ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 55 จากทั้งหมด 176 หน้า แสดงรายการที่ 1081 - 1100 จากข้อมูลทั้งหมด 3515 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1081 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางศุภลักษณ์ รายยวา) | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางศุภลักษณ์ รายยวา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจักษุวิทยา) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1082 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2556-2558 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ ๑.๑.๑ พื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านทุ่งสูงในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาไม้แก้ว-ควนยิงวัว อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ๑.๑.๒ พื้นที่เขตอนุรักษ์พื้นที่ป่าภูคำบก อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ๑.๑.๓ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าดอยม่อนฤาษี ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ๑.๑.๔ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าชุมชนขุนน้ำวอง ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่อิงฝั่งขวา บ้านม่วงยายเหนือ-ใต้ ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ๑.๑.๕ พื้นที่ป่าตำบลแม่ยวม ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งขวา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๑.๒ แผนงานและแนวทางดำเนินงาน ได้แก่ ๑.๒.๑ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง ๑.๒.๒ การกำหนดวิธีการจัดการเฉพาะในพื้นที่ โดยประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและชุมชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิด ๑.๒.๓ การสำรวจและศึกษาสมุนไพรแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูล และนำไปสู่การจัดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ๑.๒.๔ การกำกับติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผนและกฎหมาย รวมทั้งรวบรวมรายชื่อสมุนไพรที่สำรวจพบในแต่ละพื้นที่ และจำแนกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ สมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สมุนไพรที่อาจจะสูญพันธุ์ ๑.๓ งบประมาณที่ใช้ตามแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ จำนวน ๕ แห่ง รวมวงเงินทั้งสิ้น ๗,๙๘๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มพื้นที่การสำรวจในเขต ๓ จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายและระบุขอบเขตที่ชัดเจนที่จะประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดสมุนไพร การตรวจสอบรายชื่อชนิดของสมุนไพรทั้งชื่อพื้นเมืองและชื่อวิทยาศาสตร์ให้ถูกต้องสมบูรณ์โดยระบุทั้งชื่อพื้นเมืองควบคู่ไปกับชื่อวิทยาศาสตร์ การติดตามผลในพื้นที่ที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดของสมุนไพรเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนว่ามีชนิดและความหนาแน่นของสมุนไพรมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร การวางแผนระยะยาวหลังจากที่โครงการสิ้นสุดจะให้หน่วยงาน/องค์กร/ชุมชนใด เป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบต่อไป การคัดเลือกพื้นที่สำรวจและศึกษาวิจัยโดยนำหลักการจำแนกพื้นที่ตามลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าตามกฎหมายมาร่วมกำหนดพื้นที่เป้าหมาย การให้บุคลากรภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาวิจัยเพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่ภาคการศึกษา รวมทั้งมีกลไกในการเพิ่มสมรรถนะและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เครือข่ายภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ให้สามารถร่วมกันวางแนวทางที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการดำเนินงานตามแผนฯ นอกจากนี้ ควรเพิ่มแนวทางการส่งเสริมการใช้สมุนไพรที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศ และมีการรณรงค์เผยแพร่สรรพคุณของสมุนไพรไทยเพื่อนำไปสู่การคุ้มครองและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1083 | แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555 - 2559 | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพในการสร้างสุขภาพ ตลอดจนการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้สังคม ประชาชน มีความตื่นตัว และให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพให้เป็นวัฒนธรรมของประชาชน การได้มาซึ่งสุขภาวะที่ดี ประชาชนต้องร่วมสร้างบนพื้นฐานศักยภาพที่เพียงพอ และเพื่อเสริมสร้างการทำงานด้านสุขภาพระหว่างภาคีต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น รวมถึงภาคีเครือข่ายสุขภาพระหว่างประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ภูมิปัญญาไทยมีบทบาทและเป็นทางเลือกในระบบสุขภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย และการจัดการภัยพิบัติ อุบัติเหตุและภัยสุขภาพ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการเตรียมการ มีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่ทำให้ประชาชนวางใจ และเมื่อเกิดภัยพิบัติสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม ทันการณ์ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ควบคุมโรค และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อให้คนไทยแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนที่เป็นรากฐานของปัญหาภาระโรคที่สำคัญในปัจจุบัน และเพื่อให้มีการลงทุนและดำเนินกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้นในระดับที่เพียงพอ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ เสริมสร้างระบบบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในทุกกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาระบบส่งต่อที่ไร้รอยต่อ เพื่อสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการมีความสุขและผู้รับบริการมีความพึงพอใจ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างกลไกกลางระดับชาติในการดูแลระบบบริการสุขภาพ และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นเอกภาพ อันจะส่งผลให้มีความมั่นคง ยั่งยืนของระบบสุขภาพ และเพื่อกำหนดนโยบาย แนวทาง และพัฒนาสิ่งสนับสนุนระบบบริการที่เพียงพอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพและการรักษาพยาบาลเบื้องต้นพร้อมสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงการกระจายของกำลังคนระหว่างพื้นที่ในเขตเมืองและเขตชนบทให้มีความสมดุล การจัดทำแผนในเชิงลึกสำหรับประเด็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพของประเทศ การกระจายอำนาจทางด้านสาธารณสุข และการบริหารจัดการกำลังด้านสุขภาพ แทนการทำแผนในเชิงกว้างที่เน้นความครอบคลุมเป้าหมายทางด้านสุขภาพในทุกมิติ และการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายที่ต้องพิจารณาความจำกัดของทรัพยากร โดยคำนึงถึงผลกระทบจากทุกมาตรการในยุทธศาสตร์ต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของสถานพยาบาล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและการจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) ๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขวางยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานด้วยการเร่งพัฒนาศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาลเฉพาะทางให้คลอบคลุมทุกภูมิภาคซึ่งประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากการได้รับบริการที่ทั่วถึงและมีมาตรฐานสูงในระดับสากลและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1084 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายทรงยศ ชัยชนะ และนายอำนวย กาจีนะ) | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายทรงยศ ชัยชนะ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายอำนวย กาจีนะ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1085 | รายงานประจำปี 2554 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) | สธ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาพรวมผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมในระบบประกันสุขภาพ ยุทธศาสตร์การพัฒนานโยบายสุขภาพที่ส่งเสริมความเป็นธรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบอภิบาลสุขภาพ และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ ๒. ภูมิหลังและข้อมูลพื้นฐาน ประกอบด้วย ความเป็นมา วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง สวรส. โครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการความรู้ แผนยุทธศาสตร์ของ สวรส. พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๘ และรายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณจาก สวรส. ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ๓. ผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เชิงวิธีการ ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างและจัดการความรู้ผ่านการบริหารทุนที่มีในระบบวิจัยสุขภาพ การสร้างและจัดการความรู้ผ่านการขยายทุนการวิจัยระบบสุขภาพ การจัดการความรู้เพื่อสนับสนุนการพัฒนานโยบาย และการเสริมสร้างศักยภาพของระบบวิจัยสุขภาพ ๔. รายงานทางการเงิน ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1086 | การป้องกัน ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012 | สธ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๒ และขอความร่วมมือจากกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการร่วมเฝ้าระวัง การป้องกัน ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งมีผลการดำเนินงาน ดังนี้
๑. แจ้งเตือนภัยแก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกกระทรวงสาธารณสุขผ่านทางระบบข่าวกรองโรคติดต่ออุบัติใหม่ ๒. ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์และสื่อมวลชน เพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้ที่จะเดินทางไปหรือกลับจากต่างประเทศ ๓. ประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย องค์การอนามัยโลก ศูนย์ป้องกันควบคุมโรคแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา และกำหนดมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาและทางห้องปฏิบัติการ ตลอดจนการดูแลรักษาพยาบาล โดยจะประสานกับกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. กำหนดมาตรการและยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อม ดังนี้ ๔.๑ จัดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ ได้แก่ ระดับ ๑ มีการระบาดในประเทศอื่น แต่ยังไม่มีผู้ป่วยในประเทศไทย ระดับ ๒ มีผู้ป่วยในประเทศไทย แต่ไม่แพร่ระบาดหรือยังอยู่ในวงจำกัด ระดับ ๓ มีการแพร่ระบาดวงกว้างหลายพื้นที่ และมีอัตราป่วย อัตราตายใกล้เคียงโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ และระดับ ๔ มีการแพร่ระบาดในวงกว้าง พบผู้ป่วยอาการรุนแรงมาก เสียชีวิตมาก ๔.๒ ดำเนินการเฝ้าระวังโรคตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ โดยเน้นการเฝ้าระวังในกลุ่มผู้ป่วยที่อาการปอดอักเสบที่เดินทางมาจากประเทศทางแถบตะวันออกกลางที่เข้ามาในประเทศไทย โดยการประสานความร่วมมือจากสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ๔.๓ ดำเนินการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการ ๔.๔ แจ้งแนวทางการรักษาพยาบาล และการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษในระดับสูงสุด เช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติมาแล้วในการป้องกันโรคซาร์ส และจัดระบบการส่งต่อหากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ๔.๕ เตรียมการให้คำแนะนำการปฏิบัติตนแก่ผู้ที่จะเดินทางไปและกลับจากการไปแสวงบุญพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย และประสานการเตรียมความพร้อมร่วมกับทีมแพทย์ประจำคณะที่จะต้องเดินทางไปดูแลผู้แสวงบุญที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ๔.๖ ให้มีการสื่อสารความเสี่ยง โดยการประสานด้านเทคนิควิชาการเพื่อจัดทำประเด็นการสื่อสารให้มีความสอดคล้องกัน และปรับข้อมูลให้ทันสถานการณ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1087 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายสกล ภูมิรัตนประพิณ) | สธ | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสกล ภูมิรัตนประพิณ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสมุทรสาคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1088 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางวิไล บัณฑิตานุกูล) | สธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางวิไล บัณฑิตานุกูล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1089 | มาตรการบังคับให้เกลือบริโภค (โซเดียมคลอไรด์) เสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ | สธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการบังคับให้เกลือบริโภค (โซเดียมคลอไรด์) เสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ เพื่อให้ประชาชนได้รับเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนถ้วนหน้า โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปเร่งดำเนินการศึกษาทางวิชาการและผลกระทบที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ แล้วรายงานความก้าวหน้าผลการศึกษาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ เดือน ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบังคับให้เกลือเสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำจากเนื้อสัตว์ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจทำให้กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยที่ขาดสารไอโอดีนไม่สามารถเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ จึงเห็นควรเป็นนโยบายที่เสริมไอโอดีนให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ขาดเป็นการเฉพาะเจาะจง (Targeted Approach) เนื่องจากแนวทางนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด มีประสิทธิภาพ และมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้นโยบายเกลือเสริมไอโอดีนถ้วนหน้า (Universal Salt Iodization ; USI) นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคไอโอดีนแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอและเหมาะสมในแต่ละวัน โดยส่งเสริมให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีบทบาทเชิงรุกร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในการรณรงค์เกี่ยวกับการบริโภคเกลือไอโอดีนในชุมชนในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับประชาชนแต่ละกลุ่มวัย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1090 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (จำนวน 8 ราย 1. นายสุพรรณ ศรีธรรมมา ฯลฯ) | สธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๘ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายสุพรรณ ศรีธรรมมา ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายบุญชัย สมบูรณ์สุข ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ๓. นายอภิชัย มงคล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสมชัย นิจพานิช ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ๕. นายวชิระ เพ็งจันทร์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสุขภาพจิต ๖. นายเจษฎา โชคดำรงสุข ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมอนามัย ๗. นาวาอากาศตรี บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ๘. นายชาญวิทย์ ทระเทพ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1091 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายประสงค์ วิทยถาวรวงศ์) | สธ | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายประสงค์ วิทยถาวรวงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาการในตำแหน่งดังกล่าว (ไม่ก่อนวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1092 | การดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน 2554 - 2563 | สธ | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงคมนาคม (สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร/กรมการขนส่งทางบก) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเน้นย้ำมาตรการที่ดำเนินงานผ่านมา และร่วมหารือเพื่อบูรณาการงานที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคตต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเน้นปัจจัยเสี่ยงหลักที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ๔ ประเด็น ดังนี้
๑. ประเด็นการสวมหมวกนิรภัย ได้แก่ การขยายปีรณรงค์สวมหมวกนิรภัย ๑๐๐% ไปถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยตั้งเป้าให้สวมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ต่อปี การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย และรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๒. ประเด็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการดื่มแล้วขับ ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันการแก้ไขกฎหมายกรณีผู้ขับขี่ที่ปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ให้สันนิษฐานว่าเมา การผลักดันการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมในเรื่องการห้ามดื่มหรือขายบนทางสาธารณะ การผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนมีการรับรู้และตระหนักถึงความสูญเสียจากการเมาแล้วขับ ๓. ประเด็นการขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันให้ อปท. สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องมือตรวจจับความเร็ว และการศึกษาและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการควบคุมความเร็วรถตู้สาธารณะ ๔. ประเด็นการใช้เข็มขัดนิรภัย ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปรับปรุง แก้ไข กฎ ระเบียบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น ให้มีกฎหมายบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยในผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังของรถ และให้มีการบังคับติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่ง ให้มีการใช้เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1093 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 11 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต หัวข้อหลักของการประชุม คือ “ประชาคมอาเซียน : โอกาสและความท้าทายต่อสุขภาพ (ASEAN Community 2015 : Opportunities and Challenges to Health)" ประกอบด้วยการประชุม ๒ ระดับ ดังนี้
๑. การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส เพื่อรายงานความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ นับจากการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนครั้งผ่านมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้งการเตรียมการเพื่อเสนอประเด็นสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีในครั้งนี้ ๒. การประชุมระดับรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาและหารือประเด็นสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย ๒.๑ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ อย่างไม่เป็นทางการ (11th AHMM Retreat) เกี่ยวกับเรื่อง โรคไม่ติดต่อ (Non -Communicable Diseases : NCD) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนได้แลกเปลี่ยนความเห็นและหารือกันเกี่ยวกับเรื่อง การควบคุมการบริโภคยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ๒.๒ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ (11th ASEAN Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนเห็นชอบให้มีการจัดการประเด็นด้านสาธารณสุขที่เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะภาระจากโรคไม่ติดต่อที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของการบริโภคยาสูบ ความพยายามในการป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ และการเตรียมความพร้อมเพื่อการรองรับภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ASEAN network on UHC) และสนับสนุนให้เครือข่ายการฝึกอบรมนักระบาดวิทยาของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three FETN) ใช้ Minimum Standards on Joint Multi-sectoral Outbreak Investigation and Response (MS JMOIR) ในการศึกษาและสำรวจร่วมกัน โดยส่งเสริมให้มีการดำเนินงานร่วมกับองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation : IHR) ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ ๒.๓ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๕ (5th ASEAN Plus Three Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามได้ร่วมกันหารือ Roundtable discussion หัวข้อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage : UHC) โดยส่งเสริมให้มีการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในการลดความยากจนและให้มีการเข้าถึงการบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนบวกสามด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ASEAN Plus Three network on UHC) และส่งเสริมให้มีความร่วมมือในสาขาการแพทย์พื้นบ้าน อนามัยแม่และเด็ก และโรคติดต่อทั่วไปและโรคติดต่ออุบัติใหม่ เช่น การริเริ่มเครือข่ายการฝึกอบรมนักระบาดวิทยา (FETN) การสื่อสารความเสี่ยง (Risk Communication) ความร่วมมือด้านห้องทดลอง (Partnership Laboratories) เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๕ ๒.๔ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๔ (4th ASEAN-China Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีนได้ร่วมกันหารือ Roundtable discussion หัวข้อการควบคุมการบริโภคยาสูบ (Tobacco Control) โดยส่งเสริมให้มีความร่วมมือในสาขาโรคติดต่อทั่วไปและโรคติดต่ออุบัติใหม่ ได้แก่ โรคมาลาเรีย โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคเอดส์ การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย ความร่วมมือในสาขาการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ กลไกเพื่อสนองตอบต่อภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และศักยภาพในการบรรเทาผลกระทบสุขภาพที่เกิดจากภัยธรรมชาติ การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ความปลอดภัยด้านอาหาร และระบบการเตือนภัยฉุกเฉิน การพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุข การพัฒนาการแพทย์ดั้งเดิม และการพัฒนาเภสัชกรรมและวัคซีน โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน-จีนจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๔ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม และเมียนมาร์ รวมทั้งประเทศเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประมาณสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ เมืองดาลัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1094 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์) | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1095 | แผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. 2556-2559) | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดการป่วย การตาย และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ซึ่งประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ๒๕ กลยุทธ์ ๑๖๐ มาตรการ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน รักษา และควบคุมโรคภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์ ๔๒ มาตรการ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การจัดการระบบการเลี้ยง และสุขภาพสัตว์และสัตว์ป่า ให้ปลอดโรค ประกอบด้วย ๘ กลยุทธ์ ๓๔ มาตรการ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ พัฒนาระบบจัดการความรู้ และส่งเสริมการวิจัยพัฒนา ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ๒๐ มาตรการ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารจัดการเชิงบูรณาการและเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ๓๖ มาตรการ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ความเสี่ยงของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์ ๒๘ มาตรการ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และรูปแบบการบริหารจัดการแบบ Single Command โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งจัดทำกรอบเวลาในการดำเนินการและงบประมาณให้มีความชัดเจนเพื่อเป็นการผลักดันให้แผนยุทธศาสตร์ฯ สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกำหนดมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ตามแนวชายแดนเพื่อมิให้มีการนำโรคติดต่อมาจากประเทศเพื่อนบ้าน การพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างรายละเอียดของแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ฯ มีความเข้มแข็งขึ้น การระบุความเสี่ยงของการเกิดโรคอุบัติใหม่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการและกำหนดมาตรการป้องกันได้อย่างทันท่วงที การสร้างเครือข่ายการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อจากภายนอกเข้ามาสู่ในประเทศ การกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละยุทธศาสตร์โดยระบุค่าเป้าหมายและระดับความสำเร็จที่มุ่งหวังให้ชัดเจน และกำหนดตัวชี้วัดร่วมในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการกำหนดระดับผลสัมฤทธิ์และก่อให้เกิดการบูรณาการการดำเนินงานอย่างแท้จริง รวมทั้งควรเน้นให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการจัดทำแผนประคองกิจการ (Bussiness Continuity Plan : BCP) ในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานมีแผนเตรียมความพร้อมและแนวทางการเผชิญเหตุที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1096 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โดยใช้เงินบำรุงโรงพยาบาลระยองสมทบและขอขยายระยะเวลาก่อสร้าง รายการก่อสร้างอาคารบริการ 12 ชั้น โรงพยาบาลระยอง | สธ | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารบริการ ๑๒ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒๔,๐๖๖ ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคารโรงพยาบาลระยอง จังหวัดระยอง ๑ หลัง โดยใช้จ่ายจากเงินบำรุงของโรงพยาบาลระยองเป็นค่างานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตามอัตราค่าจ้างหรือราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา จำนวน ๑๖๗,๓๓๑,๐๐๐ บาท สมทบกับวงเงินค่าก่อสร้างตามสัญญาเดิม ซึ่งผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ - พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๔๙๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น จำนวน ๖๖๖,๘๓๑,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ และข้อ ๑๑ ของระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเงินบำรุงของหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔ สำหรับการขยายระยะเวลาการก่อสร้างเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม ๔๕๐ วัน ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1097 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารรักษาพยาบาล (โรงพยาบาลขนาด 400 เตียง) โรงพยาบาลนครนายก จังหวัดนครนายก | สธ | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารรักษาพยาบาล (โรงพยาบาล ขนาด ๔๐๐ เตียง) เป็นอาคาร คสล. ๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๕,๗๗๔ ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร โรงพยาบาลนครนายก จังหวัดนครนายก ๑ หลัง ในวงเงิน ๗,๖๗๗,๖๐๐ บาท เพื่อสมทบกับวงเงินค่าก่อสร้างที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว จำนวน ๙๗,๙๙๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑๐๕,๖๖๗,๖๐๐ บาท สำหรับวงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอขอตั้งงบประมาณไว้แล้ว และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1098 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2555-2557 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพิ่มเติม | สธ | 14/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงาน ได้แก่ การจัดทำแผนงาน/โครงการฯ ของจังหวัด รองรับการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายงบประมาณ การจัดตั้ง/ประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัด การจัดทำทะเบียนข้อมูลสมุนไพร ๓ กลุ่ม (กลุ่มที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ กลุ่มที่มีค่าต่อการศึกษาวิจัย และกลุ่มที่อาจจะสูญพันธุ์) จำแนกแต่ละพื้นที่ การประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/ชุมชน/เครือข่าย ในการดำเนินงานตามแผนฯ เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิชาการ อนุรักษ์ เสริมสร้างความรู้ตามมาตรการ/กิจกรรมแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดเพื่อการใช้ประโยชน์ และกำหนดแผนติดตาม/ประเมินผลการดำเนินงานปีแรกของแผนงานฯ ภายหลังสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ปัญหาอุปสรรค ได้แก่ ข้อจำกัดด้านกฎหมาย ระเบียบในการอนุญาตเข้าไปในพื้นที่ บุคลากรในการปกป้องหรือป้องปรามและลาดตระเวนพื้นที่มีจำนวนจำกัด การสนับสนุนงบประมาณตามแผนฯ แต่ละพื้นที่ยังไม่เพียงพอ ตลอดจนภาคส่วนต่าง ๆ ยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว ๓. ข้อเสนอแนะ แนวทางการดำเนินงานและการพัฒนา ได้แก่ การบูรณาการความร่วมมือทั้งทางวิชาการ กฎหมาย จากทุกภาคส่วน/ทุกระดับ โดยให้ส่วนราชการ/หน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับภารกิจ/กิจกรรมตามแผน พร้อมจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับการดำเนินงานบูรณาการ การสนับสนุนและผลักดันในเชิงนโยบายของผู้บริหาร การจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบในการทำงาน/การปฏิบัติงานร่วมกันทุกระดับ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีการสำรวจและศึกษาสมุนไพรเพิ่มเติมในพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ รวมทั้งสนับสนุนการจัดทำระบบฐานข้อมูลทางภูมิศาสตร์เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงทางวิชาการและการต่อสู้เชิงกฎหมายในอนาคต ๔. แผนงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ การสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่โดยเน้นพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์เพื่อขยายโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับการขอขึ้นทะเบียนที่ดินเอกชน และนำที่ดินดังกล่าวมาขอรับการช่วยเหลือหรือสนับสนุนเกี่ยวกับการปลูก พัฒนา ส่งเสริมสมุนไพรตามเกณฑ์กำหนดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1099 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขึ้นทะเบียนตำรับยา พ.ศ. .... | สธ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขึ้นทะเบียนตำรับยา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๒๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ และให้กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ๒. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตยาหรือผู้รับอนุญาตนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยาพร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐานตามที่กำหนด กำหนดหลักเกณฑ์การขอรับใบแทนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนตำรับยา และแบบคำขอและใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา ๓. กำหนดสถานที่ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือวิธีการอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๔ กำหนดหลักเกณฑ์การออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา และเงื่อนไขการกำหนดภาระหน้าที่หรือยอมรับภาระหน้าที่หรือความรับผิดชอบบางประการเท่าที่จำเป็นเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคต่อผู้รับอนุญาตผลิตยาหรือผู้รับอนุญาตนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร ๕ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับคำขอที่ยื่นก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 1100 | มาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก | สธ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อขอความร่วมมือให้สถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั้งในกำกับและนอกกำกับกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามมาตรการฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ไม่ควรส่งเสริมหรืออนุญาตให้มีกิจกรรมด้านการขายและการตลาดทุกด้านเพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารทดแทนนมแม่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ขวดนม จุกนม ไม่ควรแสดงผลิตภัณฑ์และสื่อที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ยกเว้นสื่อที่ได้รับอนุญาต ๑.๒ ไม่ควรมีการสาธิต หรืออนุญาตให้มีการสาธิตการใช้นมดัดแปลงสำหรับทารกและอาหารทารก โดยบริษัทฯ ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย ในสถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ๑.๓ ไม่ควรรับบริจาค หรือรับการสนับสนุนใด ๆ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ภายใต้หลักเกณฑ์นี้ รวมทั้งการใช้เครื่องมือสิ่งของอื่น ๆ ที่ใส่ชื่อ เครื่องหมายบริษัทฯ หรือสื่อใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นี้หรือบริษัทผู้ผลิตที่สื่อความหมายถึงผลิตภัณฑ์ภายใต้หลักเกณฑ์นี้ ๑.๔ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขควรปกป้องส่งเสริม สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และไม่ควรเป็นตัวแทนของผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายอาหารทดแทนนมแม่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการฯ ตามข้อ ๑.๓ “ไม่ควรรับบริจาค หรือรับการสนับสนุนใด ๆ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ภายใต้หลักเกณฑ์นี้ ...” เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มแม่ที่ยากจนที่มีปัญหาสุขภาพติดเชื้อเอชไอวี และมีน้ำนมน้อย รวมทั้งกลุ่มครัวเรือนข้ามรุ่น (skip generation household) ที่เด็กอยู่กับผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับมาตรการจูงใจและรณรงค์ส่งเสริมการให้ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องความสำคัญของนมแม่ อาหารสำหรับทารก และการเตรียมความพร้อมของพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็ก ผ่านสื่อและช่องทางต่าง ๆ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และควรสนับสนุนแม่ผู้สมัครใจเข้าโครงการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย ๖ เดือนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นต้นแบบในชุมชนและเพื่อให้นโยบายการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และข้อสังเกตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการฯ ตามข้อ ๑.๑ “ไม่ควรส่งเสริมหรืออนุญาตให้มีกิจกรรมด้านการขายและการตลาดทุกด้าน ...” อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินการทางธุรกิจของผลิตภัณฑ์ทดแทนนมแม่ที่มีคุณภาพและมีคุณประโยชน์ ซึ่งส่งผลต่อการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แก่ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เช่น กรณีที่มารดาไม่สามารถให้นมแก่บุตรได้ และมาตรการฯ ตามข้อ ๑.๓ “ไม่ควรรับบริจาค หรือรับการสนับสนุนใด ๆ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ภายใต้หลักเกณฑ์นี้ ...” หากไม่มีการสนับสนุน หรือให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ทดแทนนมแม่อย่างเพียงพอ อาจจะส่งผลกระทบต่อทารกและเด็กเล็กที่ไม่สามารถดื่มนมจากแม่ได้ และมีความจำเป็นที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
