ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1182 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 23621 - 23640 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23621 | ขออนุมัติลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่นขนาดหนัก หนึ่งชุด (เอชเอสบี) และสะพานเครื่องหนุนมั่น ความยาว 15 เมตร สองชุด (เอ็มเอฟบี) ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย | กห | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารบกหรือผู้แทน (เจ้ากรมการทหารช่าง) เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่นขนาดหนัก หนึ่งชุด (เอชเอสบี) และสะพานเครื่องหนุนมั่น ความยาว ๑๕ เมตร สองชุด (เอ็มเอฟบี) พร้อมอุปกรณ์ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย รวมทั้งการลงนามในเอกสารการแก้ไขข้อตกลงดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
23622 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ในส่วนของวงเงินค้ำประกันในส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการคิดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการในอัตราไม่เกิน MLR+๒ และกำหนดให้จ่ายค่าประกันชดเชยกรณีที่เป็นภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ทั้งโครงการรวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของวงเงินค้ำประกัน และจ่ายค่าประกันชดเชยตามภาระค้ำประกัน SMEs แต่ละราย (Coverage Ratio per SMEs) เป็นสัดส่วนร้อยละ ๗๐ ของภาระประกัน (สถาบันที่เข้าร่วมโครงการรับภาระในส่วนร้อยละ ๓๐ ที่เหลือ) ๑.๒ งบประมาณเพื่อดำเนินการตามโครงการ PGS ระยะที่ ๕ เพิ่มเติมอีกจำนวน ๓,๘๐๕ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริงโดยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อที่ขอปรับปรุงใหม่ควบคู่กับ Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเดิมไปก่อนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่มีข้อผูกพันตามกรอบวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเงื่อนไขเดิม สำหรับภาระงบประมาณเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการที่ปรับปรุงแล้วจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามช่วงระยะเวลา ซึ่งหากไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ให้ยุติการดำเนินการโครงการดังกล่าวทันที และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเห็นควรให้มีหลักการดำเนินการทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ควบคู่กันไป โดยการกำหนดวงเงินให้ชัดเจนและให้มีการประเมินผลการดำเนินการ หากหลักการใหม่ใช้ได้ดี ก็สามารถยกเลิกหลักการเดิมได้ รวมทั้งให้มีการรายงานผลการดำเนินการเมื่อครบ ๓ เดือนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23623 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) | ยธ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ในส่วนของข้อ ๑ จากเดิม “สัญญาทุกประเภทที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชนในไทยหรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ ไม่ควรเขียนผูกมัดในสัญญาให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด แต่หากมีปัญหาหรือความจำเป็น หรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นราย ๆ ไป” เป็น “สัญญาที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชนในไทยหรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ ถ้าเป็นกรณีดังต่อไปนี้ (๑) สัญญาที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ (๒) สัญญาสัมปทานที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ให้สัมปทาน หน่วยงานของรัฐไม่ควรเขียนผูกมัดในสัญญาให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด แต่หากมีปัญหาหรือความจำเป็น หรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นราย ๆ ไป” ๒. สำหรับสัญญาใดที่ส่วนราชการต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และสัญญามีข้อระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ สัญญานั้นยังคงต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย |
|||||||||||||||||||||
23624 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 2 - 5 มิถุนายน 2558) | สผ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๒-๕ มิถุนายน ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23625 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย | กต | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๗ ที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ ๒๗-๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามผลการหารือดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียแจ้งว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริที่จะเสด็จฯ เยือนอินเดียในปี ๒๕๕๙ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียยืนยันคำเชิญของนายกรัฐมนตรีอินเดีย เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี ๒๕๕๙ ๑.๒ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเร่งรัดเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย ให้บรรลุผลโดยเร็ว การพิจารณาข้อเสนอของอินเดียเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงด้านศุลกากร การแก้ไขปัญหาประเด็นด้านการค้าที่ยังคั่งค้างระหว่างกัน การสนับสนุนโครงการ Make In India และ Smart Cities รวมทั้งสนับสนุนแผนการของอินเดียที่จะจัดนิทรรศการของทั้งสองโครงการในไทย การจัดการประชุมสภาธุรกิจไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับระบบประกันสังคมระหว่างกัน และการจัดทำความตกลงประกันสังคม ๑.๓ ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง ได้แก่ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Thailand-India Defence Dialogue ครั้งที่ ๔ ในช่วงปลายปี ๒๕๕๘ การเยือนอินเดียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม การเข้าร่วมการฝึก Cobra Gold 2016 ในสถานะ Observer Plus ของอินเดีย และการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้านความมั่นคง ๒ คณะ ได้แก่ (๑) ด้านกฎหมายและกิจการยุติธรรม และ (๒) ความร่วมมือทางทะเล รวมทั้งการจัดทำความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางคดีแพ่งและพาณิชย์ให้แล้วเสร็จในโอกาสแรก และการเร่งรัดจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดระหว่างกัน ๑.๔ ความร่วมมือด้านความเชื่อมโยง ได้แก่ การศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงกับชายฝั่งภาคตะวันออกของอินเดีย การจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงระหว่างกัน การก่อสร้างถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมา-อินเดีย การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมโครงการถนนสามฝ่ายในระดับรัฐมนตรีของอินเดีย รวมทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและโครงการ ๆ ที่เกี่ยวข้องในเมียนมา และการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่อินเดียในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ ๑.๕ ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๔ ที่กรุงนิวเดลี และการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๖ ความร่วมมือด้านการศึกษา ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของไทยกับ India Institutes of Technology และการตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการศึกษาไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๒ ๑.๗ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะขยายระยะเวลาดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ๑.๘ ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและบริการเดินอากาศ ได้แก่ อินเดียตกลงที่จะพิจารณาข้อเสนอของไทยในการจัดทำแผนปฏิบัติการราย ๒ ปี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน แทนการจัดทำความตกลงฉบับใหม่ และรับที่จะพิจารณาคำขอให้สายการบิน Thai Smile เป็นสายการบินแห่งชาติของไทยอีกสายการบินหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้ความตกลงด้านบริการเดินอากาศและสามารถมีเที่ยวบินระหว่างประเทศไทยกับเมืองหลัก และเมืองรอง ระดับ ๒ (Tier II) ของอินเดีย รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิดเส้นทางบินระหว่างกรุงเทพฯ-เมืองกุวาฮาติ รัฐอัสสัม+๑ และการจัดทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศ ไทย-อินเดีย ฉบับปรับปรุงใหม่ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๙ ความร่วมมือด้านการกงสุลและการตรวจลงตรา ได้แก่ การจัดการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจด้านกงสุล ไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๕ ในโอกาสแรก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายความร่วมมือไปยังบริษัทอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ตั้งอยู่ในเมืองเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดีย และเห็นควรเพิ่มเติมกิจกรรมในความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงในการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ รวมทั้งเพิ่มเติมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง ได้แก่ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ในอนาคตหากการเชื่อมโยงถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมา-อินเดีย เกิดขึ้นได้เป็นรูปธรรม ควรมีการพิจารณาความเชื่อมโยงทางด้านกฎระเบียบ (Software connectivity) เพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งคนและสินค้าผ่านแดนโดยใช้ประโยชน์เส้นทางถนนดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23626 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 8 - 12 มิถุนายน 2558) | สผ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๘-๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23627 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางหลวง หมายเลข 3 สาย ตราด - หาดเล็ก ตอน 2 ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 | คค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางหลวง หมายเลข ๓ สาย ตราด-หาดเล็ก ตอน ๒ ส่วนที่ ๑ ในวงเงิน ๖๘๖,๔๓๗,๐๐๐ บาท ส่วนที่ ๒ ในวงเงิน ๖๙๕,๖๓๔,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๓๘๒,๐๗๑,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้ทันตามกำหนดเวลาและรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีผลการดำเนินการต่ำกว่าราคากลางและวงเงินที่อนุมัติในอัตราที่น้อย จึงควรต่อรองราคาให้ลดลงอีกเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
23628 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 15 - 19 มิถุนายน 2558) | สผ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๕-๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23629 | รายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย | พม | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ (๑) ควรพิจารณาปรับปรุงระบบบำนาญที่เป็นระบบร่วมจ่ายเงินสมทบ (Contributory) และไม่ต้องร่วมจ่ายเงินสมทบ (Non-contributory) รวมทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุควรพิจารณาความพอเพียงและความยั่งยืนต่อเนื่องจากประชากรสูงวัยมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (๒) เพิ่มแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในตลาดแรงงาน สนับสนุนให้ผู้ชายมีส่วนร่วมในการดูแลครอบครัว เพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถศึกษาเล่าเรียนควบคู่กับการทำงานได้ และมีมาตรการสนับสนุนครัวเรือนรุ่นกระโดดที่ยากจน เพื่อให้ผู้สูงวัยในครอบครัวสามารถดำรงชีวิตได้ และ (๓) ควรส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งพื้นที่ปริมณฑลที่ไม่ใช่เมืองใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการย้ายถิ่น และการกำหนดมาตรการ ระเบียบ ข้อบังคับควรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้ามามีส่วนร่วม ๑.๒ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านการปรับสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสาธารณะที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ (๑) ส่งเสริมและขยายให้มีชุมชน/เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (๒) สนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจให้พัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งการตลาดเพื่อรองรับสังคมสูงวัย และ (๓) เสนอคณะรัฐมนตรีให้หน่วยราชการ/ท้องถิ่น จัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงได้ ๑.๓ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านสุขภาพ ได้แก่ (๑) ผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนการดูแลผู้สูงอายุ โดยอาศัยการบูรณาการและการส่งต่อการดูแลผู้สูงอายุ สนับสนุนการพัฒนาความเข้มแข็งกองทุนสวัสดิการชุมชนที่มีการจัดตั้งแล้ว และพัฒนาสวัสดิการชุมชนให้หลากหลายขึ้น (๒) ควรมีระบบดูแลระยะกลาง ระยะยาว และระยะสุดท้ายในสถานพยาบาล บ้าน และชุมชน (๓) ควรพัฒนาขีดความสามารถของสถานบริการสุขภาพในเขตเมือง (๔) ควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้มีผู้ศึกษาสาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และการสร้างบุคลากรระดับกึ่งวิชาชีพและไม่ใช่วิชาชีพ รวมไปถึงการรักษาบุคลากรให้คงอยู่ในสาขาอาชีพให้นานที่สุด ๑.๔ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านสังคม ได้แก่ (๑) การส่งเสริมการวางแผนชีวิต (Life Planning) โดยเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงเรื่องรายได้ การส่งเสริมการออมก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ และมีมาตรการสนับสนุนครอบครัวที่ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามลำพัง และ (๒) มีการนำเสนอภาพลักษณ์ผู้สูงอายุในทางบวกผ่านสื่อสาธารณะให้หลากหลายขึ้น ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องต่อประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยและต้องระมัดระวังความขัดแย้งที่อาจจะเกิดจากความเห็นที่ไม่ตรงกันของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และการดำเนินการใดที่มีผลให้ต้องเพิ่มรายจ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนทุกครั้ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
23630 | รายงานผลการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 2 | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ โดยเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ ได้มีการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ H.E. Mr. Shiro Sadoshima เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ Mr. Shuichi Ikeda หัวหน้าผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) สำนักงานประจำประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในนาม JICA สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ วงเงิน ๓๘,๒๐๓ ล้านเยน ทั้งนี้ รายละเอียดหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เอกสารที่เกี่ยวข้อง และสัญญาเงินกู้ดังกล่าวมีสาระสำคัญและเงื่อนไขเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติทุกประการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งหาข้อยุติในหลักการของขอบเขตการรับภาระการลงทุนค่าใช้จ่ายงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษา งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน รวมทั้งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคมเร่งศึกษาแนวทางการบริหารจัดการโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถได้ทันทีภายหลังจากที่การก่อสร้างงานโยธาของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิตแล้วเสร็จ โดยให้ครอบคลุมถึงการพิจารณารูปแบบการเดินรถ ความพร้อมของบุคลากร แผนการซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั้งโครงการ และผลกระทบต่อฐานะการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งแผนบริหารจัดการใช้ประโยชน์ทางรถไฟร่วมกันระหว่างการเดินรถไฟประเภทต่าง ๆ เช่น รถไฟทางไกล รถไฟชานเมือง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23631 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายวรพันธ์ เย็นทรัพย์) | นร04 | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวรพันธ์ เย็นทรัพย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23632 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) (นางสาวอุษณี กังวารจิตต์) | พม | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวอุษณี กังวารจิตต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23633 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (จำนวน 5 ราย 1. นายวิจารย์ สิมาฉายา ฯลฯ) | ทส | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนและทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายวิจารย์ สิมาฉายา ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควงคุมมลพิษ ๒. นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๔. นายปราณีต ร้อยบาง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นางรวีวรรณ ภูริเดช ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานนโยบาย และแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||
23634 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร12 | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้กรุงเทพมหานครดำเนินการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทให้แก่ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครตามเจตนารมณ์มาตรา ๖๑/๒ วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของ ก.พ.ร. เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลของกรุงเทพมหานครที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มาจากหน่วยงานภายในของกรุงเทพมหานครเท่านั้น จึงควรเพิ่มองค์ประกอบที่เป็นบุคคลภายนอก เช่น อัยการ หรือตำรวจ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
23635 | การดำเนินโครงการจัดทำเครื่องมือประเมินผลกระทบทางกฎหมาย กฎ และระเบียบ | ยธ | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) มีข้อสังเกตว่า โดยที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการจัดทำเครื่องมือประเมินผลกระทบทางกฎหมาย กฎ และระเบียบ ด้วย ควรเพิ่มผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในคณะทำงานตามโครงการดังกล่าวด้วย ๒. รับทราบความคืบหน้าโครงการจัดทำเครื่องมือประเมินผลกระทบทางกฎหมาย กฎ และระเบียบ เรื่อง ANSSR : Developing Regulatory Impact Assessment (RIA) Guidelines as an Anti-Corruption Tool ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำแผนงานเพื่อกำหนดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการร่วมกัน ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก จำนวน ๓ กิจกรรม ได้แก่ (๑) การจัดทำแนวทางการประเมินผลกระทบทางกฎหมาย (RIA Guidelines) (๒) การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและปรับปรุงแนวทางการประเมินผลกระทบทางกฎหมาย (RIA Guidelines) และ (๓) การเผยแพร่แนวทางการประเมินผลกระทบทางกฎหมาย (RIA Guidelines) พร้อมกับจัดฝึกอบรมเพื่อสร้างวิทยากรฝึกอบรมด้านการประเมินผลกระทบทางกฎหมายเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถพัฒนาบุคลากรของตนเองได้ ๒.๒ กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศ (Workshop on Thailand RIA Guidelines Development) ในวันที่ ๘-๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการพัฒนากระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบในการออกกฎหมาย อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศ และยกร่างเอกสารเรื่อง Regulatory Impact Assessment (RIA) in Thailand เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการจัดประชุมดังกล่าว และได้ประสานงานเพื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ องค์การเอเปค องค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) สำนักเลขาธิการอาเซียน และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) รวมทั้งประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการนำเครื่องมือการประเมินผลกระทบทางกฎหมายมาใช้ ได้แก่ ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และมาเลเซีย มาเป็นวิทยากร พร้อมกับเชิญผู้แทนประเทศในกลุ่มเอเปค อาทิ ชิลี มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน เวียดนาม รัสเซีย เม็กซิโก เปรู เข้าร่วมการประชุมด้วย ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามโครงการดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||
23636 | ข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเทียบเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กรณีศึกษาท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเทียบเรือ AO โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด และท่าเทียบเรือ B1 โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล 1 จำกัด) | คค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเรื่อง ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ในการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเทียบเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กรณีศึกษาท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเทียบเรือ AO โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด และท่าเทียบเรือ B1 โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล ๑ จำกัด) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม การท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากรและกรมสรรพากร) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีดังนี้ ๑.๑ การตรวจสอบการให้สัมปทานประกอบกิจการท่าเรือที่อยู่ในการกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งหมดว่ามีพฤติการณ์ในลักษณะเอาเปรียบรัฐ โดยการฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าผู้ประกอบการของแต่ละท่ามีพื้นที่และลักษณะทางกายภาพติดต่อกัน จะเป็นผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นชุดเดียวกันหรือไม่ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในสัญญาอย่างเคร่งครัด รวมทั้งดำเนินคดีเรียกค่าปรับ หรือค่าเสียหายอันเกิดจากการฉ้อฉลและทุจริตดังกล่าวด้วย และหากพิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดในสัญญาข้อใด เป็นผลทำให้รัฐเสียเปรียบและก่อให้เกิดความเสียหาย ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขข้อสัญญานั้นให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป ๑.๒ กรณีให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาถึงความเป็นไปได้อย่างเหมาะสมที่จะยกเลิกเพิกถอนการให้สิทธิประโยชน์โครงการของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการขนถ่ายสินค้าสำหรับเรือเดินทะเลที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเอาเปรียบรัฐโดยการฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลและวิเคราะห์เปรียบเทียบผลดี ผลเสียที่ภาครัฐจะได้รับจากการให้สิทธิประโยชน์โครงการของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวด้วย ๑.๓ กรณีการให้กรมศุลกากรพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเกณฑ์อัตราเปรียบเทียบปรับตามประมวลฯ ๑ ๐๖ ๐๓ ๐๑ (๒๒) ของระเบียบกรมศุลกากรที่ ๑๘/๒๕๕๐ ซึ่งใช้ประกอบการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๓๘ โดยเพิ่มโทษให้มีอัตราที่สูงขึ้นและเหมาะสมเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้มีการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อกฎหมาย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐไปหารือร่วมกันเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลการตรวจสอบการถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของท่าเทียบเรือ AO (โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด) และท่าเทียบเรือ B1 (โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล ๑ จำกัด) ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าเหตุใดจึงไม่สอดคล้องกับการรายงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีภายใน ๒๐ วันนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||
23637 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 สายแม่สอด (เขตแดน) - มุกดาหาร ที่บ้านหนองบัว และสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 130 สายทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2 ที่แม่สอด ตอนบ้านหนองบัว - บ้านวังตะเคียน พ.ศ. .... | คค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๒ สายแม่สอด (เขตแดน)-มุกดาหาร ที่บ้านหนองบัว และสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๓๐ สายทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ ๒ ที่แม่สอด ตอนบ้านหนองบัว-บ้านวังตะเคียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๒ สายแม่สอด (เขตแดน)-มุกดาหาร ที่บ้านหนองบัว และสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๓๐ สายทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ ๒ ที่แม่สอด ตอนบ้านหนองบัว-บ้านวังตะเคียน ในท้องที่ตำบลแม่ปะ และตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
23638 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการซึ่งกระทรวงการคลังแต่งตั้งให้เป็นผู้พิจารณา และเสนอความเห็นเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่มิใช่ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับการแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
23639 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และตำบลอ่างทอง ตำบลน้ำแวน อำเภอเชียงคำ ตำบลทุ่งรวงทอง ตำบลห้วยยางขาม ตำบลห้วยข้าวก่ำ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... | คค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และตำบลอ่างทอง ตำบลน้ำแวน อำเภอเชียงคำ ตำบลทุ่งรวงทอง ตำบลห้วยยางขาม ตำบลห้วยข้าวก่ำ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และตำบลอ่างทอง ตำบลน้ำแวน อำเภอเชียงคำ ตำบลทุ่งรวงทอง ตำบลห้วยยางขาม ตำบลห้วยข้าวก่ำ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๒๐ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๒๑ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
23640 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินให้มีที่ดินทำประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....