเมืองเก่าลำพูนแบบบูรณาการ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ฟื้นฟู ดูแลรักษา แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิทัศน์เมืองเก่าลำพูน และยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ และเสริมสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ของเมืองเก่า และรักษาเมืองเก่าให้เป็นแหล่งเรียนรู้อย่างยั่งยืน ๑.๓ เห็นชอบให้จังหวัดลำพูนจัดตั้งองค์การบริหารจัดการเมืองเก่าลำพูน ในรูปของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองลำพูน เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าลำพูน ๒. ให้จังหวัดลำพูนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๘๕(๑) ที่กำหนดไว้ว่า “รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมโดยกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ที่ดินให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทั้งผืนดิน ผืนน้ำ วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น และการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ และกำหนดมาตรฐานการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลประทบจากหลักเกณฑ์การใช้ที่ดินนั้นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย” และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มเติมกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการผลิตสินค้า โดยนำแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิต แหล่งมรดกทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33845 | สรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ (วันที่ 29 มกราคม 2554) | พณ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างไม่เป็นทางการ ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลสวิส เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสรุปผลการเจรจารอบโดฮาให้ได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพราะประเทศสมาชิก WTO อาจพลาดโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์จากรอบโดฮา โดยรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าควรจะต้องเร่งหาข้อยุติเกี่ยวกับรูปแบบการเปิดตลาด และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางการค้าต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ให้เสร็จภายในเดือนเมษายนเป็นอย่างช้า เพื่อให้สมาชิกได้เริ่มจัดทำร่างตารางข้อผูกพันในเรื่องต่าง ๆ ได้ภายในสิ้นกรกฎาคมและเริ่มเจรจาปรับปรุงระดับการเปิดตลาดและตรวจสอบร่างตารางข้อผูกพันให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นว่าการเพิ่มระดับการเปิดตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการผลักดันให้การเจรจาสามารถสรุปผลได้ โดยพยายามทำความเข้าใจในประเด็นที่แต่ละประเทศมีความอ่อนไหว และพร้อมที่จะเข้าร่วมการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างเป็นรูปธรรม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงโดยสรุปคือ ไทยพร้อมให้ความยืดหยุ่นในการเจรจารอบโดฮา เพื่อให้การเจรจาสามารถสรุปผลได้ โดยได้สั่งการให้ผู้เจรจาเพิ่มความพยายามในการเจรจาและเข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งได้เสนอให้สมาชิกเร่งรัดให้การเจรจาดำเนินไปโดยเร็ว โดยสมาคมควรจะต้องยุติการกล่าวถ้อยแถลงที่ยังคงยึดติดกับท่าทีเดิม และหันมาเจรจาอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งได้เรียกร้องให้สมาชิกเร่งยื่นข้อเสนอในการเปิดตลาดของตนโดยเร็ว เพื่อให้แต่ละประเทศสามารถประเมินผลได้เสียของการเจรจา และเปิดโอกาสให้มีการเจรจาแลกเปลี่ยนการเปิดตลาดระหว่างกัน หรือที่เรียกว่า Request - Offer ได้โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
33846 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 1/2554 | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมได้พิจารณาสรุปผลการประเมินผลโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภาคสนาม ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น โครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก โครงการประกันรายได้เกษตรกร โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และโครงการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และมีมติให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอผลการติดตามประเมินผลโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภาคสนาม ของ สศช. เบื้องต้นให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้พิจารณาเร่งรัดผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ติดตามผลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนที่เกี่ยวข้องและรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชามอบหมายต่อไป ๒. ให้ สศช. รับข้อเสนอเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า สรุปผลการติดตามประเมินผลโครงการดังกล่าวมีข้อมูลบางเรื่องที่คลาดเคลื่อน เช่น ในการดำเนินโครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่นได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และประชาชนก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในระหว่างดำเนินการด้วย ดังนั้น ในการประเมินผลโครงการควรมีการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็ดจจริง รวมทั้งสำรวจทัศนคติของประชาชนในพื้นที่ครอบคลุมครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ เมื่อได้มีการตรวจสอบข้อมูลแล้ว อาจนำข้อมูลที่ได้ประสานข้อมูลกับกระทรวงต้นสังกัด หากมีข้อมูลที่มีความแตกต่างกันในสาระสำคัญให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
33847 | ผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ระหว่างวันที่ 28 - 29 มกราคม 2554) | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายองอาจ คล้ามไพบูลย์) และคณะ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๒๙ มกราคม ๒๕๕๔ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม สปป.ลาว ในการเสริมสร้างมิตรภาพที่ดีงามของสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนการแพร่ภาพและการกระจายเสียงจากระบบอนาล็อกเป็นดิจิทัล การอบรมบุคลากรเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบโทรทัศน์ดิจิทัล การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันทั้งวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุน และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย - ลาว ให้เป็นชายแดนสันติภาพ มิตรภาพและเป็นชายแดนแห่งความร่วมมืออย่างแท้จริง โดยสรุปผลการหารือได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว มีความประสงค์ที่จะเสริมสร้างมิตรภาพที่งดงามของสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนการเดินทางซึ่งกันและกัน และเน้นว่างานด้านการแถลงข่าวและวัฒนธรรมเป็นงานสำคัญยิ่งเนื่องจากเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลในการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจนโยบายของรัฐบาล และช่วยปลูกฝังอุดมการณ์ให้กับประชาชน หากสามารถร่วมมือกันได้ก็จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันมาก และโดยที่ปัจจุบันคนลาวสามารถรับสื่อของไทยได้ ซึ่งมีทั้งที่สร้างสรรค์ และไม่สร้างสรรค์ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกันได้ จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนไทยในการสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือกันเพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ นอกจากนั้น ไทยยังเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ ๓ ของลาว รองจากเวียดนามและจีน จึงต้องการให้สื่อมวลชนไทยสนับสนุนและเป็นกระบอกเสียงให้นักธุรกิจไทยมาลงทุนในลาวมากขึ้น ซึ่งไทยพร้อมที่จะส่งเสริมให้มีการลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในลาวเพิ่มมากขึ้น และเห็นว่าการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากจีนผ่านลาวมายังไทยจะเป็นประโยชน์ต่อไทย ลาว จีน และประเทศอาเซียนอื่น ๆ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) จะเป็นผู้เจรจาเรื่องนี้กับฝ่ายจีน คาดว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าคงได้ข้อยุติ ๒. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายองอาจฯ) เห็นว่าไทยและลาวควรสร้างการรับรู้ซึ่งกันและกันให้มากขึ้น เพื่อให้ปัญหาใหญ่กลายเป็นปัญหาเล็ ก และทำให้ปัญหาเล็กไม่มีปัญหาอีกต่อไป รวมทั้งต้องสร้างช่องทางการสื่อสารซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น โดยจะได้มีการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของลาวในเรื่องการทำงานร่วมกันต่อไป และพร้อมจะทำงานร่วมกับลาวในหลายเรื่อง อาทิ การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ด้านวิทยุและโทรทัศน์ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
33848 | แผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ 9 (พ.ศ. 2553 - 2557) | ศธ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗) โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณในแผนความร่วมมือฯ ในวงเงิน ๑,๖๔๘,๗๒๔,๕๘๐ บาท ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนความร่วมมือฯ ให้เป็นไปตามแผนความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยวงเงิน ๖๕๓,๒๐๗,๔๐๐ บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้แล้วเฉพาะในส่วนของทุนการศึกษา จำนวน ๑๓๕,๓๔๕,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายที่ดำเนินงานตามแผนในปีต่อ ๆ ไป จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เฉพาะในส่วนของทุนการศึกษาตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และคณะกรรมการอุดมศึกษา ที่เห็นควรให้สถาบัน AIT ศึกษาวิเคราะห์เพื่อกำหนดกรอบสาขาวิชาที่จะให้ผู้รับทุนศึกษาให้มีความสอดคล้องกับความต้องการกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และประสานกับแหล่งทุนต่าง ๆ ที่มีการจัดสรรทุนในสาขาวิชาที่ใกล้เคียงกันด้วย นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดนโยบาย ข้อตกลง จุดยืน ความคาดหวัง และบทบาทของสถาบัน AIT ในการกำหนดแนวทางพัฒนาคุณภาพมาตรฐานวิชาการให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภูมิภาคนี้ รวมทั้งต้องตอบสนองต่อแนวทางการพัฒนาประเทศไทย พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนกำหนดข้อตกลงกับสถาบัน AIT ให้ชัดเจน โดยเฉพาะจุดยืนหรือแนวทางความต้องการในการพัฒนาประเทศเพื่อให้การดำเนินงานของสถาบัน AIT สอดรับกับนโยบายและทิศทางการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและกลุ่มอนุภูมิภาคประเทศลุ่มแม่น้ำโขง อาทิ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาองค์ความรู้ และนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อรองรับการแข่งขันในเวทีโลกในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. อนุมัติงบประมาณสนับสนุนการดำเนินการเครือข่ายการศึกษาวิจัยอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMSARN) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗ ปีละ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมในการสนับสนุนสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงประโยชน์และความคุ้มค่าที่มีต่อประเทศไทยด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33849 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การสวนยาง (นายชูชาติ ตันอังสนากุล) | กษ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชูชาติ ตันอังสนากุล ซึ่งเป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อที่กระทรวงการคลังจัดทำขึ้น เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การสวนยาง แทนนายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33850 | การบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิเอเชีย - ยุโรป | กต | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของมูลนิธิเอเชีย - ยุโรป (Asia - Europe Foundation : ASEF) จำนวนปีละ ๒,๕๕๐,๐๐๐ บาท ต่อไป ๒. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศตั้งงบประมาณรองรับเพื่อบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ ASEF จำนวนปีละ ๒,๕๕๐,๐๐๐ บาท สำหรับปีต่อ ๆ ไปทุกปีจนกว่ามูลนิธิเอเชีย - ยุโรปจะพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางการคำนวณสัดส่วนการบริจาค
|
|||||||||||||||||||||||||||
33851 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2554 | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามมติคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ และส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ที่เห็นว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ แต่เห็นควรให้มีแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) ดำเนินการตามแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะทำงานร่วมฯ และแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตอุตสาหกรรมไม้ทุกประเภท (รวมถึงไม้ยางพารา) ที่ได้ปรับปรุงแล้วเสร็จ ไปปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ และให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้รับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว และนำไปปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) เร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ๑.๒ รับทราบผลการศึกษาการยกเลิกอัตราการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยให้คงอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ๕ บาท ต่อกิโลกรัมจนกว่ากองทุนฯ จะชำระหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) แล้วเสร็จ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ เห็นชอบตามข้อเสนอบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย และให้ สศช. ประสานกับภาคเอกชนเพื่อพิจารณาในรายละเอียดการดำเนินงานต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เต็มตามศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบข้อมูลการตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าให้เป็นมาตรฐานสากล และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์และข้อเสนอด้านงบประมาณในการจัดพิมพ์บัตร ตม.๖ ให้เพียงพอ รวมทั้งการปรับปรุงกฎกระทรวงเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบหนังสือเดินทางล่วงหน้าด้วย ๑.๕ รับทราบรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทำหนังสือพร้อมหลักฐานการส่งข้อมูลแผนแม่บทการใช้ประโยชน์ที่ดินและการพัฒนาบนพื้นที่ถมทะเลให้กับคณะกรรมการ ๔ ฝ่าย (ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และนักวิชาการ) ด้วย ๑.๖ รับทราบผลการดำเนินการของกรมศุลกากร ตามมติคณะกรรมการ กรอ. ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ แนวทางแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ในเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ประชุมได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหานำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการกำหนดหน่วยงานที่เป็น Contact Point ให้ชัดเจน โดยให้ สศช. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ แล้วนำเสนอคณะกรรมการ กรอ. พิจารณาต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ กรณีการขอผ่อนปรนกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หากผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่ามีประเด็นใดที่ต้องมีการทบทวนหรือปรับปรุงแก้ไข ก็ควรระบุให้ชัดเจน เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องตรงกันต่อไป ๒.๒ การใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement : EPA) เนื่องจากปัจจุบันยังมีการใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวค่อนข้างน้อย เช่น ความตกลงการค้าไทย - นิวซีแลนด์ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - อินเดีย เป็นต้น ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหาแนวทางเพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนใช้ประโยชน์ของความตกลงการค้าและลงทุนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งควรขยายกรอบของความตกลงการค้าเพื่อให้สามารถขยายขอบเขตการลงทุน ฐานการผลิตในประเทศ และการส่งออก ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
33852 | ขออนุมัติชำระเงินค่าสมาชิกประจำปีสำหรับกองทุน ECDC ในกรอบกลุ่ม 77 และจีน | กต | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายเงินจำนวน ๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของกระทรวงการต่างประเทศ เป็นค่าสมาชิกให้แก่กองทุน (Economic Cooperation among Developing Countries - ECDC) ๒. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศตั้งงบประมาณรองรับเพื่อชำระค่าสมาชิกประจำปีกองทุน ECDC ในกรอบกลุ่ม ๗๗ และจีน ในปีต่อ ๆ ไปทุกปี ตามอัตราที่เรียกเก็บโดยกองทุน ECDC
|
|||||||||||||||||||||||||||
33853 | การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคยุโรป ประจำปี 2554 | กต | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานสรุปผลการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคยุโรป ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ ณ นครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่จาก ๒๑ ประเทศ รวมทั้งผู้แทนเอกเชนเข้าร่วมการประชุม โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีของไทยได้สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับประเทศไทย ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านพ้นวิกฤติและแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แนวทางของรัฐบาลที่เน้นแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแสดงเจตนารมณ์จะให้มีการเลือกตั้งในโอกาสแรกเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งได้ขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ติดตามเรื่องการเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป การจัดทำความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (Partnership and Cooperation Agreement - PCA) ปัญหาการส่งออกผักสดไปสหภาพยุโรป และเชิญชวนประเทศในยุโรปมาลงทุนในไทยรวมทั้งบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงโดยเฉพาะด้านโทรคมนาคม โครงสร้างสาธารณูปโภคและพลังงาน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ รวมทั้งคู่สมรส reach out ในประเทศที่ประจำการให้มากขึ้น เพื่อเน้นย้ำชี้แจงให้ข้อมูลในทุกเวทีที่มีโอกาสเพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของไทย รวมทั้งช่วยกันหาเสียงสนับสนุนไทยในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗ - ๒๐๑๘ และให้เน้นย้ำกับทุกฝ่ายรวมทั้งองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับข้อกล่าวหากรณีรัฐบาลไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง (เมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๓) นอกจากนี้ ขอให้ช่วยกันสร้างความเข้าใจกับบุคคลสำคัญ/พรรคการเมืองในสภายุโรปที่ตั้งอยู่ในแต่ละประเทศสมาชิก รวมทั้งสืบเสาะหาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศที่จะเป็นประโยชน์กับไทย ตลอดจนศึกษาตัวอย่างของการบูรณาการกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จะเป็นแนวทางให้กับ ASEAN Economic Community
|
|||||||||||||||||||||||||||
33854 | การจัดทำแนวปฏิบัติการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร | พณ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญโดยสรุปคือ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นกรรมการและเลขานุการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ รวมทั้งให้มีคณะอนุกรรมการการประกันรายได้เกษตรกรระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอนุกรรมการ และให้มีสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ โดยกรมการค้าภายใน ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ และเป็นศูนย์กลางประสานงาน ๑.๒ กำหนดแนวทางดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรในการพิจารณากำหนดชนิดของสินค้าเกษตรที่จะใช้มาตรการประกันรายได้เกษตรกร ๑.๓ กำหนดให้การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณทุกปี ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงิน จัดทำงบการเงินส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ๑.๔ กำหนดให้การดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว หรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ และวิธีการเดิมจนแล้วเสร็จต่อไปได้ และให้ถือว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับการกำหนดให้กรมส่งเสริมการเกษตรทำหน้าที่เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ประกันรายได้ การทำประชาคม และการออกหนังสือรับรองฯ แต่โดยที่คู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจได้กำหนดหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรครอบคลุมถึงการทำประชาคมและการออกหนังสือรับรองแล้ว จึงสมควรตัดการทำหน้าที่ “การทำประชาคม” และ “การออกหนังสือรับรอง” ในร่างระเบียบฯ ออก และความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มผู้แทนกระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓ เห็นชอบคู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ และคู่มือการจัดทำสัญญาประกันรายได้ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33855 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดหนองกะพ้อ ตำบลทุ่งควายกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดหนองกะพ้อ ตำบลทุ่งควายกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดหนองกะพ้อ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๒๘๓/๑๘๘ ตำบลทุ่งควายกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เนื้อที่ ๑ ไร่ ๐ งาน ๗๕ ตารางวา ให้แก่กรมทางหลวง ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33856 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2553 | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายสุรเชษฐ แวอาเซ) เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมฯ ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. เห็นควรมีโครงการสร้างอุโมงค์เก็บกักน้ำใต้ดินตามจุดต่าง ๆ ที่สามารถเก็บน้ำได้ ๑๐,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ ๑,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณ) ในจังหวัดที่ผลิตข้าว รวมทั้งการแก้ไขปัญหาน้ำแล้งอย่างถาวร ๒. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรมีบทบาทในการส่งเสริมนักเรียน นักศึกษาให้สนใจเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น รวมทั้งผลักดันให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงศึกษาธิการมีการร่วมมือในเชิงบูรณาการ ๓. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรหาแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์ไทยทำงานในประเทศ และเชิญนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศที่มีความรู้ความสามารถมาทำงานในประเทศไทย ๔. พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๒ หน้า ๓๓ มาตรา ๔ นิยามคำศัพท์ว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายถึง ข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารข้าราชการการเมือง ๒๕๕๒ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีคำว่า “ผู้ช่วยรัฐมนตรี” เห็นควรแก้ไขพระราชบัญญัติฯ เพื่อให้ครอบคลุมกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี หรือ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี” กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี” ควรมีการแก้ไขให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ควรแก้ไขใน (๑๖) ข้าราชการ พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ซึ่งมีพระราชกฤษีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๕. ร่างพระราชบัญญัติ “ผู้ช่วยรัฐมนตรี” ที่มีอยู่ในนิยามศัพท์ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี “กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี” หมายถึงชื่อเดียวกันหรือตำแหน่งเดียวกันหรือไม่ ๖. กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ควรระบุสถานภาพทางกฎหมายให้มีความชัดเจน ๗. แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรเป็น เนื่องจากไม่เป็นแหล่งที่พัฒนาด้านความรู้ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา ๘. แหล่งท่องเที่ยวทางอินเทอร์เน็ต ควรมีการจัดทำพิพิธภัณฑ์ทางอินเทอร์เน็ตเพราะสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ขนาดใหญ่ได้ในเบื้องต้น ๙. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปัจจุบันมีหลายแห่งที่มีความพร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้และมีการพัฒนาการนำเสนอรูปแบบให้เป็นที่สนใจของประชาชน ๑๐. ส่งเสริมและสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวไทยให้มีการพัฒนาและเป็นที่สนใจในระดับสากล ๑๑. การตรวจคนเข้าเมือง ควรมีช่อง Asian Lane ที่มีประสิทธิภาพเพื่อเป็นช่องทางเข้าเมืองสำหรับนักท่องเที่ยว กลุ่มที่เข้ามาส่งเสริมการลงทุน นักการทูต นักการเมืองในอาเซียนทั้งหมดให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ๑๒. การจัดตั้งสถานีตำรวจสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเรื่องที่มีความเหมาะสมเนื่องจากสามารถเข้าดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวในสนามบินได้อย่างรวดเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
33857 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาโดมน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาโดมน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทาน ดังต่อไปนี้ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
๑. ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลโนนกลาง อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ถึงกิโลเมตรที่ ๖๕.๖๐๐ ในท้องที่ตำบลกุดชมพู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ๒. ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลโนนกลาง อำเภอพิบูลมังสาหาร ถึงกิโลเมตรที่ ๒๕.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลคันไร่ อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
|
|||||||||||||||||||||||||||
33858 | ข้อเสนองบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | สธ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับข้อเสนองบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบรายการงบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในส่วนที่มีความแตกต่างกันในสาระสำคัญ แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันจันทร์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
33859 | ความคืบหน้าการใช้งานตามโครงการฟอนต์มาตรฐานราชการไทย | ทก | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าการใช้งานตามโครงการฟอนต์มาตรฐานราชการไทย โดยหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้ให้ความร่วมมือในการติดตั้งฟอนต์สารบรรณ และฟอนต์ทั้ง ๑๓ ฟอนต์ ตามโครงการฟอนต์มาตรฐานราชการไทย เพิ่มเข้าไปในระบบปฏิบัติการที่รองรับภาษาไทยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ปัญหาอุปสรรคในการใช้งาน คือ ตัวอักษรของฟอนต์ TH Sarabun PSK มีลักษณะจางไม่คมชัดในการใช้งานในระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า ซึ่งทางสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้ปรับปรุงเพื่อให้สามารถแสดงผลให้คมชัดมากขึ้น ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการทดสอบความสมบูรณ์ก่อนนำฟอนต์ TH Sarabun PSK รุ่นปรับปรุงเผยแพร่ให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ นำไปใช้แทนรุ่นเดิมที่มีปัญหา ทั้งนี้ สำนักงานฯ ได้แจ้งวิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้หน่วยงานต่าง ๆ โดยผู้ใช้ที่พบปัญหาสามารถตั้งค่าการแสดงผลของระบบปฏิบัติการให้ฟอนต์ TH Sarabun PSK คมชัดขึ้นระดับหนึ่งอันเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
33860 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การให้ความช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2553 | กษ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การให้ความช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๓ สรุปผลการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ การให้ความช่วยเหลือในระยะที่ ๑ ได้มีการจัดเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยสำรองเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง จำนวน ๑๖,๓๙๐ ตัน และแจ้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อจัดส่งเมล็ดพันธุ์ให้แก่จังหวัดต่าง ๆ โดยมีการจัดส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวแล้ว จำนวน ๑๐,๗๔๙.๗ ตัน และอยู่ระหว่างจัดส่ง จำนวน ๑,๒๑๓.๔ ตัน รวมเป็นจำนวน ๑๑,๙๖๓.๑ ตัน คาดว่าจะดำเนินการจัดส่งแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ นอกจากนี้ ยังมีองค์กรและภาคเอกชนให้การช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรเพิ่มเติม ประกอบด้วย องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จำนวน ๑๒๙.๙ ตัน และสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓ จำนวน ๑,๓๘๐.๕ ตัน ๑.๒ การให้ความช่วยเหลือในระยะที่ ๒ เมื่อได้รับข้อมูลจากพื้นที่ครบทุกจังหวัดแล้วจะตรวจสอบรายละเอียดให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือ และจะเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) ในเรื่องการตรวจสอบจำนวนเมล็ดพันธุ์ข้าวให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบในการรายงานครั้งต่อไป
|
.....