ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 237 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 4721 - 4740 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 4721 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2547 [ผลการดำเนินการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กรอบหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้พนักงานสำหรับรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และแผนการระดมทุนของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.)] | กค | 27/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธาน
กรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ เสนอ มติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2547 เกี่ยวกับผลการดำเนินการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รวมทั้งกรอบหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้พนักงานสำหรับรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการ แปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน รวมทั้งการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และแผนการระดมทุนของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะ รัฐมนตรีเกี่ยวกับแผนการระดมทุนของ ทอท. ไปดำเนินการด้วย ดังนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และให้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนที่ ทอท. จะดำเนินการนำเสนอข้อมูลต่อ นักลงทุน (Roadshow) ตามแผนที่กำหนดไว้ และประสานกับกระทรวงการคลัง และ ทอท. เพื่อพิจารณาดำเนิน การจัดสรรหุ้นของ ทอท. ที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป (Initial Public Offering : IPO) จำนวนประมาณร้อย ละ 10 เพื่อจำหน่ายให้กับข้าราชการที่ประสงค์จะซื้อหุ้นดังกล่าวเป็นการเฉพาะด้วย
|
||||||||||||||||||
| 4722 | การดำเนินการตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าของการดำเนินการตาม
ผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรีและสถานะปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มาตรการทาง ภาษีต่อน้ำมันปาล์ม ความร่วมมือในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดน และการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยผิด กฎหมายจากไทยไปมาเลเซีย โดยเรื่อง ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ได้มีการลงนามในความตกลงระหว่างไทย-จีน เพื่อเร่งลดภาษีผักและผลไม้ตอนที่ 07-08 จำนวน 116 รายการ โดยทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการประกาศลดภาษี ศุลกากรระหว่างกันลงเหลือ ร้อยละ 0 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ออกประกาศลดภาษีสำหรับสินค้าตอนที่ 07- 08 ให้กับจีนแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างอาเซียน-จีน ไทยจะต้องลดภาษีผักและผลไม้และสินค้าเกษตรในตอนที่ 01-08 ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังจะออกประกาศลด ภาษี ให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2547 เรื่อง มาตรการทางภาษีต่อน้ำมันปาล์ม กระทรวงการคลังได้ มีหนังสือถึงคณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและพืชน้ำมันอื่น เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2546 เพื่อขอให้พิจารณา ยกเลิกมาตรการจำกัดปริมาณนำเข้าของสินค้ากลุ่มดังกล่าว เฉพาะการนำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน ขณะ นี้เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าว เรื่อง ความร่วมมือในการขนส่งสินค้า และ ผู้โดยสารข้ามแดน ได้มีการแก้ไขร่างความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายจากไทยผ่านมาเลเซียไปยัง สิงคโปร์ให้ครอบคลุมการขนส่งสินค้าทุกประเภท ไม่เฉพาะแต่สินค้าเน่าเสียง่ายเท่านั้น โดยมาเลเซียตกลงเพิ่ม โควตาสินค้าเน่าเสียง่ายจากไทยผ่านมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ จาก 3 หมื่นตัน เป็น 6 หมื่นตัน และไทยอนุญาต ให้มาเลเซียสามารถขนส่งสินค้าผ่านไทยไปยังพม่า ลาว และกัมพูชา ได้ โดยคณะกรรมาธิการ ฯ ซึ่งมีกระทรวง คมนาคมเป็นเจ้าของเรื่องได้ส่งร่างความตกลงที่แก้ไขใหม่ให้ฝ่ายมาเลเซีย เพื่อพิจารณาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2546 ขณะนี้ทางฝ่ายมาเลเซียยังไม่ได้ตอบกลับมาแต่อย่างใด และเรื่อง การลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย จากไทยไปมาเลเซีย ได้มีการประสานความร่วมมือในทางปฏิบัติระหว่างศุลกากรไทยและมาเลเซีย โดยได้มีการ ประชุมร่วมกันระหว่างอธิบดีกรมศุลกากรไทยและอธิบดีกรมศุลกากรมาเลเซีย ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงจะประสาน ร่วมมือกันปฏิบัติงานในหลาย ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยผิดกฎหมาย โดยมาเลเซียขอให้ ไทยช่วยดูแลการลักลอบนำข้าวเข้าประเทศมาเลเซีย ซึ่งการนำเข้าข้าวไม่ต้องเสียภาษี แต่เป็นของต้องจำกัด ซึ่ง ต้องมีใบอนุญาตจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงขอให้ไทยช่วยเข้มงวดในการตรวจสอบใบอนุญาตนำเข้า ข้าวให้ด้วย โดยไทยได้เสนอให้มาเลเซียช่วยดูแลการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มมายังไทยเช่นกัน |
||||||||||||||||||
| 4723 | รายงานความก้าวหน้าการพัฒนาระบบตรวจสอบภายในของส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรี | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความก้าวหน้าการพัฒนาระบบตรวจสอบ
ภายในของส่วนราชการ สรุปได้ว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ได้ประชุมหารือร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการพัฒนาระบบตรวจสอบภายในของส่วนราชการ ซึ่งที่ ประชุมได้มีมติให้มีการศึกษา วิเคราะห์บทบาท หน้าที่ของหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงกับงานตรวจสอบภาย ในให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้ได้โครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมและมีระบบการทำงานที่ไม่ซ้ำซ้อนกัน โดยสำนักงาน ก.พ.ร. จะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการในเรื่องดังกล่าว และเมื่อสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเรียบ ร้อยแล้ว สำนักงาน ก.พ. จะพิจารณาในเรื่องการปรับปรุงคุณสมบัติ รวมทั้งเงื่อนไขการเข้าสู่ตำแหน่งของผู้ตรวจ สอบภายในและการกำหนดให้สายงานตรวจสอบภายในเป็นสายวิชาชีพในลำดับต่อไป |
||||||||||||||||||
| 4724 | รายงานผลการทำความตกลงกลไกการชำระเงินแบบทวิภาคีระหว่างไทยและบังกลาเทศ | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการทำความตกลงกลไกการชำระเงินแบบ
ทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและบังกลาเทศ สรุปได้ว่า ตามที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ได้เสนอขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติในหลักการของโครงการชำระเงินแบบ Bilateral Payment Arrangement (BPA) ระหว่างประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ พิจารณาในหลักการของโครงการ ฯ และเงื่อนไขในร่างสัญญาของโครงการ ฯ โดยได้อนุมัติในหลักการของเงื่อน ไขในร่างสัญญาดังกล่าว ในเรื่องวงเงินการเปิด L/C ระยะเวลาในการชำระบัญชี และอัตราดอกเบี้ย ตามที่ ธสน. เสนอ บัดนี้ ธสน. ในฐานะธนาคารตัวแทนของไทยในการดำเนินการดังกล่าวได้ร่วมลงนามในสัญญาความตกลง กลไกการชำระเงินแบบทวิภาคี (Bilateral Payment Arrangement : BPA) ระหว่างไทยและบังกลาเทศกับ Janata Bank ซึ่งเป็นธนาคารตัวแทนของบังกลาเทศ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 ซึ่งมีรายละเอียด เงื่อนไขในสัญญาตาม ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติไปแล้ว ดังนี้ วงเงินในการเปิด L/C เท่ากับ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลาในการ ชำระบัญชี (Clearing Period) ทุก 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยปกติ LIBOR 6 เดือน+1.0% ต่อ ปี และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด LIBOR 6 เดือน+4.5% ต่อปี โดยสัญญา BPA ระหว่างไทยกับบังกลาเทศที่ ธสน. ได้ลงนามไปแล้วนั้น ไม่มีความแตกต่างจากกรณีของไทยกับมาเลเซียอย่างมีนัยสำคัญ และมีเงื่อนไขเป็นไปตามที่ กระทรวงการคลังได้พิจารณาอนุมัติไปแล้ว |
||||||||||||||||||
| 4725 | ร่างพระราชบัญญัติเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 พ.ศ. .... | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติเหรียญเฉลิมพระ
เกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะ กรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป และร่าง กฎกระทรวงว่าด้วยการสร้างและการจำหน่ายเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี นาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้เมื่อร่างพระราชบัญญัติได้ประกาศใช้บังคับ เป็นกฎหมายแล้ว โดยร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 ส่วนร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังมี หน้าที่เกี่ยวกับการสร้างและการจำหน่ายเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 ทั้งนี้ มอบให้สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีการับไปดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติเป็นรูปแบบกฎหมายกลาง เนื่องจากปัจจุบัน การจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติในโอกาสต่างๆ เพื่อให้ประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะจัดทำเป็นรูป แบบร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งมีระยะเวลาและขั้นตอนมาก เพราะต้องนำเสนอรัฐสภาด้วย สมควรปรับปรุงและ เปลี่ยนวิธีการดำเนินการใหม่ โดยไม่ต้องจัดทำเป็นรูปแบบร่างพระราชบัญญัติในแต่ละโอกาสที่จะจัดทำ หาก ให้จัดทำเป็นรูปแบบกฎหมายกลางเพียงฉบับเดียวและตราเป็นอนุบัญญัติ กรณีเป็นเหรียญเกี่ยวกับพระมหา กษัตริย์หรือพระบรมราชวงศ์ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา หากเป็นเหรียญอื่นให้ตราเป็นกฎกระทรวง ตาม หลักการที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
| 4726 | การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ
ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ทั้งในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำ และงบประมาณรายจ่ายลงทุนได้เบิกจ่ายไปแล้วร้อยละ 27.14 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบ กับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (ณ วันที่ 16 มกราคม 2547) มีการเบิกจ่ายสูงกว่าร้อยละ 3.79 แต่เมื่อหัก ยอดจำนวนเงินบำเหน็จดำรงชีพออกแล้ว ปีนี้จะมีการเบิกจ่ายต่ำกว่าปีที่แล้ว นอกจากนี้ เนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 นี้ มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ด้วย ดังนั้น เมื่อรวม กับงบประมาณที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายแล้ว เป็นไปได้ว่า การใช้จ่ายงบประมาณในปีนี้อาจจะกระจุกตัวในช่วงปลายปีงบ ประมาณมาก จึงขอให้ทุกส่วนราชการได้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปีนี้เป็นพิเศษด้วย
|
||||||||||||||||||
| 4727 | การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง ขอให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจใช้บริการขนส่งขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (คกก.2)
ซึ่งพิจารณาเรื่อง การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ขอให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจใช้บริการขนส่งขององค์การ รับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดย คกก.2 มีมติเห็นชอบให้ชะลอการ พิจารณาการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวเป็นระยะ 6 เดือน ตามข้อชี้แจงเพิ่มเติมของรัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี) ว่า ร.ส.พ. อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเพื่อ ให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คาดว่า จะสามารถปรับปรุงโครงสร้างองค์กรแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ดังนั้น จึงขอให้ชะลอการพิจารณาการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเรื่องนี้ไปก่อน สำหรับกรณีที่ ร.ส.พ. ไม่ สามารถปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้มีความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เป็นที่พอใจของหน่วยราชการและรัฐ วิสาหกิจที่ใช้บริการขนส่งของ ร.ส.พ. ให้กระทรวงการคลังนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบใน การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 4728 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และหลักเกณฑ์การเบิกค่าใช้จ่ายสมทบในการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ที่
มีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ กับเห็นชอบหลักเกณฑ์การเบิกค่าใช้จ่ายสมทบใน การเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว และให้กระทรวงการคลังแจ้งเวียนให้ส่วนราชการถือปฏิบัติเมื่อร่าง พระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับแล้วต่อไป รวมทั้งให้กำชับส่วนราชการวางแผนการปฏิบัติงานและใช้ จ่ายเงินให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ได้รับ โดยไม่ให้มีการของบประมาณเพิ่มเติม สำหรับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 มีดังนี้ การกำหนดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ในหลักการสมควรที่จะให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงโดย มีเพดานขั้นสูงกำหนดไว้ ส่วนในการย้ายถิ่นที่อยู่อาจมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอีกส่วนหนึ่งที่อาจจะมีขึ้น และไม่อาจหา หลักฐานที่จะนำมาแสดงได้ ซึ่งสมควรให้สามารถเบิกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้เช่นกันโดยอาจจ่ายให้เป็นเงินเพิ่มอีก จำนวนหนึ่ง โดยอาจพิจารณากำหนดให้มีความแตกต่างกันตามข้อเท็จจริงและความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ จึง เห็นควรให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงการต่างประเทศ รับไปพิจารณาว่า จำนวนเงินที่เหมาะสมของทั้งสอง ลักษณะดังกล่าวควรจะกำหนดเท่าใดและมีหลักเกณฑ์หรือรายละเอียดอื่นใดบ้าง แล้วแจ้งให้สำนักงานคณะกรรม การกฤษฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป โดยให้พิจารณาด้วยว่า ผู้ติดตามสำหรับการย้ายถิ่นที่อยู่กรณีการเดินทางไป ราชการประจำในต่างประเทศนั้นจะให้ครอบคลุมถึงบิดามารดาด้วยจะได้ หรือไม่ นอกจากนี้ เห็นควรแก้ไขเพิ่ม เติมสาระสำคัญบางประการดังนี้ ร่างมาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 17 และร่างมาตรา 16 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 51 ความว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งระดับ ... หรือตำแหน่งที่เทียบเท่า" นั้น ควรกำหนดให้ครอบคลุมถึงข้าราชการซึ่ง มีชั้นยศ ได้แก่ ข้าราชการทหารและข้าราชการตำรวจด้วย รวมทั้งการกำหนดรายละเอียดในทางปฏิบัติในบาง เรื่องไว้โดยไม่จำเป็น เช่น การกำหนดให้นับเวลาที่ต้องดำเนินการตามพิธีการที่สนามบินขาออก 1 ชั่วโมง และ ขาเข้า 1 ชั่วโมง (ร่างมาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 47) ควรปรับแก้เป็นให้กระทรวงการคลังไปออกระเบียบ ในเรื่องต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสมเพื่อให้มีความยืดหยุ่นได้มากขึ้น
|
||||||||||||||||||
| 4729 | ร่างกฎหมายเกี่ยวกับบำเหน็จบำนาญหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของผู้ดำรงตำแหน่งในทางการเมืองและในรัฐสภา และร่างกฎหมายเงินประจำตำแหน่ง รวม 5 ฉบับ | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานหารือหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องว่า สมควรปรับปรุงเงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม และเงินบำเหน็จบำนาญของผู้ดำรงตำแหน่งในฝ่ายรัฐสภา ในอัตราใดและในช่วงเวลาใดจึงจะเหมาะสม โดยรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ดังนี้ การปรับปรุงเงิน ประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มควรให้มีผลใช้บังคับหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในปี พ.ศ. 2548 ละเวลาสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญให้เริ่มนับตั้งแต่วันดำรงตำแหน่ง ภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลใช้บังคับแ ล้วเท่านั้น
|
||||||||||||||||||
| 4730 | มาตรการด้านการคลังเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การปรับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ รับทราบมาตรการด้านการคลังเพื่อสนับสนุนยุทธ ศาสตร์การปรับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค และเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 63 ทวิ มาตรา 97 สัตต และมาตรา 97 ทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินการภายในเขตปลอดอากร) ร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บ ค่าธรรมเนียมศุลกากร พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและการยกเว้นอากร ศุลกากรมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี อากรแก่ผู้ประกอบการภายในเขตปลอดอากร) ทั้งนี้ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้น หรือคืนภาษีหรือลดอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร หรือนำเข้าไปใน เขตปลอดอากร และการขอรับคืน หรือยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีสิทธิได้รับคืนหรือยก เว้นภาษี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นหรือคืนภาษีหรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าที่นำ เข้าไปในเขตปลอดอากร เสมือนกับสินค้าที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการและ เงื่อนไขในกฎกระทรวงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการรองรับและสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการที่จะ ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านปิโตรเลียมของภูมิภาค และอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญ คือ ยกเว้นภาษีสรรพสามิตให้กับน้ำมันและผลิตภัณฑ์ น้ำมันตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้ว ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 4731 | ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2502 พ.ศ. .... (ให้บรรษัทฯ สามารถควบกิจการกับธนาคารพาณิชย์) | กค | 20/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระ
ราชบัญญัติบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2502 พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างพระราชกำหนดฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2502 โดยกำหนดให้บรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสามารถควบกิจการกับธนาคารพาณิชย์ โดยตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์แห่ง ใหม่ และให้กระทรวงการคลังหารือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับขั้น ตอน วิธีการ และรายละเอียดอื่นใด เพื่อให้การระดมทุนของธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ในตลาดหลักทรัพย์เป็นไป ด้วยความเหมาะสมต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุผลและความจำเป็นรีบด่วนในการ ตราพระราชกำหนดเพื่อชี้แจงต่อรัฐสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 4732 | การลดภาษีศุลกากรแก่บังกลาเทศ | กค | 13/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการลดภาษีสินค้าให้แก่บังกลาเทศในระยะที่
2 ลงเหลือร้อยละ 5 สำหรับสินค้าทั้ง 10 กลุ่ม (101 ประเภทย่อย) ได้แก่ รองเท้า สายไฟ เครื่องสำอาง อาหาร ปรุงแต่ง เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก หม้อแปลงไฟฟ้า เคหะสิ่งทอ ชา และ Zipper และหลักเกณฑ์การ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรแก่บังกลาเทศ โดยมีสาระสำคัญเรื่องระยะเวลาสิ้นสุด กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิด สินค้า และการระงับสิทธิ ให้ครอบคลุมรายการสินค้าทั้ง 2 ระยะ (ระยะแรก และระยะที่สอง) โดยมอบหมายให้ กระทรวงพาณิชย์แจ้งหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวแก่บังกลาเทศอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ให้ รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่เห็นควรมีข้อกำหนดมาตรฐานสินค้า และมาตรการสุขอนามัยที่ชัดเจนโดยให้บังคับใช้อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกัน ไม่ให้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานซึ่งมีต้นทุนต่ำเข้ามาแข่งขันกับสินค้าภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 4733 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือซึ่งออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... | กค | 13/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่ง
ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้ข้าราชการที่ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง รับการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากทางราชการเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการออกจากราชการ สำหรับ งบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 350 ล้านบาท จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการไว้ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เนื่องจากได้นำเงินเลื่อนขั้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2547 มารวมเป็นฐาน เงินเดือนเพื่อคำนวณสิทธิประโยชน์จูงใจให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของส่วน ราชการที่มีข้าราชการเข้าร่วมโครงการก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเลื่อนขั้น เลื่อนอัน ดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ส่วนงบประมาณเพื่อการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวนประมาณ 8,000 ล้านบาท ให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินคงคลัง และให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณที่ตั้งไว้ใน หมวดเงินอุดหนุนสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรไปท้องถิ่น ที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกรณีข้า ราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนไปท้องถิ่นสมัครใจลาออก ตามมาตรการ 2 หากไม่มีผลกระทบกับสัดส่วนต่อรายได้ของ รัฐบาลที่จะต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ให้โอนเงินในส่วนดังกล่าวกลับคืนคลัง นอกจากนี้ เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เกี่ยวกับเป้าหมายรวมของจำนวน ข้าราชการผู้มีสิทธิเข้าสู่มาตรการ 1 และมาตรการ 2 เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้า ร่วมมาตรการเพื่อให้ถูกต้องและเป็นไปตามที่สำนักงาน ก.พ. ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการควบคุมจำนวนข้าราชการที่จะเข้าสู่มาตรการ ฯ มาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 ไม่ให้เกินจำนวน ร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้าร่วมมาตรการตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังด้วย |
||||||||||||||||||
| 4734 | ผลการจัดทำบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบปี 2547 - 2550 | กค | 13/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ รายงานสรุปผลการจัดทำบัญชี
กำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบปี 2547-2550 ซึ่งระดับราคาซื้อขายที่ดินมีการเพิ่มขึ้นแตกต่างกันไป ตามลักษณะการพัฒนาและการขยายตัวของชุมชนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งในภาพรวมของทั้งประเทศ มีการปรับตัวเพิ่ม ขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 14.44 โดยระดับราคาที่ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีการปรับเพิ่มขึ้น เฉลี่ยร้อยละ 5.6 ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล 5 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม มีการปรับ เพิ่มขึ้น เฉลี่ยร้อยละ 9.41 และในพื้นที่ส่วนภูมิภาคจำนวน 70 จังหวัด มีการปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยร้อยละ 16 และจากการพิจารณาเป็นรายภาค ภาคใต้มีราคาประเมินเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยมีการปรับเพิ่มขึ้น เฉลี่ยร้อยละ 24.17 รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการปรับเพิ่มขึ้น เฉลี่ยร้อยละ 14.88 ภาคเหนือ มีการปรับ เพิ่มขึ้น เฉลี่ยร้อยละ 13.12 และภาคกลาง มีการปรับเพิ่มขึ้น เฉลี่ยร้อยละ 11.78 และจากการพิจารณาราคา ประเมินที่สูงที่สุด และต่ำที่สุดทั่วประเทศ พบว่า กรุงเทพ ฯ มีราคาประเมินที่ดินสูงที่สุด อยู่ที่ถนนสีลมเขตบาง รัก ราคาตารางวาละ 600,000 บาท ส่วนราคาประเมินต่ำสุดของกรุงเทพ ฯ จะเป็นที่เกษตรกรรมแปลงที่ดินที่ ไม่มีทางเข้า-ออก อยู่ที่เขตหนองจอก ตารางวาละ 260 บาท สำหรับในพื้นที่จังหวัดปริมณฑลราคาประเมินสูง สุดอยู่ที่ถนนสุขุมวิท อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ราคาตารางวาละ 140,000 บาท โดยราคาประเมินต่ำ สุดอยู่ที่ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ราคาตารางวาละ 125 บาท สำหรับราคาประเมิน ในพื้นที่ส่วนภูมิภาค 70 จังหวัด ราคาประเมินสูงสุดอยู่ที่เทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ราคาตารางวาละ 400,000 บาท โดยราคาประเมินต่ำสุดราคาตารางวาละ 10 บาท ซึ่งมีในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น อำเภอสังขละ บุรี จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่แจ่ม อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และอำเภอ บ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี เป็นต้น |
||||||||||||||||||
| 4735 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพ | กค | 13/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการพิจารณา
อนุมัติและสั่งจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ผู้รับบำนาญที่ยื่นขอรับ ดังนี้ จำนวนผู้รับบำนาญทั่วประเทศประมาณ 258,484 ราย จำนวนผู้รับบำนาญที่ยื่นขอรับบำเหน็จดำรงชีพ 230,598 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.21 ของ จำนวนผู้รับบำนาญทั่วประเทศ อนุมัติแล้ว 228,969 ราย เป็นเงิน 34,506,016,781.95 บาท คิดเป็นร้อย ละ 99.29 ของจำนวนผู้รับบำนาญที่ยื่นขอรับบำเหน็จดำรงชีพ และจำนวนที่โอนเงินเข้าบัญชี 226,070 ราย เป็นเงิน 34,101,095,055.05 บาท |
||||||||||||||||||
| 4736 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนธันวาคม 2546 | กค | 13/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ในปี
งบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2546 ในการเบิกจ่ายเงินในภาพรวม ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 266,607 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.93 ของวงเงิน งบประมาณ (1,028,000 ล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าผลการเบิกจ่ายในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อน ร้อยละ 3.99 (25.93-21.94) ทั้งนี้หากไม่รวมงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่ง ขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) ซึ่งมีการเบิกจ่ายจากคลังแล้ว 790 ล้านบาท จะ ทำให้มีการเบิกจ่ายเงินจำนวน 265,817 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.28 ของวงเงินงบประมาณ (1,011,500 ล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 จำนวน 33,217 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3.28 (26.28-23.00) โดยสาเหตุที่ทำให้ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 สูง กว่าเป้าหมาย เนื่องจากมีการเบิกจ่ายเงินงบกลาง รายการเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เพื่อใช้จ่ายในรายการ บำเหน็จดำรงชีพ จำนวน 32,504 ล้านบาท สำหรับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ จำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ/ลงทุน) มีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ 254,715 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.61 ของงบประมาณราย จ่ายประจำ (832,006 ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน 11,892 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.07 ของงบประมาณ รายจ่ายลงทุน (195,994 ล้านบาท) ส่วนการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลง ทุนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 17 แห่ง มีการเบิกจ่ายาจำนวน 6,931 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.09 ของงบ ประมาณรายจ่ายลงทุนในกลุ่มนี้ (136,192 ล้านบาท) |
||||||||||||||||||
| 4737 | การปรับปรุงแก้ไขและทบทวนการให้สิทธิพิเศษในการจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) | กค | 13/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติเห็น
ชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเห็นควรให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2525 เกี่ยวกับเรื่องการจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความ ปลอดภัยให้แก่สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และกำหนดหลักเกณฑ์การให้สิทธิพิเศษในการจ้างเจ้าหน้าที่รักษา ความปลอดภัยจากการสงเคราะห์ทหารผ่านศึกใหม่ เป็นสิทธิพิเศษประเภทไม่บังคับ เนื่องจากหลักเกณฑ์การให้ สิทธิพิเศษแก่สำนักงานรักษาความปลอดภัยองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ไม่ชัดเจน ทำให้ส่วนราชการบาง แห่งมีการจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความสับสนและไม่คล่องตัวใน การปฏิบัติงานของส่วนราชการ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้ใช้มาเป็นเวลานานแล้ว สมควรปรับปรุง ให้เกิดความชัดเจน รัดกุม เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบันยิ่งขึ้น และให้เกิดการแข่งขันทางด้านการให้บริการที่ ดี และอัตราค่าจ้างที่เหมาะสม โดยให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีโอกาสเลือกใช้บริการที่ดีและไม่เป็นภาระกับ เงินที่ได้รับจัดสรร อันจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และขจัดปัญหาข้อร้องเรียนดังกล่าว นอก จากนี้ ยังช่วยให้หน่วยงานในส่วนภูมิภาคเกิดความคล่องตัวในการดำเนินการจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เนื่องจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกษาไม่มีสำนักงานในส่วนภูมิภาค
|
||||||||||||||||||
| 4738 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนให้ความช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | กค | 06/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า
ด้วยกองทุนให้ความช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับนี้เป็นการแก้ไขวัตถุประสงค์ของกองทุนให้ความช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ตามระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนให้ความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน พ.ศ. 2539 เพื่อ ให้กองทุน ฯ สามารถให้ความช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจด้านการเงินแก่ประเทศเพื่อนบ้านสำหรับโครงการพัฒนา ประเทศที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีโดยให้ช่วยเหลือแบบให้เปล่าได้ ตามที่คณะกรรมการกองทุน ฯ กำหนด โดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จากเดิมที่ได้กำหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่ไม่ใช่ลักษณะการให้เปล่า ตามที่คณะกรรมการกองทุน ฯ กำหนด ทั้งนี้ รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างระเบียบ ฯ มีเนื้อความ บางส่วนที่ซ้ำซ้อนกับเนื้อความในระเบียบเดิมที่กำหนดไว้แล้วจำเป็นต้องบัญญัติไว้ในลักษณะนี้หรือไม่ ส่วนนิยาม ของคำว่า "ประเทศเพื่อนบ้าน" ที่ให้หมายความถึง ประเทศที่กำหนดในระเบียบรวม 4 ประเทศ และประเทศอื่นที่ คณะกรรมการประกาศกำหนด จึงหมายความถึงประเทศอื่นใด แม้ไม่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศไทยก็ได้ โดยจะ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่จะประกาศกำหนดอาจทำให้เข้าใจได้ไม่ชัดเจนและอาจไม่ถูกต้องตามหลักภาษา ไทย ไปพิจารณาด้วย และให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการเจรจากับประเทศที่รับความช่วย เหลือ เพื่อให้มีมาตรการคุ้มครองกิจการหรือการลงทุนของไทยที่เข้าไปดำเนินการเพื่อช่วยเหลือในประเทศนั้น ๆ ตามความเหมาะสมด้วย |
||||||||||||||||||
| 4739 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชียในประเทศไทย พ.ศ. .... และร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับธนาคารพัฒนาเอเชียว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานผู้แทนธนาคารเอเชียในประเทศไทย | กค | 06/01/2547 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎหมาย)
ที่มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับธนาคารพัฒนาเอเชีย ว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชียในประเทศไทย ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดสถานะ ความคุ้ม กัน การยกเว้นอากรนำเข้า และเอกสิทธิ์ ของสำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย รวมถึงการปฏิบัติงานของพนักงาน และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานผู้แทนฯ ด้วย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายลงนามในร่างความตกลงฯ พร้อมทั้งเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วส่งความ ตกลงฉบับภาษาไทยโดยมีฉบับภาษาอังกฤษเป็นเอกสารประกอบ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอคณะกรรมการ ประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ ให้ กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเมื่อได้ดำเนินการเกี่ยวกับความตกลงในเรื่องนี้เสร็จแล้วเพื่อ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้เติมวัน เดือน ปี ในร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานผู้แทน ธนาคารพัฒนาเอเชียในประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งมีหลักการให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานผู้ แทนธนาคารพัฒนาเอเชียในประเทศไทยมาตรา 3 และมาตรา 4 แล้วให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคณะกรรมการ ประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
| 4740 | รายงานสรุปผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ 2546 | กค | 30/12/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial
Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ ดำเนินการกู้เงินภายใต้ ECP Programme รวม 21 ครั้ง คิดเป็น 4,548,400,000 เหรียญสหรัฐ ให้กับหน่วย งาน 11 แห่ง เพื่อเป็น Bridge Financing สำหรับการจัดหาเงินกู้ระยะยาวภายใต้โครงการจัดหาเครื่องบิน ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 280,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อเป็น Bridge Financing ใน การทำ Rollover เงินกู้ของบริษัท การบินไทย ฯ จำนวน 100,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อ Refinance เงิน กู้ต่างประเทศที่มีระยะเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 3 ปี ให้กับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 7,400,000 เหรียญสหรัฐ และการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 3,500,000 เหรียญสหรัฐ และเพื่อเป็น Bridge Financing ในการทำ Refinance ตามแผนที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติสำหรับการทำ Refinance เงิน กู้ต่างประเทศภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ให้กับกระทรวงการคลัง จำนวน 942,000,000 เหรียญ สหรัฐ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) จำนวน 35,000,000 เหรียญสหรัฐ การไฟฟ้านครหลวง จำนวน 171,100,000 เหรียญสหรัฐ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 50,700,000 เหรียญสหรัฐ และการ ประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 28,300,000 เหรียญสหรัฐ และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 กระทรวงการคลัง และรัฐวิสาหกิจอีก 3 หน่วยงาน ที่กู้ต่อจากกระทรวงการคลัง ได้แก่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย การประปา ส่วนภูมิภาค และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวนรวม 38,077,343,070 เยน (โดยออกตรา สาร ECP สกุลเงินเหรียญสหรัฐ จำนวน 315,000,000 เหรียญสหรัฐ) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน 29,757,009,000 เยน (โดยออกตราสาร ECP สกุลเงินเหรียญสหรัฐจำนวน 254,000,000 เหรียญ สหรัฐ) ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับหนี้เงินกู้ต่างประเทศของรัฐทั้งหมด (profile) โดย จัดลำดับหนี้เงินกู้และระยะเวลาการชำระหนี้ และให้แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ หนี้เงินกู้ของภาคราชการ และ หนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ โดยในส่วนของหนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจให้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ เงินกู้ของรัฐ วิสาหกิจที่มีสถานะ และผลประกอบการไม่ค่อยดี ซึ่งรัฐจำเป็นต้องให้การสนับสนุน หรืออาจจะต้องยุบเลิกกิจ การในที่สุด และเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจชั้นดีที่มีแนวโน้มที่จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปได้ และให้นำเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการหนี้เงินกู้ของภาครัฐให้เหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||
