ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 57 จากทั้งหมด 176 หน้า แสดงรายการที่ 1121 - 1140 จากข้อมูลทั้งหมด 3515 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1121 | ขอความเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้น | สธ | 14/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม) จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้น ตามผลการประเมินการปฏิบัติงานเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ตามมติคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนหนึ่งขั้น ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๒ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนหนึ่งขั้นครึ่ง ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๓ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนสองขั้น ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของเงินเดือนที่ถึงขั้นสูงของตำแหน่ง ๑.๔ กำหนดวงเงินสำหรับจ่ายค่าตอบแทนพิเศษสำหรับพนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นไม่เกินร้อยละ ๔ ของจำนวนเงินเดือนรวมของผู้มีอัตราเงินเดือนเต็มขั้น ๑.๕ การจ่ายเงินตอบแทนพิเศษนี้ไม่ถือเป็นค่าจ้างและมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่พนักงาน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดตัวชี้วัดการประเมินผลงานที่ให้สะท้อนถึงผลลัพธ์การทำงานของพนักงานอย่างแท้จริง และเพื่อไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระผูกพันแก่องค์การเภสัชกรรมในระยะยาว เห็นควรให้คงสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คงอยู่ในอัตราเดิม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1122 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างไทยกับกาตาร์ | สธ | 14/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ มีสาระสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขและแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ โดยข้อกำหนดของบันทึกความเข้าใจฯ จะอนุวัติการตามกฎหมายภายในประเทศที่บังคับในทั้งสองประเทศ ส่วนการพัฒนากฎหมายเป็นเรื่องที่จะร่วมมือกันในระยะต่อไป ยังมิได้มีผลผูกพันให้ต้องมีการออกกฎหมายตามบันทึกความเข้าใจนี้ จึงไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๒.๑ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ ๒.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้ลงนาม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
||||||||||||||||||||||||
| 1123 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 14/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายจีรพัฒน์ ศิริชัยสินธพ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานพัฒนาและรักษามาตรฐานการตรวจวินิจฉัย กลุ่มมาลาเรีย สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1124 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 08/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางบุญเอื้อ ยงวานิชากร ให้ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1125 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทยและคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย) | สธ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย และคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. คณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่ กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับแนวนโยบายระดับชาติ เสนอแนะนโยบายแก่คณะรัฐมนตรี อำนวยการ สั่งการ เร่งรัด สนับสนุน กำกับติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการ ส่วนราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งบูรณาการแผน งบประมาณ และการปฏิบัติการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและสุขภาพพอเพียง ๒. คณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธานกรรมการ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมาย รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย และผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา กลุ่มเป้าหมาย ทรัพยากร และความต้องการสนับสนุนของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อเสนอนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ แนวทางและมาตรการดำเนินงาน ทั้งในระดับส่วนกลางและระดับพื้นที่ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายให้สอดคล้องกันในทุกระดับ นำนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากคณะกรรมการอำนวยการฯ ไปสู่การปฏิบัติการ รวมทั้งอำนวยการ สั่งการ เร่งรัด สนับสนุน ติดตามกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์กรและหน่วยปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย แผน และแนวทางการดำเนินงานที่กำหนดไว้ ตลอดจนให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ ดำเนินการด้านวิชาการ และสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการฯ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1126 | ร่างพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. .... | สธ | 17/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดเกี่ยวกับอาหารเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ๑.๓ กำหนดให้มีคณะกรรมการอาหาร ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง ผู้แทนองค์กรเอกชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ องค์ประชุม และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตผลิตและการนำเข้าอาหาร การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การแก้ไขรายการหรือรายละเอียดที่ได้รับการอนุญาต การแจ้งเลิกกิจการ ตลอดจนระบบคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ๑.๕ กำหนดให้ผู้ผลิตอาหาร ผู้นำเข้า และผู้ว่าจ้างผลิต มีหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๖ กำหนดลักษณะอาหารที่ต้องควบคุมการผลิตเพื่อจำหน่าย นำเข้าเพื่อจำหน่าย หรือจำหน่ายซึ่งอาหาร ลักษณะของอาหารที่ไม่บริสุทธิ์ อาหารปลอม อาหารผิดมาตรฐาน อาหารเสื่อมคุณภาพ และอำนาจของผู้อนุญาตในการควบคุมอาหาร ๑.๗ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณาอาหาร ๑.๘ กำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ๑.๙ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพักใช้ใบอนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาต การอุทธรณ์คำสั่ง และการขอใบอนุญาตกรณีถูกเพิกถอนใบอนุญาต ๑.๑๐ กำหนดบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งมีโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ๑.๑๑ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการอนุญาต ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร ประกาศของรัฐมนตรีเกี่ยวกับอาหารควบคุม อาหารที่ต้องมีฉลาก และสถานที่ผลิตอาหารเพื่อจำหน่ายหรือนำเข้าอาหารเพื่อจำหน่ายที่ได้รับยกเว้นตามที่กำหนด การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการอาหาร ตลอดจนบรรดากฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรกำหนดบทยกเว้นการบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. .... กับหน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว และเห็นว่า การกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจประกาศกำหนดเกี่ยวกับอาหารเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค อาจมีปัญหาการในการใช้อำนาจที่ซ้ำซ้อนกับกฎหมายของหน่วยงานอื่นได้ และควรแต่งตั้งผู้แทนระดับกรมที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมเป็ฯคณะกรรมการอาหารเพิ่มด้วย นอกจากนี้ ในการกำหนดให้เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อาจมอบอำนาจให้หน่วยงานอื่นเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการตามพระราชบัญญัติฯ ตามมาตรา ๔๗/๑ อาจมีปัญหาในทางปฏิบัติในกรณีที่หน่วยงานอื่นมีกฎหมายใช้บังคับอยู่แล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1127 | ขอความเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สธ | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษและทำประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยคณะกรรมการฯ เห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยให้แก่พนักงานและลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ใช้เงินงบประมาณขององค์การเภสัชกรรมและเบิกเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและเงินทำประกันภัยหลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่เต็มเดือน แต่มีระยะเวลาตั้งแต่ ๑๕ วันขึ้นไปให้จ่ายในอัตราคนละ ๒,๕๐๐ บาทต่อเดือน หากปฏิบัติงานในพื้นที่น้อยกว่า ๑๕ วันคำนวณเงินเฉลี่ยตามสัดส่วนจำนวนวันที่ผู้นั้นไปปฏิบัติงาน ๒. ทำประกันภัย กรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวร สูญเสียอวัยวะ ๒ ชิ้น ค่าสินไหมทดแทน ไม่เกินรายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓. หากกระทรวงการคลังมีประกาศยกเลิกพื้นที่พิเศษจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ให้ยกเลิกการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยในพื้นที่ดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1128 | ขออนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่ | สธ | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งเพิ่มใหม่ เพื่อบรรจุบุคคลตามคำขอของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบรรจุทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) จำนวน ๒,๖๖๖ อัตรา เป็นการเร่งด่วน ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ยกเว้นหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการเฉพาะราย ๑.๒ ในระยะเร่งด่วนเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขนำตำแหน่งที่ว่างอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕๒๑ อัตรา ไปบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อน ส่วนที่เหลือให้จัดสรรตำแหน่งเพิ่มใหม่ จำนวน ๒,๑๔๕ อัตรา เพื่อบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาลดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นว่า อัตรากำลังใหม่ดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเป็นอัตราที่ตรึงไว้สำหรับการบรรจุนักเรียนทุนคู่สัญญาเพื่อปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานบริการสุขภาพทุกระดับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานการบรรจุแต่งตั้งนักศึกษาคู่สัญญาที่ได้รับการบรรจุในครั้งนี้ไปยังคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ไปดำเนินการด้วย ๑.๓ ในระยะต่อไปเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบเพื่อวางระบบการบริหารอัตรากำลังและการวางแผนกำลังคนของกระทรวงให้การจัดการภารกิจบริการสุขภาพมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดผลการศึกษาแนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจการบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐกำหนด |
||||||||||||||||||||||||
| 1129 | มาตรการในการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม | สธ | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการในการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกะทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒ ฉบับ เพื่อยกระดับการควบคุมยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม ได้แก่ ๑.๑ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ (เพิ่มเติม) ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ซูโดอีเฟดรีนและยาทุกสูตรตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ และภายใน ๓๐ วันคือวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ให้สถานพยาบาลที่ไม่มีใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ และไม่ประสงค์จะมีไว้ในครอบครองยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมเพื่อการบำบัดรักษา และร้านขายยาทุกแห่งดำเนินการจัดส่งยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมคืนให้กับผู้ผลิตและผู้นำเข้า ๑.๒ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑ หรือประเภท ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญคือ กรณีการมีไว้ในครอบครองซูโดอีเฟดรีนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วไม่เกิน ๕ กรัม มีโทษตามมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนกรณีการมีไว้ในครอบครองซูโดอีเฟดรีนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วเกิน ๕ กรัม จะได้รับโทษในอัตราที่สูงขึ้น คือ มีโทษตามมาตรา ๑๐๖ ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๕ - ๒๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ - ๔๐๐,๐๐๐ บาท ๒. กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความร่วมมือและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขยายผลสอบสวนกรณีพบการลักลอบนำยาดังกล่าวออกไปนอกระบบ เพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเข้มงวดกับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องในอัตราโทษสูงสุด และร่วมมือกับหน่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติดอย่างใกล้ชิด อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ส. กรมศุลกากร สำนักงาน ป.ป.ง. ฯลฯ เพื่อบูรณาการข้อมูลและวางมาตรการในการสกัดกั้นการลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมออกนอกระบบเพื่อนำไปใช้ในการผลิตยาเสพติด
|
||||||||||||||||||||||||
| 1130 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2554 (1 ตุลาคม 2553 - 30 กันยายน 2554) | สธ | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความครอบคลุมผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พบว่า จากประชากรผู้มีสิทธิประกันสุขภาพทั้งประเทศ จำนวน ๖๓.๙๒ ล้านคน มีผู้มาลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๖๓.๘๙ ล้านคน คิดเป็นความครอบคลุมได้ร้อยละ ๙๙.๙๕ ของประชากรผู้มีสิทธิหลักประกัน โดยมีประชากรที่ยังไม่ลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๓๑,๙๐๖ คน ๒. การใช้บริการทางการแพทย์เฉพาะผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อาทิ การใช้บริการผู้ป่วยนอก มีจำนวน ๑๕๓.๘๑ ล้านครั้ง อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๓.๒๓ ครั้ง/คน/ปี และผู้ป่วยใน มีจำนวน ๕.๓๔ ล้านครั้ง/๒๒.๒๑ ล้านวัน อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๐.๑๐๘ ครั้ง/คน/ปี เป็นต้น ๓. การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข หน่วยบริการที่ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน Hospital Accreditation (HA) จำนวน ๙๘๘ แห่ง ได้รับการรับรองคุณภาพในขั้นต่าง ๆ ร้อยละ ๙๙.๓๙ ในจำนวนนี้ได้รับการรับรองคุณภาพ HA ร้อยละ ๒๙.๘๖ รับรองขั้นที่ ๒ ร้อยละ ๖๓.๕๖ ผลการติดตามเฝ้าระวังและประเมินผลการเข้าถึงและคุณภาพบริการ พบมีอัตรารับไว้รักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ในโรคหัวใจ/กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน/ปอดอุดกั้นเรื้อรังในผู้ใหญ่/โรคมะเร็ง ด้านผลสำรวจความพึงพอใจต่อระบบหลักประกันฯ พบว่าประชาชนที่เคยใช้บริการ/ผู้ให้บริการ มีความพึงพอใจร้อยละ ๙๒.๗๕/๖๖.๘๖ ๔. การคุ้มครองสิทธิ การให้บริการประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้มีสิทธิและผู้ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพฯ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสอบถามข้อมูล ร้อยละ ๙๘.๖๓ เรื่องร้องเรียนได้รับการตอบสนองภายใน ๓๐ วันทำการ ร้อยละ ๙๖.๑๘ และเรื่องร้องทุกข์ดำเนินการแล้วเสร็จร้อยละ ๙๖.๕๖ ประสานหาเตียงผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ๔,๓๖๘ ราย ได้ชดเชยความเสียหายกรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการใช้บริการฯ (ตามมาตรา ๔๑) จำนวน ๗๘๓ ราย เป็นเงิน ๙๒.๒๑ ล้านบาท ส่วนผู้ให้บริการได้รับชดเชย จำนวน ๕๐๕ ราย เป็นเงิน ๔.๓๗ ล้านบาท ๕. การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคี ด้านเครือข่ายองค์กรประชาชน มีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน ๔๑ แห่ง รับเรื่องร้องเรียน ๑๓๕ เรื่อง/เครือข่ายองค์กรคนพิการ เช่น พัฒนาระบบบริการฟื้นฟูให้แก่ผู้พิการทางการมองเห็น ๖๗ แห่ง ใน ๕๔ จังหวัด ศูนย์การดำรงชีวิตอิสระของคนพิการ ๓๐ แห่ง ใน ๑๕ จังหวัด/เครือข่ายผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ๕๔ ชมรม ๖ การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีการเบิกจ่ายงบกองทุนฯ รวม ๙๘,๗๐๑.๑๘ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๙.๕๙ ของงบฯ ที่ได้รับ ๑๐๑,๐๕๗.๙๑ ล้านบาท) งบค่าบริการสุขภาพเบาหวาน - ความดันโลหิตสูง และผู้ติดเชื้อเอชไอวี - ผู้ป่วยเอดส์ ร้อยละ ๙๙.๗๑ และ ๙๘.๙๗ สามารถประหยัดงบประมาณได้ทั้งสิ้น ๑๒,๓๓๙.๖๗ ล้านบาท จากอุปกรณ์ - อวัยวะเทียม ยาและการผ่าตัด ๗. โครงการริเริ่มหรือพัฒนาระบบประกันสุขภาพฯ และปัญหาอุปสรรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พัฒนาโครงการที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในการเข้าถึงบริการได้ทั่วถึงเท่าเทียมมากขึ้น อาทิ การจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพในระดับจังหวัด การขยายสิทธิประโยชน์บริการสาธารณสุขฯ มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น ส่วนปัญหาและอุปสรรค เช่น ความแตกต่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพระหว่างกองทุน สวัสดิการ ประสิทธิภาพของการดำเนินงานที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของสังคม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 1131 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวปองใจ วิรารัตน์ ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านทันตกรรม กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ๒. นางศรีประพา เนตรนิยม ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน สาขาวัณโรค) สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ๓. นางสาวนิพรรณพร วรมงคล ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๔. นายชาญวิทย์ ทระเทพ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ |
||||||||||||||||||||||||
| 1132 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวปองใจ วิรารัตน์ ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านทันตกรรม กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ๒. นางศรีประพา เนตรนิยม ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน สาขาวัณโรค) สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ๓. นางสาวนิพรรณพร วรมงคล ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๔. นายชาญวิทย์ ทระเทพ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ |
||||||||||||||||||||||||
| 1133 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวปองใจ วิรารัตน์ ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านทันตกรรม กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ๒. นางศรีประพา เนตรนิยม ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน สาขาวัณโรค) สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ๓. นางสาวนิพรรณพร วรมงคล ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๔. นายชาญวิทย์ ทระเทพ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ |
||||||||||||||||||||||||
| 1134 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวปองใจ วิรารัตน์ ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านทันตกรรม กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ๒. นางศรีประพา เนตรนิยม ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน สาขาวัณโรค) สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ๓. นางสาวนิพรรณพร วรมงคล ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๔. นายชาญวิทย์ ทระเทพ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ |
||||||||||||||||||||||||
| 1135 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายวัฒนชัยฯ) | สธ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายวัฒนชัย สุแสงรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. นายรณไตร เรืองวีรยุทธ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลแม่สอด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
| 1136 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)(นายรณไตรฯ) | สธ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายวัฒนชัย สุแสงรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. นายรณไตร เรืองวีรยุทธ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลแม่สอด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
| 1137 | การขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย รวม 90 วัน สำหรับกรณีเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาล | สธ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของการขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย รวม ๙๐ วัน สำหรับกรณีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าราชอาณาจักรเพื่อมารับการรักษาพยาบาล ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับเรื่องนี้ไปบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งเรื่องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์และการบริการด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย (Medical Hub) และการส่งเสริมการท่องเที่ยว และอาจปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานในการหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๖ วรรคสอง ที่บัญญัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี |
||||||||||||||||||||||||
| 1138 | ขอความเห็นชอบโครงการความร่วมมือในการผลิตวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี | สธ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการความร่วมมือในการผลิตวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี ในประเทศไทย ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ซึ่งเป็นการพัฒนาการผลิตวัคซีนจากเดิมที่ผลิตเฉพาะระดับปลายน้ำ (downstream production) มาเป็นการผลิตตั้งแต่ระดับต้นน้ำ (upstream production) สำหรับวัคซีนบางตัว ซึ่งเป็นวัคซีนรวม (Combination vaccine) กล่าวคือ วัคซีนหนึ่งเข็มสามารถป้องกันโรคได้ ๔ โรค คือ โรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน และตับอักเสบบี ๑.๒ ให้หน่วยราชการที่จำเป็นต้องใช้วัคซีนในคน จัดซื้อวัคซีนในคนซึ่งผลิตโดยบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด โดยวิธีกรณีพิเศษตามข้อตกลงของกระทรวงสาธารณสุข เป็นเวลา ๑๐ ปี ๑.๓ เงื่อนไขพิเศษต่อโครงการฯ ในการผลิตวัคซีนใด ๆ ในประเทศไทย โดยบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนที่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าหรือไม่ก็ตาม บริษัทต้องนำวัคซีนส่วนประกอบหรือวัคซีนเดี่ยวตัวอื่นที่หน่วยงานภายในประเทศผลิตขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไปผสมสูตรวัคซีนรวม หรือเพื่อการผลิตวัคซีนชนิดอื่นที่บริษัททำการผลิต แทนการนำเข้าวัคซีนชนิดเข้มข้นจากต่างประเทศ เช่น วัคซีนป้องกันโรคไอกรน บาดทะยัก พิษสุนัขบ้า ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โดยให้มีการพิจารณาความเป็นไปได้ทางเทคนิค และการลงทุน ๑.๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขทำสัญญาความร่วมมือในโครงการฯ กับบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ๒. ให้บริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ได้รับสิทธิพิเศษประเภทไม่บังคับตามแนวทางและหลักเกณฑ์การให้สิทธิพิเศษ กล่าวคือ ให้ส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประสงค์จะซื้อวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี ให้สามารถติดต่อซื้อได้โดยตรง โดยวิธีกรณีพิเศษ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่น ซึ่งมีวิธีการทำนองเดียวกันตามระเบียบว่าด้วยพัสดุที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติ ทั้งนี้ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๔ โดยมีเงื่อนไขว่า ภายในสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๐ หากบริษัทยังไม่สามารถผลิตวัคซีนระดับต้นน้ำแทนการนำเข้าวัคซีนชนิดเข้มข้นจากต่างประเทศ ให้ทบทวนการให้สิทธิพิเศษดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งให้บริษัทส่งรายงานผลการดำเนินการเป็นรายปีให้คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจทราบด้วย ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่บริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด เห็นควรให้สิทธิพิเศษเฉพาะวัคซีนที่จะดำเนินการวิจัยในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ หรือเท่าที่จำเป็นต่อความคุ้มทุนเท่านั้น ไม่ควรให้ทั้ง ๗ รายการตามที่บริษัทเสนอขอ ได้แก่ วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด - คางทูม - หัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน รายการที่ ๕ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - ไอกรน - บาดทะยัก - ตับอักเสบบี และวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี และให้บริษัทแสดงแผนการในการรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นรูปธรรม และกำหนดเป้าหมายเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ โดยบริษัทจะต้องใช้วัคซีนที่ผลิตจากต้นน้ำในประเทศครบทั้ง ๔ โรค คือ โรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี โดยมีแผนการลงทุนในการผลิตวัคซีนจากต้นน้ำทั้ง ๔ โรคที่ชัดเจน และให้มีการขยายการผลิตวัคซีนที่มีความจำเป็นตัวอื่น ๆ ที่ประเทศมีความจำเป็นต้องใช้ รวมทั้งพิจารณาขยายตลาดวัคซีนของบริษัทโดยการส่งออก เพื่อลดต้นทุนและคุ้มค่าการลงทุนเร็วขึ้น นอกจากนี้ เห็นควรจัดตั้งคณะกรรมการอิสระ ประกอบด้วยตัวแทนจากทุกภาคส่วน เพื่อพิจารณา ต่อรอง และเจรจาระยะเวลา และประเภทของวัคซีนที่ควรให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่บริษัทร่วมทุน กำหนดราคาที่โปร่งใส เป็นธรรม และสะท้อนราคาวัคซีนในตลาด ตลอดจนประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1139 | การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ The Canada - Asia Regional Emerging Infectious Diseases (CAREID) | สธ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ The Canada - Asia Regional Emerging Infectious Diseases (CAREID) โดยร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ เป็นบันทึกที่แสดงถึงความร่วมมือระหว่างองค์การการสาธารณสุขประเทศแคนาดาและกระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังและการเตรียมความพร้อมรับการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๒. อนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้แทนที่จะเข้าร่วมประชุม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
||||||||||||||||||||||||
| 1140 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2555 - 2557 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพิ่มเติม | สธ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) แผนจัดการฯ ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ ๘ แห่ง ได้แก่ พื้นที่ป่าริมพรมและป่าภูกระแต เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ พื้นที่ป่ากุดตะวัน อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี พื้นที่ป่าชุมชนตำบลแม่ทราย อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดูนลำพัน จังหวัดมหาสารคาม พื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย จังหวัดเลย พื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล จังหวัดลำปาง พื้นที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง จังหวัดสุโขทัย และพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งแต่ละแห่งจะมีการจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยมีแผนการดำเนินงาน ๔ ด้าน ตามที่มาตรา ๕๗ กำหนด ได้แก่ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง การกำหนดวิธีการจัดการเฉพาะในพื้นที่โดยประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและชุมชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิด การสำรวจและศึกษาสมุนไพรแต่ละพื้นที่เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูล และนำไปสู่การจัดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม การกำกับติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผนและกฎหมาย รวมทั้งรวบรวมรายชื่อสมุนไพรที่สำรวจพบในแต่ละพื้นที่ และจำแนกเป็น ๓ กลุ่ม คือ สมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สมุนไพรที่อาจจะสูญพันธุ์ ๑.๒ ขั้นตอนการดำเนินการ ๑.๒.๑ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สนับสนุนการดำเนินงานให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในการสำรวจและศึกษาสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ ประเมินสภาพปัญหาเพื่อประกอบการจัดทำ (ร่าง) แผนจัดการฯ โดยดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาคัดเลือกพื้นที่เป้าหมาย โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์และข้อมูลทางวิชาการ และสถานการณ์สมุนไพรในพื้นที่ที่ได้มาจากการสำรวจศึกษาวิจัยในพื้นที่ที่เริ่มดำเนินงานในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ ๑.๒.๒ สำรวจและศึกษาข้อมูลสมุนไพรและถิ่นกำเนิดเพื่อประเมินสถานภาพของสมุนไพรและความหลากหลายทางชีวภาพ สถานการณ์และปัญหาของพื้นที่ โดยขอนุญาตตามระเบียบ/กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย ๓ ครั้ง/ปี ๑.๒.๓ รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและจัดเวทีประชุมผู้เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่เพื่อจัดทำข้อมูล และ (ร่าง) แผนจัดการฯ ให้สอดคล้องตามมาตรา ๕๗ ๑.๒.๔ นายทะเบียนจังหวัดนำเสนอข้อมูล และ (ร่าง) แผนจัดการฯ ต่อคณะอนุกรรมการอนุรักษ์สมุนไพรและถิ่นกำเนิดเพื่อให้ข้อเสนอแนะ/ให้ความเห็นชอบ และเสนอคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๕ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และชุมชนร่วมเป็นคณะกรรมการฯ หรือคณะทำงานฯ ดำเนินการตามแผนและแนวทาง โดยมีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่เป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่อง และเตรียมการขอจัดตั้งงบประมาณรองรับภารกิจในความรับผิดชอบของส่วนราชการ ตามแผนกำหนด ๒. สำหรับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินการตาม (ร่าง) แผนจัดการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑,๓๘๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นและข้อมูลเพิ่มเติมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการเพิ่มพื้นที่ดำเนินการให้ครอบคลุมบริเวณถิ่นกำเนิดสมุนไพรทั้งในพื้นที่เขตอนุรักษ์และนอกเขตอนุรักษ์ให้ทั่วประเทศ การเพิ่มคณะกรรมการจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (สำนักหอพรรณไม้) ในส่วนของการตรวจสอบรายชื่อพันธุ์พืชสมุนไพร การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายของชุมชนผู้ดูแลรักษาป่า เพื่อไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในการปฏิบัติงาน รวมทั้งมีการประเมินผลการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
.....
