ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 98 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 1941 - 1960 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1941 | การแต่งตั้งข้าราชการระดับ 10 (นายสนอง จันทนินทร) | ทส | 02/11/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่ง
ตั้งนายสนอง จันทนินทร ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป |
||||||||||||||||||
1942 | รายงานผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 13 (CITES CoP 13) | ทส | 02/11/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ รับทราบรายงาน
ผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 13 (CITES CoP13) โดยผลการประชุมสรุปดังนี้ ในส่วนข้อเสนอของประเทศไทย ที่ประชุมเห็นชอบให้เลื่อน บัญชีโลมาอิระวดี (Orcaella brevirostris) จากบัญชี 2 (ยังคงอนุรักษ์บางส่วน แต่อนุญาตให้ซื้อ/ขายได้ โดย มีการควบคุม) ของอนุสัญญา เป็นบัญชี 1 (ห้ามซื้อห้ามขาย ให้อนุรักษ์และใช้ศึกษาทางวิชาการได้) ให้ถอด หยก (Euphorbia lacteal) ในบัญชี 2 ที่ได้จากการขยายพันธุ์เทียมออกจากบัญชีอนุสัญญา ให้ถอดโป๊ยเซียน (Euphorbia milii) ที่ได้จากการขยายพันธุ์เทียมออกจากบัญชีอนุสัญญา ให้กล้วยไม้ลูกผสม 4 สกุล คือ สกุล แวนด้า สกุลฟาแลนนอปซิส สกุลเดนโดรเบียม และสกุลซิมบิเดียม ยกออกจากบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา ฯ ให้เลื่อนกล้วยไม้ฟ้ามุ่ย (Vanda crerulea) จากบัญชี 1 เป็นบัญชี 2 นอกจากนี้ การประชุมได้พิจารณาข้อ เสนอของประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าหลายชนิด เช่น เต่านา ตะพาบน้ำ จระเข้แม่น้ำไนล์ ช้าง และแอฟริกา ฯลฯ ซึ่งบางชนิดมีผลกระทบกับการอนุรักษ์และการค้าชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่มีอยู่ ในประเทศไทย สำหรับการดำเนินการตามนโยบายนายกรัฐมนตรีที่ได้ประกาศไว้ในการเปิดประชุม CITES CoP13 ได้แก่ การแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีอาเซียน (ASEAN Statement) ในระหว่างการประชุม CITES CoP13 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2547 เพื่อแสดงเจตจำนงร่วมกันในความร่วมมือที่ครอบคลุมถึงประเด็น ต่าง ๆ อาทิเช่น ด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การติดตามตรวจสอบการค้าสัตว์ป่าและพืชป่า การแลก เปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เป็นปัจจัยสำคัญของเครือข่าย เป็นต้น การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมการป้องกันธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก การลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเพื่อการอนุรักษ์ สัตว์ป่าและพืชป่าระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอก ชน และการประชุม CITES CoP14 ซึ่งจะจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2550 ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และเห็นชอบให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ ดำเนินการให้เป็นไปตามผลการประชุม ฯ และเพื่อสร้างเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและ ปราบปรามการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมายในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งดำเนิน การจัดทำแผนปฏิบัติการให้เป็นไปตามแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีอาเซียน (ASEAN Statement on CITES) ในระหว่างการประชุม CITES CoP13 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2547 |
||||||||||||||||||
1943 | ผลการประชุมรัฐภาคีของอนุสัญญารอตเตอร์ดัม ฯ สมัยที่ 1 | ทส | 26/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุม
รัฐภาคีของอนุสัญญารอตเตอร์ดัม ฯ สมัยที่ 1 (First Meeting of the Conference of the Parties to the Rotter dam Convention on the Prior Informed Consent Procedure for Certain Hazardous Chemicals and Pestici des in International Trade) ระหว่างวันที่ 20-24 กันยายน 2547 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมประชุม ในครั้งนี้ โดยผลการประชุมสรุปดังนี้ ที่ประชุมได้มีมติรับรองการเพิ่มเติมรายชื่อสารเคมีในกระบวนการแจ้งข้อ มูลสารเคมีล่วงหน้า 14 ชนิด ไว้ในภาคผนวก III ตามข้อ 8 ของอนุสัญญา ฯ คือ binapracyl; toxaphene; ethylene dichloride; ethylene oxide; monocrotophos; DNOC and its salts; dustable powder formula tions containing specific amounts of benomyl, carbofuran, and thiram; actinolite, anthophyllite, amosite and tremolite asbestos; tetraethyl and tetramethyl lead; parathion; 2,4,5-T; pentachloro phenol; dinoseb and dinoseb salts; และ methyl parathion ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 และได้กำหนดภูมิภาค PIC 7 ภูมิภาค คือ แอฟริกา เอเชีย ยุโรป ลาตินอเมริกา และแคริบเบียน ตะวัน ออกใกล้ อเมริกาเหนือ และแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อใช้กำหนดการเพิ่มเติมรายชื่อสารเคมีต้องห้าม หรือ สารเคมีที่ถูกจำกัดการใช้อย่างเข้มงวด โดยประเทศภาคีสมาชิกอย่างน้อย 2 ประเทศ จาก 2 ภูมิภาค ตามข้อ 5(5) ของอนุสัญญาเท่านั้น นอกจากนี้ ได้จัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวนสารเคมี ประกอบด้วยสมาชิก 31 คน จาก 5 ภูมิภาค โดยจะดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี และจะหมุนเวียนทุก 2 ปี ในการนี้ไทยได้เสนอที่จะ เข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการฯ คณะแรก โดยดำรงตำแหน่งดังกล่าว 2 ปี และเห็นชอบให้สมาพันธ รัฐสวิสร่วมกับสาธารณรัฐอิตาลี เป็นสถานที่ตั้งสำนักเลขาธิการอนุสัญญารอตเตอร์ดัม ฯ โดยมอบหมาย ให้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ร่วมกันดำเนินงาน และได้ร้องขอให้สำนักเลขาธิการ ฯ ประสานกิจกรรมในระดับภูมิภาคโดยผ่านองค์กรที่มี อยู่ และจัดเตรียมกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมวางแผนการใช้งบประมาณ โดยสำนักเลขาธิการ ฯ จะได้นำเสนอราย งานความก้าวหน้าในการประชุมรัฐภาคี สมัยที่ 2 ต่อไป |
||||||||||||||||||
1944 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการน้ำบาดาล พ.ศ. .... | ทส | 26/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการน้ำบาดาล พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญ คือ ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมคำขอใบอนุญาตเจาะน้ำบาดาลและใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
1945 | รายงานผลการสร้างงานและสร้างอาชีพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส | 19/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการสร้าง
งานและสร้างอาชีพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี นราธิวาส และยะลา) สรุปได้ดังนี้ ปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 ได้มีการจ้างงานท้องถิ่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดำเนินงานภายใต้แผนงาน/ โครงการที่ได้รับอนุมัติ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลและทำความสะอาด บ้านปลา มีการจ้างแรงงาน 2,033 คน วงเงินการจ้าง 3,858,000 บาท โครงการส่งเสริมและพัฒนาการใช้ ประโยชน์ไม้เสม็ดและพันธุ์ไม้ป่าพรุแบบครบวงจร มีการจ้างแรงงาน 62 คน วงเงินการจ้าง 3,789,000 บาท โครงการส่งเสริมการพัฒนาวัดและมัสยิดเป็นศูนย์ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมชุมชน มีการจ้างแรงงาน 30 คน วงเงิน การจ้าง 504,000 บาท โครงการนำร่องพัฒนาการมีส่วนร่วมเพื่อการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการจ้างแรงงาน 1,671 คน วงเงินการจ้าง 7,326,400 บาท และโครงการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำภาคใต้ตอนล่าง 5 ลุ่มน้ำ (ลุ่มน้ำสายบุรี/โกลก/ปัตตานี/ บางพระ/เทพา) มีการจ้างแรงงาน 1 คน วงเงินการจ้าง 35,520 บาท รวมการจ้างงานทั้งสิ้น 3,797 คน วงเงินการจ้าง 15,512,920 บาท แยกเป็น จังหวัดปัตตานี 1,971 คน วงเงินการจ้าง 7,317,098 บาท จังหวัดนราธิวาส 1,544 คน วงเงินการจ้าง 7,024,742 บาท และจังหวัดยะลา 282 คน วงเงินการจ้าง 1,171,080 บาท สำหรับแผนงาน/โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครง การส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์ไม้เสม็ดและพันธุ์ไม้ป่าพรุ โครงการส่งเสริมการพัฒนาวัดและมัสยิด เป็นศูนย์ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมชุมชน (ต่อเนื่อง) โครงการจัดทำระบบการจัดการน้ำเสียและขยะมูลฝอยในวัด และมัสยิด โครงการสร้างความพร้อมในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน โครงการจัดการทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำภายใต้ตอนล่าง 5 ลุ่มน้ำ (ลุ่มน้ำสายบุรี/โกลก/ปัตตานี/บางพระ/เทพา) และโครงการศึกษาผลกระทบจากการบริหารจัดการลุ่มน้ำปัตตานี อยู่ระหว่างการเตรียมการในการดำเนิน การขออนุมัติงบประมาณ และกำหนดแผนปฏิบัติงานตลอดจนการจ้างแรงงานท้องถิ่นต่อไป |
||||||||||||||||||
1946 | โครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าวงศ์กวางในเชิงพาณิชย์ | ทส | 19/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (เดิม)
(ฝ่ายการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าวงศ์กวางในเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อสาธิตส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ป่าวงศ์กวางเป็นอาชีพให้แก่ประชาชน ถ่ายทอดความรู้และ เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการฟาร์ม เพาะเลี้ยงสัตว์ป่าให้แก่ประชาชน เพิ่มรายได้และปรับปรุงคุณภาพ ชีวิตให้แก่ประชาชนและสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้แก่ประชาชน โดย ดำเนินการในพื้นที่ของสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเชิงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ สถานี วิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สถานีวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ และ ฟาร์มเกษตรกรในพื้นที่ที่กำหนดแห่งละ 10 ราย มีระยะเวลาดำเนินการ รวม 5 ปี (ปี พ.ศ. 2548-2552) ทั้งนี้ ให้รับความเห็นบางประเด็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของ โครงการให้ชัดเจน รวมถึงชนิดพันธุ์ อายุสัตว์ และจำนวนกวางที่จะเลี้ยงในหน่วยงานของรัฐ และฟาร์มเกษตร กร ผลผลิตที่จะได้ จำนวนกวางที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี และการสนับสนุนให้เกษตรกรได้รับการถ่ายทอดองค์ ความรู้และเทคโนโลยีการจัดฟาร์มและการเพาะเลี้ยงกวางเชิงพาณิชย์จากภาคเอกชนที่ประสบความสำเร็จใน ธุรกิจการเพาะเลี้ยงกวาง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณที่จะใช้ดำเนิน การจำนวน 44,791,635 บาท นั้น ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และมอบให้กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และ คณะทำงานการปฏิรูปผลิตผลการเกษตรรับไปจัดทำโครงการที่จะสนับสนุนการเพาะเลี้ยงกวางให้เป็นอาชีพ อย่างจริงจังให้เป็นโครงการที่ครอบคลุมอย่างเป็นระบบทั้งด้านการเพาะพันธุ์ ขยายพันธุ์ การตลาด ระบบ สินเชื่อ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพิจารณา ให้การสนับสนุนการดำเนินตามโครงการด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นไม่สามารถดำเนินการได้เอง ก็ให้นำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
1947 | ขออนุมัติจัดประชุม Sub regional Environmental Policy Dialogue: SEPD ครั้งที่ 2 | ทส | 19/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เป็นเจ้าภาพ จัดประชุมหารือในระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Sub regional Environmental Policy Dialogue : SEPD) ครั้งที่ 2 ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 ณ โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพ ฯ |
||||||||||||||||||
1948 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงาน ตามโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ตามแนวพระราชดำริเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบรมราชินีนาถ | ทส | 19/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้า
การดำเนินงานตามโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ตามแนวพระราชดำริ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบรม ราชินีนาถ โดยได้จัดทำร่างแผนปฏิบัติการโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ตามแนวพระราชดำริ ฯ ปี พ.ศ. 2548 -2551 เพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางการปฏิบัติงานตามโครงการ ฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดยั้งการบุกรุกทำ ลายป่าไม้และฟื้นฟูสภาพป่าไม้ รวมทั้งให้ประชาชนร่วมกันดูแล เฝ้าระวัง ป้องกัน รักษา และใช้ประโยชน์จากป่า ไม้อย่างยั่งยืน และเพื่อให้สอดคล้องตามแนวพระราชดำริ โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมาย ประกอบด้วย หมู่บ้านที่อยู่ ติดเขตและในเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำนวน 2,348 หมู่บ้าน ใน 63 จังหวัด หมู่บ้านที่ อยู่ติดเขตและในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และป่าตามมติคณะ รัฐมนตรี จำนวน 7,600 หมู่บ้าน ใน 67 จังหวัด และหมู่บ้านที่อยู่ติดเขตและในเขตพื้นที่ป่าชายเลนตามมติคณะ รัฐมนตรีจำนวน 918 หมู่บ้าน ใน 23 จังหวัด ระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-2551 วงเงินที่ใช้ ดำเนินงานทั้งสิ้น 1,510.12 ล้านบาท แยกเป็น ระยะแรก ปี พ.ศ. 2548 วงเงิน 302.36 ล้านบาท และระยะที่ สอง ปี พ.ศ. 2549-2551 วงเงิน 1,207.76 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้กำหนดพื้นที่หมู่บ้านต้นแบบตามโครงการ ฯ แล้ว คือ หมู่บ้านห้วยปลาหลด หมู่ที่ 8 ตำบลด่านแม่ละเมา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งได้จัดเตรียมความ พร้อมของพื้นที่สำหรับการเปิดตัวโครงการในวันที่ 18 ตุลาคม 2547 |
||||||||||||||||||
1949 | ขอรายงานเหตุการณ์หินถล่มและดินไหล ที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ | ทส | 19/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากร
ธรณี รายงานเหตุการณ์หินถล่มบริเวณใกล้เขาบ้านทุ่ง ที่บ้านห้วยส้มไฟ หมู่ที่ 1 ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2547 ทำให้บ้านเรือนของราษฎรในพื้นที่ดังกล่าวเสียหาย 12 หลังคา เรือน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย และในวันเดียวกันได้เกิดเหตุการณ์ดินไหลเข้าไปในพื้นที่บ้าน อ่าวนาง หมู่ที่ 2 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2547 แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต และ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายวันทำให้หินปูนบนภูเขาแตก หัก และทำให้ชั้นดินอุ้มน้ำไม่ไหวเกิดการเลื่อนไหลลงมา ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณีได้ดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการ การปลูกสร้าง สิ่งก่อสร้างไม่ให้อยู่ใกล้หน้าผาหรือภูเขามากเกินไป รวมทั้งเร่งดำเนินการศึกษาเพื่อกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยที่ เกิดจากหินถล่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น เพื่อออก ประกาศแจ้งเตือนภัยต่อไป |
||||||||||||||||||
1950 | ขออนุมัติโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย และเรื่อง แผนงาน/โครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยเชิงบูรณาการจังหวัดเชียงราย | ทส | 19/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้กรมทรัพยากร
น้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัย เชิงบูรณาการจังหวัดเชียงราย โดยสร้างอ่างเก็บน้ำ จำนวน 47 แห่ง สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อ ดำเนินการโครงการ ฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 อนุมัติในหลักการให้เบิกจ่ายจากงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการขอตกลงในรายละเอียด กับสำนักงบประมาณ และดำเนินการต่อไป ส่วนงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการที่จะดำเนินการในปี งบประมาณ พ.ศ. 2549 ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามปกติ โดย ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะกำกับติดตามการปฏิบัติราชการในเขตตรวจราช การที่ 1 พิจารณากำกับดูแลและติดตามการดำเนินการแผนงาน/โครงการทั้งหมดในภาพรวม สำหรับ โครงการคันกั้นแม่น้ำลาวฝั่งซ้าย โครงการกั้นแม่น้ำลาวฝั่งขวา โครงการพนังกั้นแม่น้ำลาว และโครงการ ปรับปรุงช่องระบายทรายฝายชัยสมบัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เสนอ เป็นโครงการที่คณะ รัฐมนตรีได้มีมติ (28 กันยายน 2547) เห็นชอบให้กรมชลประทาน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ โครงการต่าง ๆ และใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2548 งบกลางราย การค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (59,000 ล้าน บาท) วงเงินรวม 35 ล้านบาทไว้แล้ว จึงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ประสานการดำเนินงานตาม มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนต่อไป |
||||||||||||||||||
1951 | รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณตำบลหน้าพระลาน (ครั้งที่ 5 เดือนสิงหาคม 2547) | ทส | 12/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้า
การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี ครั้งที่ 5 เดือน สิงหาคม 2547 โดยผลการตรวจวัดค่าความทึบแสงของฝุ่นละอองจากกระบวนการผลิตในโรงโม่บดและย่อย หิน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2547 พบโรงโม่ ฯ 3 แห่ง ได้แก่ โรงโม่หินบริษัท ส.ศิลาเพิ่มพูล จำกัด โรงโม่หินดาว หน้าพระลาน และโรงโม่หินไกรสิน มีค่าการระบายฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐาน จึงสั่งระงับการเดินเครื่องจักร และให้ปรับปรุงแก้ไขภายใน 15 วัน ส่วนการตรวจสอบประทานบัตรเหมืองหินพบการทำเหมืองหินในลักษณะ ที่ไม่ปลอดภัยโดยใช้คนห้อยโหนเจาะระเบิดหน้าผาซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่นละออง จึงได้สั่งหยุดกิจการ 13 แห่ง สำหรับการติดตามตรวจสอบสถานการณ์ฝุ่นขนาดเล็กในบรรยากาศบริเวณโรงเรียนหน้าพระลาน เดือน สิงหาคม 2547 มีจำนวนวันที่ฝุ่นขนาดเล็กสูงเกินมาตรฐาน 11 วัน โดยค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงสูงสุดอยู่ในช่วง 179.6 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มาตรฐานฝุ่นขนาดเล็กเท่ากับ 120 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) และจาก การตรวจวัดฝุ่นละอองในบรรยากาศในพื้นที่หน้าพระลานและพื้นที่ข้างเคียง พบฝุ่นละอองรวมเฉลี่ย 24 ชั่วโมง สูงเกินมาตรฐาน 1 ครั้ง บริเวณโรงเรียนบ้านคุ้งเขาเขียว ค่าเฉลี่ยอยู่ในช่วง 82-506 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์ เมตร ส่วนฝุ่นขนาดเล็กเฉลี่ย 24 ชั่วโมงมีค่าสูงเกินมาตรฐาน 4 ครั้งบริเวณโรงเรียนหน้าพระลาน ค่าเฉลี่ยอยู่ ในช่วง75-236 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มาตรฐานฝุ่นละอองรวมและฝุ่นขนาดเล็กเท่ากับ 330 และ 120 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ) นอกจากนี้ ยังมีผลการจับกุมผู้กระทำผิดที่ลักลอบระเบิดหินและบุกรุก ป่าไม่ รวม 17 ราย และจากการสืบสวนสอบสวนเร่งรัดดำเนินคดีสามารถจับตัวผู้กระทำผิดและดำเนินคดีแล้ว 10 คดี |
||||||||||||||||||
1952 | แผนปฏิบัติการจัดการมลพิษอากาศจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน | ทส | 12/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการจัดการมลพิษอากาศจังหวัด เชียงใหม่-ลำพูน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) แผน ปฏิบัติการจัดการมลพิษอากาศเชียงใหม่-ลำพูน โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไป ปรับ (ร่าง) แผนปฏิบัติการดังกล่าวให้มีความชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนี้ ให้ตรวจสอบสภาพการดำเนิน งานที่มีผลต่อการจัดการมลพิษอากาศในจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูนของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งด้านงบประมาณที่ ได้รับ เป้าหมายและผลการดำเนินการที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยพิจารณาปรับ (ร่าง) แผนปฏิบัติการดังกล่าว ตามข้อมูลที่ได้รับโดยกำหนดขอบเขต วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ กำหนดตัวชี้วัดและแนวทางบูรณา การภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และกำหนดโครงการและกิจกรรมตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติ การ ฯ เท่าที่จำเป็น ไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการหรือกิจกรรมที่ดำเนินการอยู่และต้องก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถตรวจวัดได้ มีมาตรการตรวจสอบ ติดตาม ประเมิน และรายงานผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติ การ และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมดำเนินการตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ และ ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ และตระหนักในการมีส่วนร่วมลดมลพิษอากาศในพื้นที่ เพื่อเกิดผลสำเร็จต่อ เนื่องในระยะยาว ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ กลั่นกรอง ฯ ไปประกอบการปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ ด้วย และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาด้วยว่า การดำเนิน การเกี่ยวกับปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม ควรดำเนินการในเชิงรุกดูแลป้องกันมิให้เกิดปัญหามากกว่าที่จะ ดำเนินการแบบตั้งรับเพื่อแก้ไขฟื้นฟูหลังจากเกิดปัญหาแล้วเพราะการแก้ไขปัญหาจะทำให้เกิดภาระและสิ้น เปลืองงบประมาณค่าใช้จ่ายมากกว่า และยากที่จะแก้ไขให้สภาพธรรมชาติกลับคืนดังเดิมได้ นอกจากนี้ ควรพิจารณาด้วยว่าควรนำเอาหลักการที่ว่า "ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา" (Polluter Pay Principle-PPP) มาใช้ในการดำเนินการได้มากน้อยเพียงใดด้วย |
||||||||||||||||||
1953 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2547 | ทส | 12/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2547 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2547 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองเรียบ ร้อยแล้วทั้งสิ้นรวม 14 เรื่อง ดังนี้ (1) รายงานการประชุมฯ ครั้งที่ 5/2547 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 (2) แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในเขตควบคุมมล พิษ ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี (3) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง เพื่อ อุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ เพื่ออุตสาหกรรมเคมี เพื่ออุตสาหกรรมแคลเซียมคาร์ไบด์ หรือเพื่อทำปูนขาวสำหรับ อุตสาหกรรมฟอกหนัง หรืออุตสาหกรรมน้ำตาล ประทานบัตรที่ 24947/14628 ของบริษัท สิรินิธิ จำกัด (บริษัท สายจำรัสปูนขาวรับช่วงการทำเหมือง) ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา (4) ราย งานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่ไพโรฟิลไลต์ ประทานบัตร ที่ 19983/13628 ของนายชำนาญ ตันกูล ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี (5) การบริจาคเงิน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ EANET (6) การกำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรง งานปูนซีเมนต์ที่ใช้ของเสียเป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นวัตถุดิบในการผลิต (7) การกำหนดอัตราค่าบริการบำบัดน้ำ เสียเทศบาลตำบลกะรน จังหวัดภูเก็ต (8) การกำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงจากปล่องปล่อยทิ้งอากาศ เสียของโรงสีข้าวที่ใช้หม้อไอน้ำ (9) คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมขออนุมัติทบทวนการปรับแก้ไขระเบียบ คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดลล้อมเพื่อการใช้จ่ายเงินสำหรับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในกรณีฉุกเฉิน (10) รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (11) รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน เชียงใหม่ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (12) การบังคับใช้มาตรฐานมลพิษจากยานพาหนะ ใหม่ สำหรับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ระดับที่ 6 และรถยนต์เบนซิน ระดับที่ 7 (13) แต่งตั้งและปรับปรุงคณะ อนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และ (14) ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งผลการพิจารณา คดีหมายเลขดำที่ 304/2544
|
||||||||||||||||||
1954 | แต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นางอรอนงค์ มณีกาญจน์) | ทส | 12/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้แต่งตั้ง นาง
อรอนงค์ มณีกาญจน์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (12 ตุลาคม 2547) เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||
1955 | สรุปการดำเนินมาตรการควบคุมและป้องกัน ผลการดำเนินการและมาตรการติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคไข้หวัดนกในสัตว์ป่าจำพวกนก | ทส | 12/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยาน
แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รายงานสรุปการดำเนินมาตรการควบคุมและป้องกัน ผลการดำเนินการ และมาตรการติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคไข้หวัดนกในสัตว์ป่าจำพวกนก ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้มีการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ การแพร่ระบาดโรคไข้หวัดนกทั้งในและนอกเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และเก็บตัวอย่างนกในธรรมชาติในกลุ่มนกน้ำ นกทุ่ง และนกบ้าน-นกในเมือง ในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ และสุพรรณบุรี เพื่อตรวจหาเชื้อไข้หวัดนก และได้มีการกำหนดมาตรการเพื่อควบ คุมโรคไข้หวัดนกสำหรับผู้เลี้ยงนกสวยงามในประเทศ โดยทำการสุ่มเก็บตัวอย่างจากนกเลี้ยงสวยงามของ ผู้เลี้ยง และนกที่อาศัยอยู่ตามแหล่งธรรมชาติ และเก็บตัวอย่างน้ำจากแหล่งธรรมชาติ (บริเวณเดียวกับที่ เก็บตัวอย่างนก) เพื่อตรวจพิสูจน์หาเชื้อโรคไข้หวัดนก รวมทั้งได้มีการเก็บตัวอย่างนกอพยพในพื้นที่ 10 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย (ทะเลสาบเชียงแสน) จังหวัดพะเยา (กว๊านพะเยา) จังหวัดนคร สวรรค์ (บึงบอระเพ็ด) จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดปทุมธานี (วัดไผ่ล้อม) จังหวัดประจวบ คีรีขันธ์ (เขาสามร้อยยอด) จังหวัดสงขลา (ทะเลสาบสงขลา) จังหวัดพัทลุง (ทะเลน้อย) และจังหวัดชลบุรี ถึงเพชรบุรี (อ่าวไทยตอนใน) นอกจากนี้ยังได้จัดทำแผนการป้องกันและควบคุมการระบาดของเชื้อไข้หวัด นกในสัตว์ป่า ระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2552 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะ กรรมการพิจารณาแก้ไขสถานการณ์โรคไข้หวัดนก อันมีรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เป็น ประธานกรรมการ |
||||||||||||||||||
1956 | การติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่สังกะสี อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | ทส | 05/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการติดตามตรวจสอบผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่สังกะสี อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อหาสาเหตุของแหล่งที่มา พบว่า สารแคด เมี่ยมอาจปนเปื้อนมากับตะกอนแขวนลอยในน้ำทิ้งที่ระบายออกจากโครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผา แดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) และบริษัท ตากไมนิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบและ แก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ได้เข้าไปตรวจสอบการดำเนินการของ เหมืองแร่สังกะสีทั้ง 2 แห่ง พบว่า บริษัทผาแดงอินดัสทรี ฯ ยังไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการในรายงาน ฯ ซึ่ง โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจวัดคุณภาพน้ำผิวดินและตะกอนท้องน้ำบริเวณห้วยแม่กุและอยู่ระหว่างทำ Post auditing ในส่วนของกระบวนการลอยแร่ และในการก่อสร้างอาคารกรองตะกอนดินทราย ไม่เป็นไปตาม แบบที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ ฯ นอกจากนี้ ระบบบ่อดักตะกอนที่รองรับน้ำฝนที่ไหลผ่านหน้าเหมือง มีขนาดเล็กกว่าที่ระบุไว้ในรายงาน ฯ ถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตร และยังไม่ได้จัดสร้างบ่อดักตะกอนบ่อที่ 7 ตามที่กำหนดไว้ในรายงาน ฯ ทั้งนี้ จากการไม่ปฏิบัติตามมาตรการในรายงาน ฯ กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติ โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ขอความร่วมมือกระทรวงอุตสาห กรรมพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ต่อโครงการเหมืองแร่สังกะสีของ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี ฯ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2547 ในส่วนของโครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ตาก ไมนิ่ง ฯ พบว่า ปัจจุบันโครงการหยุดดำเนินการทำเหมือง และได้ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มเติมเสร็จสิ้น แล้ว นอกจากนี้ บริษัท ตากไมนิ่ง ฯ ยังอยู่ระหว่างคัดเลือกที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อติดตามตรวจสอบคุณ ภาพน้ำและดินตะกอนบริเวณห้วยปาปุง โดยรับรองว่าจะไม่ปล่อยน้ำจากโครงการสู่ห้วยปาปุงและห้วยแม่ตาว อีกต่อไป
|
||||||||||||||||||
1957 | รายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ครั้งที่ 2 | ทส | 05/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธาน
กรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้รายงานสรุปความก้าวหน้าผลการ ดำเนินงานการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ครั้งที่ 2 โดยผลการดำเนินงานระหว่าง เดือนมีนาคม 2547 ถึงเดือนสิงหาคม 2547 รวมจำนวน 3,047 คดี ผู้ต้องหา 1,052 คน ไม้ของกลาง 6,790 ลูกบาศก์เมตร พื้นที่ถูกบุกรุกรวม 31,454-3-91 ไร่ และดำเนินคดีสำคัญและคดีรายใหญ่รวม 18 คดี ทั้งนี้ กรม ป่าไม้ ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ทส 1616.2/7381 ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อหยุดยั้งมิให้เกิดการทุจริตหรือเป็นช่องทางให้กลุ่มบุคคลผู้กระทำผิด หรือผู้แสวงหาประโยชน์จากไม้ของกลาง ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายไม้ของกลางระหว่างคดี หรือคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม นอกจากจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้ว การขายให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ต้องได้รับความเห็นชอบจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อนทุกกรณี
|
||||||||||||||||||
1958 | สรุปผลการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาโครงการจัดการน้ำเสีย เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ | ทส | 05/10/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาโครงการจัดการน้ำเสีย เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างวันที่ 10 มีนาคม-30 กันยายน 2547 สรุปดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ได้มอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษ ดำเนินการยื่นฟ้องคดีอาญากิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจีกับพวกในข้อหาฉ้อโกง ขณะนี้คดีดังกล่าวอยู่ระหว่าง การไต่สวนมูลฟ้องของศาล และให้มีหนังสือเพื่อปรึกษาคดีเกี่ยวกับการดำเนินคดีข้าราชการประจำหรืออดีต ข้าราชการประจำไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งสำนักงานอัยสูงสุดแจ้งว่า พนักงานอัยการไม่อาจเข้าร่วม ให้คำปรึกษาได้ เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อการใช้ดุลยพินิจในการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการเมื่อ ได้รับสำนวนการสืบสวนในเรื่องเดียวกัน กรมควบคุมมลพิษจึงต้องดำเนินการยื่นฟ้องคดีดังกล่าวเอง และ สำนักงานอัยการสูงสุดได้มอบหมายพนักงานอัยการยื่นฟ้องกิจการร่วมค้า ฯ ต่อศาลแพ่งเรื่องนิติกรรมเป็น โมฆะเพื่อเรียกเงินคืนตามหลักกฎหมายเรื่องลาภมิควรได้ มีจำนวนทุนทรัพย์ 17,045,889,431.40 บาท และ 121,343,887.19 เหรียญสหรัฐ โดยศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีตามคำร้องของกิจการร่วมค้า ฯ พนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และ ให้กรมควบคุมมลพิษฟ้องคดีแพ่งกับกลุ่มธนาคารผู้ค้ำประกันต่อศาลแพ่งเรียกให้ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญา ค้ำประกัน จำนวน 2,203,408,730.50 บาท และ 19,794,781.16 เหรียญสหรัฐ ขณะนี้อยู่ระหว่างการ พิจารณาของศาลแพ่ง ในการนี้ กิจการร่วมค้าได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้กรมควบคุมมลพิษแต่งตั้ง อนุญาโตตุลาการฝ่ายกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งกรมควบคุมมลพิษได้ยื่นคำคัดค้านต่อคำร้องดังกล่าวแล้ว นอก จากนี้ ให้กรมควบคุมมลพิษว่าจ้างกลุ่มที่ปรึกษาปฏิบัติงานสำรวจและตรวจสอบการออกแบบ และการก่อ สร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย ตรวจสอบสภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งวิเคราะห์และจัด ทำทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการดำเนินโครงการออกแบบรวมก่อสร้าง ฯ โดยกลุ่มที่ปรึกษา ฯ ได้ประชา สัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้อง และนำกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนมาใช้ในการ พิจารณาทางเลือกที่เหมาะสม โดยนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณา และจัดทำแผนปฏิบัติการ สำหรับ การดำเนินการตามทางเลือกดังกล่าว ทั้งนี้ กลุ่มที่ปรึกษา ฯ มีกำหนดที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน เดือนธันวาคม 2547
|
||||||||||||||||||
1959 | ขออนุมัติเงินงบประมาณประเภทเงินราชการลับ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ | ทส | 28/09/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยา
กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ที่เหลือ จ่ายไปตั้งจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ประเภทเงินราชการลับ ในวงเงิน 5,000,000 บาท สำหรับการจัดทำงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติ ฯ เสนอขอรับการจัดสรรเงินราชการลับดังกล่าวไปที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเนื่อง จากเป็นระยะใกล้สิ้นปีงบประมาณ หากไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวได้ทัน ก็ให้สำนักงานปลัด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ขอกันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันต่อกระทรวงการคลังต่อไป |
||||||||||||||||||
1960 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการระบบระบายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ (วาระสำคัญของรัฐบาล) (Agenda based) | ทส | 28/09/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการ พิจารณา และผลการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการระบบระบายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วม พื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเห็นว่า การบริหาร จัดการระบบระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วมพื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ควรจัดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรม การร่วมในการบริหารจัดการน้ำท่วมและการระบายน้ำบริเวณโดยรอบสนามบินและพื้นที่เกี่ยวข้อง โดยมีกรม ชลประทานเป็นฝ่ายเลขานุการ และมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้น ที่ร่วมดำเนินการพัฒนาระบบระบายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วมทุกขั้นตอน ตลอดจนร่วมในการเฝ้าระวังและ บริหารจัดการน้ำหลากอย่างต่อเนื่อง โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองประกาศเขตผังเมือง รวมออกมาเพื่อควบคุมการใช้ที่ดินและกำหนดทางระบายน้ำสายหลัก สายรอง และบริเวณทางน้ำหลาก เพื่อ มิให้เกิดปัญหาเรื่องระบบระบายน้ำและระบบป้องกันนำท่วม และควรจัดให้มีการประชุมหารือคณะกรรมการ ร่วมเพื่อหาแนวทางการบริหารจัดการระบายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วม โดยร่วมกับสำนักการระบายน้ำของ กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปทุมธานี จังหวัดกรุงเทพมหานคร กรม ชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานท่าอากาศยาน ฯ และตัวแทนประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2546 เรื่อง ขั้นตอนการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 ต่อไป
|