ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1142 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22821 - 22840 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22821 | ขออนุมัติเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 เพื่อเป็นค่าก่อสร้างและค่าปรับปรุงเพิ่มเติมอาคารที่ทำการศาลปกครองนครสวรรค์และอาคารที่ทำการศาลปกครองพิษณุโลก | ศป | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอขออนุมัติเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นค่าก่อสร้างและค่าปรับปรุงเพิ่มเติมอาคารที่ทำการศาลปกครองนครสวรรค์และอาคารที่ทำการศาลปกครองพิษณุโลก และให้สำนักงานศาลปกครองดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. รายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานอาคารที่ทำการศาลปกครองนครสวรรค์ เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๐๓,๖๗๔,๓๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๓๔,๓๖๙,๓๐๐ บาท ซึ่งสำนักงานศาลปกครองได้เสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ สภานิติบัญญัติแห่งชาติไว้แล้ว ทั้งนี้ หากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ก็ให้เสนอขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๒. รายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานอาคารที่ทำการศาลปกครองพิษณุโลก เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้เพียงพอแล้ว จำนวน ๑๓๕,๖๑๑,๐๐๐ บาท ๓. รายการค่าปรับปรุงเพิ่มเติมและค่าควบคุมงานอาคารที่ทำการศาลปกครองนครสวรรค์ จำนวน ๑๒๒,๗๘๗,๔๐๐ บาท ซึ่งไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ สำนักงานศาลปกครองได้เสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ สภานิติบัญญัติแห่งชาติไว้แล้ว ทั้งนี้ หากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป สำหรับรายการค่าปรับปรุงเพิ่มเติมและค่าควบคุมงานอาคารที่ทำการศาลปกครองพิษณุโลก เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้เพียงพอแล้ว จำนวน ๘๕,๐๘๐,๓๐๐ บาท |
||||||||||||||||||||||||
22822 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 เพิ่มเติมจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายงบบุคลากรที่เพิ่มขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 และวันที่ 9 ธันวาคม 2557 | ศป | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติมจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายงบบุคลากรที่เพิ่มขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยให้สำนักงานศาลปกครองขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิ จากกรมบัญชีกลางก่อน โดยดำเนินการตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ที่ กค ๐๔๒๐.๙/ว ๑๒๖ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘ และหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนมาก ที่ กค ๐๔๒๐.๓/ว ๒๐๕ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ ซึ่งกำหนดให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐแจ้งวงเงินงบประมาณที่ขาดภายหลังจากการปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐอัตราร้อยละ ๔ ให้กรมบัญชีกลางทราบภายใน ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐต้องดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นกับสำนักงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
22823 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางวิลาวัลย์ ตันรัตนกุล) | นร11 | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางวิลาวัลย์ ตันรัตนกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22824 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายชัยณรงค์ โชไชย และนายวรวุฒิ โปษกานนท์) | พณ | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายชัยณรงค์ โชไชย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ๒. นายวรวุฒิ โปษกานนท์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
22825 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบโฉนดชุมชน และร่างพระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. ....) | สผ | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอเรื่อง สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบโฉนดชุมชน และร่างพระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยข้อเสนอแนะฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดการทรัพยากรที่ดินจำเป็นต้องก้าวข้ามหรือต้องหยุดการจัดการตามแนวคิดหรือกลไกในแบบเดิม มาสู่แนวคิดหลักการการสร้างกลไกใหม่ในการบริหารจัดการร่วมกัน สิทธิร่วมกัน เพื่อลดการสูญเสียที่ดิน การบุกรุกป่า เกิดการทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง ๒. มีแนวคิดที่ชัดเจนเรื่องโฉนดชุมชนที่เป็นการรับรองสิทธิชุมชนในรูปแบบใหม่ จะสามารถแก้ปัญหาการบุกรุกทำลายป่าและแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่งรัฐกับชุมชน ๓. การกำหนดแนวทางในการปฏิรูปด้านการจัดการทรัพยากรที่ดินต้องสอดคล้องกับสิทธิชุมชนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ๔. เสนอให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ .... ไปพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... เนื่องจากกฎหมายทั้ง ๒ ฉบับมีความเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการในพื้นที่ป่าและพื้นที่อนุรักษ์ จึงต้องดำเนินการ่างกฎหมายทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวให้สอดคล้องกัน
|
||||||||||||||||||||||||
22826 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505) | สม | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอเรื่องรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอนะเชิงนโยบายในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนาและปฏิบัติตามศาสนกิจของสตรีที่ได้รับการบรรพชาหรืออุปสมบทเป็นสามเณรีหรือภิกษุณี และมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว โดยให้ขอความเห็นจากมหาเถรสมาคมเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22827 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) | สผ | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอ เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยผลการพิจารณาศึกษารายงาน และข้อเสนอประเด็นการปฏิรูปและแนวทางดำเนินการพร้อมทั้งร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อให้มีกฎหมายแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงน้ำ การบริหารจัดการน้ำ การคุ้มครอง การอนุรักษ์แหล่งต้นน้ำ การฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำ การจัดตั้งกองทุนทรัพยากรน้ำ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนในแต่ละลุ่มน้ำ ตลอดจนการจัดตั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำทั่วไประดับชาติและระดับลุ่มน้ำ และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22828 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิและขอพระราชทานโปรดเกล้า ฯ ให้ข้าราชการพ้นจากราชการเพราะครบเกษียณอายุราชการ (กระทรวงมหาดไทย) (นายสุชาติ ตรีสัตยพันธ์) | มท | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุชาติ ตรีสัตยพันธ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งสถาปนิกใหญ่ (สถาปนิกทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22829 | การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 20 และร่างแถลงการณ์ร่วมระดับ รัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 20 ณ กรุงเนปยิดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา | นร11 | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS Minister) เพื่อกำกับดูแลการดำเนินงานของประเทศไทยภายใต้แผนงาน GMS รวมทั้งเพื่อปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๒๐ (20th GMS Ministerial Conference) ในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๘ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนระดับรัฐมนตรีของไทยในแผนงาน GMS โดยต่อเนื่องต่อไป ๑.๒ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ครั้งที่ ๒๐ เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้ความเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีฯ ครั้งที่ ๒๐ โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ เป็นการทบทวนความสำเร็จที่ผ่านมาภายใต้แผนงาน GMS ได้แก่ สาขาคมนาคม สาขาพลังงาน สาขาเกษตร สาขาสิ่งแวดล้อม สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาท่องเที่ยว สาขาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสาขาการอำนวยความสะดวกการขนส่งและการค้า รวมทั้งความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการภายใต้กรอบการลงทุนในภูมิภาค (RIF-IP) ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๑ และหารือถึงแนวทางในการนำแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ ในกรณีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
||||||||||||||||||||||||
22830 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน | กค | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยมีเงื่อนไขไม่ให้ Refinance หนี้เดิม วงเงินโครงการรวม ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๒๐,๐๒๐ ล้านบาท ๑.๒ ทบทวนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ (PGS-5) เดิมที่เคยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และอนุมัติหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS-5 โดยมีวงเงินค้ำประกัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อายุการค้ำประกันไม่เกิน ๗ ปี และอนุมัติงบประมาณการชดเชยความเสียหาย จำนวน ๑๔,๒๕๐ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีกำไรสุทธิตั้งแต่ ๓๐๐,๐๐๑ บาทขึ้นไป จากเดิมร้อยละ ๑๕ และ ๒๐ ของกำไรสุทธิ เป็นร้อยละ ๑๐ ของกำไรสุทธิ เป็นเวลา ๒ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ จนถึงรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๔ เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start-up) โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักที่มีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จดทะเบียนพาณิชย์ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นเวลา ๕ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน ๑.๕ มอบหมายให้กรมสรรพากรดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มาตรการ ตามข้อ ๑.๓ และ ๑.๔ มีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๒. ในส่วนของงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs จำนวน ๒๐,๐๒๐ ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ PGS-5 ให้ บสย. ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ส่วนการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการ PGS-5 ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งการเข้าถึงโครงการ PGS-5 อย่างทั่วถึงของผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการกำหนดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการพิจารณาธุรกิจที่จะร่วมลงทุนและเป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22831 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 | คค | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ประกอบด้วย ที่ตั้งโครงการ ภาระหน้าที่ การจ้างแรงงาน กรรมสิทธิ์ในโครงการ เขตแดน การบริหารและการจัดการงานก่อสร้าง เขตการก่อสร้าง ภาษี อากร และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ การจัดการด้านความปลอดภัย การบริหารและบำรุงรักษาสะพาน ระบบการจราจร กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขข้อขัดแย้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยและมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามความตกลงฯ ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๔. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๕. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอด พร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ ๒ ของกรมทางหลวง) โดยเฉพาะประเด็นการออกแบบและกำหนดพื้นที่ใช้สอยสำหรับการจัดสร้างอาคารด่าน Border Control Facilities ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของกรมศุลกากร การพิจารณาข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่เมียนมา เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเจรจาขอใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสาละวินเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร รวมทั้งความพร้อมของเมียนมาในการบริหารจัดการโครงการทั้งในช่วงระหว่างก่อสร้างและภายหลังเปิดให้บริการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22832 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระค่าเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อมปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระค่าเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๔,๙๕๑.๗๑๒ ล้านบาท ประกอบด้วยค่าน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน ๓,๑๙๓.๖๙๒ ล้านบาท และค่าเหมาซ่อม จำนวน ๑,๗๕๘.๐๒๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นว่า ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ไม่ควรอนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอีก โดยเห็นควรให้จัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยภาระดังกล่าวโดยตรง และควรให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมจากองค์กรที่มีผลประกอบการขาดทุนเป็นองค์กรที่มีผลประกอบการที่สามารถเลี้ยงตนเองได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยมีการกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ให้ชัดเจนในรัฐบาลนี้เพื่อป้องกันการบริหารที่อ่อนแอและการประพฤติมิชอบ ในขณะเดียวกันก็จะต้องกำกับให้ ขสมก. จัดทำแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและมีการบูรณาการในการทำงานอย่างเป็นระบบ และในปีต่อไปหาก ขสมก. มีส่วนต่างระหว่างรายจ่ายมากกว่ารายรับ หรือมีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่จำเป็นต้องขอกู้เงิน เช่น ค่าเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อม ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อสำนักงบประมาณเพื่อนำมาให้ ขสมก. ใช้ในการดำเนินการตามภารกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
22833 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ 2559 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต้นเงินกู้ที่ครบกำหนด จำนวน ๑๓,๐๔๖.๕๐๐ ล้านบาท (ยกเว้นการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อจัดซื้อรถโดยสาร NGV วงเงิน ๑๗๘.๔๘๕ ล้านบาท) และกู้เงินเพื่อชำระดอกเบี้ย จำนวน ๓,๕๓๓.๗๒๓ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. รับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรพิจารณาแนวทางปรับปรุงการบริหารจัดการ จัดทำแผนฟื้นฟูเพื่อเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย โดยไม่ให้มีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ รวมทั้งการลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้มีน้อยที่สุดเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ และความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมจากองค์กรที่มีผลประกอบการขาดทุนเป็นองค์กรที่มีผลประกอบการที่สามารถเลี้ยงตนเองได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยมีการกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ให้ชัดเจนในรัฐบาลนี้ เพื่อป้องกันการบริหารที่อ่อนแอและการประพฤติมิชอบ ในขณะเดียวกันก็จะต้องกำกับให้ ขสมก. จัดทำแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและมีการบูรณาการในการทำงานอย่างเป็นระบบ และเห็นควรเร่งรัดพิจารณาแนวทางปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ตลอดจนมาตรการในการบริหารจัดการหนี้ของ ขสมก. โดยเร็ว เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เพิ่มรายได้จาการบริการ และแก้ไขปัญหาด้านฐานะทางการเงินของ ขสมก. ในระยะยาว เพื่อลดภาระหนี้สินที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
22834 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 26/2558 เรื่อง การดำเนินการเพื่อถอด พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตำรวจ | สลธ.คสช. | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๖/๒๕๕๘ เรื่อง การดำเนินการเพื่อถอด พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตำรวจ สั่ง ณ วันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ และให้แจ้งสำนักราชเลขาธิการทราบ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22835 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ | ศธ | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการในการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รักษาราชการแทน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการด้วย ตามลำดับ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์) ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์)
|
||||||||||||||||||||||||
22836 | การรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการในการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ตามลำดับ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์)
|
||||||||||||||||||||||||
22837 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน | พน | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย ตามลำดับ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์)
|
||||||||||||||||||||||||
22838 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | คค | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22839 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ตามลำดับ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
22840 | การแต่งตั้งรองประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า [พันเอก (พิเศษ) ดิเรก ดีประเสริฐ] | พณ | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง พันเอก (พิเศษ) ดิเรก ดีประเสริฐ ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า แทนรองประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าเดิมที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ กันยายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
.....