ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1628 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 32541 - 32560 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
32541 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | มท | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลบางกระทุ่ม และบางส่วนของตำบลไผ่ล้อม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
32542 | การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงแรงงาน | รง | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ กระทรวงแรงงาน ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค โดยให้หน่วยงานในสังกัดเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ เพื่อให้ความช่วยเหลือตามภารกิจและมาตรการต่าง ๆ ของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน ๒. การพิจารณาเงินช่วยเหลือจากการดำเนินงานตามแผนที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว จำนวน ๕,๘๘๑,๕๒๔ บาท เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อนใน ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา โดยสามารถให้ความช่วยเหลือได้ประมาณ ๑๑,๕๐๐ คน เป็นการจ้างงานให้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสาธารณะ ประมาณ ๖ - ๗ วัน ค่าจ้างวันละ ๑๕๐ บาท ๓. จัดทำโครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อน จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้เดือดร้อนได้ไม่น้อยกว่า ๗๕,๐๐๐ คน
|
|||||||||||||||||||||||||||
32543 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 3 | ทส | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมและแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ที่ประชุมได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมและให้การรับรองกรอบแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดทำแนวเชื่อมต่อเพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ [Core Environment Program and Biodiversity Conservation Corridors Initiative (CEP - BCI) Phase II Program Framework Document 2012 - 2016] ซึ่งสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมและกรอบแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฯ เป็นการแสดงความยินดีต่อการดำเนินความร่วมมือที่ผ่านมาระหว่างประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่จะดำเนินความร่วมมือตามแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฯ ระยะที่ ๒ โดยมิได้ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ และใช้วิธีการรับรอง (Endorse) โดยไม่มีการลงนาม ๑.๑.๒ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Sub - region : GMS) และหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในการกำหนดมาตรการร่วมกันในการจัดการความท้าทายเพื่อบรรลุการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน รวมทั้งการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๑.๑.๓ ผู้แทนประเทศสมาชิก GMS ได้ร่วมกันหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นในการดำเนินงานตามแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฯ ระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๔ และร่วมกันพิจารณาแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฯ ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ซึ่งจะเป็นเอกสารผลลัพธ์ที่สำคัญของการประชุม ๑.๑.๔ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาเอกสารที่เป็นผลลัพธ์ของการประชุม จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ กรอบแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดทำแนวเชื่อมต่อเพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ [Core Environment Program and Biodiversity Conservation Corridors Initiative (CEP - BCI) Phase II Program Framework Document 2012 - 2016] มีสาระสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการระบบนิเวศน์ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะบูรณาการมาตรการต่าง ๆ กับการดำเนินงานของสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การเกษตร การคมนาคม การท่องเที่ยว และพลังงาน โดยจะมีการดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบการวางแผนการพัฒนา วิธีการและมาตรการปกป้องและปรับปรุงการบริหารจัดการด้านการอนุรักษ์ในเชิงพื้นที่เพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมการพัฒนาคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเรื่องการเงินที่ยั่งยืนสำหรับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๓ (Joint Statement for the 3rd GMS Environment Ministers’ Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความยินดีต่อการดำเนินความร่วมมือที่ผ่านมาระหว่างประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่จะดำเนินความร่วมมือตามแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฯ ระยะที่ ๒ ๑.๒ เห็นชอบกรอบแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดทำแนวเชื่อมต่อเพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยหากมีความจำเป็น โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งเห็นชอบให้เสนอเอกสารดังกล่าวต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๔ (The 4th GMS Summit) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานะและข้อมูลล่าสุดของโครงการ Municipalities and Energy Efficiency ซึ่งเป็นโครงการการรับความช่วยเหลือด้านเงินกู้และความช่วยเหลือด้านวิชาการของประเทศกับธนาคารพัฒนาเอเชีย [Asian Development Bank (ADB)] รวมทั้งพิจารณาให้ความสำคัญกับเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) เพื่อสร้างความสามารถ ตามที่ระบุในเอกสารข้อ ๒๔. Capacity development ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
32544 | ขออนุมัติการกู้เงินให้ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการ Airport Rail Link | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติ เห็นชอบ และรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางและรูปแบบในการจัดหาเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้แก่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการ Airport Rail Link โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้กู้เงินจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ วงเงิน ๑,๘๖๐ ล้านบาท โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ และให้ รฟท. นำเงินกู้ดังกล่าวมาให้กู้ต่อแก่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ตามมาตรา ๓๙(๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ รฟท. วงเงิน ๑,๘๖๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ เห็นชอบเงื่อนไขการรับภาระดอกเบี้ยของรัฐบาล โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระดอกเบี้ยเงินกู้แทนบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ในระยะเวลา ๑๐ ปีแรก และให้กระทรวงการคลังเข้าร่วมถือหุ้นในบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ตามภาระการชดเชยภาระดอกเบี้ย ๑.๔ รับทราบความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) และแผนการจัดหารายได้ในเชิงพาณิชย์ของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม รฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ดำเนินการต่อไป ๑.๕ รับทราบผลจากการดำเนินนโยบายค่าโดยสารอัตราเดียว (๒๐ บาท ตลอดสาย) ของรัฐบาล ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม รฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเตรียมความพร้อมหากต้องดำเนินการตามนโยบายค่าโดยสารอัตราเดียว (๒๐ บาทตลอดสาย) ของรัฐบาล โดยการจัดทำแผนการดำเนินการและมาตรการลดผลกระทบทางการเงิน เร่งรัดการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การเร่งจัดหารายได้จากการให้บริการส่วนอื่น ๆ และการศึกษาผลกระทบต่อภาครัฐจากการใช้นโยบายราคาค่าโดยสารคงที่ ๒๐ บาท ตลอดสาย นอกจากกนี้ ให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เร่งพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) และแผนการจัดหารายได้เชิงพาณิชย์เพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถลดการสนับสนุนจากภาครัฐต่อไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในส่วนของการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) และแผนการจัดหารายได้เชิงพาณิชย์ของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกับการดำเนินการในเชิงธุรกิจมากยิ่งขึ้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
32545 | ขออนุมัติการกู้เงินในประเทศและให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศและให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก่อสร้างโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน และค่า Provision sum ของงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ วงเงิน ๑๙,๓๘๑ ล้านบาท และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ วงเงิน ๑๗,๘๓๘ ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุน โดยให้ รฟม. บันทึกการลงทุนดังกล่าวเป็นส่วนของทุน ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๑.๓ ให้ รฟม. ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการสายสีเขียวเข้ม ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร เร่งเจรจากับกรุงเทพมหานครเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการเดินรถไฟฟ้า โดยให้ครอบคลุมรายละเอียดทางด้านเทคนิคของระบบต่าง ๆ เพื่อให้การเดินรถในอนาคตสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างบูรณาการ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ รฟม. จัดทำแผนการดำเนินงานก่อสร้างโครงการ แผนการกู้เงิน และแผนการเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารจัดการแผนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องตามแผนการใช้จ่ายจริง เพื่อไม่ให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นในด้านดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องโดยไม่มีเหตุผลอันควรอันจะก่อให้เกิดภาระแก่งบประมาณแผ่นดินในระยะยาวได้ และให้ รฟม. และกระทรวงคมนาคม ประสานกับกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าของโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) เพื่อพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงเส้นทางโครงการฯ กับโครงการรถไฟฟ้า BTS ทั้งในด้านการเชื่อมระบบทั้งในด้านวิศวกรรม เทคนิคและระบบการเชื่อมต่อการเดินรถ การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมและการใช้ระบบตั๋วโดยสารร่วม รวมทั้งพิจารณาแนวทางการแบ่งรายได้ค่าโดยสารระหว่างโครงการรถไฟฟ้า BTS และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ที่เหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนี้ ให้ รฟม. เร่งศึกษารูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนจัดหาระบบรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้าและให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มฯ ที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการและภาระการลงทุนของภาครัฐโดยรวม ทั้งนี้ ในกรณีที่ รฟม. มีความจำเป็นต้องขยายแนวเส้นทางของโครงการเพิ่มจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ให้เร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในส่วนของการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ รฟม. เพื่อปรับแนวทางการบริหารจัดการการเดินรถไฟฟ้าให้เหมาะสม ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
32546 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สรุปผลการประชุมหารือสถานการณ์อุทกภัย | กษ | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สรุปผลการประชุมหารือสถานการณ์อุทกภัย และรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประชุมหารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการเกิดอุทกภัยซ้ำ และการบริหารจัดการลุ่มน้ำให้มีประสิทธิภาพ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำเร่งตรวจสอบแผนงานในความรับผิดชอบที่มีความพร้อมสามารถเริ่มดำเนินงานได้ทันทีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อดำเนินการในระยะเร่งด่วนโดยเริ่มในลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบภัยซ้ำซาก และให้กรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการนำแผนงานของกรมทรัพยากรน้ำมาบูรณาการร่วมกับแผนพัฒนาการชลประทานระดับลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นแผนการบริหารจัดการน้ำใน ๒๕ ลุ่มน้ำ ที่กรมชลประทานได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบในหลักการแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ๒. กรมชลประทานได้ประชุมหารือร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และจะเร่งจัดทำข้อมูลแผนงานที่มีความพร้อม สามารถดำเนินการได้ทันทีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กรมชลประทานเพื่อนำมาบูรณาการร่วมกับแผนการบริหารจัดการน้ำใน ๒๕ ลุ่มน้ำของกรมชลประทาน ส่วนแผนการดำเนินงานระยะกลางและระยะยาว กรมชลประทานจะประสานให้กรมทรัพยากรน้ำมาร่วมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอีกครั้งในโอกาสต่อไป ๓. กรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำได้ร่วมเป็นเจ้าภาพในการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการเกิดอุทกภัยในลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ จังหวัดพิษณุโลก โดยที่ประชุมได้เห็นชอบแผนงานโครงการระยะเร่งด่วนที่จำเป็นต้องดำเนินการ และสามารถดำเนินการได้ทันทีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งสิ้น ๙ ประเภทงาน ๑๔๙ รายการ แยกเป็นแผนงานในลุ่มน้ำยม ๘๓ รายการ ลุ่มน้ำน่าน ๖๖ รายการ ซึ่งแผนการดำเนินงานดังกล่าวจะประกอบด้วยงานที่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๑ ปี และงานที่ต้องผูกพันงบประมาณมากกว่า ๑ ปีขึ้นไป คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการจำนวนทั้งสิ้น ๒๑,๙๐๒.๙๙๗ ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแผนงานในส่วนที่ภาคประชาชนเสนอให้ดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งกรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำจะได้นำข้อคิดเห็นดังกล่าวไปประกอบการพิจารณา หากโครงการมีความเหมาะสมก็จะเร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ กรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำได้นำโครงการระยะเร่งด่วนทั้ง ๑๔๙ รายการเสนอไว้ในคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อจะได้ดำเนินการตามแผนงานต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
32547 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบล พระพุทธ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... | คค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพระพุทธ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตืที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพระพุทธ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างอุโมงค์ลอดทางรถไฟบริเวณจุดตัดกับทางหลวงชนบท นม. ๓๐๒๔ เพื่อนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
32548 | การแก้ไขกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | มท | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมบัตรประจำตัวประชาชน ใบแทนใบรับการคัดและรับรองสำเนาข้อมูลเกี่ยวกับบัตร และยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงค่าธรรมเนียมบัตรประจำตัวประชาชน ใบแทนใบรับ การคัดและรับรองสำเนาข้อมูลเกี่ยวกับบัตร และยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขอตรวจหลักฐานรายการ หรือข้อมูลเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขอตรวจหลักฐานรายการ หรือข้อมูลเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน ตลอดจนการขอให้ถ่ายเอกสาร คัด ถ่ายเอกสาร หรือคัดและรับรองสำเนาข้อมูลดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
32549 | รายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 และ 2552 | คค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบรับรองถูกต้องแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบดุล ปี ๒๕๕๓ มีสินทรัพย์รวม ๑๐๘,๕๑๕,๙๖๒,๘๓๗.๑๕ บาท หนี้สินรวม ๗๘,๒๘๗,๒๒๔,๕๕๓.๙๖ บาท และทุนรวม ๓๐,๒๒๘,๗๓๘,๒๘๓.๑๙ บาท งบดุล ปี ๒๕๕๒ มีสินทรัพย์ รวม ๑๐๒,๖๕๔,๔๑๗,๖๙๘.๙๖ บาท หนี้สินรวม ๗๘,๖๙๗,๗๒๑,๐๕๙.๑๕ บาท และทุนรวม ๒๓,๙๕๖,๖๙๖,๖๓๙.๘๑ บาท ๒. งบกำไรขาดทุน ปี ๒๕๕๓ มีรายได้รวม ๒,๓๓๓,๘๙๒,๘๓๙.๓๐ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๒,๖๓๗,๐๑๑,๒๔๕.๑๘ บาท ขาดทุนสุทธิ ๑,๑๖๐,๙๓๕,๔๕๑.๘๘ บาท งบกำไรขาดทุน ปี ๒๕๕๒ มีรายได้รวม ๕๐๘,๓๖๕,๐๗๓.๗๕ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๑,๙๙๔,๓๖๓,๕๗๒.๒๕ บาท ขาดทุนสุทธิ๑๒,๔๐๘,๑๕๖,๓๖๖.๘๕ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
32550 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงแรงงาน) | รง | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางอำมร เชาวลิต ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักตรวจและประเมินผล สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน (นักวิชาการแรงงานทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
32551 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดต่อเสรีภาพที่มีอายุเด็กเป็นองค์ประกอบความผิด) | นร | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา โดยกำหนดให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศหรือความผิดต่อเสรีภาพซึ่งได้กระทำต่อเด็กที่มีอายุไม่เกินสิบสามปีไม่อาจอ้างความไม่รู้อายุของเด็กเพื่อให้พ้นความรับผิดทางอาญาได้ เพื่อให้เด็กได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับปรุงอัตราโทษปรับให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
32552 | ร่างพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยปรับปรุงวิธีการแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรไทย และปรับปรุงอัตราโทษใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และเพื่อป้องกันการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งป้องกันและปราบปรามการเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของแรงงานต่างด้าว ตลอดจนจัดระเบียบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
32553 | คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) | นร | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้คงคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๔ คณะ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ๒. คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๓. คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วน บริษัทและองค์กรทางธุรกิจ ๔. คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญา
|
|||||||||||||||||||||||||||
32554 | การสัมมนาเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืน | ยธ | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อใช้เป็นความตกลงระหว่างสหประชาชาติกับรัฐบาลไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนาและการประชุมนานาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืน การแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุด และการสร้างแนวทางปฏิบัติสากล เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ค.ศ. ๒๐๑๐ ยังคงมีผลใช้ได้เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสาระสำคัญของการเป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนาและการประชุมนานาชาติฯ ๒. อนุมัติให้ถือปฏิบัติว่าหากมีการเพิ่มเติมใด ๆ ในเอกสารข้อตกลงในเรื่องเดียวกันนี้ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ รวมทั้งไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจพื้นที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมของประเทศหรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุนหรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายสามารถดำเนินการได้เลย โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอีก ๓. อนุมัติให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา เป็นผู้แจ้งยืนยันกับสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United National Office on Drugs and Crime - UNODC) ในนามรัฐบาลไทยว่าหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ค.ศ. ๒๐๑๐ ยังมีผลใช้ได้และรัฐบาลไทยยืนยันการขอรับการสนับสนุนจาก UNODC ในการจัดสัมมนาและการประชุมนานาชาติฯ ในครั้งนี้ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
32555 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ | ยธ | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ จำนวน ๕ คน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. นายโสภณ จันเทรมะ เป็นประธานกรรการ ๒. นายกนก พรรณรักษา เป็นกรรมการ ๓. นายถวิล อินทรักษา เป็นกรรมการ ๔. นายประสิทธิ์ แสนศิริ เป็นกรรมการ ๕. นายปรีชา จำปารัตน์ เป็นกรรมการ |
|||||||||||||||||||||||||||
32556 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการนำทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... | ปง | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการนำทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการนำทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งให้กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนำทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินส่งให้กระทรวงการคลัง ได้แก่ ๑.๒.๑ กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินและคดีถึงที่สุด ๑.๒.๒ กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องหรือสั่งให้คืนทรัพย์สิน ๑.๒.๓ กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือสั่งให้คืนทรัพย์สินแต่คดียังไม่ถึงที่สุด ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างข้อ ๓ เกี่ยวกับนิยามคำว่า “ทรัพย์สิน” ควรตัดถ้อยคำว่า “หรือมีคำสั่งให้ยกคำร้องหรือส่งคืน” ออก ๒.๒ ร่างข้อ ๔(๑) ไม่ควรใช้ถ้อยคำว่า “การบริหารเงิน” ในร่างระเบียบฯ เนื่องจากไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ๒.๓ ร่างข้อ ๔(๓) และข้อ ๔(๔) ควรกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบกำหนดหนึ่งปีก่อน ส่วนกรณีที่ทรัพย์สินเป็นสิทธิการเช่า สิทธิตามสัญญาอื่น หรือสิทธิเรียกร้อง ซึ่งมีอายุสัญญายาว อาจเป็นภาระของสำนักงาน ปปง. ในการบริหารทรัพย์สินนั้น ๒.๔ ร่างข้อ ๔(๕) ไม่มีหลักเกณฑ์การให้ส่วราชการนำทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดไปใช้ประโยชน์ ๒.๕ ร่างข้อ ๔(๖) วรรคสอง การกำหนดให้เลขาธิการ ปปง. เพียงผู้เดียวมีอำนาจในการอนุญาตให้นำทรัพย์สินไปใช้เพื่อประโยชน์ของทางราชการ อาจไม่เหมาะสมเนื่องจากทรัพย์สินบางอย่างมีมูลค่าสูง ควรดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการที่มีหน่วยงานหรือองค์กรเป็นองค์กรประกอบ ๒.๖ ร่างข้อ ๖(๓) ควรมีการส่งคืนทรัพย์สินนั้นให้บุคคลดังกล่าวทันที เพราะสิทธิในทรัพย์สินนั้นตกเป็นของบุคคลดังกล่าวนับแต่เวลาที่ศาลมีคำสั่งคืนทรัพย์สินแล้ว จึงควรปรับแก้ถ้อยคำเป็น “ที่ได้ส่งไปแล้วตามข้อ ๔(๔) หรืออยู่ในการบริหารของสำนักงาน ปปง.” ๒.๗ ร่างข้อ ๖(๔ ) ในกรณีที่ส่วนราชการได้นำทรัพย์สินไปใช้ประโยชน์ตามร่างข้อ ๔(๕) จะต้องส่งคืนด้วยหรือไม่ เนื่องจากได้มีการกำหนดให้สำนักงาน ปปง. มีหน้าที่ส่งคืนเท่านั้น ๒.๘ ร่างข้อ ๗ การชดใช้ราคาทรัพย์สินนอกจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดแล้ว ควรกำหนดให้ใช้ความเสียหายกรณีเกิดจากการบริหารทรัพย์สินดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
32557 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 8 | ศธ | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามโครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๘ ข้อมูล ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปการดำเนินงานถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ในส่วนของการก่อสร้างอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล อาคารศูนย์วิจัย อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย และงานภายนอกอาคารและงานภูมิสถาปัตยกรรม คิดเป็นร้อยละ ๗๕.๕๕ ของทั้งโครงการฯ ๒. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔ รวมทั้งสิ้น ๓,๗๔๕,๙๖๐,๔๗๓.๒๒ บาท ประกอบด้วย งบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๑,๓๔๕,๙๖๐,๔๗๓.๒๒ บาท ๓. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินการ และแนวทางการแก้ไขปัญหา เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ลดลงจากที่จัดทำคำขอตั้งงบประมาณไว้ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทำให้ต้องปรับแผนการเบิกจ่ายไปในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งเกินระยะเวลาของสัญญา ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔ อย่างไรก็ตาม หากการก่อสร้างแล้วเสร็จตามสัญญาในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลจำเป็นต้องของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายให้ผู้รับจ้างตามสัญญา
|
|||||||||||||||||||||||||||
32558 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินยืมกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดหาปุ๋ยปีเพาะปลูก 2546/47 | กษ | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายเวลาการชำระหนี้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดหาปุ๋ยปีเพาะปลูก ๒๕๔๖/๔๗ ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ให้กับลูกหนี้โครงการฯ จำนวน ๙ แห่ง เป็นเงินจำนวน ๑,๔๒๘,๘๑๔.๖๒ บาท ออกไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นการบังคับคดีกับสถาบันเกษตรกร ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดหาปุ๋ยปีเพาะปลูก ๒๕๔๖/๔๗ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรจัดให้มีการกำกับติดตามสถานะลูกหนี้โครงการที่ใช้เงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ และในระหว่างที่ขยายเวลาการชำระหนี้โครงการฯ ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินคดีกับสถาบันเกษตรกรแต่ละแห่งให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรรับทราบทุก ๖ เดือน รวมทั้งดำเนินการติดตามเร่งรัดหนี้เงินทุนที่สถาบันเกษตรกรกู้ยืมไปให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาการบังคับคดี ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
32559 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน 2 ฉบับ | กษ | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยประดู่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยประดู่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองไฮ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองไฮ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่
|
|||||||||||||||||||||||||||
32560 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ครั้งที่ 4 ครั้งที่ 6 และครั้งที่ 8 ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2554 | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๔ ครั้งที่ ๖ และครั้งที่ ๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๔ และครั้งที่ ๖ กระทรวงการคลังได้ทดรองจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังเพื่อไปไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๔ ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๖ ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๓๘๕.๓๗ ล้านบาท รวมจำนวน ๓,๓๘๕.๓๗ ล้านบาท ๒. การไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๘ และการชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง เนื่องจากวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เป็นหยุดราชการ จึงเลื่อนการไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๘ ที่ครบกำหนดจำนวน ๗๒๘.๔๖ ล้านบาท เป็นวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนดังกล่าวทั้งจำนวนรวมกับการชำระคืนเงินทดรองจ่ายที่ได้ใช้ไปในการไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๔ และครั้งที่ ๖ โดยกู้เงินระยะยาวโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน ๔,๑๑๓.๘๓ ล้านบาท ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕
|
.....