ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1099 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 21961 - 21980 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21961 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... (คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน (นายมณเฑียร บุญตัน กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ซึ่งคณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ซึ่งครบกำหนดส่งคืนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ภายในวันอังคารที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘)
|
||||||||||||||||||||||||
21962 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาแล้ว ให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทราบ หากมีความเห็นเพิ่มเติมให้แจ้งมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๗ วัน และกรณีมีการเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมที่เป็นนัยสำคัญ ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง กรณีที่เห็นชอบด้วยหรือมิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมที่เป็นนัยสำคัญ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงกำชับให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบศึกษาและทำความเข้าใจหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ถูกต้อง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความโปร่งใส
|
||||||||||||||||||||||||
21963 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. .... | สธ | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้มีกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า การยกร่างพระราชบัญญัติฯ จำเป็นต้องคำนึงถึงพันธกรณีของไทยตามความตกลงว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (Agreement on Technical Barriers to Trade-TBT) ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก ดังนั้น การยกร่างพระราชบัญญัติฯ จึงควรพิจารณากำหนดตามมาตรฐานขั้นต่ำที่ปรากฏใน International Code ขององค์การอนามัยโลกไปก่อน ส่วนข้อบทกฎหมาย หมวดที่ ๓ เรื่องการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องนั้น มีการห้ามผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่าย โฆษณา และทำกิจกรรมทางการตลาดสำหรับสินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับทารกและเด็ก หากในกรณีที่เด็กมีความจำเป็นต้องบริโภคอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก การห้ามโฆษณาดังกล่าวอาจจำกัดช่องทางการเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภค จึงเห็นว่าอาจจะปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ จากการห้ามโฆษณาเป็นการกำหนดชนิด ประเภท และเงื่อนไขของการโฆษณาให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของร่างพระราชบัญญัติฯ นอกจากนี้ การพิจารณาความเหมาะสมของกฎหมาย ว่าควรจะเป็นกฎหมายของกรมอนามัยหรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เนื่องจากกรมอนามัยมีภารกิจหลักเกี่ยวกับการส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดี ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีภารกิจหลักเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ดังนั้น ถ้าหากพิจารณาอำนาจหน้าที่ตามภารกิจแล้วควรเป็นภารกิจของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21964 | ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงาน IPv6 ในประเทศไทย ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2559 - 2561) | ทก | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรุ่นที่ ๖ (Internet Protocol version 6 : IPv6) ในประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘) ๑.๒ เห็นชอบแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงาน IPv6 ในประเทศไทย ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) เพื่อส่งเสริมและผลักดันบริการอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันของประเทศไทยสู่บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ (IPv6) ให้เป็นผลสำเร็จ โดยมีเป้าหมายให้หน่วยงานภาครัฐมีเว็บไซต์หลัก บริการอีเมล และบริการโดเมนเนม ที่รองรับการเข้าถึงผ่าน IPv6 อย่างน้อยร้อยละ ๗๕ ของบริการทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ และประเทศไทยมีอัตราการใช้งาน IPv6 เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๕ ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักทำหน้าที่ในการกำกับดูแล บริหารจัดการแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงาน IPv6 ในประเทศไทย ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) และรับผิดชอบการขอหมายเลข IPv6 จาก Asia Pacific Network Information Centre (APNIC) ให้กับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการตามกิจกรรมที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงาน IPv6 ในประเทศไทย ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารบูรณาการในภาพรวมและจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการปรับเปลี่ยนการใช้งานจาก IPv4 เป็น IPv6 ความพร้อมของหน่วยงานทั้งด้านบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งไม่เป็นการสร้างภาระในด้านงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเพิ่มข้อปฏิบัติในการส่งเสริม ผลักดัน และกำหนดให้ภาคเอกชนให้ความสำคัญในการปรับเปลี่ยนการใช้งานจาก IPv4 เป็น IPv6 การตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อกำกับดูแล ศูนย์ประสานงานและปฏิบัติการ IPv6 และติดตามประเมินผลตัวชี้วัดเป็นรายปี รวมทั้งจัดหางบประมาณสนับสนุนที่เพียงพอและเหมาะสมเพื่อให้ผลักดันการดำเนินงานให้บรรลุผลตามเป้าหมาย การพิจารณาเพิ่มหน่วยงานของรัฐระดับจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ และพิจารณาความพร้อมของหน่วยงานระดับจังหวัด การให้เวลาในการเตรียมการของหน่วยงานมากขึ้นและเพิ่มกิจกรรมต่อยอดผลจากการประกวดการพัฒนาซอฟแวร์ที่เกี่ยวข้องกับ IPv6 โดยนำซอฟแวร์ที่ชนะเลิศมาขยายผลให้มีผู้ใช้งานมากขึ้น การประสานงานร่วมกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในการกำหนดเงื่อนไขใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 4G ว่าเครื่องลูกข่ายต้องได้รับหมายเลข IPv6 ภายในปีแรก การจัดทำรายละเอียดและขั้นตอนการปฏิบัติของแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงาน IPv6 ในประเทศไทย ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) ให้ชัดเจน การจัดให้มีศูนย์กลางทดลองการเชื่อมต่อระหว่างโครงข่าย IPv6 การเร่งจัดทำหลักสูตรอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ IPv6 แก่ผู้ดูแลระบบเครือข่ายและผู้ให้บริการ ICT ของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนจัดให้มีองค์กรกลางในการดูแล สนับสนุน ให้คำปรึกษา และช่วยเหลือแก่หน่วยงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21965 | การขอขยายเวลาพำนักและขยายพื้นที่การเดินทาง ณ จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | นร08 | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขยายเวลาพำนัก ณ จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของบุคคลสัญชาติเมียนมา เป็น ๓ คืน ๔ วัน และสามารถเดินทางเข้ามาในเขตพื้นที่อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเป็นการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการค้าและการท่องเที่ยว และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ดำเนินการจัดตั้งกลไกควบคุมดูแลผลกระทบด้านความมั่นคง ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรยึดการรับรองผล Joint Detail Survey เป็นหลักปฏิบัติในการยกระดับจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับเมียนมาให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร ซึ่งรวมถึงจุดผ่านแดนด่านสิงขร-มอต่อง และการพิจารณาอนุญาต/ขยายเวลา และพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้บัตรผ่านแดน/บัตรผ่านแดนชั่วคราวสำหรับจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขรต้องพิจารณาควบคู่ไปกับภาพรวมของความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนไทย-เมียนมาด้วย นอกจากนี้ การดำเนินการขยายระยะเวลาและพื้นที่เดินทางดังกล่าวควรคำนึงถึงผลกระทบด้านความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้นด้วย และควรให้ความสำคัญกับกลไกระบบการตรวจสอบติดตามการเข้าออกของบุคคลข้ามแดนให้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต รวมทั้งการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าสู่เขตชั้นในให้มีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21966 | รายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๓ ครั้ง โดยมีวงเงินรวม ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้กู้ต่อแก่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับการซื้อคืนเครื่องบินรุ่น A340-600 จำนวน ๖ ลำ ส่งผลให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทรวงการคลังมียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Programme จำนวน ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21967 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านพลังงานเอเปก ครั้งที่ 12 (The 12th APEC Energy Ministers Meeting) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | พน | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๒ (The 12th APEC Energy Ministers Meeting) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยมีนายอธิปัตย์ บำรุง ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมดังกล่าว เป็นการประชุมภายใต้หัวข้อหลักคือ “การไปสู่การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้านพลังงานในภูมิภาคเอเปค” (Towards an Energy Resilient APEC Community) ประกอบด้วย ๔ วาระ ได้แก่ (๑) ความท้าทายของโลกต่อการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้านพลังงานในภูมิภาคเอเปค (The Global Challenge of Energy Resiliency) (๒) การสนับสนุนชุมชนในการใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ขาดแคลนพลังงาน (Advocating Community-based Clean Energy Use in Energy Poverty-Stricken) (๓) พลังงานที่ยั่งยืนผ่านการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ทันสมัย (Sustainable Energy Through Cutting Edge Clean Energy Solutions) และ (๔) การยกระดับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการค้าและการลงทุนพลังงาน (Scaling Up Private Sector Participation in Energy Trade and Investment) ๒. ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงานและคณะได้พบปะและหารือข้อราชการแบบทวิภาคีกับประเทศสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การหารือกับเอกอัครราชทูตปาปัวนิวกินีประจำฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความประสงค์จะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมถึงหน่วยงานภาคเอกชนของไทยเข้าไปศึกษาและแสวงหาโอกาสความร่วมมือทางด้านพลังงานในปาปัวนิวกินี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือทางด้านปิโตรเลียม และการหารือกับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ซึ่งได้กล่าวเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม International Energy Agency’s (IEA) Ministerial Meeting ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยประเด็นหลักของการประชุมคือ “นวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาดและมั่นคงสำหรับอนาคต” ๓. สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคได้มีการรับรองแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีด้านพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๒ (Cebu Declaration) ประกอบด้วยเอกสาร ๒ ฉบับ คือ (๑) แถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านพลังงานเอเปค (Declaration of the APEC Energy Ministers Meeting) และ (๒) คำชี้แนะสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านพลังงานเอเปค (Instruction of the APEC Energy Ministers Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงจุดยืนร่วมกันของรัฐมนตรีพลังงานเอเปคต่อประเด็นการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้านพลังงานในภูมิภาคเอเปค รวมทั้งแสดงจุดยืนร่วมกันของสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาค และเน้นย้ำการดำเนินการตามเป้าหมายเรื่องการลดค่าความเข้มการใช้พลังงาน (Energy Intensity) หรือสัดส่วนการใช้พลังงานทั้งหมดเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศลงร้อยละ ๔๕ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๕ และมีการตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นสองเท่าภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๐
|
||||||||||||||||||||||||
21968 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การโอนคดีจากศาลชั้นต้นไปยังศาลแพ่ง การส่งคำคู่ความโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการส่งคำคู่ความไปยังต่างประเทศ) | ยธ | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การโอนคดีจากศาลชั้นต้นไปยังศาลแพ่ง การส่งคำคู่ความโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการส่งคำคู่ความไปยังต่างประเทศ) โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้มีการออกข้อบังคับและประกาศที่เกี่ยวข้องกับการส่งคำคู่ความทางไปรษณีย์ โทรสาร และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อกำหนดวิธีการส่งคำคู่ความและเอกสารทางคดีไว้ทั้งการส่งในระหว่างเจ้าหน้าที่ของศาลและต่อคู่ความ และเห็นควรให้มีการปรับปรุงข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยแนวทางการสืบพยานหลักฐานและการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้ครอบคลุมถึงการดำเนินกระบวนการพิจารณาของศาลตามมาตรา ๖/๑ ซึ่งจะช่วยลดภาระให้แก่คู่ความในการเข้าร่วมการพิจารณาคดีของศาลได้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21969 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ โดยสถาบันวิทยาลัยชุมชนได้ออกข้อบังคับสถาบันวิทยาลัยชุมชนว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการสภาสถาบันซึ่งเลือกจากผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนประธานสภาวิทยาลัย ผู้แทนผู้อำนวยการวิทยาลัย และผู้แทนผู้สอนประจำ พ.ศ. ๒๕๕๘ (ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๘) โดยข้อบังคับข้อ ๔ กำหนดให้การแต่งตั้งกรรมการสภาสถาบันซึ่งเลือกจากผู้แทนประธานสภาวิทยาลัย ผู้แทนผู้อำนวยการวิทยาลัย และผู้แทนผู้สอนประจำ ให้คำนึงถึงการกระจายให้ทั่วถึงทุกภูมิภาค ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21970 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... | มท | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท เพื่อประโยชน์ในด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการควบคุมความหนาแน่นของอาคาร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
21971 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมาย (ALAWMM) ครั้งที่ 9 และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย (ASLOM) ครั้งที่ 16 ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | ยธ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมาย (ALAWMM) ครั้งที่ ๙ ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย (ASLOM) ครั้งที่ ๑๖ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้นำเสนอพัฒนาการของสนธิสัญญาและข้อตกลงด้านกระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ ในกรอบ ASLOM และ ALAWMM เช่น สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องอาญา สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน อนุสัญญาอาเซียนด้านการยกเลิกเงื่อนไขการรับรองเอกสารระหว่างประเทศ (ASEAN Mini Apostille Convention) อนุสัญญาว่าด้วยการโอนตัวนักโทษของอาเซียน และข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งทางทะเลและสภาพแวดล้อมทางทะเล รวมทั้งพัฒนาการของกฎหมายต่าง ๆ เช่น กฎหมายแม่แบบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางทะเล และการปรับปรุงกฎหมายการค้า ให้มีความสอดคล้องกัน เป็นต้น ๒. ประเทศสมาชิกรายงานให้ที่ประชุมทราบถึงผลการจัดประชุมต่าง ๆ และนำเสนอโครงการจัดประชุมในอนาคตในกรอบ ASLOM และ ALAWMM รวมถึงรายงานให้ที่ประชุมทราบถึงผลการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงานระหว่างเจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ในห้วง ๒ ปีที่ผ่านมา ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม ALAWMM ครั้งที่ ๙ เกี่ยวกับการพัฒนาการด้านกฎหมายของประเทศไทยตลอด ๓ ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนากฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา การประกาศใช้ พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ประชาชนเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายของรัฐ พร้อมทั้งขอให้การกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมฯ ทั้งในส่วนการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านกฎหมายและการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมายควรมีความชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกับบทบาทขององค์กรอื่นของอาเซียน ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรองปลัดกระทรวงยุติธรรมของไทยได้เข้าร่วมหารือทวิภาคีกับ H.E. Mr. Ket Kiettisack ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สปป.ลาว และ H.E. Mr. Nguyen Khanh Ngoc ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเวียดนาม โดยมีประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับบันทึกความตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยและกระทรวงยุติธรรม สปป.ลาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำร่วมกัน การสนับสนุนวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านหลักนิติธรรมจากฝ่ายไทยเพื่อเดินทางไปฝึกอบรมให้แก่บุคลากรในกระบวนยุติธรรมของ สปป.ลาว ในห้วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ และโครงการเดินทางมาศึกษาดูงานด้านกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเวียดนาม ในห้วงเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
21972 | แจ้งมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรณีถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกจากตำแหน่ง | สว | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แจ้งมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กรณีถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกจากตำแหน่ง โดยที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๖๙/๒๕๕๘ วันศุกร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ได้มีมติไม่ถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ออกจากตำแหน่ง เนื่องด้วยมีคะแนนเสียงถอดถอนน้อยกว่าสามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
21973 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายการคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตอย่างปลอดภัยบนท้องถนน | สม | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายการคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตอย่างปลอดภัยบนท้องถนน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. การให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับนโยบายอย่างจริงจัง รวมทั้งกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจน และหน่วยงานดังกล่าวควรมีอำนาจหน้าที่และงบประมาณอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ควรจัดระบบการบริหารจัดการทั้งการเก็บข้อมูลเชิงสถิติที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงสภาพและสาเหตุของปัญหา และการจัดให้มีระบบการสืบสวนอุบัติเหตุทางถนนเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การแสวงหาแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด รวมถึงการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีการติดตามผล รายงานผลให้สาธารณะทราบอย่างสม่ำเสมอ ๒. การดูแลให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเคารพกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวกับการจำกัดความเร็ว การควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ การสวมหมวกนิรภัย และการคาดเข็มขัดนิรภัย โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจังเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนนและควบคุมและป้องปรามมิให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย และควรมีมาตรการประกันความปลอดภัยของยานพาหนะโดยการตรวจสอบสภาพรถที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถโดยสารสาธารณะและรถที่มีการดัดแปลงสภาพ ๓. มีมาตรการที่ประกันว่าถนนที่มีอยู่แล้วและถนนที่จะสร้างขึ้นใหม่จะเป็นถนนที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย โดยนำระบบตรวจสอบความปลอดภัยของถนนมาใช้ทั้งกับถนนที่มีอยู่แล้วและถนนที่จะสร้างขึ้นใหม่เพื่อแก้ไขจุดที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และในการจัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างถนน ควรให้ความสำคัญกับข้อพิจารณาด้านความปลอดภัยของถนน รวมทั้งควรสนับสนุนงบประมาณแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการซ่อมแซมปรับปรุงถนนให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยอย่างเพียงพอ โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับจุดอันตรายที่มีการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบ่อยครั้ง ๔. ดำเนินการเพื่อประกันสิทธิของประชาชนที่จะมีสุขภาพที่ดีตามพันธกรณีในข้อ ๑๒ ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยดูแลให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างเหมาะสม รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถให้การรักษาพยาบาลในเบื้องต้นแก่ผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทันท่วงทีเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือพิการ และการพัฒนาแนวทางให้การดูแลแก่ผู้ประสบอุบัติเหตุที่ต้องได้รับการรักษาในระยะยาวอย่างเป็นระบบ และให้ความคุมครองสิทธิของผู้เสียหายจากอุบัติเหตุให้ได้รับการชดเชยเยียวยาที่เพียงพอและเป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
21974 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2556 | สธ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนองบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว และได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนหลักฯ ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ (๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘) รับทราบงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายเงินที่อาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จำนวน ๕๖๐,๓๒๕,๘๙๔.๓๕ บาท และในครั้งนี้มีการรายงานงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายเงินที่อาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จำนวน ๒,๕๘๖,๓๑๐,๔๑๙.๐๘ บาท ๒. รับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่อาจมีการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรมีการแต่งตั้งคณะทำงานจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาปัญหากฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องและนำข้อความเห็นจากการตีความของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบ และเสนอให้รัฐบาลพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอให้มีอย่างเพียงพอ รวมทั้งควรมีการแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ทราบยอดเงินกองทุนฯ สาขาจังหวัด (เงินบัญชี ๖) คงเหลือที่ถูกต้อง ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบกรณีที่อาจมีการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ (ปีงบประมาณ ๒๕๕๕ จำนวน ๕๖๐,๓๒๕,๘๙๔.๓๕ บาท และปีงบประมาณ ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๕๘๖,๓๑๐,๔๑๙.๐๘ บาท) ตามข้อสังเกตของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงประเด็นอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21975 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2556 | คค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว และมีความเห็นว่า งบการเงินแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเร่งรัดการจัดทำงบแสดงฐานะการเงินเสนอต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้
|
||||||||||||||||||||||||
21976 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน) | กษ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปฏิรูปสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแล้วเห็นควรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ยังคงทำหน้าที่ส่งเสริมและกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน โดยมีการพัฒนาระบบการกำกับดูแลสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามแนวทางของคณะกรรมการทบทวนอำนาจหน้าที่ และภารกิจในการควบคุม กำกับดูแลสหกรณ์ ไปดำเนินการขับเคลื่อนตามแผน และรายงานผลการดำเนินการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการแต่งตั้งและคัดเลือกกรรมการและผู้บริหารของสหกรณ์ หลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินระหว่างสหกรณ์ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนขึ้นใหม่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21977 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสาวอุษาวดี ถาวระ) | สธ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอุษาวดี ถาวระ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (เคมี) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21978 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญตามที่ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียน ครั้งที่ ๓๙ และครั้งที่ ๔๐ เสนอ และได้ให้การรับรอง ๑.๑ แผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ได้แก่ การติดตามผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน (แผนปฏิบัติการบรูไน) ปี ๒๕๕๔-๒๕๕๘ การรับรองแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ หรือแผนยุทธศาสตร์การขนส่งกัวลาลัมเปอร์ (Kula Lumpur Transport Strategic Plan : KLTSP) ฉบับใหม่ และมอบหมายให้คณะทำงานด้านการขนส่งของอาเซียนสาขาต่าง ๆ ดำเนินการตามมาตรการภายใต้แผนปฏิบัติการกัวลาลัมเปอร์ ๑.๒ ด้านการขนส่งทางอากาศ ได้แก่ การให้ประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินการให้สัตยาบันความตกลงพหุภาคีอาเซียนว่าด้วยการเปิดเสรีการเดินอากาศ และความตกลงพหุภาคีอาเซียนว่าด้วยการเปิดเสรีอย่างเต็มที่ของบริการขนส่งผู้โดยสารทางอากาศ ให้ครบทุกประเทศ การลงนามพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และการทบทวนการจัดทำความตกลงและพิธีสารตามแผนงานการจัดตั้งตลาดการบินร่วมของอาเซียน ๑.๓ ด้านการขนส่งทางบก ได้แก่ การรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยทางถนน และยุทธศาสตร์ความปลอดภัยทางถนนของอาเซียน ๑.๔ ด้านการขนส่งทางน้ำ ได้แก่ ความคืบหน้าของแผนงานการเป็นตลาดขนส่งทางทะเลร่วมของอาเซียน (ASEAN Single Shipping Market) ปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ และยินดีต่อการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านการขนส่งทางทะเลร่วม ความคืบหน้าของการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำแผนฉุกเฉินกรณีเกิดน้ำมันรั่วไหลระดับภูมิภาคของอาเซียนภายใต้บันทึกความเข้าใจอาเซียนว่าด้วยการเตรียมพร้อมและจัดการภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุน้ำมัน และการสนับสนุนแนวคิดริเริ่มในการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยอมรับประกาศนียบัตรของผู้ทำการในเรือใกล้ฝั่งของอาเซียน ๑.๕ ด้านการอำนวยความสะดวกการขนส่ง ได้แก่ การเร่งรัดการจัดทำร่างกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารทางบกข้ามพรมแดน การเร่งรัดให้ประเทศสมาชิกให้สัตยาบันความตกลงฉบับต่าง ๆ ได้แก่ กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ และกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งข้ามแดน รวมทั้งความคืบหน้าโครงการระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียน (ASEAN Customs Transit System : ACTS) ๒. การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี อาเซียนได้รับความช่วยเหลือทางวิชาการจากประเทศคู่เจรจาในด้านการจัดทำโครงการศึกษาความเป็นไปได้ด้านโครงสร้างพื้นฐานเพี่อการเชื่อมโยงอาเซียนในสาขาต่าง ๆ การขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการศึกษาและฝึกอบรมบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและมีความเป็นมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ประเทศคู่เจรจาของอาเซียนได้แสดงความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากับอาเซียนอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21979 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ 9 | กห | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๙ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๘ ณ กองบัญชาการกองทัพไทย กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยที่ประชุมเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. คณะอนุกรรมการร่วมด้านการข่าวจะพัฒนาความร่วมมือด้านการข่าวในระดับเหล่าทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกองทัพบกและกองทัพเรือทั้งสองประเทศ รวมทั้งขยายความร่วมมือด้านข่าวกรองด้วยการแลกเปลี่ยนการหารือระดับนักวิเคราะห์ระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ๒. ทั้งสองฝ่ายจะดำรงการขยายความร่วมมือระหว่างศูนย์รักษาสันติภาพทั้งสองประเทศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการเพื่อรักษาสันติภาพของกลุ่มประเทศอาเซียน ๓. ทั้งสองฝ่ายควรเลื่อนการจัดทำระเบียบปฏิบัติประจำการลาดตระเวนร่วมทางทะเลระหว่างไทยกับอินโดนีเซียออกไป แต่ให้ติดตามความก้าวหน้าในการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ ในเรื่องเขตแดนทางทะเล ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายควรแสวงหากิจกรรมที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถรักษาความปลอดภัยบริเวณพื้นที่ชายแดนทางทะเลระหว่างกันได้ ๔. คณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการและการฝึกควรเป็นหน่วยประสานงานหลักด้านการแพทย์ทหาร ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่แต่ละฝ่ายจะตั้งคณะอนุกรรมการ อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายควรเพิ่มความร่วมมือและจัดทำระเบียบปฏิบัติประจำร่วมกันสำหรับคณะแพทย์ร่วมในการดำเนินงานเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ ๕. ทั้งสองฝ่ายจะดำรงความร่วมมือด้านกิจการมวลชนและต่อต้านการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกร่วมด้านต่อต้านการก่อการร้าย ในปี ๒๕๕๙ ควรครอบคลุมกิจกรรมอย่างกว้างขวางและมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการฝึกในสถานการณ์จริง ๖. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะพัฒนาความสามารถของกำลังพลทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาภาษาไทยและภาษาบาฮาซา อินโดนีเซีย เนื่องจากภาษาจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ ๗. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะทบทวนข้อกำหนดว่าด้วยคณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ฉบับปัจจุบัน เพื่อปรับเปลี่ยนองค์ประกอบและกิจกรรมให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการร่วมด้านการศึกษาและฝึกอบรม ๘. ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า คณะอนุกรรมการร่วมทุกคณะควรกำหนดกรอบหรือแผนการดำเนินกิจกรรมเพื่อให้เกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยทั้งสองฝ่ายควรร่วมมืออย่างต่อเนื่องตลอดปี อันจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
21980 | การจัดทำประกันอุบัติเหตุกลุ่มให้แก่ผู้บริหารตั้งแต่ระดับหัวหน้าสำนักงานไปรษณีย์พื้นที่ หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดขึ้นไป ผู้ตรวจสอบภายใน และ ผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกหน่วยงาน | ทก | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจัดทำประกันอุบัติเหตุกลุ่มให้แก่ผู้บริหารตั้งแต่ระดับสำนักไปรษณีย์พื้นที่ หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดขึ้นไป ผู้ตรวจสอบภายใน และผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกหน่วยงาน ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลและเงินทดแทนตามสิทธิที่ได้รับจากสัญญาประกันภัยเป็นลำดับแรก และหากสิทธิตามสัญญาประกันภัยที่จะได้รับต่ำกว่าสิทธิตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง การจ่ายเงินทดแทน ลงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ ก็ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๑๕ ของประกาศข้างต้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการใช้สิทธิดังกล่าว ทั้งนี้ ในการจัดทำประกันอุบัติเหตุกลุ่มฯ จะทำให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณปีละ ๑,๓๐๒,๐๐๐ บาท จึงขอให้ ปณท. บริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ควบคุมได้ เช่น ค่าวัสดุที่ใช้ในสำนักงาน ค่าพาหนะ เป็นต้น รวมทั้งมีแนวทางในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจเสริมเพื่อมาชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว และกำกับดูแลให้การดำเนินงานของพนักงานกลุ่มดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....