ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 95 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 1881 - 1900 จากข้อมูลทั้งหมด 2154 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1881 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2548 | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรม
การสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2548 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับ รองเรียบร้อยแล้วทั้งสิ้นรวม 5 เรื่อง ประกอบด้วย (1) เรื่องที่ประธาน ฯ แจ้งต่อที่ประชุม (2) รายงานการ ประชุม ฯ ครั้งที่ 7/2547 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2547 (3) เรื่องเพื่อพิจารณา ได้แก่ แผนการจัดการคุณภาพ สิ่งแวดล้อม เรื่อง การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตชุมชนอย่างยั่งยืน การพิจารณาทบทวนอายุการใช้งานที่เหมาะ สมของรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (รถแท็กซี่มิเตอร์) และการประเมินศักยภาพการใช้ ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ประกอบคำขอประทานบัตรเหมืองแร่ไพโรฟิลไรต์ ซ้ำในพื้นที่ประทาน บัตรเดิมของห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.อาร์.ดี.ไมนิ่ง ท้องที่หมู่ที่ 1 ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1882 | การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านน้ำเสียและขยะมูลฝอย | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอวิธีการปฏิบัติ
เพื่อการแก้ไขปัญหาน้ำเสียและขยะมูลฝอย โดยสังเขปดังนี้ การจัดการน้ำเสีย ให้กระทรวงมหาดไทยกำหนด เป็นนโยบายเพื่อให้ท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นควบคุมให้บ้านเรือนและอาคารติดตั้งบ่อดักไขมันและระบบ บำบัดน้ำเสียเพื่อลดปริมาณความสกปรกในเบื้องต้นก่อนที่จะระบายลงท่อระบายน้ำหรือแหล่งน้ำธรรมชาติ และส่งเสริมให้มีการใช้การผลิตที่สะอาด (Cleaner Production) ในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และ ภาคบริการในชุมชนเพื่อลดปริมาณน้ำเสียและมลพิษจากแหล่งกำเนิด รวมทั้งใช้มาตรการทางสังคมควบคู่กับ การบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการมลพิษจากแหล่งกำเนิด และ ให้การประปาส่วนภูมิภาคและการประปานครหลวงร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อ รวมองค์กรที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำประปาและจัดการน้ำเสียไว้ในหน่วยงานเดียวกัน ส่วนการจัดการขยะมูลฝอย ให้มีการเก็บรวบรวมและกำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการที่ถูกต้อง โดยเฉพาะขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในเทศบาลทั่ว ประเทศ โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนมีการคัดแยกและนำขยะมูลฝอยไปใช้ประโยชน์ และกำหนด เป็นแนวนโยบายให้ทุกจังหวัดจัดหาสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยเพื่อรองรับขยะมูลฝอยในระยะยาว และจัดให้มี ระบบคัดแยก และรวบรวมของเสียอันตรายจากชุมชนต่างหากจากขยะมูลฝอยทั่วไป เพื่อนำไปกำจัดที่สถาน ที่กำจัดของเสียอันตรายของเอกชน รวมถึงให้มีสถานที่กำจัดมูลฝอยติดเชื้อในลักษณะศูนย์รวมที่สามารถใช้ ร่วมกับหลายท้องถิ่น และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิ ภาค รับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย และหน่วยงานของรัฐสนับสนุนการนำปุ๋ยอินทรีย์จาก ขยะมูลฝอยไปใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ไขปัญหาด้านขยะมูลฝอย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการประเมินเทคโนโลยีในการ กำจัดขยะมูลฝอยที่เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 382/2547 ลง วันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 ไปประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะใช้ในการดำเนินการต่อไป ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1883 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของกรมทรัพยากรธรณีเกี่ยวกับธรณีพิบัติภัยอันสืบเนื่องมาจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ วันที่ 26 ธันวาคม 2547 | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้า
การดำเนินงานของกรมทรัพยาธรณีเกี่ยวกับธรณีพิบัติภัยอันสืบเนื่องมาจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีได้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจธรณีพิบัติภัยอันสืบเนื่องมาจากการเกิดแผ่น ดินไหวและคลื่นยักษ์ เพื่อติดตามประเมินสถานการณ์ ประสานงาน และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสาธารณชน สรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้ กรณีแผ่นดินไหว ได้ติดตามวิเคราะห์ข้อมูลเหตุการณ์แผ่นดินไหว ติดตั้งเครื่องมือ วัดแผ่นดินไหว เพื่อติดตามการเคลื่อนตัวของกลุ่มรอยเลื่อน และตรวจสอบรอยแยกที่มีฟองอากาศผุดจากท้อง ทะเล เป็นต้น กรณีหลุมยุบ ได้ออกประกาศเตือนภัยล่วงหน้าเขตพื้นที่เสียงภัยหลุมยุบในพื้นที่ภาคใต้ชายฝั่ง ทะเลอันดามัน และส่งเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจประจำการสำรวจธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์ในจังหวัดทางภาค ใต้ เพื่อตรวจสอบหลุมยุบทันทีที่ได้รับการแจ้ง เป็นต้น กรณีดินถล่ม ได้ศึกษาข้อมูลวิเคราะห์ภาพดาวเทียมและ ส่งเจ้าหน้าที่เข้าทำการสำรวจในพื้นที่เบื้องต้นบริเวณเกาะระ กำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา และตรวจสอบพื้นที่ที่ มีโอกาสเกิดดินถล่มบริเวณจังหวัดภูเก็ตและที่เขาหลัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นต้น กรณีถ้ำ ได้ทำการ ตรวจสอบถ้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งในและนอกเขตอุทยานแห่งชาติฝั่งทะเลอันดามัน ที่อาจจะได้รับผลกระทบ จากการเกิดแผ่นดินไหว เป็นต้น และกรณีการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง ได้กำหนดขอบเขตการเปลี่ยนแปลงชาย ฝั่งในระดับกว้างจากภาพดาวเทียมที่บันทึกก่อนและหลังวันที่ 26 ธันวาคม 2547 พร้อมทำการตรวจสอบภาค สนาม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1884 | รายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยการฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัย ครั้งที่ 4 | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความคืบหน้าการ
ช่วยเหลือผู้ประสบภัยการฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัย ครั้งที่ 4 ในส่วนของการแก้ไขปัญหาความเสียหายทางด้านกายภาพ โดยดำเนินการบูรณะฟื้นฟูทรัพย์สินของทางราช การ และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ อาทิ ปรับปรุงซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะในเขตอุทยานแห่งชาติ ปรับปรุงและซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียรวม เทศบาลตำบลกะรน และเทศบาลเมืองป่าตอง รวมทั้งการวางผัง เมืองของเกาะพีพีให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการน้ำเสียและขยะมูลฝอย เป็นต้น การฟื้นฟูทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการทำความสะอาด (Clean up) บริเวณอุทยานแห่งชาติที่ได้รับความเสียหาย เก็บขยะ ใต้ท้องทะเลและพลิกฟื้นปะการังที่ได้รับผลกระทบ นำขยะมูลฝอยติดเชื้อจากการรักษาพยาบาลไปกำจัดที่สถาน กำจัดขยะ และบำบัดกลิ่นและฆ่าเชื้อโรคในท่อระบายน้ำ เป็นต้น และการฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดยให้บริการด้าน การท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลในพื้นที่ประสบภัย และดำเนินโครงการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเพื่อ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาความเหมาะสมในการสร้างโรงเรียนขนาดเล็ก ในพื้นที่ประสบภัยเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1885 | รายงานความก้าวหน้าเรื่องรอยร้าวในอาคารโรงเรียน 4 แห่งที่จังหวัดสตูล | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากร
ธรณีรายงานความก้าวหน้าผลการสำรวจรอยร้าวในอาคารโรงเรียนที่จังหวัดสตูลเพิ่มเติม ได้แก่ โรงเรียน บ้านควนโรงเรียนบ้านทุ่ง และโรงเรียนบ้านตูแตหรำ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (Tsunami) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 โดยได้ดำเนินการสำรวจธรณีฟิสิกส์เพิ่มเติม พบว่ารอยแตกร้าว ของอาคารเรียนมีความสัมพันธ์กับโพรงใต้ดินขนาดใหญ่ และลึกประมาณ 10-12 เมตรจากผิวดิน หากมี การก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเพดานโพรงใต้ดินเกิดการแตกร้าว และ ยุบตัวได้ สำหรับการดำเนินภารกิจในระยะต่อไป ได้แจ้งให้จังหวัดสตูลระงับการใช้อาคารโรงเรียนบ้านกา แนะ และโรงเรียนบ้านควนเป็นการถาวรพร้อมทั้งเร่งสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความปลอดภัยจากการยุบตัว ของชั้นดิน เพื่อหาสถานที่ก่อสร้างอาคารเรียนถาวรต่อไป นอกจากนี้ ได้เร่งดำเนินการสำรวจในพื้นที่โรง เรียนอื่น ๆ ในเขตจังหวัดสตูล และจังหวัดอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้เพิ่มเติมอีกต่อไป ส่วนกรณีโรงเรียน บ้านทุ่งและโรงเรียนบ้านตูแตหรำ ให้โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ร่วมกันตรวจสอบสภาพความมั่นคงแข็งแรงของตัวอาคารโรงเรียนและบ้านของประชาชน พร้อมกับเจ้าหน้า ที่ของกรมทรัพยากรธรณีอีกครั้งหนึ่ง กรณีพบว่า ไม่ปลอดภัยจะได้ระงับการใช้อาคารเรียนและพื้นที่ใกล้ เคียงพร้อมประกาศเป็นพื้นที่อันตรายต่อไป โดยนักเรียนของทั้งสองโรงเรียนได้ย้ายไปเรียนในมัสยิดหรือ อาคารอื่นเป็นการชั่วคราวแล้ว ทั้งนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้ประสานกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณา จัดสรรงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราวอย่างเร่งด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1886 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา) | ทส | 15/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ
รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา ตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยกรมควบ คุมมลพิษ ได้ดำเนินการจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการป้องกัน แก้ไขและฟื้นฟูคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมี องค์ประกอบต่าง ๆ คือ เป้าหมาย มาตรการ แผนงาน โครงการ/กิจกรรม งบประมาณ และหน่วยงานที่รับ ผิดชอบในการดำเนินงานโดยจัดทำเป็นแผน 3 ปี (พ.ศ. 2549-2551) รวมทั้งได้จัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องเพื่อพิจารณา (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ข้อเสนอแนะและมี มติมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องกับแนวทางที่สภาที่ปรึกษา ฯ เสนอต่อคณะ รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการปรับแผน ฯ ในเบื้องต้น อนึ่ง กรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2547 และจะได้นำ เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1887 | รายงานผลการปฏิบัติงานศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ จังหว้ดพังงา ครั้งที่ 7 | ทส | 15/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ปฏิบัติงานของศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ จังหวัดพังงา ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 8 - 13 กุมภาพันธ์ 2548 โดยในส่วนของการค้นหาและเก็บศพผู้เสียชีวิต พบศพเด็กเพิ่ม จำนวน 2 ศพ สรุปยอดรวมผู้เสียชีวิตที่ พบในพื้นที่จังหวัดพังงา จำนวน 4,224 คน เป็นคนไทย 1,226 คน ชาวต่างประเทศ 1,633 คน และระบุไม่ ได้ 1,365 คน สำหรับการฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยว ได้ออกประกาศยกเว้นค่าบริการผ่านเข้าอุทยานแห่งชาติ ในพื้นที่จังหวัดพังงา จำนวน 5 แห่ง จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง อุทยานแห่งชาติเขาหลัก ลำรู่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1888 | สรุปผลการประชุมใหญ่สมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก ครั้งที่ 3 | ทส | 08/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนิน
การของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในนามของประเทศไทยในการประชุมใหญ่สมัชชาการอนุ รักษ์สิ่งแวดล้อมโลก ครั้งที่ 3 (Bangkok World Conservation Congress : BWCC 2004) ณ ศูนย์การประชุม แห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพ ฯ ระหว่างวันที่ 17-25 พฤศจิกายน 2547 โดยการประชุมประกอบด้วย 2 ส่วน คือ High-Level Roundtable Meeting (การประชุมโต๊ะกลม) ระดับสูง และ World Conservation Congress (การ ประชุมสมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก) ในส่วนของการประชุมโต๊ะกลมระดับสูง ได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อ คิดเห็นด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำหรับการประชุมสมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โลก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ การประชุมคณะกรรมาธิการของ IUCN 6 คณะ ซึ่งได้พิจารณาแผนยุทธศาสตร์ ช่วงปี พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2551 ของคณะกรรมาธิการแต่ละคณะเพื่อมุ่งเน้นให้มีการดำเนินงาน ด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเสมอภาคในลักษณะการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้มากยิ่งขึ้น การ ประชุมทางวิชาการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้และ ผลงานทางวิชาการ และข้อเสนอการกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม และการประชุมสมัชชาสมาชิก IUCN เป็นการประชุมเฉพาะสมาชิก IUCN ที่เน้นกรอบการบริหารงานของ IUCN ในการนี้ ที่ประชุม ฯ ได้เลือกนาย Mohammed Valli Moosa จากประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เป็น ประธาน IUCN และได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ความเท่าเทียม กันทางสังคม การสร้างแรงจูงใจด้านการอนุรักษ์ระบบนิเวศและวิถีชีวิต และดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลง พหุภาคี ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ได้พิจารณาญัตติ จำนวน 129 ญัตติ ซึ่ง IUCN จะนำไปดำเนินการ จำนวน 84 ญัตติ และข้อเสนอแนะให้ประเทศหรือองค์กรอื่นดำเนินการ จำนวน 45 ญัตติ ซึ่งขณะนี้ IUCN กำลังจัดทำรายงานการประชุม เมื่อได้รับจาก IUCN กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะเป็นหน่วยงานกลางในการประสานแจ้งให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1889 | สรุปผลการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 10 (COP 10) | ทส | 08/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 10 (The Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change-10th Session : COP 10) ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 6-17 ธันวาคม 2547 ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนติ นา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจาต่อรองในรายละเอียดของการดำเนินงานตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในส่วนของผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศภาคีอนุ สัญญา ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรเอกชน และสื่อมวลชน โดยมีนายอสิพล จับจิตรใจดล เอก อัครราชทูตไทยประจำกรุงบัวโนส ไอเรส เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมทั้งผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมดัง กล่าว สำหรับสาระสำคัญของการประชุมได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ร่างแผนงาน 5 ปี ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ-สังคม ที่เป็นผลกระทบต่อความอ่อนไหวและการปรับตัวต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ยกร่างแผนงาน 5 ปีดังกล่าว ซึ่ง ร่างแผน 5 ปีนี้จะประกอบด้วยข้อมูลและวีการ การประเมินความอ่อนไหว แผนปฏิบัติการของการปรับตัว และการบูรณาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยสามารถใช้แผนงาน 5 ปีนี้เป็นกรอบในการจัดทำ แผนปฏิบัติการ ในด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ การให้ความสำคัญและ ผลักดันให้มีการศึกษา วิจัย และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากแบบจำลองในระดับภูมิภาค และอนุภูมิภาค รวมทั้งเห็นชอบให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และประสบการณ์ระหว่างประเทศภาคีอนุสัญญา ฯ ในการดำเนินงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยนำข้อมูล ข้อคิดเห็น และประสบการณ์จากประเทศภาคีเหล่านั้นมาใช้ในการ ดำเนินงาน โดยเฉพาะการนำระบบการขึ้นทะเบียน (Registry System) และการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก (Greenhouse Gas Inventories) มาใช้ในการติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานเกี่ยวกับ การลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาและเห็นชอบเกี่ยวกับโครงการปลูกป่าขนาดเล็ก ภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด การปรับปรุงระบบเข้าถึงข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Inventorise) ของ UNFCCC ให้เป็นปัจจุบัน และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการให้การศึกษา ฝึก อบรม และการสร้างความตระหนักในระดับภูมิภาค อนุภูมิภาค และระดับประเทศ โดยประเทศญี่ปุ่นเสนอ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1890 | ของบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ของโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และโครงการเกี่ยวเนื่อง (โครงการพัฒนาพื้นที่หนองเต็ง-จักราช จังหวัดนครราชสีมา และโครงการอุทยานช้าง จังหวัดเชียงใหม่) | ทส | 25/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่าย การต่างประเทศ วัฒนธรรม ท่องเที่ยวและกีฬา) ที่มีมติตามที่สำนักงานบริหารโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (สชน.) เสนอขออนุมัติในหลักการและกรอบวงเงินเพื่อใช้ในการดำเนินการของโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และโครงการเกี่ยวเนื่องอีก 2 โครงการ คือ โครงการพัฒนาพื้นที่หนองเต็ง-จักร จังหวัดนครราชสีมา และ โครงการอุทยานช้าง จังหวัดเชียงใหม่ รวมวงเงินทั้งสิ้น 1,151,927,799 บาท โดยให้รับข้อสังเกตของคณะ กรรมการกลั่นกรอง ฯ ไปดำเนินการด้วยดังนี้ โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และโครงการอุทยานช้าง ควร มีการเตรียมการในเรื่องการบริหารจัดการของโครงการทั้งสองให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการดำเนินการเปิดโครง การในเดือนเมษายน 2548 และควรจัดทำแผนงานการบริหารจัดการในระยะยาวทั้งแผนการบริหารจัดการ โครงการและแผนการบริหารการเงิน เพื่อเสนอภาพรวมให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับโครงการ พัฒนาพื้นที่หนองเต็ง-จักราช จังหวัดนครราชสีมา ควรให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่อง เที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) รับผิดชอบดำเนินการ และเมื่อโครงการได้รับอนุมัติในหลักการจากคณะรัฐมนตรี แล้ว ให้ อพท. เร่งรัดดำเนินการในการขอความเห็นชอบ เพื่ออนุญาตการใช้พื้นที่ดำเนินการโครงการจาก กรมป่าไม้ ก่อนเข้าไปใช้พื้นที่เพื่อดำเนินการในรายละเอียดของโครงการต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณ รับไปพิจาณาความจำเป็นเหมาะสมของงบประมาณค่าใช้จ่ายในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง โดยให้ประสานกับ สำนักงานบริหารโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1891 | การกำหนดพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดหลุมยุบใน 49 จังหวัด | ทส | 25/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี
รายงานการดำเนินการกำหนดพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดหลุมยุบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (Tsunami) โดยได้ตั้งคณะทำงานด้านธรณีพิบัติภัยหลุมยุบ ทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบ ศึกษา วิเคราะห์สภาพ ธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัยที่เกี่ยวข้องกับหลุมยุบทั่วประเทศ และได้ออกประกาศกรมทรัพยากรธรณีเตือนภัยล่วง หน้า เขตพื้นที่เสียงภัยหลุมยุบในพื้นที่ภาคใต้ชายฝั่งทะเลอันดามัน พร้อมแผนที่และรายชื่อพื้นที่เสียงภัย และ ได้ประกาศขอความร่วมมือประชาชนแจ้งข้อมูลที่พบเห็นเกี่ยวกับรอยแตกรอยแยกที่เกิดขึ้นในชั้นหินผ่านทางอิน เทอร์เน็ต สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 และสถานีวิทยุในเครือของกรมประชาสัมพันธ์ สถานี วิทยุในส่วนภูมิภาค จังหวัดสุราษฎร์ธานี สงขลา ตรัง กระบี่ พังงา และสตูล รวมทั้งออกประกาศกรมทรัพยากร ธรณีเตือนภัยล่วงหน้าเขตพื้นที่เสี่ยงภัยหลุมยุบเพิ่มเติมในพื้นที่ 49 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้มีหนังสือ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดหลุมยุบสูง เพื่อให้ทราบถึงวิธีดำเนินการที่ถูกต้องในการกลบหลุม ยุบ พร้อมทั้งแนะนำข้อปฏิบัติในกรณีที่เกิดเหตุการณ์หลุมยุบเพิ่มเติม และขอความร่วมมือจากจังหวัดพิจารณา ระงับการขุดเจาะน้ำบาดาลเป็นการชั่วคราวเพื่อป้องกันการยุบตัวของหลุมยุบเพิ่มเติม และให้จังหวัดพิจารณา ระงับการใช้อาคารเรียนที่ตรวจพบโพรงใต้ดิน ซึ่งอาจเกิดการถล่มได้ เช่น ที่โรงเรียนบ้านกาแนะ อำเภอเมือง จังหวัดสตูล
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1892 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดพื้นที่และกำหนดมาตรการควบคุมการทำเกลือจากน้ำเกลือใต้ดิน | ทส | 25/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่ายการ
เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติดังนี้ เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมเสนอ ข้อกำหนดโครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมการทำเกลือจากน้ำเกลือใต้ดินในภาคตะวันออกเฉียง เหนือ (TOR) โดยจะทำการคาดคะเนผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำเกลือจากน้ำเกลือใต้ดินในภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี สกลนคร นครราชสีมา หนองคาย และมหาสารคาม เพื่อ กำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยกำหนดพื้นที่และลักษณะการดำเนินงานออกเป็น 4 ส่วน คือ (1) พื้นที่วิกฤต (2) พื้นที่ทั่วไป (3) ศึกษาเพื่อพัฒนาเทคนิคและกรรมวิธีการผลิตเกลือจากน้ำเกลือใต้ดิน และ (4) การสำรวจและประเมินความเสี่ยงจากการเกิดหลุมยุบ ระยะเวลาดำเนินการปีงบประมาณ พ.ศ. 2548- 2549 ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อรับข้อสังเกตตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ กลั่นกรอง ฯ และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ โดยในส่วนของคณะ กรรมการกลั่นกรอง ฯ มีข้อสังเกตว่า ควรให้มีการกำหนดรายละเอียดในข้อกำหนดโครงการศึกษา ฯ โดยศึกษา ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นให้ชัดเจน โดยเฉพาะการแพร่กระจายของดินเค็มสู่พื้นที่เกษตรกรรมซึ่งควร กำหนดเขตรัศมีที่จะศึกษาให้เหมาะสม รวมถึงการเกิดปัญหาดินถล่มเนื่องจากโพรงเกลือใต้ดินหรืออาจเกิดจาก ภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ โดยให้คำนึงถึง ว่าวัตถุประสงค์หลักของโครงการ ฯ ควรต้องเป็นไปเพื่อการรักษาทรัพยากรของประเทศมากกว่าประโยชน์ทาง ธุรกิจ และเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาค ม 2534 เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่ และการกำหนดมาตรการควบคุมการทำเกลือจากน้ำเกลือใต้ดิน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดเขตพื้นที่ที่อนุญาตและพื้นที่วิกฤตที่ห้าม สูบน้ำหรือนำน้ำเกลือจากใต้ดิน โดยใช้แผนที่แทนการระบุชื่อหน่วยการปกครอง โดยมีหลักการไม่ขยายพื้นที่ จากที่อนุญาตไว้เดิม และไม่อนุญาตให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ สำหรับงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตาม ความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้ จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้าง ศักยภาพการแข่งขัน และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ จำนวน 38.50 ล้านบาท และเสนอขอตั้งงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1893 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดหาถังน้ำดับไฟป่าใช้กับเฮลิคอปเตอร์ | ทส | 25/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ขอถอนเรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดหาถังน้ำดับไฟป่าใช้กับเฮลิคอปเตอร์ คืนไปก่อน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1894 | การจัดงานมหกรรมน้ำ "น้ำคือชีวิต..." | ทส | 25/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอการจัดงาน
มหกรรมน้ำ "น้ำคือชีวิต..." โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำหน้าที่เป็นหน่วยงาน หลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ดำเนินการจัดงานและใช้งบประมาณของกระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม ในการดำเนินการ จำนวน 14,270,000 บาท ทั้งนี้ ในการใช้จ่ายงบประมาณในการ จัดงานให้คำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และผลกระทบต่อเป้าหมาย ผลผลิต ตามแผนการปฏิบัติงานและ แผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ที่ได้กำหนดไว้ ตามความเห็นของสำนักงบ ประมาณด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1895 | รายงานความก้าวหน้าเรื่องดินถล่ม รอยแยกและหลุมยุบ | ทส | 25/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าว
หน้าเรื่อง ดินถล่ม รอยแยกและหลุมยุบ จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (Tsunami) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ได้เกิดผลกระทบทางธรณีพิบัติภัยเป็นวงกว้างเช่น หลุมยุบในบริเวณใกล้เขาหินปูน รอย แยกตามชั้นดินและดินถล่มบริเวณไหล่เขา กรมทรัพยากรธรณีได้สำรวจธรณีวิทยา ธรณีฟิสิกส์ พร้อมทั้ง วิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและดาวเทียม พบว่า บริเวณเกาะระ อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา มีร่องรอยดิน ถล่มภายหลังการเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์มากกว่า 70 แห่ง และมีแนวโน้มจะเกิดการถล่มของชั้นดิน และชั้นหินอีก จึงกำหนดพื้นที่เกาะระให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังภัยจากดินถล่ม และขอความอนุเคราะห์จังหวัด ชะลอการปลูกสร้างอาคารบ้านเรือนของประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความลาดชันสูงเป็นการ ชั่วคราวก่อน จนกว่ากรมทรัพยากรธรณีจะได้เข้าไปตรวจสอบในรายละเอียด และจากการสำรวจทางธรณี ฟิสิกส์บริเวณแนวคลองลาวนอน อ่าวอ่าง และเกาะหมู ตำบลราชกรูด อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ไม่ พบรอยเลื่อนในชั้นตะกอนใต้ทะเลแต่อย่างใด ส่วนก๊าซที่ผุดในชั้นดินใต้ท้องทะเล พบว่า เป็นก๊าซมีเทนที่ สามารถติดไฟได้ เกิดการสะสมตัวอยู่ในชั้นโคลนป่าชายเลนเก่า ซึ่งปิดทับด้วยชั้นทรายเมื่อคลื่นยักษ์พาตะ กอนทรายออกไปทำให้ก๊าซมีเทนที่ถูกปิดทับผุดขึ้นมา สำหรับหลุมยุบที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดภาคใต้และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งสิ้น 24 หลุม ได้ส่งเจ้าหน้าที่ประจำการสำรวจธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์ ในจังหวัดทางภาคใต้ จำนวน 10 คณะ เพื่อตรวจสอบหลุมยุบทันทีที่ได้รับการแจ้งพร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและประชาชนในเบื้องต้นเพื่อลดความกังวลของประชาชนที่เกรงกลัวต่อพิบัติภัยที่อาจเกิด ขึ้นใกล้ตัว นอกจากนี้ ได้ทำการสำรวจโพรงใต้ดินบริเวณอาคารเรียนโรงเรียนกาแนะ อำเภอเมือง จังหวัด สตูล พบว่า รอยแตกร้าวของอาคารเรียนที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับโพรงใต้ดินที่อยู่ใต้อาคารในระดับ ความลึกประมาณ 18 เมตรจากผิวดิน โพรงใต้ดินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของอาคารเรียน จึงแจ้งให้จังหวัดสตูลพิจารณาระงับการใช้อาคารเรียนดังกล่าวเป็นการถาวรพร้อมประกาศและกั้นเขตเป็น พื้นที่อันตราย ส่วนโพรงใต้ดินบริเวณอาคารเรียนโรงเรียนบ้านควน เป็นรอยแตกร้าวของอาคารเรียนที่ เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับโพรงใต้ดินที่อยู่ใต้อาคารในระดับความลึกประมาณ 18 เมตรจากผิวดิน ได้แจ้ง ให้จังหวัดสตูลพิจารณาระงับการใช้อาคารเรียนดังกล่าวเป็นการถาวร พร้อมประกาศและกั้นเขตเป็นพื้นที่ อันตราย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1896 | รายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยการฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัย ครั้งที่ 3 | ทส | 25/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความคืบหน้า
การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัย ครั้งที่ 3 จนถึงวันที่ 24 มกราคม 2548 โดยผลการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้ส่ง เต็นท์ (Camping Ground) และถุงนอนประมาณ 200 ชุด ให้แก่ผู้ประสบภัย ดำเนินการรื้อซากปรักหักพังใน บริเวณพื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต และอุทยานแห่งชาติแหลมสน จังหวัดระยอง จัดระบบประปา โดยการเจาะบ่อบาดาลใหม่ และติดตั้งระบบประปาบาดาลให้แก่ผู้อพยพที่ศูนย์ที่พักชั่วคราว 5 จุด ณ องค์การ บริหารส่วนตำบลบางม่วง จังหวัดพังงา และร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำการติดตั้งเครื่องวัดแผ่นดิน ไหว รวมทั้งได้ทำความสะอาดบริเวณอุทยานแห่งชาติที่ได้รับความเสียหาย เก็บขยะใต้ท้องทะเล และทำลาย แหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคในแหล่งน้ำกักขัง เป็นต้น สำหรับผลการดำเนินการฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินงานตามมาตรการจัดการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ที่ประสบธรณีพิบัติภัยภาคใต้ ได้แก่ การจัดการข้อมูลและประเมินความเสียหาย การจัดการฟื้นฟูชุมชนและสิ่งแวดล้อมแบบมีส่วนร่วม การฟื้นฟูพื้น ที่อุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยว และการแบ่งมอบภารกิจในระดับพื้นที่ให้มีความชัดเจน และมอบให้จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัยดำเนินการยกร่างเบื้องต้น เกี่ยวกับแนวคิดในด้านภูมิทัศน์พื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยรุงแรง ซึ่งอยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ ได้แก่ หาดป่าตอง หาดกมลา ตลอดจนศึกษา สำรวจและวิจัยในด้านอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือและดำเนินการร่วมกับกรมแผนที่ทหารในการบินสำรวจถ่ายภาพทาง อากาศ และจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางออโธสีเชิงเลข เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1897 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2547 | ทส | 18/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 7/2547 วันที่ 3 ธันวาคม 2547 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้มีมติรวม 23 เรื่อง ประกอบด้วย เรื่องที่ประธาน ฯ แจ้งต่อที่ประชุม เรื่อง รายงานการประชุม ฯ ครั้งที่ 6/2547 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2547 เรื่องเพื่อพิจารณา 13 เรื่อง ได้แก่ แผนปฎิบัติการตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบ คุมการเผาในที่โล่ง (สืบเนื่อง), การขยายเวลาการเลี้ยงกุ้งกุลาดำในพื้นที่เหนือเขื่อนทดน้ำบางปะกง, ความ เห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ (สืบเนื่อง), ความ เห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สถานีเรดาร์และสถานีโทรคมนาคม ของโครงการ RTADS PHASE II บริเวณยอดเขาใหญ่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ของกองทัพอากาศ, ความเห็นต่อรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซี เมนต์ ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) ที่ตำบลพุกร่างและขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัด สระบุรี, ความเห็นต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการบ้านเอื้ออาทรบางโฉลง ระยะที่ 3/ 1 และ 3/2 โครงการบ้านเอื้ออาทร จังหวัดภูเก็ต และโครงการบ้านเอื้ออาทร 3/1 และระยะที่ 2 จังหวัดฉะ เชิงเทรา ของการเคหะแห่งชาติ, การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดการกากของเสีย, การแต่งตั้งประธานกรรม การผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน 3 คณะ, การปรับปรุงคณะอนุ กรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรม, การยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการสิ่ง แวดล้อม จำนวน 3 คณะ, การปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาว นาน และเรื่องเพื่อทราบ 7 เรื่อง ได้แก่ รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวด ล้อมแห่งชาติเรื่อง การออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับประเภทและขนาด ของโครงการ หรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, การติดตามตรวจสอบการ ดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม โครงการโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ ของบริษัท ฟินิคซ พัลฟ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน), รายงานสถานภาพการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของโครงการที่ ได้รับอนุญาต และผ่านความเห็นชอบต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, รายงานความก้าวหน้า การดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กรณีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ บ้านเอื้ออาทรประชานิเวศน์, การดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2547 (มกรา คม-มิถุนายน 2547), รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2546, รายงานสถานการณ์มลพิษของ ประเทศไทย พ.ศ. 2546 และเรื่องอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1898 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2547 เรื่อง ความเห็นต่อรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) ที่ตำบลพุกร่างและขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี | ทส | 18/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรม
การสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2547 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2547 เรื่อง ความเห็นต่อรายงานประเมิน ผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของ บริษัทปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) ที่ตำบลพุกร่างและขุนโขลง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยที่ประชุม ฯ มีมติเห็นชอบกับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครง การเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย ฯ ตามความเห็นของคณะอนุ กรรมการพิจารณารายงานการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้น ที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวด ล้อมอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1899 | การให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน | ทส | 18/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอดังนี้ เห็นชอบให้ประเทศ
ไทยให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (Stockholm Convention on Persistent Organic Pollutants : POPs) เพื่อการเป็นภาคีสมาชิกโดยสมบูรณ์ต่อไป โดยให้กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษทำหน้าที่ศูนย์ประสานงาน (Focal Point) ในการปฏิบัติ ตามพันธกรณีของอนุสัญญา ฯ ต่อไป และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการให้สัตยาบัน ในอนุสัญญา ฯ ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1900 | สรุปผลการช่วยเหลือผู้ประสบภัย การฟื้นฟูและการพัฒนาพื้นที่อันเกิดจากธรณีพิบัติใน 6 จังหวัดภาคใต้ชายฝั่งทะเลอันดามัน | ทส | 18/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย การฟื้นฟูและการพัฒนาพื้นที่อันเกิดจากธรณีพิบัติภัยใน 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอัน ดามัน (จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล) สรุปได้ดังนี้ การค้นหาผู้รอดชีวิตและผู้เสียชีวิตใน ช่วงระหว่างวันที่ 26-28 ธันวาคม 2547 ได้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจำนวน 2,034 คน ที่มาเที่ยวอุทยานแห่ง ชาติซึ่งอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน และร่วมกับศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ จังหวัดพังงา ค้นหา ผู้รอดชีวิตและผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยชีวิตสัตว์น้ำ เช่น โลมา และพะยูน ในพื้นที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า และอำเภอท้ายเหมืองจังหวัดพังงา ในส่วนของการช่วยเหลือและให้ความสงเคราะห์ผู้ประสบ ภัย ได้ดำเนินการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การแจกจ่ายน้ำสะอาด ติดตั้งชุดประปาสนาม ซ่อมแซมระบบประปา ติดตั้งระบบประปาบาดาล สูบล้างบ่อน้ำตื้น และเป่าล้างบ่อบาดาล รวมทั้งได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อเฝ้า ระวังและเตือนภัยแผ่นดินไหว และร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและประเมินผล ความเสียหาย สำหรับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำมาตรการการจัดการฟื้นฟูและ พัฒนาพื้นที่ประสบภัย และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและออกแบบ การปรับปรุงผังเมืองสภาพภูมิทัศน์ และการป้องกันคลื่นยักษ์เบื้องต้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัด พังงา และภูเก็ต และทำความสะอาดบริเวณชายหาดและพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงบริเวณ ใต้ทะเล
|