ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 56 จากทั้งหมด 176 หน้า แสดงรายการที่ 1101 - 1120 จากข้อมูลทั้งหมด 3515 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1101 | ร่างพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. .... | สธ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ กำหนดบทนิยามเพิ่มเติม อาทิ เชื้อจุลินทรีย์ สารชีวภาพ เป็นต้น ๑.๓ กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยและอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อสาธารณชน ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ผู้แทนนักวิชาการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ผู้แทนผู้รับอนุญาตหรือจดแจ้ง และผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง องค์ประชุม และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้จัดตั้ง “สำนักงานกำกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์” ขึ้นในกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๖ กำหนดกระบวนการการขออนุญาตและการจดแจ้งซึ่งการผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ การออกใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง ประเภทของใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง การแก้ไขรายการในใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง อายุและการต่ออายุใบอนุญาตและใบรับจดแจ้ง และการขอรับใบแทนใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง ๑.๗ กำหนดให้ผู้รับอนุญาต ผู้จดแจ้ง ผู้ดำเนินการ และผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ มีหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๘ กำหนดให้ผู้อนุญาตมีอำนาจในการควบคุมเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ตามที่กำหนด ๑.๙ กำหนดกระบวนการเลิกกิจการและการโอนกิจการที่เกี่ยวกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง การสั่งยกเลิกคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง และการที่ผู้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้งจะขายเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ๑.๑๑ กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีระดับการใช้อำนาจตามที่กำหนด ๑.๑๒ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอุทธรณ์การไม่ออกใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง การไม่ต่ออายุใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง และการพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาตหรือใบรับจดแจ้ง ๑.๑๓ กำหนดความรับผิดทางแพ่ง และบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ซึ่งมีโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ๑.๑๔ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับคณะกรรมการ ใบอนุญาต คำขออนุญาต ตลอดจนบรรดากฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการปรับแก้ไขในส่วนของคณะกรรมการ การขออนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอจดแจ้งและการออกใบจดแจ้ง รวมทั้งบทกำหนดโทษ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานกำกับเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีฐานะเป็นกองหรือเทียบกอง สามารถกำหนดได้โดยกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และในการจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวจะต้องไม่เป็นเหตุให้ขอเพิ่มอัตรากำลัง ซึ่งจะมีผลกระทบต่องบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลภาครัฐ รวมทั้งควรดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่ได้มีมติเห็นชอบในหลักการว่า “ไม่ควรมีข้อกำหนดในรายละเอียดให้มีการจัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่ในการร่างกฎหมายเพื่อใช้บังคับกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด” และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ที่กำหนดให้การจัดตั้งส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรมจะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่องกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1102 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการในการควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. .... | สธ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการในการควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการในการควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๑.๒ กำหนดเพิ่มเติมให้สถานประกอบกิจการประเภทที่มีการประกอบกิจการเกี่ยวกับการใช้รังสีต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น และกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย ๑.๓ กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีสภาพในลักษณะที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์ อันมีผลกระทบอย่างกว้างขวางหรือรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนต้องปฏิบัติตามที่ประกาศกำหนด ๑.๔ แก้ไขหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสถานที่ตั้ง และการสุขาภิบาลของสถานประกอบกิจการ ๑.๕ แก้ไขเพิ่มเติมให้สถานประกอบกิจการต้องมีมาตรการความปลอดภัยในการป้องกันวัตถุอันตราย อุบัติเหตุ จากสารเคมีและวัตถุอันตรายในการทำงาน อาชีวอนามัย และการป้องกันเหตุรำคาญ ๑.๖ กำหนดบทเฉพาะกาลให้นำมาตรการในการควบคุมสถานประกอบการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับจนกว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามกฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และให้สถานประกอบกิจการที่ตั้งขึ้นก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับต้องแก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้ ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงแรงงานไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ หมวด ๑ สถานที่ตั้ง ลักษณะอาคาร และการสุขาภิบาล ข้อ ๙ และข้อ ๑๐ ควรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการน้ำเสียที่เกิดจากการชำระล้างในกรณีที่เปรอะเปื้อนสารเคมี และน้ำเสียที่เกิดจากการทำความสะอาดภาชนะรองรับมูลฝอย ๒.๒ หมวด ๒ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และการป้องกันเหตุรำคาญ ข้อ ๑๘ (๑) ควรระบุความถี่ในการจัดการฝึกอบรมการดับเพลิงเบื้องต้น ๒.๓ ร่างข้อ ๑๘ (๑) เนื้อหาตอนท้าย ที่กำหนดว่า “...และมีการฝึกอบรมการดับเพลิงเบื้องต้นจากหน่วยงานราชการที่กำหนดหรือยอมรับให้แก่ผู้ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่าร้อยละสี่สิบของจำนวนคนงานในสถานประกอบกิจการนั้น” ปรับแก้เป็น “และมีการฝึกอบรมการดับเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” ๒.๔ ร่างข้อ ๒๒ เกี่ยวกับการกำหนดให้สถานประกอบกิจการต้องจัดให้มีการตรวจสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน โดยในกรณีมีเหตุอันสมควรให้อำนาจรัฐมนตรีประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในการตรวจสุขภาพเพื่อคุ้มครองสุขภาพผู้ปฏิบัติงานได้นั้น เนื่องจากกระทรวงแรงงานได้มีกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสุขภาพของลูกจ้างและส่งผลการตรวจแก่พนักงานตรวจแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยกำหนดให้มีการตรวจสุขภาพของลูกจ้างที่ทำงานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงไว้แล้ว หากมีการออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในการตรวจสุขภาพเพื่อคุ้มครองสุขภาพผู้ปฏิบัติงาน ควรคำนึงถึงความซ้ำซ้อนในกรณีนี้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1103 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางวไลพร เอื้อนนทัช) | สธ | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางวไลพร เอื้อนนทัช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1104 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่ของผู้รับอนุญาตเกี่ยวกับเภสัชเคมีภัณฑ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ พ.ศ. .... | สธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่ของผู้รับอนุญาตเกี่ยวกับเภสัชเคมีภัณฑ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่ของผู้รับอนุญาตนำหรือสั่งยาแผนปัจจุบันเข้ามาในราชอาณาจักรปฏิบัติเกี่ยวกับเภสัชเคมีภัณฑ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ๒. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิต นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาแผนปัจจุบัน จดแจ้งรายการเภสัชเคมีภัณฑ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ซึ่งตนผลิตหรือนำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา และให้นำเข้ามาได้เฉพาะด่านนำเข้าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นด่านนำเข้ายาที่เป็นเภสัชเคมีภัณฑ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ ๓. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิต ขาย นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาแผนปัจจุบันต้องปฏิบัติเกี่ยวกับเภสัชเคมีภัณฑ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ๔. กำหนดให้การส่งคืนเภสัชเคมีภัณฑ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ไม่มีคุณภาพและมาตรฐานตามที่จดแจ้ง ให้ผู้รับอนุญาตผลิต นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาแผนปัจจุบันที่ได้จดแจ้งรายการเภสัชเคมีภัณฑ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
|
||||||||||||||||||||||||
| 1105 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายสุรชัย สราญฤทธิชัย) | สธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสุรชัย สราญฤทธิชัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1106 | รายงานสถานการณ์และความคืบหน้าการป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก | สธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์และความคืบหน้าการป้องกัน ควบคุมโรคมือ เท้า ปากชนิดรุนแรงในเด็ก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก ๑.๑.๑ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่าตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม - ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ทั่วประเทศ รวม ๑๔,๔๕๒ ราย ในจำนวนนี้พบผู้ป่วยสงสัยเป็นโรคมือ เท้า ปาก ที่มีอาการรุนแรงอยู่หลายราย บางรายเสียชีวิตแล้ว จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ จังหวัดพะเยา เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และระยอง ส่วนสถานการณ์โรคมือ เท้า ปาก ในสถานศึกษา พบผู้ป่วยในโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษาในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยหลายโรงเรียนได้ดำเนินการปิดเรียน เพื่อทำความสะอาดและลดการแพร่กระจายเชื้อแล้ว ๑.๑.๒ ข้อมูลจากการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการในประเทศไทย ยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อและสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อความรุนแรงผิดปกติ ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงของอาการกับสายพันธุ์ย่อยที่ตรวจพบ นอกจากนี้ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่าตลอดช่วง ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์มีอัตราแพร่ระบาดที่ลดลง โดยพิจารณาจากจำนวนผู้ป่วยเมื่อเทียบในช่วงแรกของการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าแนวโน้มของโรคจะยังคงมีการระบาดต่อไปอีกประมาณ ๖ สัปดาห์ ๑.๒ ความคืบหน้าการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทย ๑.๒.๑ เร่งรัดและดำเนินมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคมือ เท้า ปาก อย่างใกล้ชิด โดยมีทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (Surveillance Rapid Response Team : SRRT) ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมงทั่วประเทศมากกว่า ๑,๐๐๐ ทีม ๑.๒.๒ ให้ดำเนินงานที่เข้มข้นใน ๒ มาตรการ คือ มาตรการที่ ๑ ควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโดยเร็วที่สุด โดยประสานงานกับโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษา และศูนย์เด็กเล็กที่อยู่ในพื้นที่เน้นเรื่องการทำความสะอาดป้องกันการแพร่เชื้อ หากพบเด็กป่วยขอให้หยุดเรียนและกลับไปพักที่บ้าน ให้เด็กหมั่นล้างมือ กินอาหารที่สุกและร้อน และมาตรการที่ ๒ ดูแลรักษาผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยเน้นย้ำผู้ปกครองทุกคน หากพบเด็กมีไข้สูง ๒ วัน ซึมลงหรืออาเจียน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ๑.๒.๓ กำชับแพทย์ในสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ให้ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของโรค โดยให้รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่มีตุ่มขึ้นที่ปาก หรือฝ่ามือ ฝ่าเท้า ๑.๒.๔ ทำการประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางเพื่อให้ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก แก่ประชาชน เช่น เปิดสายด่วน ๑๔๒๒ ของกรมควบคุมโรคติดต่อตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๑.๒.๕ ให้จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากกว่า ๑๐ รายต่อวัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (war room) ซึ่งทุกจังหวัดได้ดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ และมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการดังกล่าวแล้วหลายจังหวัด ๑.๒.๖ ประชุมผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย เพื่อทบทวนมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยเน้นการเฝ้าระวังโรค การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การวินิจฉัยและดูแลรักษาพยาบาล การป้องกันควบคุมโรค และการสื่อสารความเสี่ยง เป็นต้น ๑.๒.๗ กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมรณรงค์ “ร่วมเฝ้าระวังและขจัดโรคมือ เท้า ปาก” โดยมีการมอบคู่มือและชุดอุปกรณ์ป้องกันโรคมือ เท้า ปากให้กับโรงเรียนนำไปทำความสะอาด เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยรณรงค์ทำความสะอาด “Big cleaning day” ในสถานศึกษาทั่วประเทศ เพื่อป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ติดตามดูแลบุคคลในครอบครัวของเด็กที่เสียชีวิตไปแล้วและอยู่ระหว่างการตรวจวินิจฉัยสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเพื่อควบคุมสถานการณ์ของโรคไม่ให้แพร่กระจายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขให้ทั่วถึงในทุกพื้นที่ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 1107 | การป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก | สธ | 17/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระบาด การป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก และให้กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรค มือ เท้า ปาก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การระบาดของโรค มือ เท้า ปาก ในเด็ก จากเชื้อไวรัสเอนเทอโร ๗๑ (Enterovirus 71) ที่มีอาการรุนแรง ในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศกัมพูชา โดยตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยเด็กทั้งสิ้น ๖๑ ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต ๕๔ ราย โดยอายุของผู้ป่วยอยู่ในช่วง ๓ เดือน ถึง ๑๑ ปี และส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กอายุน้อยกว่า ๓ ปี ซึ่งทางการกัมพูชาได้มีมาตรการเฝ้าระวังโรค ป้องกัน โดยเน้นสุขอนามัยและการดูแลเด็กเล็ก สำหรับสถานการณ์ของโรคมือ เท้า ปาก ในประเทศไทย จากข้อมูลการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม - ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ทั่วประเทศรวม ๑๒,๕๘๑ ราย อัตราป่วย ๑๙.๘ ต่อประชากรแสนคน ยังไม่พบผู้เสียชีวิต ในขณะนี้พบผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการรุนแรง จำนวน ๑ ราย ในจังหวัดน่าน และยังมีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่กำลังรอผลการตรวจยืนยันโรคอีกหลายราย ๑.๒ โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอนเทอโร ซึ่งมีหลายชนิด โดยทั่วไปมีอาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยมีไข้ต่ำ ๆ เกิดตุ่มพอง และแผลเล็ก ๆ ในปาก คอ มีตุ่มที่มือ เท้า และบริเวณก้น แต่เชื้อไวรัสบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น อาการทางระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท สมองอักเสบหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โรคนี้ติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ หรือตุ่มพองและแผลของผู้ป่วย รวมทั้งการติดต่อทางน้ำหรืออาหาร เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคในวงกว้าง และการเสียชีวิตของผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ดำเนินมาตรการป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ได้แก่ การเร่งรัดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคมือ เท้า ปาก การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก แก่ประชาชน โดยเน้นการรักษาสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ หากมีผู้ป่วยสงสัยมือ เท้า ปากที่มีไข้สูง ซึม ชัก หายใจหอบเหนื่อย ให้รีบพาไปพบแพทย์ และให้จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากกว่า ๑๐ รายต่อวัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (War room) รวมทั้งให้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในการร่วมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ในศูนย์เด็กเล็ก สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานศึกษา และชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นสุขอนามัย และการทำความสะอาดในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ ตลอดจนให้คำแนะนำผู้เดินทางไป - กลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรคปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคให้ชัดเจน และเผยแพร่ให้ผู้ปกครองเด็กและสาธารณชนได้ทราบโดยทั่วกันโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
| 1108 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายชัยฤกษ์ ลิมปวัฒนศิริ) | สธ | 17/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชัยฤกษ์ ลิมปวัฒนศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลพุทธโสธร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1109 | แผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายใช้แผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดนร่วมกัน และเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ประกอบด้วย ๔ ประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ : สถานบริการสุขภาพทุกระดับผ่านเกณฑ์มาตรฐานและมีเพียงพอต่อการให้บริการ, ผู้มารับบริการมีความพึงพอใจ, มีระบบการส่งต่อและติดตามผู้ป่วยข้ามแดนและผู้ป่วยจากพื้นที่พักพิงชั่วคราวเพื่อการตรวจวินิจฉัย และรักษาโรค, มีระบบการส่งเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อม การเฝ้าระวัง การป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ชายแดน และมีระบบการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสิทธิผลในพื้นที่ชายแดน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน : มีระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อรองรับกลุ่มประชากรที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ, ขยายการประกันสุขภาพให้มีความครอบคลุมแรงงานต่างด้าวทุกกลุ่มในรูปแบบที่เหมาะสม, ขยายบริการสาธารณสุขเชิงรุกในกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพ และมีข้อมูลการให้บริการด้านสุขภาพของกลุ่มประชากรต่างด้าวทุกกลุ่ม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน : มีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน ภาคเอกชน องค์การระหว่างประเทศในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดนทุกระดับที่เข้มแข็ง และความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้านทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การบริหารจัดการ : มีนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ และงบประมาณในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดน, มีกลไกการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงการกำกับ ติดตาม และประเมินผล, มีโครงสร้างและอัตรากำลังที่มีเพียงพอและมีศักยภาพในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน, มีระบบสารสนเทศด้านสุขภาพชายแดน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้อง และสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเกี่ยวกับการนำผลการประเมินความสำเร็จของแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๑ ปัญหาและอุปสรรคมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ การเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับแผนอื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข เช่น แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) การสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพในกลุ่มผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าว การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการส่งเสริมสุขภาพและการลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ การป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี การจัดระบบบริการสาธารณสุขและระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมให้แก่กลุ่มคนต่างด้าว การให้ความสำคัญกับการพัฒนาดูแลคน ชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ การพัฒนากรอบความร่วมมือทางสุขภาพกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขชุมชน และการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ โดยเน้นเรื่องการเสริมสร้างสุขภาพเชิงรุกในชุมชนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ติดกับชายแดนไทย รวมทั้งการส่งเสริมให้สถานบริการสาธารณสุขตามแนวชายแดนแต่ละพื้นที่ร่วมกับภาคธุรกิจในพื้นที่ (เช่น สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เป็นแกนกลางในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการปัญหาสาธารณสุขชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ กลุ่มเป้าหมาย และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงในการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1110 | ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีและแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข | สธ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๗ (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข) และให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จำนวน ๗ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ๒. ศาสตราจารย์ชัยเวช นุชประยูร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและบำบัดโรคมะเร็ง ศูนย์วิจัยจุฬาภรณ์ ๓. นายประยูร กุนาศล อดีตอธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ ๔. ศาสตราจารย์อมร ลีลารัศมี ศาสตราจารย์ระดับ ๑๑ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ๕. นายบุญปลูก ชายเกตุ อดีตเลขาธิการ ก.พ. ๖. นายนิพนธ์ ฮะกีมี รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๗. นางสาวรพีสุภา หวังเจริญรุ่ง นักวิจัยอาวุโส ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
| 1111 | ขอทบทวนมติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข | สธ | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เรื่อง การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข จากเดิม ที่เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ เป็น พิจารณาอนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนที่จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน - จีน ครั้งที่ ๔ ในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ลงนาม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้แทนที่จะลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1112 | มาตรการเกี่ยวกับระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ | สธ | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเกี่ยวกับระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ ตามมติคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการกำหนดระบบบริหารยาฯ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การควบคุมกำกับการใช้ยาให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและคุ้มค่าในระบบประกันสุขภาพ ๑.๑.๑ การมีกลไกกลางในการเจรจาต่อรองราคายาที่มีราคาแพง โดยเฉพาะรายการยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่มีราคาแพงและมีผู้จำหน่ายรายเดียว ๑.๑.๒ มาตรการควบคุมการกำกับการเบิกจ่ายค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติและยาต้นแบบในระบบประกันสุขภาพ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายการลดค่าใช้จ่าย การกำหนดอัตราอ้างอิงการเบิกจ่ายยากลุ่มเป้าหมาย การปรับโครงสร้างชดเชยค่ายาและค่าบริการ และระบบสารสนเทศข้อมูลการเบิกจ่ายและการสั่งจ่ายยา ๑.๑.๓ นโยบายส่งเสริมการใช้ยาในบัญชียาหลักและยาชื่อสามัญ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ/ยาชื่อสามัญ การมีระบบประกันสุขภาพยาชื่อสามัญที่มีจำหน่ายในท้องตลาด และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ๑.๑.๔ การกำหนดแนวเวชปฏิบัติและข้อบ่งชี้การใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติในยากลุ่มเป้าหมายที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูง รวมถึงข้อบ่งชี้การตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาด้วยเทคโนโลยีราคาแพง ๑.๑.๕ การกำหนดกลไกกลางในการตรวจสอบการเบิกจ่ายและการจ่ายยา ๑.๒ การพัฒนาบัญชียาและรหัสยามาตรฐานเพื่อสนับสนุนการบริหารเวชภัณฑ์ ๑.๓ การปรับอัตราการจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมให้เป็นเอกภาพระหว่างกองทุน ๑.๔ การวิจัยและพัฒนารูปแบบการจ่ายแบบตกลงราคาล่วงหน้าบริการผู้ป่วยนอกทั้งในลักษณะต่อครั้งต่อคนที่สอดคล้องกับต้นทุนและยกระดับคุณภาพการดูแลโรคเรื้อรัง เพื่อเป็นมาตรฐานและใช้ร่วมกันระหว่างกองทุนประกันสุขภาพต่าง ๆ อันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนในการควบคุมค่าใช้จ่ายระยะยาว ๒. ให้คณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยาฯ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรมีมาตรการควบคุมและส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล รวมทั้งป้องกันการแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ มีทางเลือกให้ใช้ผลิตภัณฑ์ยาในประเทศ เช่น ยาสมุนไพร การเจรจาต่อรองราคายากับผู้จำหน่ายควรมีมากกว่า ๑ ราย และมีการปรับราคากลางให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและคุณภาพยา รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณียาราคาแพงและมีการต่อรองราคาแล้ว แต่ผู้ป่วยยังไม่สามารถเข้าถึงยาได้ อาจต้องใช้มาตรการบังคับสิทธิเหนือสิทธิบัตรยาเป็นมาตรการดำเนินการในภาพรวมของประเทศ ส่วนการกำหนดแนวเวชปฏิบัติเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลในยากลุ่มเป้าหมายที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูง รวมถึงข้อบ่งชี้การตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาด้วยเทคโนโลยีราคาแพง ให้กรมการแพทย์ กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ และราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายสุขภาพ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ นอกจากนี้ เห็นควรกำหนดแผนและวิธีดำเนินงานตามมาตรการฯ โดยพิจารณาถึงผู้รับบริการสุขภาพให้ได้รับประโยชน์ ไม่กระทบหรือรอนสิทธิเดิม การกำหนดแผนดำเนินงาน โดยคำนึงถึงการบริหารจัดการและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมิให้เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณในอนาคต การดำเนินการควบคุมและกำกับการใช้ยา โดยคำนึงถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของยาต่อการรักษา และสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในกระบวนการผลิต การคัดเลือกยาสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ยาในบัญชียาหลักและยาชื่อสามัญมากขึ้น ตลอดจนกำกับดูแลการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติอย่างรัดกุม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1113 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | สธ | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการบรรจุอัตรากำลังใหม่สำหรับนักเรียนทุนแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔,๘๔๖ อัตรา ก่อนขอทำความตกลงในกรอบวงเงินค่าใช้จ่าย จึงเป็นเหตุให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีไม่เพียงพอสำหรับรองรับการบรรจุอัตรากำลังใหม่ดังกล่าว ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการกำลังคนและภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐแต่งตั้ง ศึกษาภาพรวมและจัดทำข้อเสนอในการแก้ปัญหากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงควรเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อจะได้เป็นกรอบในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีกรณีต้องกำหนดอัตรากำลังใหม่เพิ่มเติมต่อไป ๑.๒ เพื่อให้การบริหารงานบุคคลและสิทธิประโยชน์ของนักเรียนทุนรัฐบาลและพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง กรณีค่าใช้จ่ายในการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาลและพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๒๙๘.๙๙๕๕ ล้านบาท เห็นสมควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากงานที่ดำเนินการล่าช้า เบิกจ่ายไม่ทัน รวมทั้งพิจารณาจากรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีตามลำดับ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพในการเร่งรัดคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดทำแผนรายปีในการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล (แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร) พยาบาลวิชาชีพ และบุคลากร เช่น พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว โดยกำหนดสัดส่วนให้เหมาะสมกับจำนวนประชากร ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการกระจายตัวไปในพื้นที่ชนบทเป็นหลัก เพื่อประกอบการพิจารณาของ คปร. ในภาพรวมด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 1114 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2557 | สธ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ เพื่อผลักดันให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบและทิศทางในการดำเนินการควบคุมยาสูบ เพื่อมุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่ และสุขภาพที่ดีของประชาชน โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญในการดำเนินการควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศ ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การป้องกันมิให้เกิดผู้บริโภคยาสูบรายใหม่ ประกอบด้วย ๓ ยุทธวิธี ได้แก่ การให้ความรู้ การปกป้องเด็กและเยาวชนจากความเย้ายวน และการขจัดการเข้าถึง ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริมให้ผู้บริโภคลด และเลิกใช้ยาสูบ ประกอบด้วย ๕ ยุทธวิธี ได้แก่ การส่งเสริมการเลิกบริโภคยาสูบ การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรและเครือข่ายให้มีองค์ความรู้ในการช่วยให้เลิกยาสูบ การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบริการเลิกยาสูบอย่างเป็นเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน การสร้างและนำมาตรฐานการดูแลรักษาโรคติดยาสูบระดับชาติไปใช้เป็นแนวทางให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาการเข้าถึงยาช่วยเลิกยาสูบ ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การลดพิษภัยของผลิตภัณฑ์ยาสูบ ประกอบด้วย ๔ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับกฎกระทรวง พ.ศ. ๒๕๔๐ ว่าด้วยการแจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตหรือบุหรี่ซิการ์ การสร้างกระบวนการบริหารจัดการข้อมูลส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ การสร้างกลไกให้บริษัทบุหรี่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ และการติดตามเฝ้าระวังและเผยแพร่ข้อมูลสารอันตรายของผลิตภัณฑ์ฯ ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การสร้างสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ ประกอบด้วย ๖ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมายให้สถานที่สาธารณะและสถานที่ทำงานทุกแห่งปลอดควันบุหรี่ ๑๐๐% การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายในทุกที่ที่กำหนดให้ปลอดควันบุหรี่ การปรับเปลี่ยนค่านิยมของการบริโภคยาสูบเพื่อให้การไม่สูบบุหรี่ในบ้าน สถานที่ทำงาน และสถานที่สาธารณะเป็นบรรทัดฐานของสังคมไทย การดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ การศึกษาวิจัยและพัฒนาให้ได้องค์ความรู้และข้อมูลสนับสนุนการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดควันบุหรี่และการบังคับใช้กฎหมาย และการเฝ้าระวังและควบคุม กำกับและประเมินผลการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดควันบุหรี่ ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสร้างเสริมความเข้มแข็งและพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินงานควบคุมยาสูบของประเทศ ประกอบด้วย ๖ ยุทธวิธี ได้แก่ การพัฒนานโยบายและภาวะการนำในการควบคุมยาสูบ การพัฒนาโครงสร้างและระบบบริหารจัดการหน่วยงานควบคุมยาสูบ การพัฒนาระบบเฝ้าระวังการควบคุมกำกับและประเมินผลการควบคุมยาสูบ การสนับสนุนการศึกษาวิจัยและจัดการความรู้และด้านการควบคุมยาสูบ การเสริมสร้างขีดความสามารถและขยายเครือข่ายในการควบคุมยาสูบของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการเสริมสร้างขีดความสามารถและขยายเครือข่ายในการควบคุมยาสูบระดับภูมิภาค ๑.๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การควบคุมการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย ประกอบด้วย ๔ ยุทธวิธี ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามยาสูบผิดกฎหมาย การควบคุมแหล่งจัดหา การดำเนินการสำหรับผู้กระทำความผิดและบทลงโทษ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ๑.๑.๗ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การแก้ปัญหาการควบคุมยาสูบโดยใช้มาตรการทางภาษี ประกอบด้วย ๓ ยุทธวิธี ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างภาษียาสูบ การปรับปรุงระบบการบริหารจัดเก็บภาษียาสูบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมยาสูบ และการลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีผลิตภัณฑ์ยาสูบ ๑.๑.๘ ยุทธศาสตร์ที่ ๘ การเฝ้าระวังและควบคุมอุตสาหกรรมยาสูบ ประกอบด้วย ๗ ยุทธวิธี ได้แก่ การป้องกันอุตสาหกรรมยาสูบเข้ามาแทรกแซงนโยบายว่าด้วยการควบคุมยาสูบ การตรวจสอบอุตสาหกรรมยาสูบ (บริษัทบุหรี่ข้ามชาติและโรงงานยาสูบ กลุ่มบังหน้า และกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกัน) การเฝ้าระวังและดำเนินการกับผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ (เช่น บุหรี่ไร้ควัน และบุหรี่ชูรส ฯลฯ) และผลิตภัณฑ์ยาสูบแปลงร่าง การเฝ้าระวังและดำเนินการกับตลาดรูปแบบใหม่ต่าง ๆ เช่น Below the Line marketing การเฝ้าระวังและดำเนินการด้านความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจต่อสังคมของบริษัทบุหรี่และโรงงานยาสูบ การทำให้ยาสูบเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ และการเป็นคดีความ ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ และให้จัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณรองรับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๓ เห็นชอบให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินงานและบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเพิ่มบทบาทของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการป้องกันและลดจำนวนประชาชนผู้บริโภคยาสูบให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้มีตัวชี้วัดผลสำเร็จที่ชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และงบประมาณที่ได้รับ การกำหนดยุทธศาสตร์ลดการนำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศและลดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบภายในประเทศ การกำหนดยุทธศาสตร์สนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกยาสูบ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน และจาก สสส. การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีเพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามความจำเป็นและความเหมาะสม การประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ระเบียบ ด้านการควบคุมยาสูบ การกำหนดเรื่องการควบคุมยาสูบโดยเน้นเรื่องเพศหรือบทบาทของผู้หญิงกับบุหรี่เพิ่มมากขึ้น การใช้มาตรการทางกฎหมายโดยเฉพาะการห้ามจำหน่ายบุหรี่แบ่งมวนเพื่อจำกัดการเข้าถึงยาสูบของเยาวชน และการดำเนินคดีกับร้านค้าที่ขายบุหรี่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี การหาแนวทางให้ผู้สูบบุหรี่มีส่วนร่วมจ่ายในค่ารักษาพยาบาลสำหรับการเข้าถึงยาช่วยเลิกยาสูบในระบบหลักประกันสุขภาพ และการเก็บภาษียาสูบประเภทยาเส้นหรือบุหรี่มวนเองให้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 1115 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับตำแหน่งเพิ่มใหม่ 3 สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) | สธ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่) ที่กำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) โดยการตรึงอัตรากำลังใหม่ (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ไว้สำหรับการบรรจุนักเรียนทุนคู่สัญญา และรายงานการบรรจุแต่งตั้งนักศึกษาคู่สัญญาที่ได้รับการบรรจุในครั้งนี้ไปยัง คปร. โดยในระยะต่อไป ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบเพื่อวางระบบการบริหารอัตรากำลังและวางแผนกำลังคนของกระทรวงสาธารณสุขให้การจัดการภารกิจบริการสุขภาพมีคุณภาพและประสิทธิภาพให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ที่สำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๖๖๖ อัตรา โดยใช้ตำแหน่งที่ว่างอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว จำนวน ๕๒๑ อัตรา และส่วนที่เหลือเป็นอัตรากำลังเพิ่มใหม่ จำนวน ๒,๑๔๕ อัตรา ซึ่งไม่ได้จัดสรรงบประมาณไว้ โดยอนุมัติในหลักการการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) และกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายสำหรับอัตรากำลังเพิ่มใหม่ดังกล่าว จำนวน ๒๐๗,๐๓๔,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากงานที่ดำเนินการล่าช้าหรือเบิกจ่ายไม่ทัน จำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และส่วนที่เหลือใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๗,๐๓๔,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับการบรรจุอัตรากำลังดังกล่าวไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 1116 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสาวเบญจพร ปัญญายง) | สธ | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวเบญจพร ปัญญายง ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กลุ่มงานการแพทย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๓ ๒. นางสมรัก ชูวานิชวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กลุ่มงานการแพทย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
| 1117 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสมรัก ชูวานิชวงศ์) | สธ | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวเบญจพร ปัญญายง ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กลุ่มงานการแพทย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๓ ๒. นางสมรัก ชูวานิชวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กลุ่มงานการแพทย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
| 1118 | คณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัยและค่าบริการทางการแพทย์ | สธ | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติองค์ประกอบของคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจัยและค่าบริการทางการแพทย์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้น ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ หัวหน้าหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารยา เวชภัณฑ์ และจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัยและค่าบริการทางการแพทย์เป็นกรรมการ โดยมีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ๒.๑ จัดทำข้อเสนอระบบบริหาร ยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัยและค่าบริการทางการแพทย์ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง รับไปเป็นแนวทางดำเนินการปฏิบัติต่อไป ๒.๒ จัดทำข้อเสนอระบบตรวจสอบ ติดตามในการเบิกจ่าย ยา เวชภัณฑ์ ค่าตรวจวินิจฉัยและค่าบริการทางการแพทย์ที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืนต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง รับไปดำเนินการปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 1119 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 หรือคำเตือน หรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 พ.ศ. .... | สธ | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ หรือคำเตือน หรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ๒. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าหรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องจัดให้มีฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษตามที่กำหนด เว้นแต่กรณีผลิตเพื่อส่งออก ให้เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษเป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า ทั้งนี้ ฉลากและเอกสารกำกับดังกล่าวต้องจัดทำให้แล้วเสร็จก่อนจำหน่ายหรือส่งออก ๓. กำหนดให้ฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องเป็นไปตามที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้ และให้ฉลาก ฉลากของยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ผลิตหรือนำเข้าเพื่อใช้สำหรับสัตว์ ผลิตเพื่อส่งออก ต้องมีรายการตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ให้มีคำว่า “เอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓” ที่เห็นได้ชัดเจน และเอกสารกำกับดังกล่าวต้องมีรายการตามที่กำหนด ๕. กำหนดให้ข้อความเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องเป็นการเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับข้อควรระวัง ข้อห้ามใช้ อาการไม่พึงประสงค์ โดยให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๖. กำหนดให้ฉลาก เอกสารกำกับ คำเตือน หรือข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องใช้ข้อความภาษาไทย ในกรณีมีภาษาต่างประเทศรวมอยู่ด้วย ต้องไม่ขัดกับภาษาไทย ๗. กำหนดบทเฉพาะกาลให้ฉลาก เอกสารกำกับ คำเตือน หรือข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ สิ้นอายุ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
|
||||||||||||||||||||||||
| 1120 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ซึ่งได้นำกรอบและทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างวิถีชีวิตที่มีเหตุผล รู้จักพอประมาณ หลีกเลี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ส่งเสริมการประกอบกิจการและอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม เน้นมาตรการเชิงรุกและหลักการป้องกันไว้ก่อน รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมและภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนให้สามารถจัดการสภาพแวดล้อมให้ปลอดมลพิษเพื่อการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมทั้งภาครัฐทุกระดับและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับบริบท ปัญหาและสถานการณ์ พัฒนาบุคลากรด้านงานอนามัยสิ่งแวดล้อม จัดทำระบบและการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พัฒนากลไกทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและพื้นที่ ตลอดจนข้อตกลงตามนัยแห่งบทบัญญัติของกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยระดมศักยภาพและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ร่วมคิด ร่วมสร้างสรรค์งานอนามัยสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการบูรณาการและเสริมพลังระหว่างภาคีเครือข่าย และขับเคลื่อนผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างจิตสำนึกสาธารณะ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมบทบาทของ อปท. ภายใต้หลักคิดการกระจายอำนาจ เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับส่วนภูมิภาคและส่วนกลางอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างฐานการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง พัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรมองค์ความรู้และเทคโนโลยี รวมทั้งพัฒนาระบบให้บริการทางวิชาการเพื่อการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการรณรงค์ปลอดการเผา (Zero burn) ในพื้นที่เกษตรกรรมทุกประเภท การส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสารเคมีในการดูแลผลิตภัณฑ์ทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะและเชื้อเพลิงที่มีมลพิษต่ำโดยการส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในเขตเมือง การพิจารณาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายความเข้มงวดในการปฏิบัติตามและบทลงโทษให้มีความเหมาะสมต่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น การให้ความสำคัญกับการป้องกันความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากผลกระทบด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม การส่งเสริม และฟื้นฟูสุขภาพจากการเจ็บป่วยดังกล่าว การให้คำจำกัดความที่ชัดเจนระหว่าง “ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม” และปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม” การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีการวิจัยที่ครอบคลุมทุกด้านทั้งอนามัยสิ่งแวดล้อมในน้ำ ดิน และอากาศ รวมทั้งเทคโนโลยีการป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention Technology) การสร้างความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพในการพัฒนาผลิตบัณฑิตและนักวิจัยในด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการสารเคมี และศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการกำหนดรายละเอียดกลไกการขับเคลื่อนและแนวทางการติดตามประเมินผลอย่างชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทของ อปท. ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงสาธารณสุขถ่ายโอนสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) รวมทั้งบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ อปท. เพื่อให้ อปท. มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||
.....
