ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 239 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 4761 - 4780 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 4761 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สิทธิพิเศษขององค์การแบตเตอรี่ (ถูกยกเลิกโดย 8683/2551) | กค | 02/12/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สิทธิพิเศษของ
องค์การแบตเตอรี่ โดยให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2539 เรื่อง ขอให้ทบทวนสิทธิพิเศษ ขององค์การแบตเตอรี่ และเห็นชอบหลักเกณฑ์ให้สิทธิพิเศษแก่องค์การแบตเตอรี่ โดยเปลี่ยนจากสิทธิพิเศษ ประเภทบังคับเป็นสิทธิพิเศษประเภทไม่บังคับ ดังนี้ "ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ของรัฐ ประสงค์จะจัดซื้อหรือจ้างผลิตแบตเตอรี่ และส่วนประกอบของแบตเตอรี่จากองค์การแบตเตอรี่ ให้ สามารถดำเนินการซื้อหรือจ้างได้โดยวิธีกรณีพิเศษ ตามระเบียบพัสดุที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติ"
|
|||||||||||||||
| 4762 | แผนการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2547 | กค | 02/12/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอภาพรวมแผนการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะ
แบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ดังนี้ (1) หลักการให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ในวงเงินไม่เกิน 99,900 ล้านบาท (2) หลักการในการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้ของ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เป็น ต้นไป ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นของกองทุน ฯ ในวงเงินไม่เกิน 200,000 ล้านบาท (3) ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน และกำหนดวิธีการกู้เงิน ประเภทตราสารหนี้ อายุ อัตราดอกเบี้ย วงเงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภาย ใต้กรอบการกู้เงินดังกล่าว (4) ให้รัฐวิสาหกิจกู้เงินในประเทศตามแผนการบริหารและจัดการเงินกู้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ ซึ่ง ได้แก่ การกู้เงินในประเทศทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศ การกู้เงินบาทสมทบโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ การ กู้เงินเพื่อลงทุน การกู้เงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ โดยให้กระทรวงการ คลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตลอดจนการค้ำประกัน ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ โครงการลงทุนที่จะใช้เงินกู้ต่าง ๆ จะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และหรือต้องอยู่ภายใต้กรอบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ (5) เพดานการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ในวงเงินเทียบเท่า 900 ล้าน เหรียญสหรัฐ (6) แผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ประกอบด้วย โครงการหลัก 6 โครงการ วงเงิน 743.24 ล้านเหรียญสหรัฐ (7) ในหลักการให้คณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศ มีอำนาจปรับปรุง แก้ไขและทบทวนแผน การก่อหนี้จากต่างประเทศดังกล่าว เป็นระยะ ๆ ต ามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน 900 ล้าน เหรียญสหรัฐ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ (8) ในหลักการและแนวทางการดำเนินการบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ นั้น ให้ กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตลอดจนการ ค้ำประกันตามความเหมาะสมและจำเป็น และรายงานผลการกู้เงินให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ (9) กรอบวงเงินกู้ในประเทศทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2547 วงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังปรับแผนได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายในกรอบ วงเงินที่กำหนด และรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ทั้งนี้ กรณีที่รัฐวิสาหกิจใดมีกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับอื่นใดให้อำนาจรัฐวิสาหกิจนั้น ในการ กู้เงินโดยไม่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ก็ให้สามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง |
|||||||||||||||
| 4763 | การแลกเปลี่ยนที่ราชพัสดุกับที่ดินของการเคหะแห่งชาติ | กค | 29/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขโฉนด
ที่ 488 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร กับที่ดินของการเคหะแห่งชาติ เนื้อที่ 0-2-42 ไร่ เท่ากัน ตามมติของคณะกรรมการพิจารณาและเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี โดยตัดแบ่งพื้นที่ที่ดินราชพัสดุที่อยู่ติดบ่อ บำบัดน้ำเสีย และอาคารแฟลตพิบูลวัฒนา ให้การเคหะ ฯ ส่วนที่ดินของการเคหะ ฯ ที่อยู่ด้านหน้าที่ดินราชพัสดุ ยาวตลอดถึงแนวรั้วกรมประชาสัมพันธ์ เนื้อที่ประมาณ 0-2-04 ไร่ รวมกับที่ดินของการเคหะ ฯ ที่กระทรวงการ คลังครอบครอง เนื้อที่ 0-0-38 ไร่ เป็นเนื้อที่ทั้งสิ้น 0-2-42 ไร่ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ การเคหะ ฯ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสิ้น |
|||||||||||||||
| 4764 | ร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บค่าธรรมเนียมศุลกากร พ.ศ. .... | กค | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บค่าธรรม
เนียมศุลกากร พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดย สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความในใบแนบ ศ.1 ศ.2 ศ.3 ศ.4 ศ.5 และ ศ.7 ท้ายกฎกระทรวงการคลัง ออกตามความในพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย กฎกระทรวง ฉบับที่ 84 (พ.ศ. 2532) ฯ กฎกระทรวง ฉบับที่ 90 (พ.ศ. 2534) ฯ และกฎกระทรวงฉบับที่ 107 (พ.ศ. 2538) ฯ เพื่อปรับปรุงข้อความและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมศุลกากร ตามใบแนบ ศ.1 ศ.2 ศ.3 ศ.4 ศ.5 และ ศ.7 ขึ้นใหม่
|
|||||||||||||||
| 4765 | ร่างกฎกระทรวงเรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้และการกำหนดราคาศุลกากร พ.ศ. .... | กค | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงเรื่องหลักเกณฑ์ วิธี
การ และเงื่อนไขในการใช้และการกำหนดราคาศุลกากร พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้และการกำหนดราคาศุลกากรในกฎกระทรวง ฉบับที่ 132 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 |
|||||||||||||||
| 4766 | การศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนจัดส่งพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ไปศึกษาเพิ่มเติมยังต่างประเทศ | กค | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการลด
หย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนจัดส่งพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ไปศึกษาเพิ่มเติมยังต่างประเทศ ซึ่งกระทรวง การคลัง ได้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือจูงใจให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบ การต่าง ๆ ให้ทุนการศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน แก่พนักงานและลูกจ้างของตน โดยมาตรการภาษีดังกล่าว ประกอบด้วย การจัดตั้งสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานให้กับลูกจ้างของบริษัทหรือบริษัทในเครือ โดย จะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในส่วนของกำไรสุทธิของสถานฝึกอบรมนั้น รวมถึงเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่ง กำไรที่ได้รับจากสถานฝึกอบรมดังกล่าว สำหรับค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของบริษัทเข้ารับการศึกษาหรือฝึก อบรมในสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมวิชาชีพที่ทางราชการจัดตั้งขึ้นหรือที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศกำหนด สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ในอัตรา 1.5 เท่า รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการฝึก อบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัท โดยหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อการฝึกอบรม จะต้องได้รับการรับรองจากกระทรวงแรง งานและสวัสดิการสังคม สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ในอัตรา 1.5 เท่า นอกจากนี้ ยังได้มี การกำหนดหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ผ่อนปรนให้หลักสูตรการฝึกอบรมในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายการฝึก อบรม การดูงานในต่างประเทศให้สามารถได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวด้วยเช่นกัน |
|||||||||||||||
| 4767 | รายงานการสอบบัญชีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการประจำปี 2545 | กค | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการสอบบัญชีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้า
ราชการประจำปี 2545 สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ในส่วนของผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน และการรับจ่ายเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งผ่านการรับรองจากสำนักงานการตรวจ เงินแผ่นดินแล้ว และผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกแล้ว ซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกได้มีข้อ คิดเห็นและข้อเสนอแนะโดยเห็นควรแก้ไขพระราชบัญญัติ กบข. เพื่อให้สมาชิกออมเงินสะสมเพิ่มขึ้นได้ ปรับสูตร บำนาญใหม่เพื่อให้ได้รับมากขึ้น ให้นำเงินบางส่วนออกไปใช้ก่อนเกษียณอายุราชการ ให้สมาชิกลาออกจาก กองทุนได้โดยไม่ต้องลาออกจากราชการ รวมทั้งให้ทายาทได้รับเงินประเดิมและเงินชดเชยเมื่อสมาชิกเสียชีวิต สำหรับฐานะการเงิน และการรับจ่ายเงินของกองทุน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ในส่วนของ งบดุล กบข. มีสินทรัพย์รวม 191,163,599,625 บาท หนี้สินรวม 208,286,395 บาท งบรายได้ค่าใช้ จ่าย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2545 กบข. มีรายได้รวม 7,479,961,910 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 479,074,300 บาท |
|||||||||||||||
| 4768 | การแก้ไขกิจกรรมทางธุรกิจที่อาจเกิดปัญหา | กค | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลัง
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการแก้ไขกิจกรรมทางธุรกิจที่อาจเกิดปัญหา โดยผลการหารือจาก การตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังไม่พบข้อมูลว่ามีสถาบันการเงินผลักดันให้บริษัทลูกหนี้ที่มีผล การดำเนินการไม่ดีออกหุ้นกู้เพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงิน และทำให้ประชาชนผู้ลงทุนในหุ้นกู้ดัง กล่าวได้รับความเสียหาย สำหรับการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของภาคเอกชน ซึ่งประกอบ ด้วยตั๋วเงิน และหุ้นกู้ จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด โดย หลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลนี้มีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อสร้างดุลยภาพระหว่างการคุ้มครองผู้ลงทุน ในขณะ เดียวกันก็เอื้อให้ภาคธุรกิจเอกชนสามารถระดมทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเท่าที่ผ่านมายังไม่ปรากฏว่า มีการร้องเรียนในเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้แต่อย่างใด อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบัน หลักเกณฑ์การ กำกับดูแลตั๋วเงินและหุ้นกู้ยังมีความแตกต่างกัน จึงทำให้มีผู้ที่ต้องการระดมทุนส่วนหนึ่ง เลี่ยงมาออกตั๋วเงิน แทนการออกหุ้นกู้เพราะทำได้ง่าย สะดวก และมีต้นทุนที่ต่ำกว่า แม้ว่าตั๋วเงินเหล่านั้นจะมีมูลค่าสูง (10 ล้าน บาทขึ้นไป) แต่หากปล่อยให้มีการใช้ตั๋วเงินเป็นเครื่องมือในการระดมทุนอย่างแพร่หลายต่อไปเรื่อย ๆ ใน อนาคต หากมีผู้ออกตั๋วเงินจำนวนมากผิดนัดชำระหนี้ และมีการฟ้องร้องไล่เบี้ยกันอย่างกว้างขวางแล้ว อาจ จะกระทบความเชื่อมั่นในการระดมทุน และการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ทั้งระบบได้ สำหรับเรื่องของการ จัดทำงบการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ ฯ ได้กำหนดมาตรการใน การกำกับดูแลไว้เป็นลำดับ ซึ่งมีทั้งการดำเนินการกับบริษัทจดทะเบียนที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบ การเงินหรือเห็นว่างบการเงินไม่ถูกต้อง และการดำเนินการกับบริษัทจดทะเบียนที่ส่งงบการเงินล่าช้า รวม ทั้งยังมีการตรวจสอบงบการเงินของบริษัทที่ส่งมายังตลาดหลักทรัพย์ ฯ ด้วย ทั้งนี้ ในการจัดทำงบการเงิน ของบริษัท ในทางปฏิบัติแล้ว บริษัทจะแยกรายการหนี้สินจากการออกหุ้นกู้ออกจากรายการเงินกู้ยืมจาก สถาบันการเงิน และหากบริษัทมีการออกตั๋วเงิน การลงบัญชี รายการดังกล่าวจะรวมอยู่ในรายการเงินกู้ยืม ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน แต่จะมีรายละเอียดในหมายเหตุประกอบงบการเงินว่าเงินกู้ยืมดังกล่าวมาจาก การออกตั๋วเงิน และจากผลการหารือในเรื่องดังกล่าว กระทรวงการคลังเห็นว่า ในปัจจุบันมีเกณฑ์ในการ กำกับดูแลที่ชัดเจนและเพียงพอที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลงทุนได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้เกิดภาระแก่ ภาคเอกชนที่ต้องการระดมทุนผ่านตลาดทุนมากจนเกินไป ทำให้ภาคเอกชนยังคงสามารถระดมทุนได้อย่าง มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี จะได้ติดตามดูแลและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการตรวจสอบ เรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป |
|||||||||||||||
| 4769 | ร่างระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เปลี่ยนผู้มีอำนาจอนุมัติฎีกา) | กค | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาเป็นร่างเดียว กับร่างระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2546 เห็น ชอบในหลักการ ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระ สำคัญของร่างระเบียบฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของผู้มีอำนาจอนุมัติฎีกา โดยเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจใน การอนุมัติฎีกาจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคลังจังหวัด เพื่อให้การตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินจากคลังเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||
| 4770 | แนวทางการจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ในภูมิภาค | กค | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางการจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วย
ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ในภูมิภาค และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจ หน้าที่พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (คณะกรรมการ e- Auction) เป็นการประจำหรือเป็นครั้งคราวไป โดยคณะกรรมการดังกล่าว ประกอบด้วย ข้าราชการระดับ 8 ขึ้นไป เป็นประธาน ข้าราชการระดับ 6 ขึ้นไป อย่างน้อย 2 คน เป็นกรรมการ และเจ้าหน้าที่สำนักงานจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ ส่วนหน้าที่ของหน่วยงานในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้ คณะอนุกรรมการจัดซื้อ จัดจ้างจังหวัด แต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (กจบ.) ทำหน้าที่ กำกับดูแล บริหาร ตรวจสอบ การจัดซื้อจัดจ้างในภาพรวมของจังหวัด สำนักงานคลังจังหวัด กำกับดูแล ให้คำปรึกษาหารือแก่ หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทาง หลักเกณฑ์ กฎและระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด สำนัก งานจังหวัด เป็นหน่วยงานปฏิบัติ ประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ในการจัดประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ใน แต่ละครั้ง และมีหน้าที่จัดหาศูนย์การประมูล (Auction Center) ตามมาตรฐานที่กระทรวงการคลังกำหนด และมหาวิทยาลัย ทำหน้าที่เป็นศูนย์จัดฝึกอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีทักษะ และความพร้อมสำหรับการ ประมูล ฯ นอกจากนี้ ให้มีผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Market Place Service Provider) ทำ หน้าที่จัดประมูล ฯ แก่หน่วยงานของภาครัฐภายในจังหวัด โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณากำหนดพื้นที่ การให้บริการ (Zoning) ของผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ตามกลุ่มบริหาร Cluster ในระบบการ บริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ โดยผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์สามารถคิดค่าธรรมเนียมในการ ให้บริการจากผู้ค้าที่ชนะการประมูล ในอัตราไม่เกินร้อยละ 3 ของมูลค่าซื้อขาย โดยค่าธรรมเนียมในการ บริการประมูลแต่ละครั้งต้องไม่เกิน 300,000 บาท สำหรับขั้นตอนในการดำเนินการจัดหาพัสดุ ให้ดำเนิน การตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุง แก้ไขกฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการประมูล ฯ และ พัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้าง (e-Procurement) ให้สามารถดำเนินการได้สมบูรณ์เต็มรูปแบบ พร้อมทั้งเตรียม ความพร้อมให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
| 4771 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและขยายเวลาก่อหนี้ผูกพัน (โครงการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานศุลกากร) | กค | 18/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้กรมศุลกากรเปลี่ยนแปลงรายการและขยาย
ระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการจัดซื้อระบบคอมพิวเตอร์ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร งานศุลกากรด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2548 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2549 สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็น ชอบวงเงินงบประมาณจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ ฯ ระยะที่ 1 ส่วนที่ 1 ในวงเงิน 228,500,000 บาท โดยใช้จ่าย จากงบประมาณปี พ.ศ. 2546 จำนวน 66,180,000 บาท ส่วนที่เหลือใช้จ่ายจากงบประมาณปี พ.ศ. 2547 -พ.ศ. 2549 จำนวน 162,320,000 บาท และส่วนที่ 2 ในวงเงิน 11,990,000 บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณ ปี พ.ศ. 2547 |
|||||||||||||||
| 4772 | การพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | กค | 18/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่าย
เพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รวม 4 ด้าน ได้แก่ การลงทุนภาครัฐ ชำระหนี้คืนก่อนครบกำหนด รวม ทั้งหนี้ที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 แต่ยังไม่ได้รับจัดสรร งบเงินกู้เงินช่วยเหลือให้ประเทศเพื่อนบ้าน และการปรับเงินเดือนข้าราชการ โดยวัตถุประสงค์ในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าว เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจได้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในเอกสารงบ ประมาณ และทำให้การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในช่วงที่ผ่านมาต่ำกว่าแผนที่กำหนด ตั้งแต่ปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2545 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 คาดว่า เศรษฐกิจยังคง ขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสูงขึ้นตามทิศทางการเจริญเติบโตทางเศรษฐ กิจ โดยคาดว่าจะจัดเก็บรายได้สุทธิได้จำนวน 1,063,637 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายจำนวน 928,100 ล้านบาท ที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณจำนวน 135,537 ล้านบาท และจากการคาดการณ์ดังกล่าว หากนำวงเงินงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 1,028,000 ล้านบาท มาเทียบกับประมาณการราย ได้ใหม่ จำนวน 1,063,637 ล้านบาท ฐานะการคลังจะเกินดุลอยู่จำนวน 35,637 ล้านบาท และเมื่อร่วมกับงบ ขาดดุลที่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาแล้วจำนวน 99,900 ล้านบาท รัฐบาลก็จะมีวงเงินที่จะจัดทำงบประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติมได้ถึง 135,537 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการหนุนการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ที่กำลังขยายตัวอย่างดี และมีเสถียรภาพอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการตามนัยมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป โดยให้แก้ไขข้อความในหนังสือ กระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0905/20363 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2546 หน้าที่ 2 ข้อ (4) เป็น "การปรับเงินค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ" ด้วย |
|||||||||||||||
| 4773 | รายงานผลการเจรจาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในโครงการพัฒนาเส้นทางสายห้วยโก๋น/เมืองเงิน - ปากแบ่ง แก่ สปป.ลาว | กค | 18/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินใน
โครงการพัฒนาเส้นทางสายห้วยโก๋น/เมืองเงิน-ปากแบ่ง และให้กระทรวงการคลังโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังเป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินดังกล่าว รวมทั้งสามารถลงนามในสัญญา การให้ความช่วยเหลือดังกล่าวได้โดยมิต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หากสัญญาการให้ความช่วยเหลือ ทางการเงินมีการแก้ไขแต่มิใช่ในสาระสำคัญ กับให้จัดสรรงบกลางประจำปี พ.ศ. 2547 จำนวน 252 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือรัฐบาล สปป.ลาว ในโครงการพัฒนาเส้นทางห้วยโก๋น/เมืองเงิน- ปากแบ่ง ทั้งนี้ ในส่วนของร่างสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินในโครงการดังกล่าว ให้ปรับปรุงวิธีการจัด ซื้อจัดจ้าง โดยให้ สปป.ลาว สามารถใช้ระเบียบวิธีการที่เกี่ยวข้องของ สปป.ลาว เป็นหลักในการดำเนินการได้ และให้กระทรวงการคลังรับไปประสานกับกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการ ปรับปรุงร่างสัญญาดังกล่าวให้เหมาะสมและเป็นไปตามแนวทางดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||
| 4774 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดคุณสมบัติผู้บริหารรัฐวิสาหกิจต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี และปรับปรุงกระบวนการสรรหาผู้บริหารรัฐวิสาหกิจและกรรมการรัฐวิสาหกิจ) | กค | 18/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)(ฝ่ายกฎหมาย)
ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงาน รัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ต่อไป โดยสาระสำคัญของประเด็นอภิปรายมีดังนี้ การกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งผู้บริหาร รัฐวิสาหกิจที่ต้องไม่เป็นข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วน ท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นของรัฐนั้น ในกรณีที่มีความจำเป็นหากจะมีการแต่งตั้งข้าราชการประจำให้รักษาการในตำแหน่งผู้ บริหารรัฐวิสาหกิจเป็นการชั่วคราว จะทำได้หรือไม่เพียงใด และการกำหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องมีกรรมการที่มีความรู้ด้านเศรษฐ ศาสตร์ หรือการเงิน หรือการบัญชีและด้านกฎหมาย อย่างน้อยด้านละหนึ่งคน ควรกำหนดที่มาของกรรมการดังกล่าวไว้ให้ ชัดเจน นอกจากนี้ ให้แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา การจ้างและแต่งตั้งผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ รวมทั้ง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ ส่วนการกำหนดให้การแต่งตั้งกรรมการอื่นในรัฐวิสาหกิจให้ผู้มีอำนาจ แต่งตั้งจากบัญชีรายชื่อกรรมการไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการอื่น ให้กำหนดที่มาของบัญชีรายชื่อกรรมการไว้ให้ ชัดเจน และกระทรวงการคลังควรมีส่วนร่วมในการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการดังกล่าวด้วย สำหรับรัฐวิสาหกิจประเภทส่งเสริม ซึ่งรัฐบาลจัดงบประมาณสนับสนุนจำนวนร้อยละ 100 ปัจจุบันยังไม่มีผู้แทนสำนักงบประมาณเป็นกรรมการในคณะกรรมการ ของรัฐวิสาหกิจประเภทนี้เห็นควรให้ผู้แทนสำนักงบประมาณเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจประเภทนี้ด้วย แต่ไม่ควรบัญญัติไว้ในกฎหมาย ควรดำเนินการโดยมติคณะรัฐมนตรี และให้กำหนดความหมาย "บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งที่มี อำนาจหน้าที่คล้ายคลึงกัน แต่เรียกชื่ออย่างอื่นในรัฐวิสาหกิจ " ในคำนิยาม "พนักงาน" ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตร ฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ให้ชัดเจนว่าหมายถึงตำแหน่งใดบ้าง จะรวมถึงตำแหน่งที่ปรึกษา กรรมการ หรือที่ปรึกษาประธานกรรมการด้วยหรือไม่
|
|||||||||||||||
| 4775 | การเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยกับประเทศอียิปต์ | กค | 18/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยเห็นชอบในร่างความตกลง ฯ เพื่อการเว้น
การเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยกับประเทศอียิปต์ ซึ่งความตกลง ฯ ฉบับนี้ประกอบด้วย ขอบข่ายของความ ตกลง ฯ วิธีขจัดภาษีซ้อน การเก็บภาษีจากกำไรธุรกิจ การเก็บภาษีจากการขนส่งระหว่างประเทศ การเก็บภาษี จากทรัพย์สิน การเก็บภาษีจากเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนจากการจ้างแรงงาน การให้บริการส่วนบุคคล ครู นักวิจัย การเริ่มใช้และการเลิกใช้ความตกลง ฯ รวมทั้งบทบัญญัติพิเศษอื่น ๆ และอนุมัติให้กระทรวงการ ต่างประเทศรับไปดำเนินการเพื่อให้ความตกลง ฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป
|
|||||||||||||||
| 4776 | การพิจารณาโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ | กค | 11/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ "คู่มือการพิจารณาโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ด
เสร็จ" เพื่อใช้เป็นคู่มือในการประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ใช้เป็นแนวทาง ดำเนินโครงการที่ถูกต้องต่อไป สำหรับคู่มือการพิจารณาโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ มีลักษณะการดำเนิน งานครอบคลุมการสำรวจ ออกแบบ ตลอดจนก่อสร้างจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ รวมทั้งการบำรุงรักษาในช่วงเริ่มต้น ของโครงการ โดยผู้รับจ้างเพียงรายเดียว มีรูปแบบการบริหารโครงการต่าง ๆ ได้แก่ การจ้างออกแบบควบคู่การ ก่อสร้าง (Design & Build Project) การจ้างก่อสร้างพร้อมจัดหาเงินทุน (Turnkey Project) และการจ้างออกแบบ ควบคู่ก่อสร้างพร้อมจัดหาเงินทุน (หรือจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบ)
|
|||||||||||||||
| 4777 | การอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยเพื่อสนับสนุนกิจการพาณิชย์นาวี | กค | 11/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (คกก.2)
ที่มีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ อนุมัติให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของธนาคารเพื่อการ ส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ที่ออกให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในส่วนที่ ธปท. ได้ ขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อกิจการพาณิชย์นาวี ในวงเงินไม่เกิน 601,248,300 บาท รวมทั้งอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของ ธสน. ในกรณีที่ ธปท. ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและ กระทรวงคมนาคมรับประเด็นอภิปรายและความเห็นของ คกก.2 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ การพัฒนา กิจการพาณิชย์นาวี ประเทศไทยมีความก้าวหน้าไม่มากเนื่องจากขาดการสนับสนุนอย่างครบวงจร หากเปรียบ เทียบกับประเทศที่มีความก้าวหน้าของการพัฒนากองเรือพาณิชย์ เช่น สหรัฐ ฯ ญี่ปุ่น เดนมาร์ก เยอรมนี ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เป็นต้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณานโยบายการส่งเสริม 2 ด้านไปพร้อมกัน คือ ประการแรก การให้ความช่วยเหลือทางการเงินระยะยาวมากกว่าระยะสั้น เนื่องจากระยะเวลาของการคืนทุน หรือทำกำไรของพาณิชย์นาวี โดยปกติประมาณ 10 ปี ซึ่งอาจทำได้ 2 รูปแบบคือ การจัดตั้งกองทุนเฉพาะหรือ การให้สถาบันการเงินเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และประการที่สอง การพัฒนาและส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการ กองเรือพาณิชย์ไทย โดยที่ปัจจุบันไทยมีโอกาสการพัฒนาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการค้าขายระหว่างประเทศ กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งปัจจุบันต้องอาศัยเรือจีน กระทรวงคมนาคมควรรับไปพิจารณาพัฒนาเป็นโครง การพัฒนาพาณิชย์นาวี สำหรับ ธสน. ควรจะมีบทบาทเชิงรุกให้มากขึ้นในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจไทยที่ สามารถสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศ โดยจะต้องสามารถทำงานร่วมกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ได้ ซึ่งเป็น เรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้ปรารภหลายครั้ง |
|||||||||||||||
| 4778 | ขออนุมัติยุบเลิกทุนหมุนเวียน | กค | 11/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติ
เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอยุบเลิกทุนหมุนเวียนของส่วนราชการ จำนวน 5 ทุน และ ให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับส่วนราชการเจ้าของทุนหมุนเวียนเพื่อกำหนดวันที่ยุบเลิก และดำเนินการจัด การเกี่ยวกับสินทรัพย์ หนี้สิน และสิทธิประโยชน์ของพนักงานและลูกจ้างของทุนหมุนเวียนตามวิธีการจัดการ ที่กำหนดไว้ สำหรับทุนหมุนเวียนที่ยุบเลิก มีดังนี้ (1) เงินทุนหมุนเวียนการขยายการส่งเสริมร้านค้าในชุมชน ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (2) กองทุนส่งเสริมการผลิตสื่อสำหรับเด็ก ของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ (3) กองทุนหมุนเวียนน้ำบาดาล ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (4) เงินทุนหมุนเวียนพัฒนาการชุมชน ของกรมการพัฒนาชุมชน (5) เงินทุนหมุนเวียนซื้อเครื่องอะไหล่และเครื่องจักรกล ของกรมทางหลวงชนบท |
|||||||||||||||
| 4779 | การยกเลิกค่าธรรมเนียมนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจากฐานหนี้สินเพื่อการพัฒนาตลาดเงิน | กค | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ยกเลิกการเรียกเก็บเงินนำส่งค่าธรรมเนียม
เข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่คำนวณจากฐานหนี้สินเพื่อการพัฒนาตลาดเงิน และ ให้ยกเลิกการประกันเจ้าหนี้ไปพร้อมกัน โดยให้การยกเลิกดังกล่าวมีผลในช่วงครึ่งปีหลังของปี พ.ศ. 2546 ตาม ข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย และให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||
| 4780 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. สัดส่วนการถือหุ้นของสถาบันการเงินและบุคคลอื่นใน ธ.ก.ส. อำนาจของ ธ.ก.ส. ในการกระทำกิจการ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ธ.ก.ส. และผู้จัดการ) | กค | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการ
เกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 ในส่วนของสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ การแต่งตั้งสาขาหรือตัวแทนของ ธนาคาร ผู้ถือหุ้น วัตถุประสงค์ของธนาคาร อำนาจของธนาคาร อำนาจของคณะกรรมการในการแต่งตั้งคณะ กรรมการบริหาร และอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการ ทั้งนี้ ให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ฯ ให้เป็นไปตาม ความเห็นของคณะรัฐมนตรีดังนี้ สัดส่วนการถือหุ้นของสถาบันการเงินหรือบุคคลอื่นตามร่างมาตรา 4 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมมาตรา 7 ควรกำหนดให้เพิ่มขึ้นได้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ แต่ต้องไม่เกินร้อยละสี่สิบเก้า เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยังคงมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และต้องยึดหลักการในการช่วยเหลือทาง การเงินแก่เกษตรกร และการพัฒนาชนบทต่อไป สำหรับผู้ถือหุ้นแต่ละรายให้กำหนดให้ถือได้ไม่เกินร้อยละห้า ยกเว้นผู้ถือหุ้นที่มีลักษณะเป็นกองทุนด้านการเกษตร หรือกองทุนของรัฐ เช่น สหกรณ์ สหกรณ์การเกษตร หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นต้น โดยให้ ธ.ก.ส. มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจในการขายหุ้นภาย ใต้กรอบสัดส่วนดังกล่าวตามที่เห็นสมควร สำหรับองค์ประกอบของคณะกรรมการ ธ.ก.ส. ในส่วนของประธาน กรรมการและผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรีที่ร่วมเป็นคณะกรรมการ ธ.ก.ส. และวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ตาม ร่างมาตรา 6 ซึ่งเพิ่มความเป็น (4) ของมาตรา 9 ให้เป็นไปตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่น กรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 ที่เห็นควรให้ตัดความใน (4) ของร่างมาตรา 6 กรณีการให้ความช่วย เหลือทางการเงินแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของ ธ.ก.ส. และไม่ ควรกำหนดให้มีผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงใน ปัจจุบันที่สำนักนายกรัฐมนตรีมิได้มีหน่วยงานดูแลภาคการเงินและเกษตรกรรม และให้รับความเห็นของส่วน ราชการที่เกี่ยวข้องและข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างมาตรา 3 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 6 บัญญัติให้ตั้งสาขาหรือตัวแทนของ ธ.ก.ส. นอกราชอาณาจักรได้ โดยต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อนการ ตั้งสาขาหรือตัวแทนนอกราชอาณาจักรดังกล่าว อาจไม่สามารถให้บริการหรือช่วยเหลือทางการเงินแก่บุคคล กลุ่มบุคคล ฯลฯ ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมในประเทศไทยตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ได้ ไปพิจารณา ด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ต่อไป |
|||||||||||||||
.....
