ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1185 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 23681 - 23700 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23681 | รายงานการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดภูเก็ต พร้อมส่วนประกอบ 1 แห่ง | ยธ | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดภูเก็ต พร้อมส่วนประกอบ จำนวน ๑ แห่ง ในวงเงิน ๗๘๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้กรมราชทัณฑ์เร่งรัดดำเนินการผูกพันงบประมาณและให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเร็วเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
23682 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี 2557/2558 | อก | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับค่าอ้อยในระดับที่ใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตและมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการปลูกอ้อยในฤดูการผลิตถัดไป รวมทั้งสามารถลดภาระหนี้สินและสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยโดยรวมต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือธนาคารพาณิชย์อื่น ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทราย ในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ จากประมาณการผลผลิตอ้อยเบื้องต้น ๑๐๒.๒๐ ล้านตัน จำเป็นต้องใช้วงเงินช่วยเหลือทั้งสิ้นประมาณ ๑๖,๓๕๒ ล้านบาท หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริง ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๘ เดือน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน อีกทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศกิโลกรัมละ ๕ บาท เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย สำหรับนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ จนกว่าจะใช้หนี้หมดเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรกำกับดูแลและตรวจสอบการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยดังกล่าวให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด และเร่งทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยให้มีความเหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รวมทั้งเร่งรัดการหาข้อยุติเรื่องการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ตลอดจนพิจารณาแนวทางการหารายได้อื่นนอกเหนือจากการจัดเก็บรายได้จากการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายเพื่อบริโภคภายในประเทศ เพื่อให้การชำระหนี้เงินกู้เพื่อช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยแล้วเสร็จโดยเร็ว และจัดทำแนวทางเตรียมความพร้อมในการรองรับปริมาณอ้อยที่จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมเป็นการปลูกอ้อยโรงงาน โดยเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพความหวานให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เห็นควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้มีการจัดการพื้นที่ปลูกในระบบรวมแปลงใหญ่เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดจากการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า และเร่งรัดให้มีการนำผลการวิจัยและพัฒนาพื้นที่ประโยชน์เชิงพาณิชย์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำผลการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ตามโครงการวิจัย “การศึกษาเพื่อปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย” มาพิจารณาประกอบการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการลดต้นทุนการผลิต การปรับปรุงพันธุ์อ้อย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนเสนอราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ต่อไป |
||||||||||||||||||
23683 | ขออนุมัติจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา 15 เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกินรายละ 200,000 บาท | คค | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในอัตรา ๑๕ เท่าของเงินสงเคราะห์รายเดือน แต่ไม่เกินรายละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามมาตรา ๑๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ๒. เห็นชอบในหลักการแก้ไขข้อบังคับฉบับที่ ๔.๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อรองรับการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยยังอาจมีภาระในการจัดสรรบำเหน็จดำรงชีพให้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานในส่วนที่เหลือ ตลอดจนภาระบำเหน็จดำรงชีพของอดีตผู้ปฏิบัติงานในอนาคต จึงขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยวางแผนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมโดยไม่กระทบต่อสถานะและสภาพคล่องทางการเงินขององค์กรและภาครัฐทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยหาแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรเร่งดำเนินการลงทุนแผน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ประสิทธิภาพการเดินรถและการให้บริการมีคุณภาพและมาตรฐานที่ดีขึ้น รวมทั้งเร่งรัดการจัดหาประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรภายใต้การดำเนินการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
23684 | การเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรในส่วนของทะเบียนอื่นตามมาตรา 15 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 | มท | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางยินยอมให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ จำนวน ๒๒ หน่วยงาน เชื่อมโยงข้อมูลที่ปรากฏในทะเบียนอื่น (ภาพใบหน้า) นอกจากทะเบียนตามวรรคสองเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีกำหนด โดยสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||
23685 | ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อให้กรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการโครงการศึกษาและออกแบบก่อสร้างสะพาน เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรเลียบชายฝั่งทะเลในเขตผังเมืองรวมเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี | มท | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน มาบังคับใช้เป็นการเฉพาะราย เพื่อให้กรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการโครงการศึกษาและออกแบบก่อสร้างสะพานเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรเลียบชายฝั่งทะเลในเขตผังเมืองรวมเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ประกอบด้วย (๑) โครงการก่อสร้างสะพานเลียบชายฝั่งทะเล จังหวัดชลบุรี งวดที่ ๓ ระยะทาง ๙๐๐ เมตร พร้อมทางเชื่อม ๘๐ เมตร ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ (๒) โครงการก่อสร้างสะพานเลียบชายฝั่งทะเล จังหวัดชลบุรี ช่วงที่ ๑ ระยะทาง ๑,๘๘๐ เมตร พร้อมทางเชื่อม ๒๙๐ เมตร ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ และ (๓) โครงการก่อสร้างสะพานเลียบชายฝั่งทะเล จังหวัดชลบุรี ช่วงที่ ๒ ระยะทาง ๑,๖๐๐ เมตร พร้อมทางเชื่อม ๒๘๐ เมตร ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กระทรวงมหาดไทยปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงคมนาคมต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการก่อสร้างสะพานทั้ง ๓ ช่วงดังกล่าว มีการก่อสร้างทางเชื่อมเข้าหาฝั่งและจำเป็นต้องใช้พื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นถนนดินตัด-ถมผ่านพื้นที่ป่าชายเลน ทำให้พื้นที่ป่าชายเลนถูกตัดแยกออกจากกัน อาจเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าชายเลน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของกระแสน้ำและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างทั่วถึง หากสามารถลดจำนวนการก่อสร้างทางเชื่อมเข้าหาฝั่งในบริเวณสะพานช่วงที่ ๒ ลงได้ ก็จะเป็นการใช้พื้นที่ป่าชายเลนให้น้อยที่สุดและสามารถลดผลกระทบหรือลดการรบกวนสภาพพื้นที่ป่าชายเลนเดิมได้ และในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างควรมีมาตรการควบคุมการก่อสร้างไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการปลูกป่าชายเลนทดแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. การใช้พื้นที่ริมถนน (ระยะทาง ๔,๓๘๐ เมตร) เป็นพื้นที่ค้าขายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ กระทรวงมหาดไทยจะต้องดูแลและบริหารจัดการไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการจราจร ส่วนพื้นที่บริเวณสะพานเชื่อมที่อยู่ในบริเวณป่าชายเลน (ระยะทาง ๖๕๐ เมตร) กระทรวงมหาดไทยต้องเตรียมมาตรการป้องกันการบุกรุกหรือทำลายป่าชายเลนในบริเวณดังกล่าวในอนาคตด้วย เช่น การยกระดับความสูงของสะพาน หรือออกแบบสะพานช่วงดังกล่าวมิให้สามารถใช้ประโยชน์อื่นได้นอกจากการสัญจรโดยรถ เป็นต้น |
||||||||||||||||||
23686 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ) | สผ | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง เรื่อง การปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ และข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ ให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจที่ด้อยประสิทธิภาพด้วยแผนการทบทวนกิจการรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง กำหนดบทบาทและภารกิจของส่วนราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน กำหนดให้หน่วยงานแต่ละประเภทไม่ทำภารกิจซ้ำซ้อนกันเพื่อลดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ระหว่างหน่วยงาน ให้ออกกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง และกำหนดให้หน่วยงานซึ่งทำหน้าที่เจ้าของรัฐวิสาหกิจทำการทบทวนเหตุผลแห่งการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งและทำการประเมินถึงสถานะการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจ หรือการยุบรวมยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงสถานภาพให้มีความเหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งออกกฎหมายกำหนดให้รัฐบาลสามารถใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเป็นกรณีพิเศษได้ ๑.๒ แนวทางการปฏิรูปสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institution : SFIs) ได้แก่ แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่ง โดยกำหนดพันธกิจของแต่ละแห่งอย่างชัดเจน เปลี่ยนโครงสร้างอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหาร ให้มีผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจเท่ากับที่ดูแลธนาคารพาณิชย์ และให้กระทรวงการคลังทำหน้าที่ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเจ้าของเท่านั้น ในกรณีที่มีความประสงค์จะให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินนโยบายสาธารณะหรือนโยบายกึ่งการคลัง ซึ่งอาจทำให้ขาดทุน กระทรวงการคลังจะต้องจัดสรรงบประมาณชดเชย โดยให้แยกกิจกรรมนั้นออกเป็นบัญชีบริการสาธารณะ (Public Service Account) และในกรณีของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยต้องเร่งออกกฎหมายทางการเงินตาม ๆ ตามหลักซารีอะห์ เพื่อขจัดอุปสรรคในการดำเนินกิจการตามหลักศาสนา ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนะและข้อสังเกตตามรายงานการปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจของคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง และข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติไปพิจารณา และให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง
|
||||||||||||||||||
23687 | รัฐบาลสาธารณรัฐยูกันดาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นางเอลิซาเบท พอลลา นาเพย็อก (Ms. Elizabeth Paula Napeyok)] | กต | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางเอลิซาเบท พอลลา นาเพย็อก (Ms. Elizabeth Paula Napeyok) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐยูกันดาประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นางสาวนิมิชา ยายานท์ มาทวานี (Miss Nimisha Jayant Madhvani) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
23688 | รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายนัศริดดีน รีมูช (Mr. Nasreddine Rimouche)] | กต | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายนัศริดดีน รีมูช (Mr. Nasreddine Rimouche) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สืบแทน นายอับดุลมาลิก ปูฮิดดู (Mr. Abdelmalek Bouheddou) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
23689 | รัฐบาลยูเครนเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายอันดรีย์ เบชตา (Mr. Andriy Beshta)] | กต | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอันดรีย์ เบชตา (Mr. Andriy Beshta) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งยูเครนประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายมาร์คีเอียน ชูชุค (Mr. Markiian Chuchuk) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
23690 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | สว | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การยางแห่งประเทศไทยซึ่งมีอำนาจหน้าที่กระทำกิจการตามมาตรา ๑๐ ดำเนินกิจการตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด โปร่งใส คำนึงถึงประสิทธิภาพประสิทธิผลของการยางแห่งประเทศไทยเป็นสำคัญ ๑.๒ การยางแห่งประเทศไทยจะต้องมีกลไกการสร้างความมีส่วนร่วมและการเชื่อมโยงของทุกภาคส่วน โดยการจัดให้มีคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดหรือในภูมิภาคต่าง ๆ ขึ้น รวมทั้งบริหารจัดการตามภารกิจทั้งหลายที่กำหนดไว้ในกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการยางพาราของประเทศได้อย่างเหมาะสมต่อไป ๒. มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้หรือไม่ประการใดก่อน แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
23691 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏสุราษฎร์ธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชารัฐศาสตร์ เพิ่มขึ้น รวมทั้งกำหนดครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัยและอธิการบดี เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
23692 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
23693 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. .... | สว | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. .... ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับประเด็นการจัดทำร่างกฎหมายเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ควรคำนึงถึงการจัดทำร่างกฎหมายให้มีบรรทัดฐานใกล้เคียงกันหรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน เช่น ในเรื่องการกำหนดจำนวนวาระ การดำรงตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัยของแต่ละมหาวิทยาลัย ที่บางฉบับมีการกำหนดจำนวนวาระการดำรงตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัยได้ แต่บางฉบับกลับไม่ได้กำหนดไว้ ทั้งที่วาระการดำรงตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเมื่อมหาวิทยาลัยเปลี่ยนสถานะเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐแล้ว เพราะการกำหนดจำนวนวาระไว้หรือไม่ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้หรือไม่ประการใดก่อน แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
23694 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รวมทั้งขอรับสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนเพิ่มเติม ค่าก่อสร้างอาคาร ศูนย์รักษาพยาบาลรวมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า 150 ปี ระยะที่ 2 | สกช | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์รักษาพยาบาลรวมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ๑๕๐ ปี ระยะที่ ๒ ตามที่สภากาชาดไทยเสนอ ในประเด็นดังต่อไปนี้ ๑.๑ อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากวงเงิน ๓,๙๗๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๕,๔๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เงินงบประมาณ จำนวน ๔,๓๖๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท+เงินนอกงบประมาณ จำนวน ๑,๐๙๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท) ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้สภากาชาดไทยส่งรายละเอียดแบบรูปรายการสิ่งก่อสร้างรวมทั้งราคากลางให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของราคาควบคู่ไปกับการดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และเสนอผลการจัดซื้อจัดจ้างให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตลอดจนดำเนินการก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สภากาชาดไทยรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการพิจารณาในรายละเอียดว่า การดำเนินการดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างไร จึงต้องมีการปรับวงเงินเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จากที่ได้รับอนุมัติ โดยให้มีการเปรียบเทียบให้ชัดเจนว่า สิ่งที่เพิ่มขึ้นมีประโยชน์และเกิดความคุ้มค่า หรือไม่อย่างไร ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
23695 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 344 สาย อำเภอบ้านบึง - อำเภอแกลง ตอนที่ 1 ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 | คค | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๓๔๔ สาย อำเภอบ้านบึง-อำเภอแกลง ตอน ๑ ส่วนที่ ๑ ในวงเงิน ๕๔๓,๗๙๔,๐๐๐ บาท และส่วนที่ ๒ ในวงเงิน ๕๒๖,๒๙๘,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๗๐,๐๙๒,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||
23696 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการปฏิรูประบบการแจ้งเหตุฉุกเฉินหมายเลขเดียว 112) | สผ | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการปฏิรูประบบการแจ้งเหตุฉุกเฉินหมายเลขเดียว ๑๑๒) เกี่ยวกับเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องปฏิรูป สิ่งที่ประชาชนจะได้รับจากการปฏิรูประบบการแจ้งเหตุฉุกเฉินหมายเลขเดียว ๑๑๒ กรอบระยะเวลาในการปฏิรูปหรือขั้นตอนการดำเนินงาน และข้อเสนอแนะในการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ ตามที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ) เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูประบบสาธารณสุข และข้อเสนอแนะของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง รายงานการปฏิรูประบบการแจ้งเหตุฉุกเฉินหมายเลขเดียว ๑๑๒ รวมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นสมควรให้กำหนดหมายเลขอื่นแทนหมายเลข ๑๑๒ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงสาธารณสุข (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ) จัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
|
||||||||||||||||||
23697 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งผลการพิจารณาและมติของ กพอ. และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่ กพอ. เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ( ฉบับปรับปรุง) ที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการโดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๖๘.๘๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมแบบครบวงจร จังหวัดระยอง (ระยะที่ ๒) ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง วงเงิน ๓๒๒.๓๐ ล้านบาท และโครงการศูนย์บัญชาการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินและกระจายข่าวของประเทศเมืองมาบตาพุด วงเงิน ๔๖.๕๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก จำนวน ๙๑ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๙,๙๑๓.๘๑ ล้านบาท ประกอบด้วย การพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ๑๘ โครงการ การพัฒนาระบบราง ๘ โครงการ และการพัฒนาโครงข่ายถนน ๖๕ โครงการ ๑.๓ เห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ ช่วงพัทยา-มาบตาพุด โดยให้ใช้จ่ายจากเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง วงเงิน ๑๔,๒๐๐ ล้านบาท ๑.๔ รับทราบ (๑) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง (๒) ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ กพอ. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (๓) สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี (๔) ข้อร้องเรียนกรณีการถมทะเลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๕) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร (ฉบับคณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) (๖) สถานการณ์ปัญหามลพิษในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก และ (๗) ความก้าวหน้าการปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังเมืองรวมมาบตาพุด) ๒. ให้ กพอ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการระยะเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๖๘.๘๖ ล้านบาท ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
23698 | การแก้ไขความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างรัฐ | กต | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอขอปรับปรุง/เพิ่มเติมความตกลงข้ามแดนระหว่างรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งประกอบด้วย (๑) ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสัญจรข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง (๒) ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพพม่าว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศ และ (๓) ความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยแก้ไขใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ การเพิ่มวัตถุประสงค์การข้ามแดน ขอบเขตพื้นที่ที่อนุญาต และระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนัก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ทุกราย ต้องมีการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง โดยสถานบริการของรัฐ และควรซื้อประกันสุขภาพรายปี เพื่อให้แรงงานสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพและเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการให้บริการของหน่วยบริการสุขภาพของไทย ส่วนการอนุญาตให้พำนักอยู่ในพื้นที่ชายแดนตามขอบเขตที่กำหนดไว้ของภาคีได้ไม่เกินครั้งละ ๓๐ วัน ควรครอบคลุมถึงแรงงานชั่วคราวด้วย นอกจากนี้ จังหวัดชายแดนที่เป็นที่ตั้งของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ควรมีการจัดตั้งกลไกในการกำกับดูแลผลกระทบด้านความมั่นคง ทั้งการเฝ้าระวัง การแจ้งเตือน รวมทั้งมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
23699 | รายงานผลการเข้าร่วมการประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ 7 (The 7th World Water Forum) | ทส | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมการประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ ๗ (The 7th World Water Forum) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ เมษายน ๒๕๕๘ ณ เมืองแทกู จังหวัดคยองบุก สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ ๗ (The 7th World Water Forum) จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “น้ำเพื่ออนาคตของเรา” (Water for our Future) มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอกลไกและเครื่องมือในการดำเนินงานเชิงรุกที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ โดยในการประชุมดังกล่าวมีการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference) ในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น โดยได้กล่าวเน้นย้ำถึงนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า “การป้องกันภัยพิบัติเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด” และได้นำเสนอยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทยซึ่งกำลังจะมีพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำมากำกับดูแลและแก้ไขปัญหาด้านน้ำของประเทศใน ๓ มิติ คือ อุทกภัย ภัยแล้ง และคุณภาพน้ำ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยต้องบูรณาการร่วมกับแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งได้ยกตัวอย่างโครงการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการสร้างฝายแม้ว การใช้ไม้ไผ่เป็นแนวกันชนเพื่อชะลอคลื่น ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ โดยเป็นการใช้ธรรมชาติควบคุมธรรมชาติ เพื่อให้มนุษย์ได้รับประโยชน์จากธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เข้าร่วมรับรองปฏิญญารัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของสาธารณรัฐเกาหลี ในประเด็นเรื่องการบริหารจัดการขยะ ซึ่งเกาหลียินดีให้การสนับสนุนด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยี พร้อมทั้งเชิญชวนให้รัฐบาลไทยและข้าราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาศึกษาดูงานและฝึกอบรมด้านการบริหารจัดการขยะในเกาหลีด้วย ๓. การประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ ๘ (The 8th World Water Forum) กำหนดจะจัดขึ้น ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในปี ๒๐๑๘
|
||||||||||||||||||
23700 | ความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน | กต | 02/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำแนวทาง/ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยแนวทาง/ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวม การดำเนินการของทั้งสามเสาประกอบด้วย เสาการเมืองและความมั่นคง เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคมและวัฒนธรรม ควรมีการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรมีการตั้งเป้าหมาย/วิสัยทัศน์ล่วงหน้า ๑๐ ปี โดยมีการวางแผนระยะ ๕ ปี และ ๑๐ ปี โดยอาจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานรายไตรมาส นอกจากนี้ ส่วนราชการควรคำนึงถึงการผลักดันประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในกรอบอาเซียนด้วย และดำเนินการโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนอย่างรอบด้าน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการบูรณาการและมีการดำเนินงานในลักษณะครบวงจร โดยมีการกำหนดเจ้าภาพหลัก หน่วยงานรอง หน่วยงานเสริม ที่ชัดเจน มีการวิเคราะห์ วิกฤต โอกาส ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของไทยและอาเซียน ๒. เสาการเมืองและความมั่นคง การบริหารจัดการชายแดนและจุดผ่านแดน หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องดำเนินงานอย่างบูรณาการ และอาจพิจารณาให้ศูนย์อาเซียนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจครอบคลุมประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมทั้งให้มีการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับปัญหาแรงงานต่างด้าว โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ อาจพิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ไทยต้องรับภาระในเรื่องการให้การศึกษาและการรักษาพยาบาลแก่แรงงานต่างชาติบริเวณชายแดน ๓. เสาเศรษฐกิจ เห็นชอบให้ผลักดันประเด็น “ASEAN Access” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ และผลักดันประเด็นต่าง ๆ ในกรอบอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้ความสำคัญกับภาคเกษตร การพัฒนาตราสินค้าอาเซียน การส่งเสริม SMEs การส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาร่วมกันในอาเซียน และการสร้างเครือข่ายของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้มีการดำเนินงานอย่างเป็นหุ้นส่วนกันและไม่แข่งขันกันเอง โดยเฉพาะผลผลิตด้านการเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบ/รับรองมาตรฐานสินค้าไทยให้สามารถส่งไปขายยังต่างประเทศได้ ๔. เสาสังคมและวัฒนธรรม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแก้ไขปัญหาราคายาและค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นมาก ซึ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ โดยอาจพิจารณาหาแนวทางในการควบคุมและมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ชัดเจน ๕. ด้านกฎหมาย ให้มีการเร่งรัดจัดทำข้อมูลกฎหมายที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีและเพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทย โดยให้ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ ทั้งสามเสาติดตามข้อมูลกฎหมายจากหน่วยงานต่าง ๆ จัดส่งให้คณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการทุกกระทรวงแจ้งยืนยันข้อมูลกฎหมายของหน่วยงานของตนไปยังคณะทำงานฯ ด้วย ๖. ด้านประชาสัมพันธ์ ควรมีโครงสร้างการประชาสัมพันธ์ที่เน้น ๓ ประเด็น ได้แก่ การสร้างความรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน ผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมที่ควรเตรียมพร้อมรับมือและโอกาสที่ประชาชนจะได้รับจากอาเซียน และควรสร้างความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับประเทศไทยกับอาเซียน และอาเซียนในบริบทของประชาคมโลก |
.....