ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 231 จากทั้งหมด 482 หน้า แสดงรายการที่ 4601 - 4620 จากข้อมูลทั้งหมด 9623 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4601 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2547 [การแปลงทุนเป็นทุนเรือนหุ้นขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) โดยจัดตั้งเป็นบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)] | กค | 20/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจ
ยุทธ) ประธานคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจเสนอ มติคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ครั้งที่ 2/2547 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2547 ดังนี้ เห็นชอบการแปลงทุนขององค์การสื่อสารมวลชนแห่ง ประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) เป็นทุนเรือนหุ้น และจัดตั้งบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (บมจ.อสมท) โดยมีทุนจด ทะเบียนจำนวน 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญจำนวน 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 5 บาทต่อหุ้น และเห็นชอบข้อเสนอการขอรับความสนับสนุนจากส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่ เกี่ยวกับการแปลงสภาพ อ.ส.ม.ท. รวมทั้งข้อเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงคุ้มครองการจ้างงาน พนักงานและ ลูกจ้างของ อ.ส.ม.ท. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐ วิสาหกิจ พ.ศ. 2542 กับเห็นชอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ซึ่งปฏิบัติราชการแทนนายก รัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลในด้านนโยบายของ บมจ.อสมท และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามมาตรา 13(3) แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 และเห็นชอบให้นำเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนด เงื่อนเวลายกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2520 พ.ศ. .... ซึ่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ต่อคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||
4602 | รายงานผลการจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) | กค | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง
ทางเศรษฐกิจ (SAL) สำหรับโครงการสนับสนุนที่ปรึกษาไทยไปทำงานต่างประเทศ ของสำนักงานบริหาร หนี้สาธารณะ วงเงิน 150 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมที่ปรึกษาไทยไปทำงานใน ประเทศเพื่อนบ้าน โดยจัดทำโครงการนำร่องให้ที่ปรึกษาทำหน้าที่ศึกษาและรวบรวมข้อมูลตามแผนความ ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญ ของโครงการที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่ปรึกษาไทยจะเข้าไปดำเนินการ คัดเลือกโครงการนำร่องที่มีศักยภาพเพื่อพิจารณาขั้นตอนการจัดเตรียมโครงการ การศึกษาความเหมาะสม การออกแบบเบื้องต้น และการสำรวจเพื่อออกแบบรายละเอียด การควบคุมงาน รวมถึงให้คำแนะนำในการ จัดหาเงินทุนจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในขั้นตอนดำเนินการก่อสร้าง และการจัดซื้อสินค้า ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปตรวจสอบวงเงินกู้ฯ ดังกล่าว หากยังมีวงเงินเหลืออยู่ ก็ให้เร่งรัดการพิจารณา จัดสรรเงินกู้ดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
4603 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 และ 2 ปีงบประมาณ 2547 | กค | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาส
ที่ 1 และ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยผลการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2546 สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม 240.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 61.86 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ หรือร้อยละ 34.56 โดยสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ที่มีมูลค่า นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลไม้ ไฟแช็คและอุปกรณ์ เลนส์ สูท เสื้อ กระโปรง ฯ และผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ส่วน ผลการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2547 ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2547 สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม 199.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียว กันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 32.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 19.36 โดยสินค้าฟุ่มเฟือยใน ไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ที่มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไฟแช็คและอุปกรณ์ เครื่องแก้ว ชนิดใช้บนโต๊ะอาหาร ฯ ผลไม้ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง และผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ |
|||||||||||||||||||||||||||
4604 | รายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของหน่วยงานราชการภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | กค | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของหน่วยงานราชการภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ดังนี้ (1) กรมศุลกากร ได้นำ เรือศุลกากร (เรือเร็ว และเรือยาง) ไปใช้ในการลาดตระเวน การปันส่วนน้ำมันดีเซลและน้ำมันปาล์ม การ บริจาคเงินให้แก่โรงเรียน จำนวน 600,000 บาท และการจ้างคนในพื้นที่เป็นลูกจ้างของกรมศุลกากร (2) กรมสรรพสามิต ได้จัดอบรมและพัฒนาบุคลากรของกรมสรรพสามิตให้มีความเข้าใจในวัฒนธรรม ค่านิยม ภาษาท้องถิ่น (ยาวี) และสนับสนุนส่งเสริมสินค้า OTOP ประเภทน้ำผัก และผลไม้ (3) กรมสรรพากร ได้ เร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น (4) กรม ธนารักษ์ ได้ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารราชพัสดุ สร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างตามยุทธศาสตร์หรือตามความ ต้องการของจังหวัด และจัดหาที่อยู่อาศัยและหรือที่ทำกินให้ราษฎรผู้มีรายได้น้อย และ (5) กรมบัญชี กลาง ได้ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ดังนี้ อนุมัติสิทธิในการนับเวลาราชการทวีคูณแก่ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้า ที่อยู่ในเขตที่มีการประกาศกฎอัยการศึก, จ่ายเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้น ที่พิเศษ (สปพ.) ในอัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ปฏิบัติงาน ประจำในพื้นที่ดังกล่าว, กำหนดเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนเพิ่มเติมให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำดัง กล่าวให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนในอัตรา 2,500 บาท ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ นอกเหนือ จากที่กล่าวไว้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้พิจารณากำหนดบุคคลผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สมควรได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือน โดยให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนใน อัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน หากเป็นผู้ปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ ให้ได้รับเงินพิเศษเพิ่มเติม อีก 2,500 บาท นอกจากนี้ ยังได้จ่ายเงินช่วยเหลือจากโครงการเพื่อการสาธารณประโยชน์จากรายได้ โดยการออกสลากพิเศษ รวมทั้งอนุมัติการช่วยเหลือบุตรของข้าราชการหรือลูกจ้างประจำที่เสียชีวิตจาก การปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้รับสิทธิสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรตามหลัก เกณฑ์ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. 2523 และที่แก้ไขเพิ่ม เติมต่อไปจนกว่าจะหมดสิทธิ |
|||||||||||||||||||||||||||
4605 | รายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | กค | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ 3 จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ดังนี้ (1) ธนาคารอิสลามแห่ง ประเทศไทย ได้จัดทำโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการและประชาชนในท้องถิ่น พร้อมทั้งบริจาคอุปกรณ์การ เรียนและคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ (2) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ได้ให้สินเชื่อ แก่ลูกค้าส่งออกในพื้นที่ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และให้ลูกค้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเป็นการป้องกันความ เสี่ยงที่อาจเกิดจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน (3) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่ง ประเทศไทย ได้ให้การสนับสนุนสินเชื่อ OTOP ในวงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินหมุนเวียนใน การผลิตสินค้าและรวบรวมข้อมูลสินค้า OTOP เพื่อให้บริษัทรวมค้าปลีกเข้มแข็ง จำกัด (Allied Retail Trade : ART) เลือกซื้อสินค้าไปไว้ในร้าน (4) บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้อนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ จำนวน 4.5 ล้านบาท กับช่วยเหลือลูกค้าบรรษัท ฯ โดยผ่อนปรนการชำระหนี้สินเชื่อคงค้าง และงดคิดดอกเบี้ย เพิ่มจากการผิดชำระหนี้ (5) ธนาคารออมสิน จะให้ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียน และนักศึกษา จังหวัดละ 300 ทุน รวม 900 ทุน ทุนละไม่เกิน 10,000 บาทต่อคน และจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการศึกษา จำนวน 1,000 ล้าน บาท สำหรับการศึกษาระดับมัธยมตอนปลายถึงระดับปริญญาโท ทุนละ 60,000-100,000 บาท และสนับสนุน เงินค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียของประชาชนใน 3 จังหวัด จังหวัดละ 100 คน รวม 300 คน คนละ 20,000 บาท และ (6) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ให้ความ ช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นลูกค้าในการปรับโครงสร้างหนี้ และสนับสนุนภารกิจด้านการศาสนาอิสลาม และสังคม มุสลิม สำหรับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะสนับสนุนทางการเงินในการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอน ศาสนาอิสลามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ ใน 9 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 108 แห่ง เป็นเงิน รวมทั้งสิ้น 464 ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
4606 | การดำเนินงานโครงการที่ราชพัสดุเพื่อสันติสุข 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกรมธนารักษ์ (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | กค | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการที่ราชพัสดุเพื่อสันติสุข
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) ของกรมธนารักษ์เฉพาะส่วนของการปรับปรุงซ่อม แซมอาคารราชพัสดุ ภายในวงเงิน 356 ล้านบาท โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในวงเงินดังกล่าว ให้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัด ทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ชัดเจน โดยพิจารณาปรับแผนงบประมาณรายจ่าย ประจำปีเพื่อดำเนินงานตามแผนที่ต้องใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ในโอกาสแรกก่อน และหากไม่ สามารถปรับแผนงบประมาณดังกล่าวได้ เห็นควรให้เริ่มดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เป็น ต้นไป โดยให้เสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ต่อไป ส่วนแผนการดำเนินงานในปีต่อ ๆ ไป จะพิจารณา จัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ในส่วนของการสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างตาม ยุทธศาสตร์หรือตามความต้องการของจังหวัด รวมทั้งการจัดหาที่อยู่อาศัย และหรือที่ทำกินให้แก่ผู้มีรายได้ น้อย ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส. จตช) รับไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และหากเห็นควรให้ดำเนินการ ก็ให้พิจารณาให้จ่ายจากกรอบวงเงินที่คณะ รัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มีนาคม และ 7 เมษายน 2547 อนุมัติหลักการตามยุทธศาสตร์การพัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้านเศรษฐกิจและสังคม และด้านความมั่นคงไว้แล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
4607 | การดำเนินการตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี | กค | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมของการดำเนินการ
ตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2546 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ กระทรวงการคลัง ดังนี้ (1) เรื่อง การจัดทำความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับจีน ทั้งสองฝ่าย ได้ดำเนินการประกาศลดภาษีศุลกากรระหว่างกันลงเหลือร้อยละ 0 โดยกระทรวงการคลังได้ออกประกาศลด ภาษีสำหรับสินค้าตอนที่ 07-08 ให้กับจีนซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 สำหรับกรอบความตกลงการ ค้าเสรีระหว่างอาเซียน-จีน ไทยจะลดภาษีผักและผลไม้และสินค้าเกษตรในตอนที่ 01-08 ซึ่งกระทรวงการ คลังได้ออกประกาศลดภาษีในเรื่องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2547 (2) เรื่อง มาตรการทางภาษีต่อน้ำมันปาล์ม กระทรวงการคลังได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและ พืชน้ำมันอื่น เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 เพื่อขอให้พิจารณายกเลิกมาตรการจำกัดปริมาณนำเข้าของสินค้า กลุ่มดังกล่าว เฉพาะการนำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งขณะนี้เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ คณะกรรมการ ฯ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม (3) ความร่วมมือในการ ขนส่งสินค้า และผู้โดยสารข้ามแดน ที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมถาวรไทย-มาเลเซีย ได้มีการหารือและเห็น ชอบในหลักการที่จะให้ยกร่างความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านแดนไทยไปยังมาเลเซียขึ้นมา ใหม่ โดยใช้ชื่อว่า "ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนโดยทางถนน" โดยเนื้อหาให้ครอบคลุมการขน ส่งสินค้าทุกประเภทไม่เฉพาะแต่สินค้าเน่าเสียง่ายเท่านั้น และไม่จำกัดเพดานของปริมาณสินค้าที่ขนส่ง (โดย เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่จำกัดปริมาณไว้ที่ 6 หมื่นตัน) โดยฝ่ายไทยได้ยกร่างความตกลง ฯ ดังกล่าว และส่งให้ ทางฝ่ายมาเลเซียตรวจสอบในรายละเอียดแล้วซึ่งล่าสุดทราบว่ากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมาเลเซีย และ (4) เรื่อง การลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายจากไทยไปมาเล เซีย ในช่วงไตรมาสที่ 1 (มกราคม-มีนาคม 2547) มีผลการจับกุม จำนวน 512 คดี คิดเป็นมูลค่าของกลาง ที่จับกุมได้ประมาณ 148 ล้านบาท โดยศุลกากรภาค 4 ของไทยและศุลกากรมาเลเซีย ได้มีการประชุมหารือ กันในระดับเจ้าหน้าที่เพื่อร่วมมือกันหาทางป้องกันการลักลอบนำเข้าดังกล่าวอยู่เป็นระยะ และกรมศุลกากร ไทยได้มีแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย พร้อมทั้งได้กำชับด่าน ตรวจตามแนวชายแดนให้มีความเข้มงวดในการตรวจจับ เพื่อลดจำนวนและปริมาณของสินค้าที่มีการลักลอบ นำเข้าให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
4608 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนของกรรมการและอนุกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ | กค | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
หลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนของกรรมการและอนุกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดยมีสาระสำคัญคือ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทน ของกรรมการและอนุกรรมการ ฉบับลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ และอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนของกรรมการและอนุกรรมการ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 4 มกราคม 2542 และ นำหลักเกณฑ์ เรื่อง การจ่ายค่าตอบแทนกรรมการและอนุกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามประ กาศกระทรวงการคลัง ฯ มากำหนดไว้ในร่างประกาศกระทรวงการคลังฉบับนี้ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
4609 | รายงานการนำเข้าสินค้าที่มีเมืองกำเนิดจากประเทศสมาชิกใหม่อาเซียนที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (AISP) | กค | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าที่มีเมืองกำเนิดจากประเทศ
สมาชิกใหม่อาเซียนที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (AISP) ไตรมาสแรก ของปี พ.ศ. 2547 มีดังนี้ ประเทศ กัมพูชา สินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ได้แก่ ปลามีชีวิต โดยมูลค่าการนำเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวม 66,000 บาท อากร 3,300 บาท เดือนมีนาคม 2547 มูลค่าการนำเข้ารวม 4,000 บาท อากร 200 บาท ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ได้แก่ โค กระบือ มี ชีวิต มูลค่าการนำเข้าเดือนมกราคม 2547 รวม 4,078,800 บาท อากร 203,940 บาท เดือนกุมภาพันธ์ 2547 มูลค่าการนำเข้ารวม 3,496,100 บาท อากร 174,805 บาท เดือนมีนาคม 2547 มูลค่าการนำเข้ารวม 6,517,000 บาท อากร 325,850 บาท ถั่วลิสง มูลค่าการนำเข้าเดือนมกราคม 2547 รวม 59,612 บาท อากร 2,980 บาท หน้าต่างและกรอบหน้าต่าง มูลค่าการนำเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวม 248,134 บาท อากร 12,405 บาท ประตูและกรอบประตู มูลค่าการนำเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวม 48,326 บาท เดือนมีนาคม 2547 รวม 181,216 บาท ปอกระเจา มูลค่าการนำเข้าเดือนมกราคม 2547 รวม 55,000 บาท อากร 2,750 บาท เดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวม 530,923 บาท อากร 26,545 บาท เดือนมีนาคม 2547 รวม 3,226,746 บาท อากร 161,334 บาท เฟอร์นิเจอร์ทำด้วยไม้ใช้ในห้องนอน มูลค่าการนำเข้าเดือนมกราคม 2547 รวม 17,883 บาท อากร 894 บาท เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ทำด้วยไม้ มูลค่าการนำเข้าเดือนมกราคม 2547 รวม 489,946 บาท อากร 24,494 บาท เดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวม 472,979 บาท อากร 23,647 บาท เดือน มีนาคม 2547 รวม 251,304 บาท อากร 12,565 บาท ประเทศสหภาพพม่า สินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทาง ภาษีศุลกากร ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ มูลค่าการนำเข้าเดือนมกราคม 2547 รวม 2,000,000,000 บาท อากร 603,205 บาท เดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวม 2,540,754,616 บาท อากร 452,788 บาท เดือนมีนาคม 2547 รวม 2,412,475,052 บาท อากร 427,604 บาท แผ่นไม้อื่น ๆ ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตดินสอ มูลค่าการนำเข้า เดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวม 657,850 บาท อากร 32,892 บาท ไม้สักอื่น ๆ มูลค่าการนำเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวม 803,195 บาท อากร 40,159 บาท และไม้อื่น ๆ มูลค่าการนำเข้าเดือนมีนาคม 2547 รวม 803,401 บาท อากร 40,170 บาท และประเทศเวียดนาม สินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ได้แก่ พื้นรองเท้าด้านอก และส้นรองเท้าทำด้วยยางหรือพลาสติก มูลค่าการนำเข้าเดือนมีนาคม 2547 รวม 88,263 บาท และพื้นรองเท้าชนิดอื่น ๆ มูลค่าการนำเข้าเดือนมีนาคม 2547 รวม 121,674 บาท |
|||||||||||||||||||||||||||
4610 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนพฤษภาคม 2547 | กค | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 โดยส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจได้เบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว จำนวน 620,820 ล้านบาท หรือร้อยละ 60.39 ของวงเงินงบ ประมาณ (1,028,000 ล้านบาท) ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่มเติม จำนวน 135,500 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว จำนวน 49,851 ล้านบาท หรือร้อย ละ 36.79 ของวงเงินงบประมาณดังกล่าว ประกอบด้วย รายการค่าใช้จ่ายตามมาตรการพัฒนาและบริหาร กำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง จำนวน 13,147 ล้านบาท รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ (รายการเงินบำเหน็จดำรงชีพ) จำนวน 36,205 ล้านบาท และรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักย ภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ จำนวน 499 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายเงินจำแนก ตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ/ลงทุน) ไม่รวมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่ม เติม (135,500 ล้านบาท) มีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน 552,185 ล้านบาท หรือร้อยละ 66.37 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ (832,026 ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน 68,635 ล้านบาท หรือร้อยละ 35.02 ของบประมาณรายจ่ายลงทุน (195,974 ล้านบาท) และผลการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของหน่วย งานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 17 แห่ง มีจำนวน 49,233 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 36.20 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนในกลุ่มนี้ (136,006 ล้านบาท) |
|||||||||||||||||||||||||||
4611 | ผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ไม่ยืนยันมติ) | กค | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี)
เสนอผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิ วาส) ประกอบด้วย การดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามที่ได้รับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2547 จำนวน 22 โครงการ วงเงิน 1,509.73 ล้านบาท ดังนี้ กรมทางหลวง 4 โครงการ วงเงิน 829.09 ล้านบาท เกิดการจ้าง แรงงานท้องถิ่นประมาณ 176.56 ล้านบาท กรมทางหลวงชนบท 5 แผนงาน วงเงินงบประมาณ 508.83 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 15.29 ล้านบาท กรมการขนส่งทางบก 1 โครงการ เกิดการ จ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 3.17 ล้านบาท กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี 5 โครงการ วงเงิน 125.71 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 4.44 ล้านบาท สำนักงานนโยบายและแผนการขน ส่งและจราจร 1 โครงการ คือ โครงการฝึกอบรม ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนที่จังหวัด นราธิวาส เดือนสิงหาคม 2547 วงเงิน 0.38 ล้านบาท ประมาณการมูลค่าสร้างงาน 0.26 ล้านบาท และ การรถไฟแห่งประเทศไทย 6 โครงการ วงเงิน 42.55 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 13.82 ล้านบาท สำหรับโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 13 โครงการ วงเงิน 1,961.41 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 138 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวง คมนาคม โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในสังกัด ได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างงานอาชีพและให้เกิดการ จ้างแรงงานและรายได้ให้แก่ประชาชน อีกจำนวน 7 กิจกรรม เช่น การจัดฝึกอบรม เรื่อง การขนส่งและ จราจรอย่างยั่งยืนให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นที่จังหวัดนราธิวาส รวมทั้งการก่อสร้างสนามฟุตบอลที่ตำบล บาเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และการจัดพื้นที่บริเวณหน้าที่อาคารท่าอากาศยานหาดใหญ่ สำหรับให้ประชาชนจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
4612 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 70 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. .... | กค | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของ
เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 70 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ จัดทำเหรียญกษาปณ์ โลหะสองสี (สีขาวและสีทอง) ราคาสิบบาทหนึ่งชนิด ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาส 70 ปี มหาวิทยา ลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2547 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา เป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
4613 | รายงานประเมินผลการดำเนินการของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย | กค | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอว่า ตามที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ช่วย
รัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง จากนายกิตติ ลิ่มสกุล เป็นนายวีระชัย วีระเมธีกุล ซึ่งเป็นประธานของ คณะทำงานเพื่อจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย นั้น กระทรวง การคลังจึงได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำรายงานประเมินผล การดำเนินการของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (ฉบับที่ 2) เพื่อปรับปรุงองค์ประกอบและหน้าที่ของ คณะทำงาน ฯ ใหม่ |
|||||||||||||||||||||||||||
4614 | รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง และมาตรการปรับค่าตอบแทนภาครัฐ | กค | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามมาตร
การพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง และมาตรการปรับค่าตอบแทนภาครัฐ (เงินเดือน อัตราใหม่) โดยผลการดำเนินงานตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในส่วน ของการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ (เงินก้อน) ซึ่งหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ (เงินก้อน) เท่ากับ [8+เวลา ราชการที่เหลือ (ปี)] x เงินเดือนเดือนสุดท้ายบวกเงินประจำตำแหน่ง (ถ้ามี) แต่สูงสุดไม่เกิน 15 เท่าของเงิน เดือนเดือนสุดท้ายบวกเงินประจำตำแหน่ง (เวลาราชการที่เหลือไม่ปัดเศษ ) และเมื่อกรมบัญชีกลางได้รับเอก สารประกอบการเบิกจ่ายจากส่วนราชการครบถ้วน จะดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีสิทธิ ภายใน 7 วันทำการ และจากข้อมูลของสำนักงาน ก.พ. มีผู้สมัครเข้าร่วมมาตรการ จำนวน 48,101 ราย อนุมัติ และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากผู้มีสิทธิแล้ว จำนวน 47,761 ราย คิดเป็นร้อยละ 99.29 ของผู้เข้าร่วมมาตรการ ฯ จำนวนเงินที่โอน 13,660 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.21 ของงบประมาณที่ได้รับอนุมัติเงินประจำงวด สำหรับ ปัญหาอุปสรรคของการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือจ่ายช่วยเหลือ (เงินก้อน) กรณีที่ผู้เข้าร่วมมาตรการ ฯ บางรายยัง ไม่ได้รับเงิน เนื่องจากส่วนราชการยังไม่ยื่นเอกสารขอเบิกกับกรมบัญชีกลาง หรือจัดส่งเอกสารประกอบการ เบิกจ่ายให้กรมบัญชีกลางแล้วแต่เอกสารไม่ครบถ้วน ซึ่งได้ประสานและเร่งรัดให้ส่วนราชการดำเนินการแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
4615 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน (จำนวน 2 ราย) | กค | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้แต่งตั้ง นายสมพงษ์ วนาภา และนายนาวิน
ขันธหิรัญ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินแทนกรรมการอื่นที่ขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 มิถุนายน 2547) เป็นต้นไป |
|||||||||||||||||||||||||||
4616 | การผ่อนคลายหลักเกณฑ์และแนวทางการจ่ายผลตอบแทนของผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามสัญญาจ้าง | กค | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการทั้ง 4 ข้อ เกี่ยวกับการผ่อนคลายหลักเกณฑ์ และแนวทางการจ่ายผลตอบแทนของผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจตามสัญญาจ้าง ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการด้วย ดังนี้ ในการกำหนดเพดานเงินตอบแทนต่ำสุดและสูงสุดสำหรับผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ควรคำนึงถึงภาพรวมของ อัตราเงินเดือน รวมทั้งเงินตอบแทนในปัจจุบันที่จ่ายให้กับผู้บริหารสูงสุดของทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอก ชน โดยแยกประเภทรัฐวิสาหกิจออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น กลุ่มรัฐวิสาหกิจที่มีผลประกอบการดีมีกำไร กลุ่มรัฐวิสาห กิจที่มีกำไรน้อยหรือขาดทุน และกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ไม่มุ่งแสวงกำไรและไม่มีรายได้ เป็นต้น และกำหนดแนวทาง กว้าง ๆ ในการกำหนดค่าตอบแทนสำหรับผู้บริหารสูงสุดภายใต้เพดานเงินตอบแทนต่ำสุดและสูงสุดดังกล่าวแต่ ละกลุ่ม เพื่อที่คณะกรรมการของแต่ละรัฐวิสาหกิจจะได้มีความยืดหยุ่นในการพิจารณากำหนดเงินค่าตอบแทนใน แต่ละกรณีได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้ที่จะมาเป็น ผู้บริหารสูงสุด ตลอดจนภารกิจและเป้าประสงค์ที่จะมอบหมายให้ผู้นั้นรับผิดชอบดำเนินการให้บรรลุผลต่อไป ส่วนการคัดเลือกและสรรหาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ควรเปิดให้ใช้วิธีการได้หลาก หลายเพื่อให้ได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเป็นที่ยอมรับเข้ามาดำรงตำแหน่งได้ กรณีที่ผู้บริหารสูงสุด ของรัฐวิสาหกิจที่ดำรงตำแหน่งอยู่แล้ว เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและมีผลงานเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการ ของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ โดยสามารถบริหารงานเป็นไปตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่คณะกรรมการกำหนดไว้เมื่อเข้ารับ ตำแหน่ง เมื่อหมดอายุสัญญาการจ้างก็ให้สามารถพิจารณาต่ออายุสัญญาการจ้างต่อไปได้อีกโดยไม่ต้องดำเนิน การตามกระบวนการคัดเลือกและสรรหาตามปกติอีกครั้งหนึ่ง โดยในการทำสัญญาจ้างคณะกรรมการของรัฐ วิสาหกิจต้องกำหนดเป้าหมาย และตัวชี้วัดที่จะต้องดำเนินการให้ได้ผลในระยะเวลาที่กำหนด (benchmark) เอา ไว้สำหรับประเมินผลผู้บริหารสูงสุดของแต่ละรัฐวิสาหกิจด้วย และเพื่อให้ได้บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด ของรัฐวิสาหกิจที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ ปรับปรุง พัฒนา และนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ รัฐวิสาหกิจได้อย่างแท้จริง คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจจะต้องกำหนดระดับความสำเร็จ (benchmark) ของ เป้าหมายหรือพันธกิจของรัฐวิสาหกิจที่ต้องการให้ผู้บริหารสูงสุดเข้ามารับผิดชอบดำเนินการหรือที่ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง รวมทั้งตัวชี้วัด (KPI) อย่างชัดเจน หากไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุผลได้ ก็สามารถยกเลิก สัญญาจ้างได้ นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว ในกรณีที่ผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจได้รับ การสรรหามาจากบุคคลภายนอกองค์กร คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจควรให้การสนับสนุนการดำเนินงาน ของผู้บริหารสูงสุดดังกล่าวอย่างเต็มที่ และเปิดให้ผู้บริหารสูงสุดนั้นสามารถคัดเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่ง ผู้บริหารในระดับรองลงไป เพื่อเป็นทีมในการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจนั้นให้เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเต็มที่ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
4617 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 พ.ศ. .... | กค | 08/06/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 (ฝ่าย
ความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราช บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ1) ขยายวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ สามารถรับจ้างบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มิได้รับโอน มาที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ได้ 2) ขยายขอบเขตของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เพื่อให้รวมถึงสินทรัพย์ด้อยคุณ ภาพที่เคยเป็นของสถาบันการเงิน และทรัพย์สิน รอการขายด้วย 3) เพิ่มอำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย ในเรื่อง การเข้าตรวจสอบบริษัทบริหารสินทรัพย์ การกำหนดรูปแบบงบการเงิน และการสั่งการให้บริษัท บริหารสินทรัพย์แก้ไขฐานะ และการดำเนินงานได้ ตามระดับความรุนแรงของปัญหา 4) เพิ่มบทกำหนดโทษ ให้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการเปรียบ เทียบปรั และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตบางประการของ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงาน ศาลยุติธรรม ไปพิจารณาประกอบด้วย แล้วส่ง ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
4618 | การดำเนินงานโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ | กค | 25/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ รับทราบการดำเนิน
งานโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2546 ที่ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ ประสานกับหน่วยราชการที่ขอใช้พื้นที่ในโครงการศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อทบทวนจำนวนพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็น จำนวนบุคลากร และ ลักษณะการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด การจัดทำแผนการดำเนินโครงการ การลงทุน การ ระดมทุน การใช้จ่ายเงิน และผลกระทบด้านการจราจรที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียง และ อนุมัติตามมติคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ กศร. 2/2547 เมื่อวันที่ 5 เมษา ยน 2547 ดังนี้ ให้กระทรวงการคลังจัดตั้งบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) มีฐานะเป็นรัฐวิสาห กิจ โดยให้กระทรวงการคลังถือหุ้นใน ธพส. ทั้งหมด และให้กรมธนารักษ์เป็นหน่วยงานกำกับดูแล ธพส. โดย ธพส. จะทำหน้าที่ก่อสร้างและบริหารโครงการศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ และบริหารจัดการทรัพย์สินอื่น ของรัฐตามนโยบายรัฐบาล กับให้ ธพส. ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับและมติ คณะรัฐมนตรีที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจโดยทั่วไป ทั้งนี้ ให้ ธพส. จัดให้มีระเบียบที่เกี่ยวกับการพัสดุ การงบประมาณ การเงินและบัญชี การบริหารงานบุคคล รวมถึงเงินเดือน ค่าจ้างและสวัสดิการของพนักงาน และค่าตอบแทน ของกรรมการ เป็นของตนเอง และให้กรมธนารักษ์ตั้งงบประมาณเพื่อชำระค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน ค่าจัดหา เฟอร์นิเจอร์แทนทุกหน่วยงานในศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะโดยรัฐสนับสนุนงบประมาณค่าเช่าพื้นที่สำนัก งานตลอดอายุสัญญาเช่า 30 ปี และค่าจัดหาเฟอร์นิเจอร์ โดยทยอยจ่ายเป็นเวลา 5 ปี และเป็นผู้ทำนิติกรรม ใด ๆ เกี่ยวกับการเช่าพื้นที่ในโครงการแทนทุกหน่วยงานในโครงการ รวมทั้งให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณปี พ.ศ. 2546 จำนวน 208.338 ล้านบาท ไปเป็นส่วนหนึ่งของทุนจดทะเบียนเริ่มแรกของ ธพส. เพื่อใช้จ่ายใน โครงการศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณต่อไป นอกจากนี้ ให้ ธพส. ระดมทุนผ่านนิติบุคคลเฉพาะกิจ เพื่อนำมาใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ และให้จัดสรรพื้นที่ในศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะตามที่กรมธนารักษ์เสนอ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ใช้สอยสำหรับ หน่วยงาน จำนวน 460,000 ตารางเมตร พื้นที่ส่วนกลางที่หน่วยงานใช้ร่วมกัน จำนวน 49,000 ตารางเมตร พื้นที่ธุรกิจ จำนวน 27,500 ตารางเมตร พื้นที่จอดรถ จำนวน 224,000 ตารางเมตร และพื้นที่ทางสัญจร ภายในอาคาร จำนวน 169,300 ตารางเมตร รวมเป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารทั้งสิ้นประมาณ 929,800 ตาราง เมตร โดยการจัดสรรพื้นที่ดังกล่าวสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
4619 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ พ.ศ. .... | กค | 25/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรอง
ราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนิน การต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างระเบียบกระทรวงการคลังฉบับนี้เป็นการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการ คลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ พ.ศ. 2541 เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศนำ เงินทดรองราชการไปทดรองจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||
4620 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนเมษายน 2547 | กค | 25/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2547 โดยการเบิกจ่ายเงินในภาพรวม ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 546,035 ล้านบาท หรือร้อยละ 53.12 ของวงเงิน งบประมาณ (1,028,000 ล้านบาท) ซึ่งไม่รวมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่มเติม (135,500 ล้านบาท) สูงกว่าการเบิกจ่ายในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อนร้อยละ 2.75 (53.12 -50.37) และหากไม่รวมงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่ง ยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) ซึ่งมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 2,116 ล้านบาท จะทำให้มีการเบิกจ่าย เงินจำนวน 543,919 ล้านบาท หรือร้อยละ 53.77 ของวงเงินงบประมาณ (1,011,500 ล้านบาท) สำหรับงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่มเติม 135,500 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 43,606 ล้านบาท หรือร้อยละ 32.18 ของวงเงินงบประมาณ 135,500 ล้านบาท ประกอบด้วย รายการค่าใช้ จ่ายตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง จำนวน 8,480.32 ล้านบาท และ รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ (รายการเงินบำเหน็จดำรงชีพ) จำนวน 35,125.95 ล้านบาท ส่วนการ เบิกจ่ายเงินงบประมาณ จำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ/ลงทุน) ซึ่งไม่รวมงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่มเติม (135,500 ล้านบาท) มีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ 489,481 ล้านบาท หรือร้อยละ 58.83 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ (832,012 ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน 56,554 ล้าน บาท หรือร้อยละ 28.86 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน (195,988 ล้านบาท) นอกจากนี้ ผลการเบิกจ่ายราย จ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 17 แห่ง มีจำนวน 40,129 ล้านบาท หรือร้อยละ 29.50 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนในกลุ่มนี้ (136,039 ล้านบาท) |