ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1146 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 22901 - 22920 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22901 | รายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้ของชาติ | สว | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้ของชาติ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีมติเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้ของชาติ เพื่อสามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้ของประเทศได้อย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าวและสรุปผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22902 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. .... | ยธ | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจและพื้นที่ปฏิบัติงาน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
22903 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลน้ำชำ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พ.ศ. .... | มท | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลน้ำชำ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลน้ำชำ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ เพื่อมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้เป็นที่ตั้งที่ทำการสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) จังหวัดแพร่ และใช้ประโยชน์อย่างอื่นในราชการของ สกย. จังหวัดแพร่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
22904 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ในท้องที่อำเภอบางใหญ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี อำเภอพุทธมณฑล อำเภอนครชัยศรี อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี อำเภอท่ามะกา อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน และเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
22905 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฉบับใหม่ | กห | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฉบับใหม่ เพื่อใช้แทนฉบับเดิม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ความร่วมมือทั้งสองฝ่ายร่วมกันอย่างใกล้ชิดในด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ เช่น การร่วมมือด้านความมั่นคง การป้องกันรักษาชายแดน การรักษาความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อย การรักษาสิ่งแวดล้อมและการร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันบนพื้นฐานของหลักการของความเสมอภาค การเคารพอธิปไตยของกันและกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยสอดคล้องกับระเบียบและกฎหมายของแต่ละประเทศ ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างความตกลงฯ ฉบับใหม่ดังกล่าว ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับการรักษาความสงบบริเวณชายแดน การจ้างงานผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ ควรจัดประชุมหารือเพื่อการจัดทำแผนงานร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
||||||||||||||||||||||||
22906 | แผนแม่บทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ พ.ศ. 2558 - 2563 | กห | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนแม่บทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๓ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อให้เกิดความพร้อมในการป้องกันประเทศของไทย และเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนปฏิบัติการ อำนวยการ ประสานงาน สนับสนุน และบูรณาการการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การผลิตสนับสนุนภารกิจกองทัพ (๒) การพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร (๓) การสนับสนุนปัจจัยที่เอื้อต่อการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (๔) การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และ (๕) การสร้างและพัฒนากิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เติบโตและแข่งขันได้ และให้หน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุนแนวทางการปฏิบัติตามแผนแม่บทดังกล่าว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณากำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดกลุ่มประเภทในแนวทางปฏิบัติและกำหนดลำดับความสำคัญของแนวทางปฏิบัติตามยุทธศาสตร์/กลยุทธ์ รวมถึงแสดงตัวชี้วัดในเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อสะท้อนระดับความสำเร็จตามยุทธศาสตร์/กลยุทธ์ ที่วางไว้ และเพิ่มเติมประเด็นเรื่องการเสริมสร้างบุคลากรเพื่อให้สอดรับกับแผนแม่บทฉบับนี้ เนื่องจากบุคลากรเป็นองค์ประกอบสำคัญของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่ใช้ความรู้ขั้นสูง รวมทั้งการจัดทำแผนรองรับปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจ การพิจารณาแนวทางการอนุญาตให้เอกชนใช้พื้นที่ของทางราชการเพื่อการตั้งโรงงานผลิตและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการผ่อนปรนให้โรงงานผลิตและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของเอกชนที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันสามารถขยายโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยผังเมือง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22907 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปก ครั้งที่ 12 | พน | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๒ (Cebu Declaration) ที่กำหนดให้มีการรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๒ ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ประกอบด้วยเอกสาร ๒ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ แถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเปค (Declaration of the APEC Energy Ministers Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงจุดยืนร่วมกันของระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเปคต่อประเด็นการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้านพลังงานในภูมิภาคเอเปค ซึ่งหมายรวมถึงความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานที่มีความทนทานต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยที่มนุษย์สร้างขึ้น ๑.๒ คำชี้แนะสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเปค (Instruction of the APEC Energy Ministers Meeting) เป็นเอกสารที่รัฐมนตรีพลังงานเอเปคที่ได้มอบหมายให้แก่คณะทำงานด้านพลังงาน (APEC Energy Working Group : EWG) โดยเน้นการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานในภูมิภาคเอเปคโดยเฉพาะในพื้นที่นอกเขตสายส่งไฟฟ้า ความร่วมมือและการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาความเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สังคมคาร์บอนต่ำและชุมชนพลังงานอัจฉริยะ ความร่วมมือในการพัฒนาและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลสะอาด การจัดหาพลังงานสะอาด ตลอดจนการพัฒนาขีดความสามารถทรัพยากรมนุษย์ให้เท่าเทียมกันทางเพศในภูมิภาคเอเปค ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ร่วมกับผู้แทนจากสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
||||||||||||||||||||||||
22908 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อนำที่ดินที่เป็นป่าชายเลนในท้องที่อำเภอเมือง และอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ตามนโยบายรัฐบาล | ทส | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เพื่อนำที่ดินที่เป็นป่าชายเลนในท้องที่อำเภอเมือง และอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ ๒๗,๐๐๐ ไร่ ไปจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดมาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ จำนวน ๑๖,๐๐๐ ไร่ ที่จะนำไปฟื้นฟูให้เป็นป่าชายเลนและจัดทำเป็นป่าชุมชนหรือป่าเศรษฐกิจ และให้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้ประเมินผลการดำเนินการเกี่ยวกับการฟื้นฟูพื้นที่ป่าและมาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าดังกล่าวและรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
22909 | ขอความเห็นชอบในการจัดทำแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแทนแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย | ทก | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดทำแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแทนแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ โดยในส่วนของการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดทำแผนดังกล่าว รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างอื่น ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือปฏิบัติตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๗/ว ๓๕๕ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การเบิกจ่ายเงินงบประมาณแทนกันในระบบ GFMIS) ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง ร่างกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระยะ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓ ของประเทศไทย (ICT 2020)] เฉพาะในส่วนที่มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๓. กรณีการยกเว้นการดำเนินการตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๖/ว ๙๘ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันและการขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ) ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไป ๔. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ควรกำหนดดัชนีชี้วัด เป้าประสงค์ และแนวทางการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติให้ชัดเจน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในการจัดทำแผนดังกล่าวเพื่อให้เกิดการบูรณาการและส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในทุกภาคส่วน สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดทำแผน และการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันและการขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณในส่วนของการกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันนั้น ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
22910 | การช่วยเหลือค่าเครื่องแบบปฏิบัติงานปกติของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อก | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรณีการช่วยเหลือค่าเครื่องแบบปฏิบัติงานปกติของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้แก่พนักงานระดับ ๓ ถึงระดับ ๘ เป็นเงินจำนวนไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒.ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงานพิจารณาทบทวนหรือปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๒๘ ที่บัญญัติให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกี่ยวข้องกับการเงินที่อยู่นอกเหนือจากที่กำหนดตามมาตรา ๑๓ (๒) นายจ้างจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์และคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการได้ โดยอาจกำหนดให้สภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินบางประเภทตามมาตรา ๒๘ ดังกล่าว เช่น เงินช่วยเหลือค่าเครื่องแบบ ค่ารักษาพยาบาลของพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน แต่ให้เป็นอำนาจที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจสามารถจะพิจารณาให้ความเห็นชอบไปได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดเรื่องที่มีลักษณะเป็นการบริหารงานประจำที่ไม่ใช่เรื่องเชิงนโยบายซึ่งต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
22911 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) | กค | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) วงเงินลงทุนไม่เกิน ๑,๑๙๙,๒๗๙,๕๔๐ บาท เพื่อกระทรวงการคลังจะได้บรรจุโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงินกู้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ขออนุมัติโครงการและการกู้เงินสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒) ๑.๒ อนุมัติในหลักการสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการรับประกันตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โดยให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ/หรือโอนเงินนอกงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินไม่เกินปีละ ๑๕๒,๔๒๐,๔๓๐ บาท และให้กรมศุลกากรดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่เห็นควรมีการจำแนกรายละเอียดให้ชัดเจนทั้งในด้านจำนวน คุณลักษณะ คุณสมบัติการใช้งาน และความสามารถของอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการพิจารณา มีการระบุถึงความเชื่อมโยงของระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ด้วยเครื่องเอกซเรย์ (X-ray Container Inspection System) และระบบควบคุมการเคลื่อนย้ายและติดตามควบคุมการขนส่งสินค้าผ่านแดนและถ่ายลำ (e-Lock, RFID & GPS System) มีแผนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดหาโดยดำเนินการในลักษณะการซื้อบริการแบบครบวงจร มีการวางแผนในเรื่องการจัดเก็บข้อมูล การสืบค้นข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data analytic) และกำหนดพื้นที่ในการจัดเก็บ อีกทั้งการดูแลบำรุงรักษาข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ มีการประสานความร่วมมือและบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เชื่อมต่อระบบตรวจป้ายทะเบียนรถยนต์และระบบควบคุมยานพาหนะผ่านแดนกับกรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้งานในระบบหรือพัฒนาต่อยอดจากระบบของหน่วยงานอื่นที่ได้ดำเนินการไว้แล้วเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ มีรายละเอียดสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการดำเนินการและเพื่อประโยชน์ในการขยายระบบในอนาคต ตลอดจนการกำหนดเกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานของระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ที่กำหนดให้โครงการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ หรือโครงการจัดหาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินและมีวงเงินงบประมาณในการจัดหาตั้งแต่ ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการระบบ CCTV ของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ระบบ BIOMETRICS และระบบ CCTV เพื่อการควบคุมทางศุลกากรเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกันได้และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านความมั่นคงได้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22912 | การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 187 ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดำเนินงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย พ.ศ. 2549 | รง | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๑๘๗ ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดำเนินงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยอนุสัญญาฉบับนี้จัดเป็นมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศฉบับพื้นฐานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางสำหรับการบริหารจัดการและดำเนินงานความปลอดภัยฯ ระดับชาติ และผลักดันให้รัฐสมาชิกให้สัตยาบัน โดยเนื้อหาสาระของอนุสัญญามุ่งเน้นเกี่ยวกับการจัดให้มีองค์ประกอบขั้นพื้นฐานในการสร้างเสริมความปลอดภัยและอาชีวอนามัย อันถือเป็นส่วนหนึ่งของวาระงานที่มีคุณค่า (Decent Work) ให้บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน ทั้งนี้ การให้สัตยาบันอนุสัญญาจะช่วยให้เกิดการพัฒนาระบบงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศ และเป็นการยกระดับความคุ้มครองลูกจ้าง โดยการขจัดหรือลดความเสี่ยงและอันตรายที่เกี่ยวเนื่องจากงาน เพื่อป้องกันการได้รับบาดเจ็บ การเกิดโรค และการเสียชีวิตจากการทำงาน รวมทั้งส่งเสริมให้การดำเนินการด้านดังกล่าวของประเทศมีคุณภาพ สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและมีความยั่งยืนขึ้น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ได้ข้อยุติในประเด็นที่ต้องเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ทั้งนี้ หากไม่ต้องเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการต่อไปได้ และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งจดทะเบียนการให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวกับผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศต่อไป หากต้องเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
22913 | ข้อเสนอการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของประเทศ | นร11 | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงโครงสร้าง องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้ กอช. เป็นกลไกหลักในลักษณะ Super Board เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง (ร่าง) ยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่โลก พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔] ๒. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการปรับแก้ไขระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ กอช. และเร่งดำเนินการกำหนดอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของประเทศและขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||
22914 | ผลการพิจารณารายงานพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่สูงเกินความจำเป็นและแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงานทดแทน | พน | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่สูงเกินความจำเป็นและแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงานทดแทน ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน ซึ่งกระทรวงพลังงานได้หารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) แล้ว มีความเห็นว่า กรอบแนวทางการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่สูงเกินความจำเป็นและแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงานทดแทน ของคณะกรรมาธิการฯ มีหลักการที่สอดคล้องกับแนวทางซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22915 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรามีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๖ สายบางปะอิน-นครราชสีมา เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๖ สายบางปะอิน-นครราชสีมา ในท้องที่อำเภอบางปะอิน อำเภอวังน้อย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อำเภอหนองแค อำเภอเมืองสระบุรี อำเภอแก่งคอย อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และอำเภอปากช่อง อำเภอสีคิ้ว อำเภอสูงเนิน อำเภอขามทะเลสอ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินทดแทน และเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
22916 | รัฐบาลนิวซีแลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายเบนจามิน คิง (Mr. Benjamin King)] | กต | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเบนจามิน คิง (Mr. Benjamin King) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายรูเบน แอนโทนี โจแอนนีส เลฟเวอร์มอร์ (Mr. Reuben Anthony Joannes Levermore) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22917 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมและร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมและวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....) | สผ | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมและร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมและวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ศาลปกครอง สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอปฏิรูป ดังนี้
๑. การจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมในรูปแบบของศาลชำนัญพิเศษ ให้มีโครงสร้างและระบบพิจารณาคดีในลักษณะ One Stop Service ๒. การจัดทำกฎหมายวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมเป็นการเฉพาะ
|
||||||||||||||||||||||||
22918 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางปฏิรูปการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรม) | สผ | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง แนวทางปฏิรูปการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรม ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอการปฏิรูป ดังนี้
๑. ให้มีการปรับผังองค์กรของกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามรูปแบบใหม่ ๒. การตรวจสอบมลพิษที่วัตถุดิบและเก็บภาษีมลพิษที่วัตถุดิบและของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ๓. การมอบอำนาจการอนุญาตกรณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานให้แก่จังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้อนุญาต ๔. เปลี่ยนการอนุญาตให้ขนขยะอุตสาหกรรมภายในจังหวัด ตลอดจนอนุญาตให้มีและครอบครองวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ จากเดิมเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นหน้าที่ของอุตสาหกรรมจังหวัด ๕. เปลี่ยนการอนุญาตตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. ๒๕๑๔ ในการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของอุตสาหกรรมจังหวัด
|
||||||||||||||||||||||||
22919 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง ระบบพลังงาน) | สผ | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง ระบบพลังงาน ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอการปฏิรูป ดังนี้
๑. ระบบราคาเชื้อเพลิงที่มีการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม ๒. บทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๓. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการกำหนดนโยบาย และการกำกับกิจการพลังงาน ๔. การพัฒนาศูนย์ข้อมูลกลางด้านพลังงาน (NEIA) ๕. การกำกับกิจการพลังงานทุกประเภทที่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติหรือมีอำนาจเหนือตลาด ๖. การจัดตั้งกองทุนพลังงานเพื่อสังคม ๗. การจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ๘. การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ๙. การผลิตและซื้อขายไฟฟ้าเสรี ๑๐. การบริหารกิจการสายส่งและศูนย์ควบคุมระบบโครงข่ายไฟฟ้า (System Operator) และตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าภายในแผน PDP 2015-2036 ๑๑. โครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าในกลุ่มประชาคมอาเซียน และภูมิภาคข้างเคียง ๑๒. กองทุนพัฒนาไฟฟ้า ๑๓. การปฏิรูปการอนุรักษ์พลังงานในอาคารภาครัฐและเอกชนในระบบ ESCO และ BEC ๑๔. การปฏิรูปกฎหมายด้านพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน ๑๕. การปฏิรูปพลังงานชีวภาพ ๑๖. การแยกกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานออกเป็นกรมพัฒนาพลังงานทดแทน และกรมอนุรักษ์พลังงาน ๑๗. โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ๑๘. โครงการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||
22920 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิด เมืองนิเวศ) | สผ | 22/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอปฏิรูป ดังนี้
๑. ประเด็นหลัก คือ การปฏิรูปเมืองอุตสาหกรรมในประเทศไทยให้เป็นเมืองนิเวศอุตสาหกรรม (หรือเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ : Eco-industrial town) ๒. ประเด็นรอง คือ การปฏิรูปการวางผังเมืองในเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การปฏิรูปองค์กรรับผิดชอบเมืองนิเวศอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการบริหารจัดการ และการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
|
.....