ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1149 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22961 - 22980 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22961 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส. (กระทรวงยุติธรรม) (นายณรงค์ รัตนานุกูล) | ยธ | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายณรงค์ รัตนานุกูล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22962 | การโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (พลเอก ทวีป เนตรนิยม) | นร | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้ง พลเอก ทวีป เนตรนิยม ข้าราชการทหาร ตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย (ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘) มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
22963 | การโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ) | กษ | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้ง นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22964 | การรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ และนางอรรชกา สีบุญเรือง) | กต | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการในการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ ตามลำดับ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายอรรชกา สีบุญเรือง)
|
||||||||||||||||||||||||
22965 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข | สธ | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่อาจปฏิบัติราชการได้และไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22966 | การโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน (นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม) | พน | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้ง นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22967 | ขอรับโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นายไมตรี อินทุสุต) | พม | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้ง นายไมตรี อินทุสุต ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย และได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22968 | การลงนามในร่างหนังสือแสดงความเข้าใจการจัดตั้งโครงการจัดการกองทุนรวมภูมิภาคเอเชียข้ามพรมแดนภายใต้กรอบเอเปค | กค | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแสดงความเข้าใจการจัดตั้งโครงการจัดการกองทุนรวมภูมิภาคเอเชียข้ามพรมแดนภายใต้กรอบเอเปค (Statement of Understanding on the Establishment of the Asia Region Funds Passport : SOU) มีสาระสำคัญคือ รับรองแนวทางเบื้องต้นและข้อตกลงพื้นฐาน (Initial Guiding Principles and Basic Arrangements) ของโครงการจัดการกองทุนรวมภูมิภาคเอเชียข้ามพรมแดน (APEC Asia Region Funds Passport : ARFP) รับทราบถึงข้อดีของการเข้าร่วมโครงการ ARFP และความพยายามลดข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น เรื่องภาระภาษีและการควบคุมบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย เป็นต้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้เขตเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สนใจเข้าร่วมในโครงการ ARFP ได้ในอนาคต ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือความเข้าใจดังกล่าว และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างหนังสือแสดงความเข้าใจดังกล่าวในกรณีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ หรือไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. เนื่องจากหนังสือแสดงความเข้าใจการจัดตั้งโครงการจัดการกองทุนรวมภูมิภาคเอเชียข้ามพรมแดนภายใต้กรอบเอเปคไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จึงไม่ต้องให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงความเข้าใจดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
22969 | การเพิ่มความคล่องตัวในการจัดหาพัสดุของส่วนราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจัดหาพัสดุของส่วนราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดวงเงินในการจัดหาพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จากเดิมเป็นดังนี้ ๑.๑.๑ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๒ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๓ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่ง ซึ่งมีราคาเกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๔ การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การซื้อครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดตามที่กำหนดในระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๓ ๑.๑.๕ การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดตามที่กำหนดในระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๔ ๑.๒ การจัดหาพัสดุครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเดิมกำหนดให้ส่วนราชการต้องดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) ให้ส่วนราชการดังกล่าวดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีประกวดราคาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับการจัดหาพัสดุครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ส่วนราชการดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) หรือด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) แล้วแต่กรณี ๑.๓ แนวทางการปฏิบัติในข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ ให้เริ่มถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ สำหรับกระบวนการจัดหาพัสดุที่ได้ดำเนินการก่อนวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ และยังไม่แล้วเสร็จ ให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการเดิมต่อไป ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินโครงการลงทุนที่มีงบประมาณตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ได้ตามขั้นตอนปกติ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การรายงานรายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) กำหนดให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเพื่อติดตามการดำเนินโครงการเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการตรวจสอบก่อนอนุมัติหรือเห็นชอบให้ดำเนินโครงการแต่อย่างใด
|
||||||||||||||||||||||||
22970 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยเร่งแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร เช่น การช่วยเหลือด้านการขนส่งสินค้าทางการเกษตรไปยังตลาดในราคาย่อมเยา การจัดจำหน่ายสินค้าผ่านสหกรณ์และตลาดชุมชน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์ราคากลางของสินค้าอุปโภคและบริโภคให้ประชาชนรับทราบผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มผิดกฎหมาย โดยประสานความร่วมมือกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน แล้วรายงานให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงศ์สุวรรณ) พิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ เมษายน ๒๕๕๘) ที่ให้พิจารณาเสนอแนวทางการทำประมงในเขตแดนของภูมิภาคอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ว่าควรแบ่งเขตแดนอย่างไร สามารถทำประมงข้ามเขตได้หรือไม่ อย่างไร และให้การสนับสนุนด้านเครื่องมือในการทำประมง รวมทั้งให้เร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี ต่อไปด้วย ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการรณรงค์สร้างจิตสำนึกความเป็นไทยให้เกิดขึ้นในสังคม และให้นำเอกลักษณ์ไทยไปเผยแพร่ในโอกาสต่าง ๆ รวมทั้งกำหนดรูปแบบเครื่องแต่งกายสำหรับรัฐมนตรีและคู่สมรสเพื่อใช้ในโอกาสงานพิธีการรับรองแขกต่างประเทศและการเยือนต่างประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของประเทศ ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการเกี่ยวกับการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อให้ไม่กระทบต่อนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ เช่น ให้นักเรียนที่ศึกษาอยู่จบการศึกษาก่อน ไม่รับนักเรียนเพิ่มเติม ๓. ด้านการต่างประเทศ ให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจและด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำข้อมูลสำหรับนายกรัฐมนตรีใช้ประกอบในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในช่วงปลายเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ณ สหรัฐอเมริกา โดยส่งให้กระทรวงการต่างประเทศบูรณาการข้อมูลเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างเคร่งครัด โดยให้กำชับผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยปละละเลย เพื่อมิให้เกิดการค้ามนุษย์ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ หากพบมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในพื้นที่ใด ให้ย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้นำคดีที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง และกระทรวงพาณิชย์เร่งรัดกระบวนการพิจารณากรณีทุจริตโครงการจำนำข้าวให้สามารถนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมภายในสิ้นปี ๒๕๕๘ นี้ โดยให้รายงานรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาก่อนดำเนินการ นอกจากนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลให้ออกสู่ตลาดโดยเร็ว โดยยึดหลักสุจริตและโปร่งใส และไม่กระทบต่อราคาตลาดข้าวในปัจจุบัน ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘) เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ แล้ว นั้น ให้ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๕.๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประสานงานกับประเทศในอาเซียนเพื่อให้มีความร่วมมือกันเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย ๕.๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มวงเงินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาในส่วนของรัฐบาล ๕.๑.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ๕.๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ๕.๑.๕ ให้กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำสื่อเกี่ยวกับมาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ๕.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ำและพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำระหว่างประเทศเพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงในการส่งน้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศมาใช้ภายในประเทศ ๕.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาผ่อนผันให้ชาวสวนยางสามารถประกอบอาชีพในพื้นที่ที่ชาวสวนยางได้บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเพาะปลูกยางสามารถประกอบอาชีพในพื้นที่ดังกล่าวต่อไปได้อีกระยะหนึ่งจนกว่าจะหาพื้นที่ทำกินใหม่ทดแทนได้ และให้สร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าควบคู่กับการแก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ๕.๖ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการต่างประเทศติดตามสถานการณ์ไฟไหม้บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้เกิดปัญหาหมอกควันในหลายจังหวัดของภาคใต้อย่างต่อเนื่องและเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งประสานสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันร่วมกันด้วย ๕.๗ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐปล่อยปละละเลยให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้น ให้ย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป ๕.๘ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เร่งตรวจสอบความมั่นคงของสิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ รวมทั้งระบบสัญญาณเตือนภัยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์วาตภัยที่อาจจะเกิดขึ้น ๕.๙ ให้ทุกส่วนราชการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดการแก้ไขปัญหาที่มีการร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมหรือผ่านช่องทางตามสื่อต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละส่วนราชการ ๕.๑๐ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงแบบฟอร์มและเอกสารต่าง ๆ ที่ใช้ในการติดต่อราชการให้ง่ายต่อความเข้าใจของประชาชน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||
22971 | การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ (Moderate Class More Knowledge) | ศธ | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันลดความจำเป็นในการเรียนพิเศษหรือการกวดวิชาของนักเรียนในทุกระดับ และปรับหลักสูตรให้ครอบคลุมวิชาพื้นฐาน เช่น ประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาระบบการเรียนการสอนที่สามารถตอบสนองความต้องการของครู นักเรียน และผู้ปกครองไปพร้อมกัน นั้น กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน ส่วนในเรื่องการปรับลดเวลาเรียนใน ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ในระยะแรกจะเริ่มจากระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ๓,๕๐๐ โรงก่อน โดยหลังเลิกเรียนจะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการพัฒนานักเรียนในด้านอื่น ๆ ให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมจนถึงเวลาเลิกเรียนปกติ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว โรงเรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ จะมีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียนในช่วงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ และให้เวลาโรงเรียนเตรียมการ ๒๐ วัน เพื่อให้ทันสำหรับการเปิดเรียนภาคการเรียนที่ ๒ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะมีการประเมินผลการดำเนินการทุกเดือน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วยว่า เวลาเรียนที่ให้ปรับลดลง เป็นเพียงการปรับลดเวลาเรียนในบางวิชาลงเท่านั้น แต่โรงเรียนและครูจะต้องจัดการเรียนการสอนในรูปแบบของกิจกรรมตามความสนใจของนักเรียน เช่น เล่นดนตรี เล่นกีฬา วาดเขียน โครงงานต่าง ๆ เป็นต้น โดยเน้นภาคปฏิบัติ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่โดยมีครูเป็นผู้กำกับดูแล ทั้งนี้ จะต้องมีการพัฒนาครูควบคู่ไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
22972 | ความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ | อื่นๆ | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ สรุปได้ว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว โดยปรับลดจาก ๓๑๕ มาตรา เหลือ ๒๘๕ มาตรา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ โครงสร้างทางการเมือง ประกอบด้วย รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปการปรองดองแห่งชาติ ๑.๒ ปัญหาขัดแย้งสำคัญ ได้แก่ คำปรารภในร่างรัฐธรรมนูญ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปการปรองดองแห่งชาติ การให้มีนายกรัฐมนตรีซึ่งมิใช่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งให้คณะกรรมาธิการวิสามัญประกอบด้วยกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย ๑.๓ ขั้นตอนและกรอบระยะเวลาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อสภาปฏิรูปแห่งชาติลงมติเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๘ ๒. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาและศึกษาร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของแต่ละส่วนราชการ เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการหรือกิจกรรมของรัฐ รวมทั้งให้เตรียมยกร่างกฎหมายลูกตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
22973 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | อื่นๆ | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๕๔/๒๕๕๘ ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
22974 | การเข้าร่วมการประชุม UNWTO/UNESCO World Conference on Tourism and Culture : "Building a New Partnership" และร่างปฏิญญาเสียมราฐว่าด้วยการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม - การสร้างความเป็นหุ้นส่วนใหม่ | วธ | 25/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อชี้แจงการเข้าร่วมการประชุมระดับโลกขององค์การการท่องเที่ยวแห่งสหประชาชาติ (United Nations World Tourism Organization : UNWTO)/องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) เรื่อง “การสร้างความเป็นหุ้นส่วนใหม่” (UNWTO/UNESCO World Conference on Tourism and Culture :“Building a New Partnership”) และการขอแก้ไขข้อเสนอของกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็น การเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมการประชุมระดับโลกของ UNWTO/UNESCO เพียงประการเดียว ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ รวมทั้งให้กระทรวงวัฒนธรรมระมัดระวังในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีซึ่งต้องมีข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
22975 | รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ประจำปี พ.ศ. 2557 | สว | 25/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (สำนักงาน คปก.) รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓ การติดตามการดำเนินงานของ คปก. รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคบางประการในการดำเนินการตามภารกิจของ คปก. ในรอบปีที่ผ่านมา และข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลและจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการยกร่างกฎหมาย รวมทั้งเนื้อหาร่างกฎหมายที่จะนำไปสู่การพิจารณาในกระบวนการนิติบัญญัติ โดยเฉพาะสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมตลอดถึงกระทรวง หน่วยงานรัฐต่าง ๆ เป็นต้น ๒. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับความเห็นและข้อเสนอแนะของ คปก. โดยนำความเห็นและข้อเสนอแนะของ คปก. ไปประกอบในการพิจารณาร่างกฎหมาย ๓. กระบวนการนิติบัญญัติต้องให้ความสำคัญกับร่างกฎหมายเข้าชื่อของประชาชนเป็นลำดับต้น ๆ ในการพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อออกเป็นกฎหมายต่อไป และในกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายควรรับฟังเสียงประชาชนที่มีส่วนได้เสียหรือที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ปรับเปลี่ยนฐานคิดวิธีการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับภารกิจของ คปก. เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามอำนาจหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
22976 | รายงานผลการเดินทางไปราชการเพื่อลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษาและการออกแบบนิทรรศการระหว่าง กระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐเปรู | วธ | 25/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ สาธารณรัฐเปรู ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเปรูได้ลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษาและการออกแบบนิทรรศการระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐเปรู เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยความตกลงฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษา การแลกเปลี่ยนการจัดนิทรรศการซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจ รวมทั้งวิชาการสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเปรูได้หารือทวิภาคีเกี่ยวกับการขยายและเพิ่มพูนความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น และแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมไทย-เปรู ภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษาและการออกแบบนิทรรศการระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐเปรู โดยเฉพาะการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้านพิพิธภัณฑ์ และการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ ความรู้ และข้อแนะนำ รวมถึงการเสริมสร้างสมรรถนะและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันพิจารณาร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเปรูว่าด้วยความร่วมมือในด้านการคุ้มครอง การอนุรักษ์ การติดตามคืนและการส่งคืนซึ่งทรัพย์สิน ทางวัฒนธรรม โบราณคดี ศิลปะ และประวัติศาสตร์ที่ถูกปล้น โจรกรรม ส่งออก หรือถ่ายโอนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และดำเนินการตามกระบวนการให้แล้วเสร็จเพื่อให้สามารถลงนามได้ในโอกาสแรก ๓. กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศได้จัดการแสดงทางวัฒนธรรม ประกอบด้วยการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีไทย ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ โรงละครแห่งชาติ กรุงลิมา โดยได้จัดการแสดงโขนซึ่งเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูง รวมทั้งการแสดงที่หลากหลายและการสาธิตหัตถกรรม และร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เปรู ด้วย ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้พบหารือกับผู้บริหารแหล่งมรดกโลกและวัฒนธรรมในเปรู ได้แก่ นาย J. Fernando Astete Victoria ผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมเมืองกุสโก และผู้อำนวยการแหล่งมรดกโลกมาชูปิกชู (Machu Picchu) โดยได้หารือแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางความร่วมมือทางด้านการอนุรักษ์และบริหารจัดการแหล่งมรดกโลก นอกจากนี้ ยังได้พบหารือและเยี่ยมชมแหล่งโบราณคดีและแหล่งมรดกโลกในเมืองกุสโกซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางยุคโบราณสมัยอาณาจักรอินคา รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านการจัดแสดงและบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์กับผู้บริหารของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเปรูในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
22977 | การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 7 (7 th Mekong - Japan Economic Ministers Meeting) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย | นร11 | 25/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการมอบหมายให้รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) ในฐานะผู้ประสานงานความร่วมมือ (National Coordinator) กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจ้าหน้าที่ไทยและปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีประจำกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ในการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๗ (7th Mekong-Japan Economic Ministers Meeting) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
22978 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิในการได้รับการเยียวยา กรณีกลุ่มบุคคลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขอความช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบ | สม | 25/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิในการได้รับการเยียวยา กรณีกลุ่มบุคคลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขอความช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีข้อเสนอแนะ ได้แก่ มาตรการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และกระบวนการเข้าถึงเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ หลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการเยียวยาในแต่ละกรณีให้ชัดเจน ตรวจสอบข้อมูลและให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ รวมทั้งมาตรการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ การช่วยเหลือดูแลด้านการศึกษาต่อผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่ การช่วยเหลือดูแลด้านการพัฒนาอาชีพและการมีงานทำให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และการกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่หาตัวผู้กระทำผิดในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบมาลงโทษ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ รับข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อเสนอและนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22979 | ผลการประชุมคณะทำงานร่วมว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 2 | นร11 | 25/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะทำงานร่วมว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ซึ่งได้มีการพิจารณาข้อเสนอภาคเอกชนทั้งสองประเทศเกี่ยวกับการเปิดด่านแห่งใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกกระบวนการข้ามแดนและการขนส่งข้ามพรมแดน การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในพื้นที่ อาทิ โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานให้บริการสาธารณสุขสำหรับคนต่างชาติ รวมทั้งได้พิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ ณ จังหวัดสระแก้ว การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างไทย-กัมพูชา การเปิดเดินรถระหว่างไทย-กัมพูชา และการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดทำร่างแนวทางการพัฒนาเพื่อรองรับจุดผ่านแดน ๓ ด่าน ได้แก่ คลองลึก-ปอยเปต หนองเอี่ยน-สตึงบท และป่าไร่-โอเนียง ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานฝ่ายกัมพูชาเพื่อจัดประชุมคณะทำงานว่าด้วยการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) และหารือร่วมกับกัมพูชาเพื่อส่งเสริมการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญาให้เป็นรูปธรรมและให้การค้าชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาคล่องตัวมากขึ้น ๑.๓ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนบทบาทสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่สระแก้วและตราดในการส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรข้ามพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ๑.๔ กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) เจรจากับกัมพูชาเพื่อให้ได้ข้อสรุปในเรื่องความตกลงทวิภาคีด้านการขนส่งทางถนนระหว่างไทย-กัมพูชา และการแลกเปลี่ยนสิทธิจราจร ณ จุดผ่านแดนถาวรหาดเล็ก (ตราด)-จามเยียม (เกาะกง) ๑.๕ กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) เตรียมความพร้อมและประสานกับกัมพูชาเพื่อให้สามารถเปิดเดินรถไฟไทย-กัมพูชาได้ตามกำหนด ๑.๖ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องกับภาคเอกชนกัมพูชา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-กัมพูชา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ ณ หนองเอี่ยน-สตึงบท โดยเร็ว โดยในส่วนพื้นที่หนองเอี่ยนให้เน้นการขนส่งสินค้าทางรถ พื้นที่ด่านคลองลึกให้เน้นการพัฒนาในด้านการท่องเที่ยวและด้านการคมนาคมโดยเฉพาะรถไฟ และพื้นที่ป่าไร่ให้เน้นการพัฒนาด้านการค้าขายและด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งให้พิจารณาหาแนวทางในการพัฒนาป่าไร่-โอเนียงเพื่อเปิดเป็นด่านชายแดนเพิ่มเติม และหาแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22980 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวิธีการแจ้งการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... และร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง เครื่องมือควบคุมฝูงชน พ.ศ. .... | ตช | 25/08/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวิธีการแจ้งการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... และร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง เครื่องมือควบคุมฝูงชน พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวิธีการแจ้งการชุมนุมสาธารณะ และกำหนดเครื่องมือควบคุมฝูงชน ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีการแจ้งการชุมนุมสาธารณะ ควรอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้แจ้งและไม่ใช้วิธีการซ้ำซ้อนจนเป็นการสร้างภาระให้แก่ผู้แจ้ง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาแนวทางการดำเนินการของผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อลดการใช้ดุลพินิจ มีมาตรฐาน และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้จัดการชุมนุม ผู้ชุมนุม และประชาชน ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปให้ตระหนัก รับทราบ และเข้าใจถึงประกาศดังกล่าวอย่างทั่วถึง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง และควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่สำหรับการรับแจ้งผ่านวิธีการต่าง ๆ ปฏิบัติงานอย่างเพียงพอเพื่อให้สามารถรับการแจ้งได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งจัดให้มีระบบการตอบรับและยืนยันการรับแจ้งการชุมนุมสาธารณะอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับช่องทางการแจ้งทั้ง ๓ ช่องทาง ได้แก่ (๑) แจ้งโดยตรงต่อผู้รับแจ้ง (๒) แจ้งทางโทรสาร และ (๓) แจ้งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นหลักฐานในการปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....