ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 95 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 1881 - 1900 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1881 | แต่งตั้งที่ปรึกษารัฐมนตรี และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (นาวาอากาศโท รวยลาภ เอี่ยมทอง และนายชญานิน เทพาคำ) ตามมาตรา 7 | ทส | 15/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นาวาอากาศ
โท รวยลาภ เอี่ยมทอง เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายชญานิน เทพาคำ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2548 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
|
||||||||||||||||||
1882 | รายงานสถานการณ์การแก้ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งกรณีเร่งด่วน | ทส | 08/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสถานการณ์
การแก้ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งกรณีเร่งด่วน ในส่วนของผลการดำเนินงานที่สามารถตอบสนองความต้องการ และช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการแก้ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งกรณีเร่งด่วน ได้แก่ การ สำรวจและเจาะบ่อน้ำบาดาล 220 บ่อ พัฒนาบ่อน้ำบาดาล (เป่าล้าง) 2,110 บ่อ ซ่อมแซมเครื่องสูบน้ำแบบ บ่อลึก 1,461 เครื่อง ติดตั้งจุดจ่ายน้ำ 456 จุด แจกจ่ายน้ำโดยรถยนต์บรรทุกน้ำ 21,529,100 ลิตร แจก จ่ายน้ำที่จุดจ่ายน้ำ 41,796,685 ลิตร ช่วยเหลือน้ำเพื่อการเกษตร 14,533,100 ลิตร ซ่อมแซมระบบประปา ผิวดินและประปาบาดาล 159 แห่ง ก่อสร้างระบบประปาหมู่บ้าน (แหล่งน้ำผิวดิน) 242 แห่ง และพัฒนาและ ปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำผิวดิน 270 แห่ง ราษฎรได้รับความช่วยเหลือรวม 73,268 ครัวเรือน (เป็นประชากร 589,584 คน)
|
||||||||||||||||||
1883 | ขอความเห็นชอบหนังสือแสดงจำนงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์และจัดการสัตว์ป่าและพืชป่า ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กับ องค์การสัตว์ป่าแห่งประเทศสาธารณรัฐเคนย่า | ทส | 08/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด
ล้อม เสนอหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์และจัดการสัตว์ป่าและพืชป่า ระหว่างกรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกับองค์การสัตว์ป่าแห่งประเทศสาธารณรัฐเคนย่า โดยหนังสือแสดงเจต จำนง ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติของการอนุรักษ์และจัดการสัตว์ป่า และพันธุ์พืชของทั้งสองประเทศ โดยมีขอบเขตครอบคลุมในเรื่อง การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสัตว์ป่าและพืช ป่า (Wildlife Law Enforcement) การพัฒนาตลาดการท่องเที่ยว (Tourism marketing and development) การวิจัยสัตว์ป่าและพืชป่า และการพัฒนานโยบาย (Wildlife Research and policy development) การอนุ รักษ์สัตว์ป่าและพืชป่าระดับชุมชน (Community Wildlife conservation) และการให้การศึกษาด้านสัตว์ป่าและ พืชป่า (Wildlife education) ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงาน การดำเนินการวิจัยร่วม กัน การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ เผยแพร่ สนับสนุน และแลกเปลี่ยนวิทยาการ พัฒนาและส่งเสริมทรัพยากรการ ท่องเที่ยว และสร้างเครือข่ายข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้น
|
||||||||||||||||||
1884 | โครงการกำหนดค่าดัชนีความชุ่มชื้นของดิน (Antecedent Precipitation Index : API) เพื่อสนับสนุนการเตือนภัยล่วงหน้าน้ำท่วมฉับพลัน - แผ่นดินถล่ม | ทส | 08/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเสนอโครงการกำหนดค่าดัชนีความชุ่มชื้นของดิน (Antecedent Precipitaiton Index : API) เพื่อสนับ สนุนการเตือนภัยล่วงหน้าน้ำท่วมฉับพลัน-แผ่นดินถล่ม โดยให้ใช้จ่ายเงินงบกลาง ปี พ.ศ. 2548 วงเงิน 30 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่น กรอง ฯ ที่เห็นควรให้กรมทรัพยากรน้ำประสานร่วมมือกับกรมทรัพยากรธรณีในการดำเนินการโครงการ ฯ โดยค่าใช้จ่ายให้กรมทรัพยากรน้ำจัดทำแผนปฏิบัติงาน ตลอดจนแผนการใช้จ่ายเงินให้ชัดเจน เพื่อสำนักงบ ประมาณจะได้สนับสนุนงบประมาณตามความเหมาะสมต่อไป และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมดำเนินโครงการ ฯ เป็น 2 ระยะ โดยให้จัดทำรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานตามโครงการและ แผนการใช่จายเงิน และให้มีการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานในระยะที่ 2 และเมื่อสิ้นสุดโครงการ ฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||
1885 | การกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ที่ได้รับธรณีพิบัติภัย | ทส | 08/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่ง แวดล้อมในบริเวณพื้นที่ที่ได้รับธรณีพิบัติภัย จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัด ตรัง และจังหวัดสตูล พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและ ห้ามการดำเนินการอันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำหนดมาตรการเสริม ด้านการบริหารจัดการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ที่ได้รับธรณีพิบัติภัย ในจังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัด กระบี่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดตรัง และจังหวัดสตูล บริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน โดยให้ใช้บังคับได้มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ที่ได้รับ ธรณีพิบัติภัยภาคใต้ และโครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการฟื้นฟูและ พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และชุมชนพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพิจารณาก่อน
|
||||||||||||||||||
1886 | ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า | ทส | 08/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ประธานกรรมการอนุรักษ์
และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เสนอการปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนา กรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับการบริหารราช การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรม การ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ และแต่งตั้ง นาย สุวิชญ์ รัศมิภูมิ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะ กรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า
|
||||||||||||||||||
1887 | รายงานสถานการณ์ไฟป่า (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 28 กุมภาพันธ์ 2548) | ทส | 08/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสถานการณ์
ไฟป่า โดยสถานการณ์การเกิดไฟป่าทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547-28 กุมภาพันธ์ 2548 มีดังนี้ ภาคกลาง จำนวน 747 ครั้ง พื้นที่เสียหาย 28,929.5 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,165 ครั้ง พื้นที่ เสียหาย31,924 ไร่ ภาคเหนือ จำนวน 1,780 ครั้ง พื้นที่เสียหาย 18,879 ไร่ และภาคใต้ จำนวน 137 ครั้ง พื้นที่เสียหาย 4,858.25 ไร่ ซึ่งจากสถิติพบว่า ขนาดพื้นที่ที่ถูกไฟป่าไหม้ในปี 2548 มีน้อยกว่าในช่วงเวลา เดียวกันของปี 2547 สำหรับสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้น ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข็ง ในท้องที่จังหวัด นครสวรรค์ และจังหวัดอุทัยธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้สั่งการให้ทุก ฝ่ายสนธิกำลังเข้าร่วมดำเนินการดับไฟป่าที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้เข้าไปปฏิบัติการ ควบคุมไฟป่าในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว และเนื่องจากสถานการณ์ไฟป่าในปีนี้คาดว่าจะมีความรุนแรงมากที่สุดใน รอบ 6 ปี (ปี พ.ศ. 2542-2547) เพราะมีการสะสมของปริมาณเชื้อเพลิงที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับอิทธิพล ของปรากฏการณ์เอลนินโญ่ยังไม่อ่อนกำลังลง ฤดูไฟป่าจึงน่าจะขยายออกไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2548 จึง ได้เตรียมความพร้อมในการควบคุมไฟป่า ดังนี้ ดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาไฟป่า ปี 2548 โดยทำ การประชาสัมพันธ์และประสานงานกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ เตรียมความพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ดังกล่าว และเตรียมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การบูรณาการเพื่อ แก้ปัญหาไฟป่า ในเดือนมีนาคม 2548 เพื่อระดมความคิดเห็นภาคจากประชาชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้มี ส่วนในการแก้ไขปัญหาไฟป่าระยะยาวร่วมกัน
|
||||||||||||||||||
1888 | รายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2548 กรณีราษฎรตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขอกันพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าลุ่มน้ำปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน | ทส | 08/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2548 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 โดยที่ ประชุมได้พิจารณาเรื่อง ราษฎรตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขอกันพื้นที่ทำกินและที่อยู่ อาศัยออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ า ป่าลุ่มน้ำปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยได้มีมติให้ตรวจสอบหรือพิสูจน์ ราษฎรอยู่อาศัยและทำกินก่อนหรือหลังการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าลุ่มน้ำปาย เมื่อปี พ.ศ. 2515 โดยนำภาพถ่ายทางอากาศปี พ.ศ. 2520 ซึ่งใกล้เคียงกับการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฯ มากที่สุด มา เป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบ โดยหากราษฎรอยู่ก่อนการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฯ ให้เพิกถอนพื้นที่เขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่าส่วนนั้นออก (ต้องอยู่ก่อนกฎหมายเท่านั้น) เฉพาะที่ใช้ทำประโยชน์จริงก่อนปี พ.ศ. 2515 และกำหนดให้พื้นที่ที่เพิกถอนเป็นป่าสงวนแห่งชาติ หากอยู่หลังการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฯ และไม่ ขัดต่อพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ให้ดำเนินการจัดทำหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ โดยไม่ ต้องเพิกถอนพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ให้สิทธิ์ตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม ไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ หรือหากไม่สามารถดำเนินการได้ให้กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติแล้วจึงเพิกถอนพื้นที่เขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่า เพื่อให้กรมป่าไม้พิจารณาอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต่อไป สำหรับพื้นที่ที่ ใช้ประโยชน์ในราชการที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าลุ่มน้ำปาย ให้ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติ แล้วเพิก ถอนพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าส่วนนั้นออก หลังจากนั้นให้กรมป่าไม้ออกหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์ใน พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||
1889 | รายงานผลการตรวจสอบและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากธรณีพิบัติที่จังหวัดพังงา | ทส | 01/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ
รายงานผลการตรวจสอบและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากธรณีพิบัติที่จังหวัดพังงา โดยได้ทำการสำรวจแหล่งน้ำ จืดที่ได้รับผลกระทบ พบแหล่งน้ำจืดที่มีสภาพเป็นน้ำเค็ม 107 แห่ง และมีสภาพเน่าเสียและมีเชื้อโรคปะปน 54 แห่ง อยู่ในพื้นที่ตำบลบางม่วง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า และตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา รวมทั้งได้ตรวจวิเคราะห์ปริมาณเชื้อแบคทีเรียโดยสุ่มตัวอย่างแหล่งน้ำจืดที่ได้รับผลกระทบ 8 แห่ง พบแหล่งน้ำ ที่มีปริมาณแบคทีเรียชนิด Enterococci และ E.coli ในระดับที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินอาหารและโรค ทางเดินหายใจ ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อประชาชน จึงได้ดำเนินการปรับปรุงสภาพความสกปรกของแหล่ง น้ำดังกล่าวโดยการเติม Effective Microorganism (EM) และฆ่าเชื้อแบคทีเรียในขั้นตอนสุดท้ายด้วยแคลเซียมไฮ โปคลอไรด์ ซึ่งปรากฏว่า ปริมาณเชื้อโรคและคลอรีนตกค้างอยู่ในระดับที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการ บำบัดน้ำเสียจากการพิสูจน์ศพผู้เสียชีวิตซึ่งมีเชื้อโรคปะปนและบำบัดกลิ่นเหม็นในบริเวณตู้คอนเทนเนอร์เก็บศพ ที่วัดย่านยาว และดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นในระหว่างการตรวจพิสูจน์ศพเป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นการป้อง กันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและกลิ่นเหม็นรบกวน
|
||||||||||||||||||
1890 | ขออนุมัติในหลักการเพื่อจัดทำโครงการ Environment Office House และ Ecocity ในประเทศไทย | ทส | 01/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) จัดทำโครง การ Environment Office House และ Ecocity ในประเทศไทย โดยวัตถุประสงค์และหลักการของทั้ง 2 โครง การ มีดังนี้ โครงการ Environment Office House มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักและส่งเสริมการสร้าง อาคารที่ใช้เทคโนโลยีและวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนโครงการ Ecocity มีหลักการพื้นฐานมาจากการ พัฒนาที่ยั่งยืนโดยให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาเมืองควบคู่กับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับคุณ ภาพสังคมในเขตเมือง ทั้งนี้ ให้ร่วมกันจัดทำรายละเอียดของโครงการดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ กลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับการสร้างอาคารตามโครงการ ฯ ควรยึดหลักการผู้ใช้เป็นผู้จ่ายในทำนองเดียวกับอาคาร ESCAP โดยฝ่ายไทยจัดหาพื้นที่ให้เช่าในอัตราต่ำเพื่อเป็นการร่วมดำเนินงานที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนระหว่าง ประเทศบนพื้นฐานการสร้างความเป็นหุ้นส่วน (Partnership) ที่พึงปฏิบัติร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและองค์ การระหว่างประเทศที่เหมาะสม ส่วนการคัดเลือกพื้นที่เพื่อทำ Ecocity ควรพิจารณาโดยรอบคอบทั้งในด้าน ของขนาดและลักษณะของพื้นที่เพื่อให้สามารถเป็นตัวอย่างสะท้อนสภาพชุมชนดั้งเดิมและชุมชนที่ก่อตั้งใหม่ได้ ในขณะเดียวกันเพื่อจะเป็นแบบที่ดีได้ต่อไป และควรพิจารณาคัดเลือกวัสดุที่ใช้ในกิจกรรมของเมืองที่จะไม่ก่อ ให้เกิดมลพิษ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
1891 | การแก้ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งกรณีเร่งด่วน | ทส | 01/03/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขอ
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็น วงเงิน 823,980,000 บาท เพื่อให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการแก้ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้ง เป็นกรณีเร่งด่วน โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐ ทุกแห่งที่มีความพร้อมในด้านบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวง กลาโหม (หน่วยทหารพัฒนาและทหารช่าง) เป็นต้น เพื่อร่วมดำเนินการ โดยจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน ของกิจกรรมและการดำเนินงานให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงแล้วดำเนินการให้เต็มศักยภาพ โดยให้ขอตกลง ในรายละเอียดด้านการเงินกับสำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ประสานและเร่งรัดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ให้ความร่วมมือและรับผิดชอบ ในการบูรณะฟื้นฟู บำรุงรักษาบ่อน้ำบาดาล อ่างเก็บน้ำ และเครื่องสูบน้ำ อันเป็นภารกิจที่หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องได้ถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น |
||||||||||||||||||
1892 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2548 | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรม
การสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2548 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับ รองเรียบร้อยแล้วทั้งสิ้นรวม 5 เรื่อง ประกอบด้วย (1) เรื่องที่ประธาน ฯ แจ้งต่อที่ประชุม (2) รายงานการ ประชุม ฯ ครั้งที่ 7/2547 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2547 (3) เรื่องเพื่อพิจารณา ได้แก่ แผนการจัดการคุณภาพ สิ่งแวดล้อม เรื่อง การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตชุมชนอย่างยั่งยืน การพิจารณาทบทวนอายุการใช้งานที่เหมาะ สมของรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (รถแท็กซี่มิเตอร์) และการประเมินศักยภาพการใช้ ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ประกอบคำขอประทานบัตรเหมืองแร่ไพโรฟิลไรต์ ซ้ำในพื้นที่ประทาน บัตรเดิมของห้างหุ้นส่วนจำกัด พี.อาร์.ดี.ไมนิ่ง ท้องที่หมู่ที่ 1 ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
|
||||||||||||||||||
1893 | การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านน้ำเสียและขยะมูลฝอย | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอวิธีการปฏิบัติ
เพื่อการแก้ไขปัญหาน้ำเสียและขยะมูลฝอย โดยสังเขปดังนี้ การจัดการน้ำเสีย ให้กระทรวงมหาดไทยกำหนด เป็นนโยบายเพื่อให้ท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นควบคุมให้บ้านเรือนและอาคารติดตั้งบ่อดักไขมันและระบบ บำบัดน้ำเสียเพื่อลดปริมาณความสกปรกในเบื้องต้นก่อนที่จะระบายลงท่อระบายน้ำหรือแหล่งน้ำธรรมชาติ และส่งเสริมให้มีการใช้การผลิตที่สะอาด (Cleaner Production) ในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และ ภาคบริการในชุมชนเพื่อลดปริมาณน้ำเสียและมลพิษจากแหล่งกำเนิด รวมทั้งใช้มาตรการทางสังคมควบคู่กับ การบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการมลพิษจากแหล่งกำเนิด และ ให้การประปาส่วนภูมิภาคและการประปานครหลวงร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อ รวมองค์กรที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำประปาและจัดการน้ำเสียไว้ในหน่วยงานเดียวกัน ส่วนการจัดการขยะมูลฝอย ให้มีการเก็บรวบรวมและกำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการที่ถูกต้อง โดยเฉพาะขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในเทศบาลทั่ว ประเทศ โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนมีการคัดแยกและนำขยะมูลฝอยไปใช้ประโยชน์ และกำหนด เป็นแนวนโยบายให้ทุกจังหวัดจัดหาสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยเพื่อรองรับขยะมูลฝอยในระยะยาว และจัดให้มี ระบบคัดแยก และรวบรวมของเสียอันตรายจากชุมชนต่างหากจากขยะมูลฝอยทั่วไป เพื่อนำไปกำจัดที่สถาน ที่กำจัดของเสียอันตรายของเอกชน รวมถึงให้มีสถานที่กำจัดมูลฝอยติดเชื้อในลักษณะศูนย์รวมที่สามารถใช้ ร่วมกับหลายท้องถิ่น และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิ ภาค รับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย และหน่วยงานของรัฐสนับสนุนการนำปุ๋ยอินทรีย์จาก ขยะมูลฝอยไปใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ไขปัญหาด้านขยะมูลฝอย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการประเมินเทคโนโลยีในการ กำจัดขยะมูลฝอยที่เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 382/2547 ลง วันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 ไปประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะใช้ในการดำเนินการต่อไป ด้วย
|
||||||||||||||||||
1894 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของกรมทรัพยากรธรณีเกี่ยวกับธรณีพิบัติภัยอันสืบเนื่องมาจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ วันที่ 26 ธันวาคม 2547 | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้า
การดำเนินงานของกรมทรัพยาธรณีเกี่ยวกับธรณีพิบัติภัยอันสืบเนื่องมาจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีได้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจธรณีพิบัติภัยอันสืบเนื่องมาจากการเกิดแผ่น ดินไหวและคลื่นยักษ์ เพื่อติดตามประเมินสถานการณ์ ประสานงาน และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสาธารณชน สรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้ กรณีแผ่นดินไหว ได้ติดตามวิเคราะห์ข้อมูลเหตุการณ์แผ่นดินไหว ติดตั้งเครื่องมือ วัดแผ่นดินไหว เพื่อติดตามการเคลื่อนตัวของกลุ่มรอยเลื่อน และตรวจสอบรอยแยกที่มีฟองอากาศผุดจากท้อง ทะเล เป็นต้น กรณีหลุมยุบ ได้ออกประกาศเตือนภัยล่วงหน้าเขตพื้นที่เสียงภัยหลุมยุบในพื้นที่ภาคใต้ชายฝั่ง ทะเลอันดามัน และส่งเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจประจำการสำรวจธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์ในจังหวัดทางภาค ใต้ เพื่อตรวจสอบหลุมยุบทันทีที่ได้รับการแจ้ง เป็นต้น กรณีดินถล่ม ได้ศึกษาข้อมูลวิเคราะห์ภาพดาวเทียมและ ส่งเจ้าหน้าที่เข้าทำการสำรวจในพื้นที่เบื้องต้นบริเวณเกาะระ กำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา และตรวจสอบพื้นที่ที่ มีโอกาสเกิดดินถล่มบริเวณจังหวัดภูเก็ตและที่เขาหลัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นต้น กรณีถ้ำ ได้ทำการ ตรวจสอบถ้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งในและนอกเขตอุทยานแห่งชาติฝั่งทะเลอันดามัน ที่อาจจะได้รับผลกระทบ จากการเกิดแผ่นดินไหว เป็นต้น และกรณีการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง ได้กำหนดขอบเขตการเปลี่ยนแปลงชาย ฝั่งในระดับกว้างจากภาพดาวเทียมที่บันทึกก่อนและหลังวันที่ 26 ธันวาคม 2547 พร้อมทำการตรวจสอบภาค สนาม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
1895 | รายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยการฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัย ครั้งที่ 4 | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความคืบหน้าการ
ช่วยเหลือผู้ประสบภัยการฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัย ครั้งที่ 4 ในส่วนของการแก้ไขปัญหาความเสียหายทางด้านกายภาพ โดยดำเนินการบูรณะฟื้นฟูทรัพย์สินของทางราช การ และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ อาทิ ปรับปรุงซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะในเขตอุทยานแห่งชาติ ปรับปรุงและซ่อมแซมระบบบำบัดน้ำเสียรวม เทศบาลตำบลกะรน และเทศบาลเมืองป่าตอง รวมทั้งการวางผัง เมืองของเกาะพีพีให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการน้ำเสียและขยะมูลฝอย เป็นต้น การฟื้นฟูทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการทำความสะอาด (Clean up) บริเวณอุทยานแห่งชาติที่ได้รับความเสียหาย เก็บขยะ ใต้ท้องทะเลและพลิกฟื้นปะการังที่ได้รับผลกระทบ นำขยะมูลฝอยติดเชื้อจากการรักษาพยาบาลไปกำจัดที่สถาน กำจัดขยะ และบำบัดกลิ่นและฆ่าเชื้อโรคในท่อระบายน้ำ เป็นต้น และการฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดยให้บริการด้าน การท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลในพื้นที่ประสบภัย และดำเนินโครงการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเพื่อ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาความเหมาะสมในการสร้างโรงเรียนขนาดเล็ก ในพื้นที่ประสบภัยเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
1896 | รายงานความก้าวหน้าเรื่องรอยร้าวในอาคารโรงเรียน 4 แห่งที่จังหวัดสตูล | ทส | 22/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากร
ธรณีรายงานความก้าวหน้าผลการสำรวจรอยร้าวในอาคารโรงเรียนที่จังหวัดสตูลเพิ่มเติม ได้แก่ โรงเรียน บ้านควนโรงเรียนบ้านทุ่ง และโรงเรียนบ้านตูแตหรำ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (Tsunami) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 โดยได้ดำเนินการสำรวจธรณีฟิสิกส์เพิ่มเติม พบว่ารอยแตกร้าว ของอาคารเรียนมีความสัมพันธ์กับโพรงใต้ดินขนาดใหญ่ และลึกประมาณ 10-12 เมตรจากผิวดิน หากมี การก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเพดานโพรงใต้ดินเกิดการแตกร้าว และ ยุบตัวได้ สำหรับการดำเนินภารกิจในระยะต่อไป ได้แจ้งให้จังหวัดสตูลระงับการใช้อาคารโรงเรียนบ้านกา แนะ และโรงเรียนบ้านควนเป็นการถาวรพร้อมทั้งเร่งสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความปลอดภัยจากการยุบตัว ของชั้นดิน เพื่อหาสถานที่ก่อสร้างอาคารเรียนถาวรต่อไป นอกจากนี้ ได้เร่งดำเนินการสำรวจในพื้นที่โรง เรียนอื่น ๆ ในเขตจังหวัดสตูล และจังหวัดอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้เพิ่มเติมอีกต่อไป ส่วนกรณีโรงเรียน บ้านทุ่งและโรงเรียนบ้านตูแตหรำ ให้โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ร่วมกันตรวจสอบสภาพความมั่นคงแข็งแรงของตัวอาคารโรงเรียนและบ้านของประชาชน พร้อมกับเจ้าหน้า ที่ของกรมทรัพยากรธรณีอีกครั้งหนึ่ง กรณีพบว่า ไม่ปลอดภัยจะได้ระงับการใช้อาคารเรียนและพื้นที่ใกล้ เคียงพร้อมประกาศเป็นพื้นที่อันตรายต่อไป โดยนักเรียนของทั้งสองโรงเรียนได้ย้ายไปเรียนในมัสยิดหรือ อาคารอื่นเป็นการชั่วคราวแล้ว ทั้งนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้ประสานกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณา จัดสรรงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราวอย่างเร่งด่วน
|
||||||||||||||||||
1897 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา) | ทส | 15/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ
รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา ตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยกรมควบ คุมมลพิษ ได้ดำเนินการจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการป้องกัน แก้ไขและฟื้นฟูคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมี องค์ประกอบต่าง ๆ คือ เป้าหมาย มาตรการ แผนงาน โครงการ/กิจกรรม งบประมาณ และหน่วยงานที่รับ ผิดชอบในการดำเนินงานโดยจัดทำเป็นแผน 3 ปี (พ.ศ. 2549-2551) รวมทั้งได้จัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องเพื่อพิจารณา (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ข้อเสนอแนะและมี มติมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องกับแนวทางที่สภาที่ปรึกษา ฯ เสนอต่อคณะ รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการปรับแผน ฯ ในเบื้องต้น อนึ่ง กรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการปรับปรุง (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2547 และจะได้นำ เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||
1898 | รายงานผลการปฏิบัติงานศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ จังหว้ดพังงา ครั้งที่ 7 | ทส | 15/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ปฏิบัติงานของศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ จังหวัดพังงา ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 8 - 13 กุมภาพันธ์ 2548 โดยในส่วนของการค้นหาและเก็บศพผู้เสียชีวิต พบศพเด็กเพิ่ม จำนวน 2 ศพ สรุปยอดรวมผู้เสียชีวิตที่ พบในพื้นที่จังหวัดพังงา จำนวน 4,224 คน เป็นคนไทย 1,226 คน ชาวต่างประเทศ 1,633 คน และระบุไม่ ได้ 1,365 คน สำหรับการฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยว ได้ออกประกาศยกเว้นค่าบริการผ่านเข้าอุทยานแห่งชาติ ในพื้นที่จังหวัดพังงา จำนวน 5 แห่ง จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง อุทยานแห่งชาติเขาหลัก ลำรู่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
|
||||||||||||||||||
1899 | สรุปผลการประชุมใหญ่สมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก ครั้งที่ 3 | ทส | 08/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนิน
การของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในนามของประเทศไทยในการประชุมใหญ่สมัชชาการอนุ รักษ์สิ่งแวดล้อมโลก ครั้งที่ 3 (Bangkok World Conservation Congress : BWCC 2004) ณ ศูนย์การประชุม แห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพ ฯ ระหว่างวันที่ 17-25 พฤศจิกายน 2547 โดยการประชุมประกอบด้วย 2 ส่วน คือ High-Level Roundtable Meeting (การประชุมโต๊ะกลม) ระดับสูง และ World Conservation Congress (การ ประชุมสมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก) ในส่วนของการประชุมโต๊ะกลมระดับสูง ได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อ คิดเห็นด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำหรับการประชุมสมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โลก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ การประชุมคณะกรรมาธิการของ IUCN 6 คณะ ซึ่งได้พิจารณาแผนยุทธศาสตร์ ช่วงปี พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2551 ของคณะกรรมาธิการแต่ละคณะเพื่อมุ่งเน้นให้มีการดำเนินงาน ด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเสมอภาคในลักษณะการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้มากยิ่งขึ้น การ ประชุมทางวิชาการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้และ ผลงานทางวิชาการ และข้อเสนอการกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม และการประชุมสมัชชาสมาชิก IUCN เป็นการประชุมเฉพาะสมาชิก IUCN ที่เน้นกรอบการบริหารงานของ IUCN ในการนี้ ที่ประชุม ฯ ได้เลือกนาย Mohammed Valli Moosa จากประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เป็น ประธาน IUCN และได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ความเท่าเทียม กันทางสังคม การสร้างแรงจูงใจด้านการอนุรักษ์ระบบนิเวศและวิถีชีวิต และดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลง พหุภาคี ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ได้พิจารณาญัตติ จำนวน 129 ญัตติ ซึ่ง IUCN จะนำไปดำเนินการ จำนวน 84 ญัตติ และข้อเสนอแนะให้ประเทศหรือองค์กรอื่นดำเนินการ จำนวน 45 ญัตติ ซึ่งขณะนี้ IUCN กำลังจัดทำรายงานการประชุม เมื่อได้รับจาก IUCN กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะเป็นหน่วยงานกลางในการประสานแจ้งให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||
1900 | สรุปผลการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 10 (COP 10) | ทส | 08/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 10 (The Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change-10th Session : COP 10) ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 6-17 ธันวาคม 2547 ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนติ นา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจาต่อรองในรายละเอียดของการดำเนินงานตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในส่วนของผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศภาคีอนุ สัญญา ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรเอกชน และสื่อมวลชน โดยมีนายอสิพล จับจิตรใจดล เอก อัครราชทูตไทยประจำกรุงบัวโนส ไอเรส เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมทั้งผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมดัง กล่าว สำหรับสาระสำคัญของการประชุมได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ร่างแผนงาน 5 ปี ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ-สังคม ที่เป็นผลกระทบต่อความอ่อนไหวและการปรับตัวต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ยกร่างแผนงาน 5 ปีดังกล่าว ซึ่ง ร่างแผน 5 ปีนี้จะประกอบด้วยข้อมูลและวีการ การประเมินความอ่อนไหว แผนปฏิบัติการของการปรับตัว และการบูรณาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยสามารถใช้แผนงาน 5 ปีนี้เป็นกรอบในการจัดทำ แผนปฏิบัติการ ในด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ การให้ความสำคัญและ ผลักดันให้มีการศึกษา วิจัย และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากแบบจำลองในระดับภูมิภาค และอนุภูมิภาค รวมทั้งเห็นชอบให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และประสบการณ์ระหว่างประเทศภาคีอนุสัญญา ฯ ในการดำเนินงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยนำข้อมูล ข้อคิดเห็น และประสบการณ์จากประเทศภาคีเหล่านั้นมาใช้ในการ ดำเนินงาน โดยเฉพาะการนำระบบการขึ้นทะเบียน (Registry System) และการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก (Greenhouse Gas Inventories) มาใช้ในการติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานเกี่ยวกับ การลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาและเห็นชอบเกี่ยวกับโครงการปลูกป่าขนาดเล็ก ภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด การปรับปรุงระบบเข้าถึงข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Inventorise) ของ UNFCCC ให้เป็นปัจจุบัน และการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการให้การศึกษา ฝึก อบรม และการสร้างความตระหนักในระดับภูมิภาค อนุภูมิภาค และระดับประเทศ โดยประเทศญี่ปุ่นเสนอ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว เป็นต้น
|
.....