ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1626 จากทั้งหมด 6224 หน้า แสดงรายการที่ 32501 - 32520 จากข้อมูลทั้งหมด 124466 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 32501 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภา เรื่อง กรณีการลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิต (Refinance หนี้บัตรเครดิต) | สว | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา เรื่อง กรณีการลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิต (Refinance หนี้บัตรเครดิต) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยผลการดำเนินการของกระทรวงการคลัง มีดังนี้
๑. กรณีการลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิต (Refinance หนี้บัตรเครดิต) สถาบันการเงินของรัฐจัดทำโครงการลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิตโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของประชาชน และกระตุ้นให้สถาบันการเงินภาคเอกชนปรับนโยบายการคิดอัตราดอกเบี้ยและค่าปรับกับลูกหนี้บัตรเครดิตที่มีวินัยการเงินดี (สถานะหนี้ปกติ) ให้ต่ำกว่าอัตราที่คิดกับลูกหนี้บัตรเครดิตที่มีสถานะหนี้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่ง ณ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๔ มีประชาชนได้รับอนุมัติวงเงินจากการเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๖,๙๒๗ ราย คิดเป็นวงเงิน ๗๒๑.๔๙ ล้านบาท ในขณะที่ผู้ประกอบการบัตรเครดิตเอกชนบางรายได้ออกมาตรการเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ เช่น การออกนโยบายรับโอนยอดหนี้คงค้างบัตรเครดิตในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๙.๙ เป็นระยะเวลา ๑๐ เดือน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าของโครงการและลูกค้าไม่ต้องยกเลิกบัตรเครดิตเดิมที่มีอยู่ ๒. กรณีการกำหนดเงื่อนไขดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาภาระหนี้ภาคประชาชน กระทรวงการคลังจะนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาภาระหนี้ภาคประชาชนต่อไป โดยเฉพาะโครงการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เช่น โครงการพักชำระหนี้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น และได้มอบหมายให้สถาบันการเงินของรัฐไปพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32502 | ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้และรายละเอียดเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๑๔๙,๑๐๙.๘๐ ล้านบาท เพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และกระจายภาระหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในอนาคต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32503 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะศึกษาด้านการบริหารและค้นคว้าทางภาษีอากรแห่งเอเชีย (SGATAR) ครั้งที่ 42 และการประชุมหัวหน้าสถาบันฝึกอบรมของสมาชิก (SGATAR) ครั้งที่ 6 | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดการประชุมคณะศึกษาด้านการบริหารและค้นคว้าทางภาษีอากรแห่งเอเชีย (Study Group on Asian Tax Administration and Research : SGATAR) ครั้งที่ ๔๒ ควบคู่กับการประชุมหัวหน้าสถาบันฝึกอบรมของสมาชิก SGATAR ครั้งที่ ๖ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ โรงแรมแชงกรีล่า จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32504 | ขออนุมัติให้ประเทศไทยลงนามในพิธีสาร 6 พรมแดนสำหรับรถไฟและสถานีชุมทาง | คค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ประเทศไทยลงนามในพิธีสาร ๖ พรมแดนสำหรับรถไฟและสถานีชุมทาง (Protocol 6 Railways Border and Interchange Stations) เพื่อใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการเดินรถไฟระหว่างประเทศในการขนส่งสินค้าสำหรับการรถไฟในอาเซียน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างพิธีสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32505 | การลงนามในความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอล | พณ | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอล มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของแต่ละประเทศ และการอำนวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ ให้แก่กันในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่แต่ละประเทศจัดขึ้น โดยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ และหลังจากลงนามแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันความตกลงของประเทศไทยต่อประเทศอิสราเอลอย่างเป็นทางการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32506 | ขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในการเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการพร้อมขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เป็นอาคาร คสล. 11 ชั้น โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | สธ | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ในการเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการค่าก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากเดิม อาคาร คสล. ๑๐ ชั้น วงเงินค่าก่อสร้าง ๓๓๕,๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นอาคาร คสล. ๑๑ ชั้น พื้นที่ใช้สอย ๑๙,๑๔๐ ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร วงเงินค่าก่อสร้าง ๓๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เป็นอาคาร คสล. ๑๑ ชั้น โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรให้แล้ว จำนวน ๔๗,๘๗๓,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ จำนวน ๓๓๐,๑๒๗,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32507 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว และจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... | กก | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว และจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยว ดังนี้
๑. กำหนดให้การจำหน่ายบัตรโดยสารเครื่องบิน และการให้บริการเกี่ยวกับเรือสำราญเป็นบริการเกี่ยวกับธุรกิจนำเที่ยว ยกเว้นการจำหน่ายบัตรโดยสารเครื่องบินโดยผู้ดำเนินการเดินอากาศ ๒. กำหนดประเภทการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว เป็น ๔ ประเภท ได้แก่ การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภทเฉพาะพื้นที่ การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภทภายในประเทศ การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภทนำเที่ยวจากต่างประเทศ และการประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภททั่วไป ๓. กำหนดวิธีการยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว โดยให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลางหรือสาขาแล้วแต่กรณี ที่มีอำนาจครอบคลุมสำนักงานของผู้ขอรับใบอนุญาต ๔. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายการสถานะผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และการออกใบแทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว ๕. กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องวางหลักประกันต่อนายทะเบียน โดยระบุด้วยว่า หลักประกันที่วางนั้นเป็นเงินสด หรือหนังสือค้ำประกันของธนาคาร หรือพันธบัตรรัฐบาลไทยหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างรวมกัน และลงลายมือชื่อไว้ ๖. กำหนดจำนวนเงินของหลักประกันที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องนำมาวาง ไ0ด้แก่ การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภทเฉพาะพื้นที่ ๑๐,๐๐๐ บาท การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภทภายในประเทศ ๕๐,๐๐๐ บาท การประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภทนำเที่ยวจากต่างประเทศ ๑๐๐,๐๐๐ บาท และการประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภททั่วไป ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๗. กำหนดให้ในกรณีที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยววางหลักประกันเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย จะต้องเป็นชนิดที่ขายคืนได้ก่อนครบกำหนดชำระต้นเงิน และผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่วางหลักประกันจะต้องโอนเงินกรรมสิทธิ์ให้แก่กรมการท่องเที่ยว ส่วนดอกผลอันเกิดจากพันธบัตร กรมการท่องเที่ยวจะมอบให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่วางหลักประกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32508 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งส่วนราชการในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... | ศธ | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งส่วนราชการในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการจัดตั้งส่วนราชการในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์เสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมาย โดยเปลี่ยนชื่อ “สำนักฝึกอบรม” เป็น “สำนักสิริพัฒนา” และ “สำนักการศึกษาระบบสารสนเทศ” เป็น “สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ” ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32509 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม 2 ฉบับ | ทส | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจเกี่ยวกับการเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการของกระทรวงในการพัฒนายุทธศาสตร์และแปลงนโยบายของกระทรวงเป็นแผนการปฏิบัติงาน จัดสรรทรัพยากรและบริหารราชการทั่วไปของกระทรวง ให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ราชการบริหารส่วนกลาง มี ๖ สำนัก ๑ ศูนย์ ๑๖ สำนักงาน และราชการบริหารส่วนภูมิภาค ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๔ กำหนดให้มีกลุ่มกฎหมาย กลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่อปลัดกระทรวง และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๔๕ ๒.๒ กำหนดให้กรมทรัพยาธรณี มีภารกิจเกี่ยวกับการสงวน การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการบริหารจัดการด้านธรณีวิทยา ทรัพยากรธรณี ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและธรณีพิบัติภัย โดยการสำรวจ ตรวจสอบ และวิจัยสภาพธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี การประเมินศักยภาพแหล่งทรัพยากรธรณี การกำหนดและกำกับดูแลเขตพื้นที่สงวน อนุรักษ์ทรัพยากรธรณี และพื้นที่เสี่ยงต่อธรณีพิบัติภัย เพื่อการพัฒนาทรัพยากรธรณี คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุด และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ๔ สำนัก ๑ สำนักงาน ๒ กอง ๑ ศูนย์ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒.๔ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มนิติกร และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่ออธิบดีกรมทรัพยากรธรณี และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32510 | ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดเวียงสระ ขนาด 8 บัลลังก์ 1 หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ | นร | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดเวียงสระ ขนาด ๘ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงินจำนวน ๑๐๙,๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๒๓,๐๒๙,๒๐๘.๓๖ บาท โดยค่างานส่วนที่เพิ่มขึ้นจำนวน ๑๓,๘๒๙,๒๐๘.๓๖ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินค่าธรรมเนียมศาล หรือพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดเวียงสระ ขนาด ๘ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงินจำนวน ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒,๐๔๒,๐๐๐ บาท โดยค่างานส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๒๔๒,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินค่าธรรมเนียมศาล หรือพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32511 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2555-2557 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการในการ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนฯ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ประกอบด้วยกิจกรรมที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของระบบและกลไกการดำเนินงานตามแผนงานและแนวทาง ๔ ด้าน รวมทั้งการจัดให้มีคณะกรรมการระดับจังหวัด ซึ่งต้องดำเนินการในระยะเริ่มแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ ๗ แห่ง ได้แก่ พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอุทยานสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี พื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร พื้นที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม พื้นที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก พื้นที่อุทยานแห่งชาติทะเลบัน จังหวัดสตูล พื้นที่อุทยานแห่งชาติปางสีดา จังหวัดสระแก้ว และพื้นที่อุทยานแห่งชาตินายูง - น้ำโสม จังหวัดอุดรธานี โดยมีแผนงานและแนวทางดำเนินงานในการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง การกำหนดวิธีการจัดการเฉพาะในพื้นที่ โดยประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและชุมชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิด การสำรวจและศึกษาสมุนไพรแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูล และนำไปสู่การจัดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม รวมทั้งการกำกับติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผนและกฎหมาย รวบรวมรายชื่อสมุนไพรที่สำรวจพบในแต่ละพื้นที่ และการจำแนกสมุนไพรออกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ สมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สมุนไพรที่อาจสูญพันธุ์ และประมาณการงบประมาณทั้ง ๗ พื้นที่ รวมทั้งสิ้น ๙,๔๕๕,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ การจัดทำแผนที่แสดงขอบเขตของพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรภายในพื้นที่อนุรักษ์ การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ทั้ง ๗ พื้นที่ การพิจารณาให้มีกลไกการเข้าถึงข้อมูลและดัชนีชีวภาพที่เป็นสมุนไพรต่าง ๆ รวมทั้งการประเมินผลแผนที่ดำเนินการในช่วงระยะแรกเพื่อนำมาใช้ปรับแนวทางการคุ้มครองสมุนไพรและขยายผลไปยังเขตพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32512 | มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) มีวัตถุประสงค์เพื่อลดข้อจำกัดของภาครัฐในด้านงบประมาณการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือบุคคลอื่น และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ สำหรับรายรับจากการโอนทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานและสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกันหรือให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การของรัฐบาลตามสัญญา และยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา สำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นระยะเวลา ๑๐ ปี นับแต่วันที่กองทุนรวมจดทะเบียนจัดตั้งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรมีการนิยามความหมายของคำว่า “โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)” ให้ชัดเจน เนื่องจากรายละเอียดเดิมที่นำเสนอในบางหมวดหมู่มีความหมายที่กว้างมาก เช่น โทรคมนาคม หรือระบบขนส่งทางราง จึงควรมีการกำหนดนิยามย่อยของแต่ละหมวดหมู่ให้ละเอียด ประกอบไปด้วยกิจการใดบ้าง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบในหลักการลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ประกอบด้วย การลดหย่อนค่าจดทะเบียนการโอน จากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ ทั้งนี้ ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับธุรกรรมการโอนอสังหาริมทรัพย์กรณีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้รับโอนหรือผู้โอนอสังหาริมทรัพย์ การลดหย่อนค่าจดทะเบียนการจำนอง จากร้อยละ ๑ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ ทั้งนี้ ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับธุรกรรมการจดทะเบียนการจำนอง กรณีที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้ขอจดทะเบียนเพื่อเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน และการลดหย่อนค่าจดทะเบียนการเช่า จากร้อยละ ๑ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ ทั้งนี้ ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับธุรกรรมการจดทะเบียนการเช่ากรณีที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วง และกรณีที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้ให้เช่าหรือผู้ให้เช่าช่วง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เห็นชอบขั้นตอนการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจ โดยให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอเรื่องผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการ ควรมีผลตอบแทนในระดับที่สามารถจูงใจนักลงทุนได้ และเป็นกิจการที่จะไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และควรมีการศึกษารายละเอียดผลกระทบของแต่ละแผนงาน/โครงการ แล้วนำมาบูรณาการในภาพรวม เพื่อกำหนดกรอบการลงทุนและแนวทางในการระดมทุนให้ชัดเจนให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32513 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) | กษ | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อยกฐานะสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้นเป็นกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี และบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังที่เป็นของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานฝนหลวงและการบินเกษตร ไปเป็นของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดสรรอัตรากำลังให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32514 | ความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในโครงการสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนโดยสหภาพยุโรป | กต | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในโครงการสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนโดยสหภาพยุโรป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการรวมตัวของอาเซียน โดยสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยมีงบประมาณโครงการทั้งหมด ๑๕,๓๐๐,๐๐๐ ยูโร ประชาคมยุโรปให้การสนับสนุนสูงสุดจำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ ยูโร และอาเซียนให้การสนับสนุน ๓๐๐,๐๐๐ ยูโร ทั้งนี้ ความตกลงฯ จะนำไปสู่การดำเนินโครงการเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและการสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรของอาเซียน ในรูปแบบการให้คำแนะนำ การศึกษา ทัศนศึกษา การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับคือ สร้างความเข้มแข็งให้กับการบริหารจัดการกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนโดยรวม สร้างความเข้มแข็งให้กับการเคลื่อนย้ายสินค้าในอาเซียนอย่างเสรี และสร้างความเข้มแข็งให้กับสำนักเลขาธิการอาเซียนในการสนับสนุนการดำเนินการและการรวมตัวตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ในนามของรัฐบาลไทย ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เลขาธิการอาเซียนสำหรับลงนามในความตกลงฯ ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32515 | ขอความเห็นชอบในการเพิกถอนพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยตาเปอะ (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ตำบลบ้านค้อ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร | กษ | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเพิกถอนพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำออกจากพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐานบางส่วน จำนวนเนื้อที่ประมาณ ๘๔๐ ไร่ เพื่อให้กรมชลประทานดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยตาเปอะ (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ตำบลบ้านค้อ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร โดยมีแผนการดำเนินการในกรอบวงเงิน ๑๙๙,๑๒๔,๐๐๐ บาท ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อให้การจัดการน้ำส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน การจัดหาและบริหารแหล่งน้ำขนาดเล็กในระดับชุมชนภายในพื้นที่รับประโยชน์ของโครงการฯ เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรอง และการทำการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบต่อสัตว์ป่าก่อนดำเนินการก่อสร้าง สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างโครงการฯ จำนวน ๑๙๙,๑๒๔,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ ให้กรมชลประทานหารือกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อสร้างโครงการฯ และกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจนก่อนดำเนินโครงการฯ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32516 | โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ หลักการดำเนินโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ หลักการดำเนินโครงการพักหนี้ครัวเรือนเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท อย่างน้อย ๓ ปี เฉพาะหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้เท่านั้น ซึ่งมีผู้มีสิทธิประมาณ ๗๗๕,๐๙๐ บัญชี มูลหนี้คงค้าง ๙๐,๕๐๒.๕๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ กลุ่มเป้าหมายโครงการพักหนี้ฯ ๒ กลุ่ม ได้แก่ ๑.๑.๒.๑ ลูกค้าบุคคลธรรมดาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่กู้เงินแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อการประกอบอาชีพ จัดหาที่อยู่อาศัย การศึกษา และการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีหนี้ค้างชำระ และ/หรือหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส) โดยไม่รวมลูกหนี้ที่เคยถูกดำเนินคดีและอยู่ระหว่างดำเนินคดีโดย ธ.ก.ส. และมีหนี้ต้นเงินกู้คงเหลือรวมทุกสัญญาในทุกสถาบันการเงินรวมกันรายละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ โดยเป็นสถานะหนี้ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๑.๑.๒.๒ ลูกค้าบุคคลธรรมดาของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๕ แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ที่กู้เงินแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อการประกอบอาชีพ จัดหาที่อยู่อาศัย การศึกษา และรักษาพยาบาล ฯลฯ ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีสถานะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Loans - NPLs) และ/หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยไม่รวมลูกหนี้ที่เคยถูกดำเนินคดีและอยู่ระหว่างดำเนินคดีโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น มีหนี้ต้นเงินกู้คงเหลือรวมทุกสัญญาในทุกสถาบันการเงินรวมกันรายละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นสถานะหนี้ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ และเป็นผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๑.๓ ระยะเวลาพักหนี้ ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ๑.๑.๔ ระยะเวลาเริ่มต้นโครงการ สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้องจะเริ่มดำเนินโครงการโดยเปิดลงทะเบียนลูกค้าที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๓ เดือน ๑.๒ กรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง ๖ แห่ง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธพว. ธอส. ธอท. และ บตท. ประสานกับสำนักงบประมาณในการขอตั้งงบประมาณต่อไป ๑.๓ หลักการปรับปรุงระบบข้อมูลเครคิตของลูกค้าในฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และมีมติให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตแก้ไขเพิ่มเติมประกาศเรื่องรหัสสถานะบัญชี ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการควรครอบคลุมเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกรอื่น และควรกำหนดแนวทางและมาตรการในการตรวจสอบลูกหนี้ผู้เข้าร่วมโครงการให้ตรงตามคุณสมบัติอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในประเด็นการไม่สามารถชำระหนี้ด้วยเหตุสุดวิสัยและจำเป็น เพื่อมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างลูกค้าที่ชำระหนี้ตรงตามกำหนดเวลา และมิให้ลูกหนี้เสียวินัยทางการเงิน และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเน้นให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์โครงการและได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นกรณีแรก รวมทั้งให้กระทรวงการคลังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาหลักสูตรของแผนการฟื้นฟูและพัฒนาลูกหนี้ให้ครอบคลุมเนื้อหาการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การออม การลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างวินัยทางการเงิน ตลอดจนแนวทางการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ การลดรายจ่ายและต้นทุนในการประกอบอาชีพ การสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือน เพื่อนำไปสู่การพึ่งพาตนเองและชุมชนได้อย่างยั่งยืนสอดคล้องตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32517 | ร่างเอกสารสำคัญด้านเศรษฐกิจที่จะเสนอผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 19 | พณ | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ร่างเอกสาร ASEAN Framework for Equitable Economic Development Guiding Principles for Inclusive and Sustainable Growth โดยสาระสำคัญของร่างเอกสารฉบับนี้เน้นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน (Inclusive and equitable growth) และวางแนวทางการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในอีก ๓ เสาหลัก (ได้แก่ การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน และการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก) ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) เพื่อเสริมสร้างความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ เช่น การส่งเสริมให้สมาชิกอาเซียนที่มีการพัฒนาช้ากว่าสามารถใช้โอกาสและได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนได้อย่างเต็มที่ การเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันโดยคำนึงถึงการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน การให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาและทักษะเพื่อเพิ่มผลผลิต การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนการจัดทำแผนฉุกเฉินกรณีที่เกิดเหตุการณ์ผันผวนทางเศรษฐกิจ และการรับความช่วยเหลือทางการเงินของประเทศคู่เจรจาและองค์กรภายนอกอื่น ๆ ๑.๒ ร่างเอกสาร ASEAN Framework for Regional Comprehensive Economic Partnership โดยสาระสำคัญของร่างเอกสารฉบับนี้เป็นการกำหนดกรอบและหลักการพื้นฐานของอาเซียน (ASEAN General Principles) ในการขยายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Regional Comprehensive Economic Partnership Agreement) กับประเทศภาคีความตกลงเขตการค้าเสรีของอาเซียนในปัจจุบัน (ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย - การเจรจากับประเทศหลังสุดนี้ยังไม่เสร็จสิ้น) ที่มีความสนใจจะเข้าร่วม ตามเป้าหมาย ๑ ใน ๔ ข้อที่ถือเป็นเสาหลักที่กำหนดใน AEC Blueprint คือ การที่อาเซียนบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก โดยเน้นบทบาทของอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality) ในการขับเคลื่อนการดำเนินการและการเจรจา ตามที่กำหนดไว้ในกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ๒. มอบให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวกับผู้นำประเทศสมาชิกอื่น ๆ ของอาเซียน ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32518 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็กแปลงที่หนึ่ง และป่าดงพญาเย็น ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง ตำบลหนองย่างเสือ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย) | ทส | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็กแปลงที่หนึ่ง และป่าดงพญาเย็น ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง ตำบลหนองย่างเสือ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็กแปลงที่หนึ่ง และป่าดงพญาเย็น ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง ตำบลหนองย่างเสือ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32519 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางบาล - มหาพราหมณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... | นร | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางบาล - มหาพราหมณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยเพิ่มข้อความ “ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ในการกำหนดวัตถุประสงค์ของการวางและจัดทำผังเมืองรวม แก้ไขรูปแบบการกำหนดสาระของนโยบายและมาตรการ ตัดข้อยกเว้นในข้อห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินกรณี “โรงงานบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน” ออก รวมทั้งแก้ไขรูปแบบข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่งท้ายกฎกระทรวงฯ เพื่อให้เป็นไปตามแบบการร่างกฎหมาย ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบ้านกุ่ม ตำบลบางชะนี ตำบลไทรน้อย ตำบลบางบาล ตำบลวัดยม ตำบลกบเจา ตำบลสะพานไทย ตำบลมหาพราหมณ์ อำเภอบางบาล ตำบลบ้านใหม่ และตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32520 | ขอขยายเวลาเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาการพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ออกไปอีก ๔ เดือน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เนื่องจากการพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนด้านนโยบายจากกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
