ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 1 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 1 จากข้อมูลทั้งหมด 1 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 3/2555 | นร | 24/04/2555 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งได้พิจารณาภาพรวมและแนวทางการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเห็นของคณะกรรมการ กยอ. ๑.๑ จากภาพรวมข้อมูลเศรษฐกิจ แสดงถึงนัยยะสำคัญเชิงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญคือ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเพิ่มการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยมีอัตราการออมสูงกว่าอัตราการลงทุน ซึ่งเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ๑.๒ การลงทุนของภาครัฐที่ควรมุ่งเน้นคือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านไฟฟ้า น้ำประปา และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่เดิมให้สามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น เช่น พื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก อาจต้องมีการพัฒนาลุ่มน้ำบางปะกงเพื่อรองรับการเติบโตของแหล่งอุตสาหกรรมภาคตะวันออก และควรเร่งรัดการดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนให้มากขึ้น โดยอาจมีการประกาศว่าในระยะ ๕ ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงคลื่นลูกใหม่ของการลงทุนในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อการสร้างอนาคตประเทศ ๑.๓ ปัญหาแรงงานของไทยต้องมีมาตรการที่จะรองรับ โดยอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก ควรสนับสนุนให้ย้ายไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านที่มีแรงงานราคาถูกกว่า ในขณะที่ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานไม่มากแต่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้มีการลงทุนมากขึ้นในประเทศไทย โดยรัฐบาลควรส่งเสริมอุตสาหกรรมต้นน้ำที่มีศักยภาพ (Strategic Upstream Industries) และอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เพื่อให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ๑.๔ นโยบายค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากคือ วิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม หรือ SMEs ที่ยังปรับตัวไม่ทันต่อการปรับค่าแรงงาน อย่างไรก็ตามการปรับค่าแรงงานครั้งนี้ อาจเป็นปัจจัยทางบวกซึ่งกระตุ้นให้ SMEs ต้องพัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งในด้านเทคโนโลยีการผลิตและการพัฒนาแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มสูง (Value Creation) โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของตลาดด้วย ๑.๕ ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะยานยนต์ในขณะนี้ฟื้นฟูตัวได้ค่อนข้างเร็ว ซึ่งแสดงถึงการมีพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย โดยคาดว่าจะสามารถผลิตได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ ๒.๑ ล้านคัน ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สำหรับการฟื้นตัวของโรงงานต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในและนอกนิคมอุตสาหกรรมคาดว่าจะฟื้นตัวกลับมาดำเนินการในสภาพปกติอย่างเต็มที่ประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ๑.๖ ขณะนี้ภาคเอกชนมีการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ แล้ว โดยเห็นว่าประเทศไทยต้องใช้โอกาสของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในลักษณะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน เพื่อดึงดูดให้มีการลงทุนและการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเห็นว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีการสร้างแบรนด์ใหญ่ แต่อาจสร้างความเป็นเลิศเฉพาะในบางเทคโนโลยีในลักษณะ Single equipment technology คือ ผู้ผลิตรายใหญ่ ๆ ต่างจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีของบริษัทไทยในการผลิตสินค้า ๑.๗ การกำหนดยุทธศาสตร์อนาคตของประเทศต้องพิจารณาแนวโน้มในอนาคตระยะยาวอย่างลึกซึ้ง และประเด็นที่จะเกิดผลกระทบต่อประเทศไทย รวมทั้งต้องสามารถชี้ให้เห็นความชัดเจนประเด็นสำคัญ (Critical Issues) ที่มีผลต่อการพัฒนาในอนาคตของไทย เช่น จำนวนประชากรจีนกำลังลดลง ส่งผลให้ในอนาคตจีนจะขาดแคลนแรงงาน การเปิดประเทศและเริ่มปฏิรูประบบเศรษฐกิจของพม่า ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวซึ่งประเทศไทยใช้แรงงานจากพม่าจำนวนมากและกระจายอยู่ในหลายภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจไทย หากแรงงานเหล่านี้กลับประเทศของตนจะกระทบต่อภาคการผลิตและบริการในวงกว้าง นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงปัญหาเรื่องพลังงานทั้งในเชิงปริมาณที่ต้องแสวงหาแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่องและจริงจัง เป็นต้น ๒. คณะกรรการ กยอ. มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาวิเคราะห์ประเด็นสำคัญ (Critical Issues) ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป
|
.....