ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1035 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 20681 - 20700 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20681 | นโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการเสนอกฎหมายของหน่วยงานตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดิน และการปฏิรูปประเทศของคณะรัฐมนตรี (ตุลาคม ๒๕๕๘-กรกฎาคม ๒๕๖๐) และเห็นชอบแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (พฤศจิกายน ๒๕๕๘-ตุลาคม ๒๕๕๙) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๓ (คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์) เสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้ส่งแผนดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบเพื่อเป็นข้อมูลด้วย ๒. เห็นชอบนโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ในการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีต้องมีการตรวจสอบ “ความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ” (Checklist) รวม ๑๐ ประการ อย่างเคร่งครัดด้วย รวมทั้งต้องเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลา และบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของเนื้อหาให้ได้ความชัดเจนและให้ได้ข้อยุติในหลักการก่อนนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีที่ต้องมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์ของประชาชนและของประเทศเป็นสำคัญเท่านั้น ตลอดจนต้องพิจารณาความเร่งด่วนตาม Function (ภารกิจพื้นฐาน) Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) ที่มีผลต่อการปฏิรูปประเทศ และมีความทันสมัยและเป็นสากล รวมทั้งพิจารณาความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการต่าง ๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปที่สำคัญมีความต่อเนื่อง และการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำแนวปฏิบัติในเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามนโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหารอย่างเคร่งครัดต่อไป กรณีร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรี ที่ไม่ได้เป็นไปตามแนวปฏิบัตินี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องให้ส่วนราชการไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติในเรื่องนี้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองทั้งในส่วนที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติที่มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว และเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้กฎหมายลำดับรองที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างส่วนราชการพิจารณายืนยันให้ความเห็นชอบ มีผลใช้บังคับโดยเร็ว ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งดำเนินการตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย รวม ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (การใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหลือจากการใช้ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืน เช่น พื้นที่สองข้างรถไฟฟ้า) และร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์พื้นที่แนวเขตทางด่วน เพื่อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20682 | ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร04 | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้เข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลี และเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสาธารณรัฐเกาหลี-ไทยระดับรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งพบหารือกับภาคเอกชนรายใหญ่ของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีครั้งนี้ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยสามารถเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจให้กับสาธารณรัฐเกาหลีโดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนของสาธารณรัฐเกาหลีมาในประเทศไทย และจะส่งผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายจะเน้นการขับเคลื่อนใน ๓ ด้านคือ โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยว โดยภารกิจจากนี้ไปคือ การจับคู่ส่วนราชการและภาคเอกชนให้ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงยุทธศาสตร์และการคลังสาธารณรัฐเกาหลีจะได้ร่วมกันประสานงานจัดทำพิมพ์เขียวข้อริเริ่มความร่วมมือใหม่ทางเศรษฐกิจไทย-เกาหลี ซึ่งเป็นเสมือนแผนปฏิบัติการความร่วมมือ ๓ ด้านดังกล่าวโดยเร็ว ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการติดตามผลการเยือนในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกิจกรรมความร่วมมือระยะแรกในกิจกรรมที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีมีศักยภาพตรงกันโดยเร็วที่สุด |
||||||||||||||||||||||||
20683 | แนวทางในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย กรณีการนำเรือออกนอกระบบ | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย กรณีการนำเรือออกนอกระบบ การจ่ายค่าชดเชยช่วยเหลือเจ้าของเรือประมง และการนำเรือไปจมทำปะการัง ตามที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เสนอ โดยกำหนดกรอบแนวทางฯ ดังนี้ ๑.๑ การนำเรือออกนอกระบบ กรณีนำไปจมทำปะการังเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายเกี่ยวกับการนำเรือประมงออกนอกระบบ เป็นการดำเนินการตามนโยบายในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายด้วยการจ่ายค่าชดเชยให้เจ้าของเรือประมงที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยกรมประมง กรมเจ้าท่า และกองทัพเรือ เรียบร้อยแล้ว และการจ่ายเงินก็เป็นไปตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้รับทราบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ จึงไม่ได้เป็นการจัดซื้อตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่เข้าข่ายที่จะต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กระทรวงการคลังซึ่งจะดำเนินการให้เจ้าของเรือ ๕๑ ลำ ตามบัญชีที่จะนำไปจมทำปะการังเทียม เป็นเงิน ๑๐๕,๗๗๙,๒๒๐.๔๐ บาท ในวันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีรับทราบ ๑.๒ การนำเรือออกนอกระบบ กรณีเรือประมง ๓ ลำ ที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีความประสงค์จะนำไปใช้ในราชการนั้น จะต้องเสนอคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กระทรวงการคลัง พิจารณายกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งจะได้เร่งรัดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้ดำเนินการต่อไป ๑.๓ การนำเรือไปจมทำปะการังเทียม จะใช้งบประมาณของกรมประมงในวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้กรมประมงทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ และเสนอคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กระทรวงการคลัง เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติในการจ้าง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วจะเร่งรัดกรมประมงให้ดำเนินการต่อไป ๑.๔ นำผลการนำเรือประมงออกนอกระบบไปประกอบการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการให้ผู้รับผิดชอบของสหภาพยุโรปทราบระหว่างการหารือในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ ราชอาณาจักรเบลเยียม ๑.๕ ศปมผ. จะเร่งรัดกรมประมงและกรมเจ้าท่าสำรวจและจัดทำบัญชีเรือประมงที่จะต้องนำออกนอกระบบในส่วนที่เหลือ และประมาณการความต้องการงบประมาณในการนำเรือออกนอกระบบเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ศปมผ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการนำเรือออกนอกระบบ จำนวน ๕๑ ลำ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน ๑๐๕,๗๗๙,๒๒๐.๔๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายในการนำเรือไปจมทำปะการังเทียม ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมประมง โดยขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยคำนึงถึงความเหมาะสม ความประหยัด และความคุ้มค่า รวมถึงประโยชน์สูงสุดที่ทางราชการและผู้ประกอบการประมงจะได้รับ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการควบคุมเครื่องมือทำการประมงที่ผิดกฎหมายด้วย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายสามารถเกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศปมผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและกำกับดูแลการนำเรือไปจมทำปะการังเทียม โดยให้พิจารณาดำเนินการตามแนวปะการังเดิมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อม เส้นทางการเดินเรือ และการทำประมงน้ำตื้น ทั้งนี้ ให้มีการจัดทำบทความหรือสรุปข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการนำเรือไปจมทำปะการังเทียมผ่านสื่อต่าง ๆ ให้เป็นที่เข้าใจถูกต้องตรงกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20684 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียได้กล่าวถึงความสำคัญของการประชุมฯ เป็นกิจกรรมสำคัญในการเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-รัสเซีย ซึ่งเป็นการสนับสนุนประเด็นความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงของการประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองโซชิ สหพันธรัฐรัสเซีย รวมทั้งได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือภายใต้กลไกการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนที่กรุงเทพฯ สำหรับประเด็นด้านความมั่นคงที่สหพันธรัฐรัสเซียให้ความสำคัญ ได้แก่ การก่อการร้ายและการเผยแพร่แนวคิดแบบสุดโต่ง ความมั่นคงทางทะเล และการสู้รบในซีเรีย ๒. รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ (๑) การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาโดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (๒) ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียมีความสำคัญต่อเสถียรภาพ ความมั่นคง และสันติภาพของภูมิภาคและการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน (๓) ความร่วมมือระหว่างกลาโหมอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซีย ภายใต้กรอบ ADMM-Plus (๔) อาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียสามารถร่วมมือกันในการลดการแพร่ขยายแนวคิดแบบสุดโต่ง (๕) ภัยพิบัติเป็นความท้าทายที่กองทัพของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาควรมีการเตรียมความพร้อมร่วมกัน และ (๖) อาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียควรมีการพัฒนาค่านิยม กลไก และกฎระเบียบด้านความมั่นคงทางทะเลเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกัน ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวถึงสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียต้องร่วมมือกันสร้างกลไกการดำเนินการสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และแผนงาน ๑๐ ปีของประชาคมอาเซียน เพื่อขับเคลื่อนประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาภายใต้กลไก ADMM-Plus ให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ๔. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้หารือทวิภาคีกับมิตรประเทศ ประกอบด้วย (๑) สหพันธรัฐรัสเซีย ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านข่าวกรอง การฝึกศึกษา การพัฒนาเทคโนโลยี การจัดตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานในไทย (๒) สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของกำลังพลและครอบครัวในทุกระดับ และการจัดตั้งคณะกรรมการคามร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ (๓) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อขยายความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการและการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวชายแดน การฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บริหารในทุกระดับ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของไทย และการแก้ไขปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายชาวโรฮีนจา (๔) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา และการต่อต้านการก่อการร้าย และ (๕) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดและการค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน การแลกเปลี่ยนการเยือน การฝึกศึกษาและดูงาน
|
||||||||||||||||||||||||
20685 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรองรับงานปรับปรุงและจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าอากาศยานอู่ตะเภา | กห | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป จำนวน ๕๙๗,๙๖๖,๓๐๐ บาท ให้กองทัพเรือเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงและจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าอากาศยานอู่ตะเภา จำนวน ๑๙ รายการ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในส่วนอาคารที่พักผู้โดยสารและพื้นที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการแก่ผู้โดยสาร สายการบิน และพร้อมสำหรับการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยสากลจากองค์การการบินระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||
20686 | การดำเนินการให้เอกชนเข้าร่วมงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - บางซื่อ (งานสัญญาที่ 5) | คค | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินการให้เอกชนเข้าร่วมงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ [เรื่อง ขออนุมัติผลการเจรจาต่อรองกับ BEM สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕)] เกี่ยวกับผลการเจรจาระหว่างคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบไฟฟ้าและรับจ้างดำเนินกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และข้อเสนอแนะของที่ปรึกษา BBML รวมทั้งการปรับปรุงและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ๒. รับทราบผลการเจรจาของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนลงทุนฯ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ ได้ข้อสรุปได้ว่า BEM ไม่สามารถลงทุนดำเนินงานช่วงเตาปูน-บางซื่อ (๑ สถานี) จนถึง พ.ศ. ๒๕๗๒ ได้ เพราะการลงทุนดำเนินงานเพียงช่วง ๑ สถานีมีรายได้ไม่เพียงพอกับต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้เกิดการขาดทุนในการดำเนินงานเป็นอย่างมาก และหากรัฐเป็นผู้ลงทุนจ้าง BEM ดำเนินงานในรูปแบบ PPP-Gross Cost ก็จะเป็นภาระทางการเงินต่อรัฐอย่างมาก ๓. เห็นชอบให้ยุติการดำเนินการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและรับจ้างดำเนินการกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ดำเนินการเดินรถช่วงเตาปูน-บางซื่อ รวมอยู่ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ตามมติคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการ รฟม.) เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งรัดดำเนินการช่วงบางซื่อ-เตาปูน เพื่อให้เชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้โดยสารเป็นลำดับแรกก่อน ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการช่วงบางซื่อ-เตาปูน เพื่อให้เชื่อมต่อได้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งรัดทำบัตรโดยสารร่วม (Common Ticket) และอัตราค่าโดยสารร่วม (Common Fare) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และกำหนดเป็นเงื่อนไขให้เอกชนที่จะเป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายและโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเส้นทางอื่น ๆ ในอนาคตจะต้องใช้บัตรโดยสารร่วมและอัตราค่าโดยสารร่วมดังกล่าวในการให้บริการประชาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. เห็นชอบให้ปรับปรุงและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวกับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ รฟม. ได้แก่ ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ และยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ ตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ๕. ให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐและคณะกรรมการตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ เร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อให้สามารถคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ เพื่อดำเนินงานเดินรถให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ในขั้นตอนการดำเนินการให้ระมัดระวังเรื่องการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนรายใดรายหนึ่ง รวมทั้งคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลักในการพิจารณา ๖. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาหาข้อยุติเกี่ยวกับแผนการอำนวยความสะดวกในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่สามารถให้บริการเดินรถไฟฟ้าได้ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน และต้องสามารถเปิดให้บริการตามแผนการอำนวยความสะดวกได้ก่อนที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน จะเปิดให้บริการ (มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙) |
||||||||||||||||||||||||
20687 | การแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (จำนวน 6 คน 1. นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ ฯลฯ) | สว | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๖ คน ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ซึ่งได้รับความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ ๒. รองศาสตราจารย์สังศิต พิริยะรังสรรค์ ๓. ศาสตราจารย์อุดม รัฐอมฤต ๔. ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรี จักรพงษ์ วิวัฒน์วานิช ๕. นายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม ๖. นายสุทธิพล ทวีชัยการ
|
||||||||||||||||||||||||
20688 | สารคดีเฉลิมพระเกียรติ "นพรัชบรมราชจักรีวงศ์" (กระทรวงวัฒนธรรม) | วธ | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานการจัดทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติ “นพรัชบรมราชจักรีวงศ์” เพื่อเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ ๙ รัชกาล สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองแห่งใหม่ สมดังที่ทรงตั้งพระราชปณิธานไว้ว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนแลมนตรี” ๑.๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงอุปถัมภ์งานศิลปวัฒนธรรมของชาตินานัปการ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ยุคทองของวรรณคดีและศิลปวัฒนธรรม” แห่งยุครัตนโกสินทร์ ๑.๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาด้านการค้า และมีพระราชศรัทธาในการศาสนา รวมทั้งได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์มาทำนุบำรุงบ้านเมืองและแก้วิกฤติชาติ ๑.๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิดรับวิทยาการใหม่ ๆ และขยายพระนครออกไปทางทิศตะวันออก รวมทั้งปรับปรุงเส้นทางคมนาคมให้ทันสมัย ชาวต่างชาติจึงเรียกช่วงรัชกาลนี้ว่า “ยุคสยามใหม่” ๑.๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินพระบรมวิเทโศบายทำให้ชาติผ่านพ้นวิกฤต ด้วยพระอัจฉริยภาพ เช่น ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน ทรงวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยทุกด้านไปพร้อมกัน ๑.๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลูกฝังให้คนไทยรักชาติ และทรงส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการศึกษาในทุกระดับ ๑.๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย และได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชสมัยของพระองค์ ๑.๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ตามราชประเพณี ยังความปลาบปลื้มแก่พสกนิกรไม่รู้ลืม ๑.๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงตั้งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างเต็มกำลัง ทรงดำรงพระชนม์ชีพด้วยความเรียบง่าย ยึดมั่นในทศพิธราชธรรม พระราชทานหลักในการดำเนินชีวิต “เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้พสกนิกร มีความสุขสมบูรณ์ทุกหมู่เหล่า สมดังพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ให้มีเนื้อหาที่กระชับ เข้าใจง่าย และสอดคล้องกัน เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและสร้างการรับรู้ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาส่งเสริมให้มีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20689 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ความตกลงองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม และข้อเสนอของประเทศไทยในการขอจัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามในประเทศไทย ประกอบกับมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ กับรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๒ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20690 | ความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม และข้อเสนอของประเทศไทยในการขอจัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามในประเทศไทย ประกอบกับมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 12 และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. .... | กษ | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม และข้อเสนอของประเทศไทยในการขอจัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามในประเทศไทย ประกอบกับมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๒ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
20691 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการกำกับดูแลกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างเพื่อมิให้เกิดการทุจริตและการสมยอมราคา รวมทั้งพิจารณาการกำหนดราคากลางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ตามแนวทางของแม่แจ่มโมเดล ซึ่งเป็นต้นแบบในการใช้กลไกประชารัฐ โดยการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐและชาวบ้าน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในการป้องกันและแก้ปัญหาหมอกควันในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเร่งรัดการประสานความร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาหมอกควันในภูมิภาคอาเซียนด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยสำรวจพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ โดยใช้หลักการทางวิชาการในการกำหนดพื้นที่ตามระดับความเสี่ยงและความเสียหายจากการกัดเซาะและจัดทำแผนการดำเนินการโดยกำหนดมาตรการและแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้เหมาะสมตามประเภทของพื้นที่ที่ได้มีการกำหนดไว้ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์พายุฤดูร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย และการตรวจสอบความมั่นคงของป้ายโฆษณาขนาดใหญ่และสิ่งปลูกสร้างเพื่อประโยชน์สาธารณะที่อาจได้รับผลกระทบ เช่น ที่พักรอรถโดยสารสาธารณะ ๕. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กำหนดมาตรการหรือแนวทางการส่งเสริมการทำสวนเกษตรให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในรูปแบบโฮมสเตย์ (Home Stay) รวมทั้งให้มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
20692 | บรรยากาศงาน Startup Thailand 2016 | วท | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย คณะทำงานประชารัฐด้านการส่งเสริม SMEs, Startups & Social Enterprises คณะทำงานประชารัฐด้านการยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนเครือข่ายภาคเอกชน ธนาคาร มหาวิทยาลัย กลุ่มภาคีสมาคมหรือองค์กรสนับสนุนและพัฒนาระบบนิเวศ (Eco-System) ของ Startup ทั้งในและต่างประเทศ จัดงาน Startup Thailand 2016 ขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙-๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด “Startup Unite” ซึ่งเป็นการรวมตัวของ Startup และหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับ Startup ทุกภาคส่วน เป็นครั้งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการปาฐกถาพิเศษจากบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และการเสวนาจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและต่างประเทศ พร้อมด้วยนิทรรศการแสดงผลงานของ Startup ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้รับความรู้และเกิดแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจให้ก้าวหน้าและสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
|
||||||||||||||||||||||||
20693 | ข้อคิดเห็นสภานักเรียน ประจำปี 2559 | ศธ | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบข้อคิดเห็นสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้รับจากตัวแทนสภานักเรียนจาก ๔๓ โรงเรียน รวมทั้งสิ้น ๑๒๙ คน เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๙ โดยสภานักเรียนได้นำเสนอข้อคิดเห็นและแนวทางดำเนินการที่ได้จากการประชุมคณะกรรมการสภานักเรียน เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๙ จำนวน ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) ปัญหาความรุนแรงทางสังคม (๒) ปัญหายาเสพติดและพฤติกรรมเสี่ยง (๓) ปัญหาสิ่งแวดล้อม (๔) ปัญหาการศึกษา การเรียนการสอนในปัจจุบัน และ (๕) การเรียนการสอนตามนโยบาย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้การสนับสนุนตามข้อคิดเห็นและแนวทางดำเนินการของสภานักรียนฯ |
||||||||||||||||||||||||
20694 | การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ในช่วงปีภาษี ๒๕๕๑-๒๕๕๔ จากเดิมที่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรือ (อบต. หนองปรือ) ประเมินค่ารายปีไว้ ๗๖๔,๕๙๐,๔๕๙.๙๒ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินเท่ากับ ๙๕,๕๗๓,๘๐๗.๔๖ บาท ลดลงเหลือ ๗๐๐,๘๐๐,๐๐๐ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินเท่ากับ ๘๗,๖๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้ อบต. หนองปรือคืนเงินค่าภาษีให้กับ ทอท. ซึ่งเป็นผลจากการลดหย่อนค่าภาษี ตามข้อ ๑ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๗,๙๗๓,๘๐๗.๔๖ บาท จากเดิมที่ ทอท. เสนอคณะรัฐมนตรีขอคืนเงินค่าภาษีจาก อบต. หนองปรือ เป็นจำนวนเงิน ๒๗๑,๘๗๖,๗๓๗.๒๘ บาท ๓. สำหรับในช่วงปีภาษี ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ให้การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของ ทอท. เป็นไปตามที่ อบต. หนองปรือประเมิน
|
||||||||||||||||||||||||
20695 | สรุปมติ - ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559 | สลธ.คสช. | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติ-ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๙ รวมทั้งสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติในรอบปี ๒๕๕๘ ได้แก่ ด้านการปลูกจิตสำนึกและสร้างการรับรู้ ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการป้องกันการทุจริต และด้านการประชาสัมพันธ์ ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงบประมาณ รับมติและข้อสั่งการของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20696 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร | พณ | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินงานโครงการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๕๙ (ณ วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) จำนวน ๓ โครงการ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนในพื้นที่ประสบภัยแล้งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปี ๒๕๕๙ ในพื้นที่ ๒๒ จังหวัด กำหนดการดำเนินการ ๔๐๐ ครั้ง ระยะเวลาดำเนินการ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘-เมษายน ๒๕๕๙ มีการดำเนินการแล้ว จำนวน ๒๖๙ ครั้ง (คิดเป็นร้อยละ ๖๘ ของเป้าหมายรวม) มูลค่าการจำหน่าย ๓๑.๑๖ ล้านบาท สามารถลดค่าครองชีพประชาชน จำนวน ๑๒๗,๓๔๕ คน เป็นเงิน ๒๐.๗๗ ล้านบาท การดำเนินการมีความคืบหน้าและคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามแผน ๒. โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพเกษตรกรชาวสวนยางพารา ปี ๒๕๕๙ ผลการดำเนินงาน (ตั้งแต่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙-๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) มีการดำเนินการแล้ว จำนวน ๖๙ ครั้ง ในพื้นที่ ๑๖ จังหวัด ๖๙ อำเภอ (คิดเป็นร้อยละ ๔๑ ของเป้าหมายรวม) มูลค่าการจำหน่าย ๓๙.๕๐ ล้านบาท สามารถลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ๑๑๔,๕๑๕ คน เป็นเงิน ๑๖.๙๓ ล้านบาท ๓. โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ในพื้นที่ ๔๐ จังหวัด กำหนดการดำเนินการ ๒๙๒ ครั้ง ระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๙ งบประมาณ ๗,๓๐๐,๐๐๐ บาท ดำเนินการจัดจำหน่ายสินค้าไปแล้ว จำนวน ๕ ครั้ง ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี (๒ ครั้ง) และจังหวัดสกลนคร (๓ ครั้ง) มูลค่าการจำหน่าย ๔๑๑,๒๓๐ บาท สามารถลดค่าครองชีพประชาชน จำนวน ๗,๕๐๐ คน เป็นเงิน ๑๗๖,๒๔๒ บาท การดำเนินการยังมีความล่าช้า เนื่องจากบางจังหวัดยังมิได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) |
||||||||||||||||||||||||
20697 | ผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เมื่อวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2559 | นร11 | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (อุดรธานี หนองคาย เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬ) เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป โดยมีผลประชุมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ดังนี้
๑. โครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานรับไปดำเนินการ โดยพิจารณาถึงความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการตามที่ภาคเอกชนเสนอ ประกอบด้วย (๑) โครงการจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทานเพื่อส่งเสริมการเกษตร จังหวัดหนองคาย ได้แก่ โครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านคำแก้ว โครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านโคกคอน-ห้วยลาน ระยะ ๒ โครงการแก้มลิงหนองโซงเซงพร้อมอาคารประกอบ โครงการแก้มลิงหนองเอิบเอ้อพร้อมอาคารประกอบ และโครงการแก้มลิงหนองปากกรวดพร้อมอาคารประกอบ (๒) โครงการพัฒนาแก้มลิง จังหวัดอุดรธานี ได้แก่ โครงการพัฒนาแก้มลิงอ่างเก็บน้ำหนองสำโรง และโครงการพัฒนาแก้มลิงหนองหมัด (๓) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อส่งเสริมการเกษตรและแก้ปัญหาภัยแล้ง จังหวัดบึงกาฬ ได้แก่ โครงการขุดลอกหนองส้มโฮง บ้านศรีอุดม ตำบลพรเจริญ อำเภอพรเจริญ และโครงการปรับปรุงสถานีสูบน้ำบ้านท่าศรีชมชื่น ตำบลหนองหัวช้าง อำเภอพรเจริญ และ (๔) โครงการประตูระบายน้ำลำพะเนียงหลวงปู่หลอด จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อบรรจุไว้ในแผนงานและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการอย่างเป็นระบบ ๒. โครงการส่งเสริมนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวงคมนาคมพิจารณาส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อเสนอการพัฒนาแหล่งน้ำหนองนาตาลของภาคเอกชนไปพิจารณาในรายละเอียดถึงความเหมาะสมและความจำเป็นของการดำเนินการ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าทั้งภาคประชาชนและอุตสาหกรรมอย่างมีส่วนร่วม ๓. โครงการพัฒนาพื้นที่ทำ Container yard ที่สถานีรถไฟหนองตะไก้ จังหวัดอุดรธานี สำหรับคลังกระจายสินค้ากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าส่งออก มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการดำเนินโครงการตามที่ภาคเอกชนเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
20698 | รายงานผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2558 (1 ตุลาคม 2557 - 30 กันยายน 2558) | สธ | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘)
๑. ความครอบคลุม ประชากรผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (Universal Coverage Scheme : UCS) จำนวน ๔๘.๓๘๖ ล้านคน มีผู้ลงทะเบียน ๔๘.๓๓๖ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๐ ของผู้มีสิทธิ ๒. การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ เช่น (๑) การใช้บริการผู้ป่วยนอก จำนวน ๑๕๙,๔๘๐ ล้านครั้ง อัตราการใช้บริการผู้ป่วยนอกเท่ากับ ๓.๒๙๘ ครั้ง/คน/ปี และการใช้บริการผู้ป่วยใน จำนวน ๕,๗๐๗ ล้านครั้ง อัตราการใช้บริการผู้ป่วยในเท่ากับ ๐.๑๑๘ ครั้ง/คน/ปี (๒) ให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ จำนวน ๓๒๒,๙๙๖ คน (๓) ให้บริการทดแทนไตสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง จำนวน ๔๐,๔๒๙ คน และ (๔) ให้บริการผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง จำนวน ๓,๖๐๖,๙๓๐ คน เป็นต้น ๓. คุณภาพบริการ มีโรงพยาบาลขอรับการประเมินทั้งหมด ๑,๐๖๔ แห่ง ได้รับการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (Hospital Accreditation : HA) จำนวน ๔๙๔ แห่ง (ร้อยละ ๔๖.๔๓) รับรองคุณภาพขั้น ๒ จำนวน ๔๗๘ แห่ง (ร้อยละ ๔๔.๙๒) และรับรองคุณภาพขั้น ๓ จำนวน ๑๒ แห่ง (ร้อยละ ๑.๑๓) ๔. การคุ้มครองสิทธิ มีประชาชนและผู้ให้บริการเข้ามาสอบถามข้อมูล ร้องเรียน ร้องทุกข์ และประสานส่งต่อผู้ป่วยผ่านช่องทางต่าง ๆ จำนวน ๔๘๙,๔๘๑ เรื่อง โดยช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการ จำนวน ๑,๐๔๕ คน ๕. ความพึงพอใจ ประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีความพึงพอใจ ร้อยละ ๙๑.๑๑ ผู้ให้บริการมีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร้อยละ ๖๙.๗๘ ๖. อุปสรรคในการดำเนินงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำในระหว่างระบบประกันสุขภาพของภาครัฐ และความไม่เข้าใจกันระหว่างหน่วยบริหารงบประมาณ (Purchaser) และหน่วยให้บริการ (Providers) และ/หรือระหว่างผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
20699 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบล บ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และตำบลมาบยางพร ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | คค | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และตำบลมาบยางพร ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินเพื่อขยายทางหลวงชนบท รย.๓๐๑๓ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
20700 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 สายต่อเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ควบคุม - ช่องจอม ตอนทางเลี่ยงเมืองสุรินทร์ด้านเหนือ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 26/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๔ สายต่อเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ควบคุม-ช่องจอม ตอนทางเลี่ยงเมืองสุรินทร์ด้านเหนือ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทนเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....