ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1031 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 20601 - 20620 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20601 | ขออนุมัติร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และวิชาการ ไทย - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ครั้งที่ 1 | กต | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และวิชาการ ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ครั้งที่ ๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกันไว้ รวมถึงประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะพัฒนาและผลักดันให้เกิดความคืบหน้าเพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์ โดยประเด็นหลักที่หยิบยกขึ้นหารือ ได้แก่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเงิน พลังงาน กลาโหมและความมั่นคง วัฒนธรรม กีฬา การท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สาธารณสุข การเกษตร การศึกษา สิ่งแวดล้อม วิชาการ ตลอดจนการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามและประเมินผลความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และวิชาการ ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือและขยายขอบเขตความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
20602 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและ ความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | กต | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Memorandum of Understanding on Political Consultations between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs and International Cooperation of the United Arab Emirates) มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี พัฒนาความร่วมมือ คู่ภาคีจะส่งเสริมให้มีการปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือทวิภาคี ซึ่งครอบคลุมในทุกสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ตลอดจนประเด็นในระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
20603 | รายงานผลการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐ แห่งสหภาพเมียนมา ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม - 12 เมษายน 2559 | ยธ | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และประเทศไทย โดยศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย จังหวัดเชียงใหม่ ได้ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) ระหว่างวันที่ ๑๙ มกราคม-๑๒ เมษายน ๒๕๕๙ ประกอบด้วย ๓ กิจกรรมหลัก ดังนี้
๑. การปฏิบัติการภายใต้ภารกิจ ๗ กิจกรรม ได้แก่ การตั้งจุดตรวจจุดสกัด การปิดล้อมตรวจค้น การลาดตระเวนทางน้ำ การสืบสวนหาข่าว การติดตามบุคคลตามหมายจับ การเฝ้าตรวจและซุ่มโจมตีขบวนการค้ายาเสพติด และการจับกุม ๒. ภารกิจที่สำคัญและกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น การประชุมหารือแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ระยะ ๓ ปี ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ส. (LCDC) และกรมตำรวจสกัดกั้นยาเสพติด (CNPD) ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และการประชุมหารือร่วมกับสำนักงานพิทักษ์เขตแดนแห่งออสเตรเลีย เป็นต้น ๓. ด้านต่างประเทศ สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations on Drugs and Crime-UNODC) ได้เชิญประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพในปี ๒๕๕๘ จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๔ ประเทศ ได้แก่ การประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ (CND) สมัยที่ ๕๙ ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย และการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยยาเสพติด (UNGASS) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ เพื่อเผยแพร่ต่อประชาคมโลกถึงความสำเร็จของโครงการ บทเรียนที่ได้เรียนรู้ ปัญหาอุปสรรค และความท้าทาย
|
|||||||||||||||||||||
20604 | ผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. 2016 (United Nations General Assembly Special Session 2016 - UNGASS 2016) และการเสนอวิดีทัศน์สรุปผลการประชุมฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | ยธ | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลกหรือ UNGASS 2016 ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมใหญ่ของหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศระดับสูงที่กำกับดูแลงานด้านยาเสพติด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม โดยยืนยันว่าไทยไม่เห็นด้วยกับการทำยาเสพติดให้ถูกกฎหมาย และการลดทอนความเป็นอาชญากรรมโดยเฉพาะผู้กระทำผิดรายสำคัญ พร้อมทั้งสนับสนุนการนำแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกไปใช้โดยบูรณาการเข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกช่วยกันสกัดกั้นสารตั้งต้นเข้าสู่แหล่งผลิตโดยดำเนินการตาม “แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย” และแสดงความพร้อมของไทยที่จะทำงานร่วมกับนานาประเทศบนพื้นฐานของการแบ่งปันความรับผิดชอบและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันและเชิญประเทศที่มีศักยภาพสนับสนุนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ๑.๒ การประชุมโต๊ะกลม ประกอบด้วยหัวข้อหลัก คือ ยาเสพติดและสุขภาพ ยาเสพติดและอาชญากรรม ยาเสพติดและสิทธิมนุษยชน ยาเสพติดและความท้าทายใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเลือก โดยแนวโน้มการแก้ไขปัญหายาเสพติดจะยึดมุมมองทางสาธารณสุขมากขึ้นควบคู่ไปกับการป้องกันและปราบปราม สอดคล้องกับทิศทางการแก้ไขกฎหมายในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอย่างครอบคลุมทั้งสตรี เด็ก และเยาวชน เน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การติดตามและเฝ้าระวังวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทชนิดใหม่ ๆ ทั้งนี้ ประเทศและองค์การระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ได้ยกย่องให้ไทยเป็นผู้นำในเรื่องการพัฒนาทางเลือกและนำตัวแบบไปใช้ในการทำงาน ๑.๓ การประชุมทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับความร่วมมือด้านยาเสพติดได้มีการหารือกับ UNODC ร่วมกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อินเดีย เวียดนาม จีน ลาว เมียนมา และออสเตรเลีย โดยได้ผลักดันความร่วมมือในการควบคุมเคมีภัณฑ์กับอินเดีย แลกเปลี่ยนมุมมองในการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดกับออสเตรเลีย ส่งเสริมความร่วมมือด้านยาเสพติดและความร่วมมือตามแนวพรมแดนและการเหย้าเยือนระดับสูงระหว่างลาว เมียนมา และเวียดนาม และได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ๑.๔ การจัดกิจกรรมคู่ขนาน ๔ กิจกรรม ได้แก่ (๑) ร่วมกล่าวถ้อยแถลงกับประเทศภาคีสมาชิกกรอบความร่วมมือ ๗ ฝ่ายว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงร่วมกับจีน เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (The United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เพื่อประชาสัมพันธ์ความสำเร็จความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (๒) ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและนโยบายการแก้ไขปัญหาสารเสพติดชนิดกระตุ้นประสาทกับนักวิชาการต่างประเทศ (๓) ผลักดันความเชื่อมโยงงานพัฒนาทางเลือกกับวาระของโลกเรื่องเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ (๔) ผลักดันแนวทางการพัฒนาทางเลือกให้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระยะยาว ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประสานความร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนในการจัดทำ Road Map เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับภูมิภาคต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20605 | ผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร04 | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โดยมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย การหารือกับภาครัฐรัสเซียเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การซื้อขายยางพารา การลงทุน การท่องเที่ยว พลังงาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (Eurasian Economic Union : EEU) การเร่งรัดการเจรจาจัดทำความตกลงด้านต่าง ๆ เพื่อให้พร้อมลงนามในช่วงการเยือนรัสเซียของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งการหารือกับภาคเอกชนรัสเซีย และการจัดกิจกรรมเสริมกับภาคธุรกิจ ๒. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการติดตามผลการเยือนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งเพื่อเตรียมการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียของนายกรัฐมนตรี |
|||||||||||||||||||||
20606 | มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย | กก | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการในการสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ในรูปแบบคืนเงิน (Cash Rebate) และหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข สำหรับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยในรูปแบบมาตรการคืนเงิน (Cash Rebate) และมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาการจัดหาแหล่งเงินทุนและหลักเกณฑ์ในการดำเนินการ เช่น เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินการได้โดยมีกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีรองรับอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง แล้วรายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณารายละเอียดการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยอย่างรอบคอบและรอบด้าน และอยู่ในกรอบของกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของภาครัฐและไม่ซ้ำซ้อนกับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ผลิตภาพยนตร์ชาวต่างชาติได้รับอยู่แล้ว ปราศจากความเหลื่อมล้ำ และต้องคำนึงถึงผลกระทบในมิติต่าง ๆ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง และวัฒนธรรมประกอบด้วย และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรนำหลักขีดความสามารถในการรองรับ (Carrying Capacity) และความสามารถในการฟื้นฟูของทรัพยากรธรรมชาติ เป็นหลักเกณฑ์หนึ่งในการพิจารณาอนุมัติการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เนื่องจากการถ่ายทำภาพยนตร์อาจก่อให้เกิดมลพิษและความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่ถ่ายทำภาพยนตร์ได้ จึงควรมีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างรอบคอบ และเห็นควรบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งออกมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับอาเซียน ทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบหรือกฎหมายที่เป็นอุปสรรค อาทิ การเก็บภาษี การเก็บค่าธรรมเนียมการถ่ายทำ ขั้นตอนการขออนุญาตถ่ายทำ การยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA) ไม่ต้องขออนุญาตการถ่ายทำภาพยนตร์ และการอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำภาพยนตร์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความเข้าใจให้ถูกต้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการต่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยทั้งระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20607 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... | กษ | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของกรมประมงและกำหนดเพิ่มเติมราชการบริหารส่วนกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้เชิญผู้แทนสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมชี้แจงแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนบทบาทภารกิจตามโครงสร้างใหม่ ร่วมไปกับการทบทวนแผนบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก และในการขอจัดตั้งหน่วยงานระดับกองเพิ่มใหม่ จะต้องคำนึงถึงบทบาทภารกิจและปริมาณงานที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อรองรับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและแก้ไขปัญหาเฉพาะการทำการประมงผิดกฎหมายตามที่สหภาพยุโรปกำหนดอย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในส่วนของรายจ่ายประจำที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งให้พิจารณาทบทวนการแบ่งส่วนราชการครั้งต่อไปตามความจำเป็นภายในระยะเวลาสองปี ตามแผนการบริหารจัดการประมงทะเลฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20608 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารอาเซียนที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 24 | รง | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารอาเซียนที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประกอบด้วย ร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านจากการจ้างงานนอกระบบไปสู่การจ้างงานในระบบเพื่อมุ่งสู่การส่งเสริมงานที่มีคุณค่าในอาเซียน และร่างแผนงานรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ๒๐๑๖-๒๐๒๐ โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของผู้นำอาเซียนเพื่อส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนผ่านจากการจ้างงานนอกระบบไปสู่การจ้างงานในระบบ สำหรับร่างแผนงานฯ เป็นกรอบความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในอีก ๕ ปีข้างหน้า และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับรองร่างเอกสารทั้งสองฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไมใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
20609 | ขออนุมัติแต่งตั้งรองเลขาธิการ ก.พ.ร. (นักบริหารสูง) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางกิตติยา คัมภีร์) | นร12 | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางกิตติยา คัมภีร์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
20610 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์) | สธ | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในลำดับที่ ๒ ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้วย
|
|||||||||||||||||||||
20611 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2559 เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวในกรณีที่มีการยุบสภาท้องถิ่น | สลธ.คสช. | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๙ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวในกรณีที่มีการยุบสภาท้องถิ่น สั่ง ณ วันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
20612 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๘/๒๕๕๙ วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒๙/๒๕๕๙ วันศุกร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||
20613 | ศักยภาพไทยกับพลังงานทดแทน | นร | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงาน ดังนี้ ๑.๑ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan : AEDP) ภายใต้แผนบูรณาการพลังงานระยะยาว (Thailand Integrated Energy Blueprint) ได้กำหนดสัดส่วนเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๙ โดยส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่มีศักยภาพสูงในประเทศ ซึ่งต้องมีความสมดุลกับต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชน ความพร้อมของเทคโนโลยีในสัดส่วนที่เหมาะสม และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับได้ ในขณะนี้มีโครงการที่ได้ดำเนินการแล้ว เช่น การผลิตไฟฟ้าและความร้อนจากเชื้อเพลิงขยะชีวมวลและก๊าซชีวภาพ ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรและแก้ไขปัญหาขยะล้นเมือง และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยปัจจุบันมีจำนวน ๓๖๗ โครงการ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ๑,๘๔๕.๕๐ เมกะวัตต์ ๑.๒ การใช้พลังงานทดแทนของไทยเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ ๑๐ ปี โดยสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ ๗,๗๙๓ เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๒ ของพลังงานเชื้อเพลิงทั้งหมดในการผลิตไฟฟ้า และมีการใช้เอทานอลและไบโอดีเซลรวม ๖ ล้านลิตรต่อวัน โดยคาดว่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๙ จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดิบได้สูงสุดปีละ ๒๑ ล้านบาร์เรลต่อปี หรือคิดเป็น ๓๒,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี ๒. ให้กระทรวงพลังงานรวบรวมผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการผลิตและการส่งเสริมการผลิตพลังงานทดแทนที่เกิดจากการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนพลังงานในปีที่ผ่านมาเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20614 | การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 49 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 19 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | นร | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพร้อมคณะได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ ๔๙ การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒-๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยมีกิจกรรมการประชุมต่าง ๆ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ ๔๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รายงานนโยบายสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางต่อที่ประชุม ๒. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๙ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจโลก การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ และความคืบหน้าภายใต้กรอบความร่วมมือทางการเงินอาเซียนบวกสาม ๓. การประชุมทวิภาคีกับรองประธานธนาคารโลก ได้มีการหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับธนาคารโลก ๔. การประชุมทวิภาคีกับประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ได้มีการหารือเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางการเงินและความช่วยเหลือทางวิชาการสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและด้านการศึกษา
|
|||||||||||||||||||||
20615 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. จากการที่มีพยากรณ์อากาศว่าสภาพอากาศช่วงนี้ยังคงร้อนจัดและมีแนวโน้มที่อุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก จึงให้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมการรองรับผู้ป่วยโรคลมแดด (heat stroke) และให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการฝึกกำลังพลกลางแจ้งในเวลากลางวันให้เหมาะสมด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการพลิกฟื้นผืนป่าต้นน้ำ (เขาหัวโล้น) โดยเฉพาะบริเวณเขาหัวโล้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยด่วน ๓. ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินการขุดลอกคูคลองและแม่น้ำที่ในขณะนี้มีปริมาณน้ำน้อย จัดทำแก้มลิง รวมทั้งพิจารณานำเครื่องดูดเลนมาใช้ในการดำเนินการดังกล่าว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของแหล่งน้ำในการเก็บกักน้ำในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการผลิตและใช้กังหันน้ำและโซล่าเซลล์ เช่นเดียวกับกังหันของมูลนิธิชัยพัฒนาในการบำบัดน้ำในทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการสถาบันทางด้านพันธุกรรมเฉพาะบุคคลและเวชพันธุ์รักษ์ระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน ๖. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดทำข้อมูลผู้ประกอบการในสาขาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการที่ผลิตอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ส่วนราชการใช้งาน เช่น เตียงทันตกรรม เตียงผู้ป่วย เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายในการนำเข้าอุปกรณ์หรือเครื่องมือจากต่างประเทศซึ่งมีราคาสูง ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งข้อมูลดังกล่าวให้ทุกส่วนราชการเพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม โดยในการนำไปดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๗. ให้สำนักงบประมาณร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการปฏิรูประบบงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน เพื่อให้การบริหารจัดการงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปด้วยความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๘. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการจัดทำสื่อวีดิทัศน์เผยแพร่ภารกิจที่สำคัญในความรับผิดชอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนหรือเรื่องที่สมควรสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน และส่งให้กรมประชาสัมพันธ์เพื่อนำไปออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติหรือรายการเดินหน้าประเทศไทย นั้น ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) และกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการ (๑) จัดทำแผนการประชาสัมพันธ์ในภาพรวมโดยจัดลำดับความสำคัญของแต่ละภารกิจและนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ (๒) ประสานทุกสถานีโทรทัศน์และวิทยุเพื่อนำสื่อวีดิทัศน์ที่ส่วนราชการจัดทำขึ้นไปออกอากาศตามรูปแบบรายการ รวมทั้งช่องทางอื่นของแต่ละสถานีต่อไปด้วย และ (๓) ประสานหน่วยงานที่มีจอภาพในที่สาธารณะ เช่น จอภาพของกรุงเทพมหานคร จอภาพของกระทรวงคมนาคมในสถานีขนส่งหรือท่าอากาศยาน เพื่อนำสื่อที่ส่วนราชการจัดทำขึ้นไปเผยแพร่ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๑ เดือน
|
|||||||||||||||||||||
20616 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑.๑ การแก้ไขปัญหาการซื้อขายข้าวโพดบนภูเขาหัวโล้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันตรวจสอบและกำกับดูแลไม่ให้มีการซื้อขายข้าวโพดบนภูเขาแต่ละแห่ง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาภูเขาหัวโล้นอีกทางหนึ่งด้วย ๑.๑.๒ การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบูรณาการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ประกอบด้วย (๑) รณรงค์และสนับสนุนการลดการใช้ถุงพลาสติก (๒) จัดทำโครงการความร่วมมือ “บัตรเดียวเที่ยวทั่วไทย” ที่เป็นระบบการสะสมคะแนนสำหรับซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้านำร่อง (๓) การสร้างระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๔) คัดเลือกพื้นที่เป็นศูนย์รวบรวมของเสียอันตรายชุมชนของจังหวัด (๕) การจัดนิทรรศการภายใต้โครงการ “เมืองสะอาดคนในชาติมีสุข” (๖) การกลั่นกรองแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ และ (๗) การเตรียมการทำโครงการสร้างโรงไฟฟ้าจากระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงในพื้นที่ทหาร ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ โดยเฉพาะโรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูสภาพลำน้ำให้กลับมาเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งได้รับความชื่นชมจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่างประเทศเป็นอย่างมาก จึงเป็นโอกาสอันดีที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันส่งเสริมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวทางน้ำบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ในวันจันทร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จะมีการประชุมสัมมนา “การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยแบบบูรณาการ” ณ โรงแรมเซ็นทารา ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โดยในงานดังกล่าวจะมีการปาฐกถาพิเศษ ได้แก่ (๑) การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยแบบบูรณาการเพื่อคนไทยทุกคน โดยนายกรัฐมนตรี (๒) การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยด้วยรากฐานความมั่นคง โดยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และ (๓) การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยด้วยกลไก “ประชารัฐ” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะได้มอบนโยบายเรื่อง “บูรณาการเพื่อนำประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ๑.๔ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานว่า ในปี ค.ศ. ๒๐๑๖ รายงานดัชนีความมั่นใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment Confidence Index) ซึ่งเผยแพร่โดยบริษัทที่ปรึกษา A.T. Kearney ได้จัดประเทศไทยให้อยู่ในอันดับที่ ๒๑ ของโลก และอันดับที่ ๗ ของทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลที่เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ แนวโน้มเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพจากภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง และมาตรการจูงใจนักลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง ๑.๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า ได้เดินทางเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ ๘-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยได้เข้าพบกับประธานาธิบดี อู ถิ่น จ่อ ณ ทำเนียบประธานาธิบดี และได้เข้าพบนางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาด้วย โดยได้หารือถึงความร่วมมือของทั้งสองประเทศเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศและภูมิภาค นอกเหนือจากโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายแล้ว เมียนมายังให้ความสนใจกับความร่วมมือไตรภาคีในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา ทั้งนี้ ได้เชิญนายอู ถิ่น จ่อ และนางออง ซาน ซูจี มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วย โดยคาดว่าจะมีกำหนดการเยือนไทยในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับการจัดงานสำคัญ เนื่องในโอกาสมหามงคล รวม ๒ งาน ในปีนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานดังกล่าว และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดต่อไป ได้แก่ ๒.๑ งานฉลองสิริราชสมบัติ ๗๐ ปี กำหนดขอบเขตงานระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙-๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ โดยงานดังกล่าวไม่มีพระราชพิธี แต่มีรัฐพิธี ศาสนพิธี และพิธีทั่วไป รวมทั้งมีการจัดกิจกรรม เช่น กิจกรรมของกระทรวงวัฒนธรรม นิทรรศการเจริญพระราชไมตรี พัฒนาแหล่งน้ำเฉลิมพระเกียรติ และการจัดทำจดหมายเหตุ เป็นต้น ๒.๒ งานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ขอบเขตงานระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยมีพระราชพิธี รัฐพิธี ศาสนพิธี และพิธีทั่วไป รวมทั้งมีการจัดกิจกรรม เช่น ปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจัดสร้างสวนป่าในพื้นที่โรงงานยาสูบเดิม สร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาทองคำปางลีลา (ยกพระหัตถ์ขวา) ถวาย โครงการเฉลิมพระเกียรติอาคารสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ถวายหุ่นจำลองพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า และการจัดทำจดหมายเหตุ เป็นต้น ทั้งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมร่วมสำหรับ ๒ งาน เช่น บรรพชาอุปสมบท ๗๗๐ รูป คณะรัฐมนตรีตักบาตรรอบวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การเจริญพระพุทธมนต์ทั่วประเทศ การถวายพระพรของทุกศาสนา การวางศิลาฤกษ์พิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า การสร้างเรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์ นิทรรศการ ๔ ภาค “บัวบาทยาตรา” (เปิดแห่งแรกที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน) ภาพยนตร์สั้น “ค่าของแผ่นดิน” และโครงการเยาวชนอาเซียนเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น รวมทั้งจะเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนประดับธงและตราสัญลักษณ์ของงานสำคัญทั้งสองงานดังกล่าวคู่กันด้วย
|
|||||||||||||||||||||
20617 | รายงานสรุปผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพในเอเชีย (Tokyo Meeting of Health Ministers on Antimicrobial Resistance in Asia) | สธ | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพในเอเชีย (Tokyo Meeting of Health Ministers on Antimicrobial Resistance in Asia) เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเจตจำนงและความมุ่งมั่นทางการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพเนื่องจากการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุสมผลทั้งในคน ปศุสัตว์ ประมง และเกษตรกรรม โดยที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ของรัฐมนตรีสาธารณสุข (Ministerial Communique) ว่าด้วยความร่วมมือของประเทศในแถบเอเชีย-แปซิฟิก ในการจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพในเอเชีย และประเทศญี่ปุ่น จะนำแถลงการณ์ดังกล่าวเสนอในการประชุมระดับผู้นำประเทศ (G7 Summit) ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ และในการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุข ในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20618 | การพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานต่างๆ | นร | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐโดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ได้แก่ แนวทางนี้ใช้กับการพัฒนาบุคลากรภาครัฐที่จัดในรูปแบบของหลักสูตร หรือการฝึกอบรม แนวทางนี้ใช้กับหลักสูตรฝึกอบรมที่จัดโดยหน่วยงานของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม และเงื่อนไขเกี่ยวกับผู้เข้ารับการอบรม การพัฒนาบุคลากรต่างหน่วยงาน การดูงาน ณ ต่างประเทศ และหน้าที่ของหน่วยงานเจ้าของหลักสูตร ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาปรับปรุงแนวทางดังกล่าว แล้วแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อแจ้งเวียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ หน่วยงานเจ้าของหลักสูตรจะต้องคัดสรรบุคลากรเข้ารับการอบรมที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ๒.๒ ควรกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่หน่วยงานต้นสังกัดจะได้รับจากการส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมเป็นสำคัญ เช่น ไม่ควรส่งบุคลากรที่ใกล้เกษียณอายุราชการเข้ารับการฝึกอบรม เป็นต้น ๒.๓ ในส่วนการดูงาน ณ ต่างประเทศ ควรมุ่งเน้นการกำหนดให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมรายงานประโยชน์และความรู้ที่ได้จากการดูงานต่างประเทศ และแนวทางการพัฒนาประเทศที่เป็นรูปธรรมซึ่งเหมาะสมกว่าการห้ามมิให้ดูงานต่างประเทศ ๓. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การพัฒนาบุคลากรในภาครัฐเพื่อรองรับการปฏิรูปประเทศ) เมื่อดำเนินการตามข้อ ๒ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
20619 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นเข้าเยี่ยมคาระนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในโอกาสเยือนประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเซีย (CICA) ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ครั้งที่ 5 | กต | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการเยือนไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น (นายฟุมิโอะ คิชิดะ) ระหว่างวันที่ ๑-๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และผลการเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia : CICA) ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น นายฟุมิโอะ คิชิดะ ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีและได้หารือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีประเด็นสำคัญที่ไทยและญี่ปุ่นได้หยิบยกขึ้นหารือ เช่น การส่งเสริมบทบาทของกันและกันในการพัฒนาระหว่างประเทศโดยการผลักดันการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ การสนับสนุนบทบาทของไทยในการเป็นผู้นำในการพัฒนาภูมิภาคและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และประเด็นด้านความมั่นคงในภูมิภาค นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังได้ลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรเพื่อจัดตั้งกลไกระดับสูงระหว่างกันซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรและส่งเสริมสินค้าเกษตรของไทยในระยะยาว ๒. การประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในภูมิภาคเอเชีย ที่ประชุมฯ ได้ร่วมรับรองปฏิญญาการประชุม CICA ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมภายใต้หัวข้อ “การส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเอเชียผ่านการเสวนาระหว่างอารยธรรมต่าง ๆ” เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกัน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอแนวทางให้ CICA ขยายมิติความร่วมมือให้ครอบคลุมการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทาง และได้เสนอบทบาทของไทยในการเป็นสะพานเชื่อมโยงกรอบความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทยยังได้หารือทวิภาคีกับหัวหน้าคณะผู้แทนของประเทศสมาชิก CICA และประเทศผู้สังเกตการณ์หลายประเทศเพื่อกระชับความร่วมมือและติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจต่าง ๆ ระหว่างกัน
|
|||||||||||||||||||||
20620 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2561 [การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (7 หน่วยงาน)] | นร | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๕๗ อัตรา ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) จำนวน ๑๒๖ อัตรา กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) จำนวน ๑๒๐ อัตรา กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จำนวน ๙๗๑ อัตรา สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ) จำนวน ๔๘ อัตรา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๘ อัตรา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๑๘๔ อัตรา โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๒๒๑ อัตรา เป็นเงิน ๗๑,๑๕๓,๑๖๐ บาทต่อปี และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย |