ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 235 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 4681 - 4700 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 4681 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (จำนวน 7 ราย) | กค | 20/04/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบรรษัท
บริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน จำนวน 7 คน แทนกรรมการชุดเดิมที่ครบวาระ โดยมีนายวิจิตร สุพินิจ เป็น ประธานกรรมการ นายอนันต์ สิริแสงทักษิณ นายพรชัย สุนทรพันธุ์ นายกำธร ตติยกวี นายสมชัย สัจจพงษ์ นายวิชัย อัสสรัตน์ และนางสาวกรประณม วงษ์มงคล เป็นกรรมการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (20 เมษายน 2547) เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||
| 4682 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยศุลกากรให้สอดคล้องกับความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า 1994 และสภาวการณ์ปัจจุบัน) | กค | 20/04/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่ายกฎหมาย) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ฉบับนี้เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เนื่องจากบทบัญญัติมาตรา 11 ทวิ และมาตรา 12 แห่ง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 5 และ 6 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2543 ได้บัญญัติให้อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดราคาศุลกากรในกรณีที่พิจารณาเห็นว่า ราคาสำแดงของของที่นำเข้ามีราคาต่ำอย่างปรากฏชัด หรือไม่น่าจะเป็นมูลค่าอันแท้จริง หรือในกรณีที่ไม่ ตกลงในเรื่องราคาศุลกากรสำหรับของอย่างใด ๆ และให้อำนาจอธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจรับของนั้นไว้ เป็นค่าภาษีหรือจะซื้อของนั้นไว้หรืออธิบดีและเจ้าของต่างตั้งอนุญาโตตุลาการมีจำนวนเท่ากันเป็นบทบัญญัติ ที่ขัดแย้งกับความตกลงในการนำมาตรา 7 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า 1994 มา ถือปฏิบัติรวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติอื่น ๆ เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ ให้รับ ประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ที่เห็นว่า ตามร่างมาตรา 6 กำหนดให้การกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27วรรค หนึ่งและร่างมาตรา 9 กำหนดให้การกระทำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ. 2469 ให้ถือเป็นความผิดโดยมิพักต้องคำนึงว่า ผู้กระทำมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลิน เล่อหรือไม่นั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวตรงกับกฎหมายปัจจุบันในมาตรา 16 จึงไม่มีความจำเป็นต้องตัด ข้อความดังกล่าวแล้วนำมาบัญญัติไว้ในมาตรา 27 และมาตรา 99 แต่อย่างใด และเห็นควรให้คงมาตรา 16 ไว้เช่นเดิม และเนื่องจากกฎหมายศุลกากรเป็นกฎหมายพิเศษ ดังนั้นบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นข้อยกเว้นของ หลักการกฎหมายทั่วไป ซึ่งบัญญัติในทำนองนี้ได้มีบัญญัติในกฎหมายอื่น ๆ บ้างแล้ว เช่น กฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งหากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีการศึกษารวบรวมกฎหมายต่าง ๆ ที่ มีบทบัญญัติทำนองนี้ไว้ ก็จะเป็นข้อมูลในเชิงวิชาการด้านกฎหมายอย่างยิ่ง และข้อสังเกตของสำนักเลขา ธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับในชั้นการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ควรให้ดำเนินการทำนอง เดียวกับร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดระเบียบพิธีการ ศุลกากรการรายงานเรือเข้า ออก รายงานอากาศยานเข้า การขอคืนอากร และปรับปรุงอัตราโทษ ซึ่ง คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 กุมภาพันธ์ 2547) อนุมัติตามมติ คกก.7 ที่เห็นควรอนุมัติหลักการและให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 เกี่ยวกับการ แก้ไขกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอมาเพื่อดำเนินการแล้วหลายฉบับหลายเรื่อง ซึ่ง บางฉบับอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณา และในการพิจารณาควรคำนึงถึงขั้นตอนและระยะเวลาการประกาศ ใช้บังคับเป็นกฎหมายด้วยเพื่อให้กฎหมายที่ประกาศใช้ก่อนและหลังมีความสอดคล้องกัน กรณีร่างกฎหมาย อยู่ในขั้นตอนและมีเนื้อหาที่สามารถรวมกันเป็นฉบับเดียวได้ ก็สมควรรวมเป็นฉบับเดียวหากพิจารณาแล้ว เห็นว่าเหมาะสม ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำ เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 4683 | ผลการดำเนินการโครงการพักชำระหนี้และลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยครบ 3 ปี | กค | 07/04/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการโครงการพักชำระหนี้และ
ลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ครบ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2544 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2547 โดย ผลการดำเนินงานเมื่อเริ่มต้นโครงการจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2547 มีเกษตรกรคงเหลือจำนวน 1,944,029 ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ จำนวน 75,476 ล้านบาท เป็นผู้ใช้สิทธิพักชำระหนี้ จำนวน 878,555 ราย ต้นเงินคง เป็นหนี้ จำนวน 41,006 ล้านบาท และเป็นผู้ใช้สิทธิ์ลดภาระหนี้ จำนวน 1,065,474 ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ จำนวน34,470 ล้านบาท โดยในส่วนของเกษตรกรลูกค้าพักชำระหนี้มีเงินกู้ถึงกำหนดชำระในเดือนมิถุนายน 2547 จำนวน 2,177 ล้านบาท เดือนกันยายน 2547 จำนวน 969 ล้านบาท เดือนธันวาคม 2547 จำนวน 1,186 ล้านบาท และเดือนมีนาคม 2548 จำนวน 22,614 ล้านบาท จำนวนที่เหลือจะทยอยชำระในปีถัด ๆ ไป ทั้งนี้จากการทำการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าพักชำระหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สามารถจำแนกกลุ่มที่คาดว่า จะไม่มีปัญหาในการชำระหนี้เมื่อสิ้นสุดโครงการ จำนวน 881,251 ราย จำนวนหนี้คงเหลือในโครงการจะสามารถชำระหนี้ได้ จำนวน 39,689 ล้านบาท และ กลุ่มที่คาดว่าจะมีปัญหาในการชำระหนี้ มีจำนวน 108,295 ราย มีหนี้คงเหลือในโครงการจะมีปัญหาในการ ชำระหนี้ จำนวน 5,774 ล้านบาท โดยกลุ่มที่คาดว่าจะมีปัญหาดังกล่าวเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีปัญหาหนี้สินหลาย ทาง ลูกค้าที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติและใช้เงินกู้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะทำการฟื้นฟูพัฒนาศักยภาพ และอาชีพลูกค้าเหล่านี้เป็นรายบุคคลเพื่อให้ลูกค้ามีความเข้มแข็งสามารถกลับมาชำระหนี้คืนได้ในที่สุด สำหรับ ผลการออมเงิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้ออมเงินผ่านระบบ ธ.ก.ส. ยอดเงิน ออมคงเหลือ จำนวนเงิน 14,749 ล้านบาท แยกเป็นการออมเงินเกษตรกรพักชำระหนี้ จำนวนเงิน 5,047 ล้านบาท และเกษตรกรลดภาระหนี้ จำนวนเงิน 9,702 ล้านบาท และผลการฟื้นฟูเกษตรกรหลังการพักชำระ หนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการโดยวิธีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรดำเนินการ จำนวน 901,117 ราย และการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร โดยแยกเป็นการฟื้นฟูอาชีพ จำนวน 443,393 ราย การสนับ สนุนการสร้างแกนนำอาสา (ครูบัญชีเกษตรและหมอดิน) จำนวน 129,593 ราย และ ธ.ก.ส. ยังสนับ สนุนฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรอีกทางหนึ่ง โดยมุ่งเน้นการปรับวิธีคิดในการจัดการตนเองและชุมชนจาก กระบวนการเรียนรู้สามารถคิดวางแผนได้ด้วยตนเอง มีเกษตรกรผ่านการอบรม จำนวน 658,415 ราย ส่วน ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ในการสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายพักชำระหนี้และลดภาระหนี้ให้แก่ เกษตรกรรายย่อย รัฐบาลได้จัดสรรเงินงบประมาณ จำนวน 18,000 ล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เบิกจ่ายเงินงบ ประมาณดังกล่าวแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 15,541.81 ล้านบาท เป็นการชดเชยดอกเบี้ย |
||||||||||||||||||||||||
| 4684 | โครงการเงินกู้รัฐบาลญี่ปุ่น ครั้งที่ 28 | กค | 07/04/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ รับหลักการของ
ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น (Exchange of Notes) ร่างสัญญาเงินกู้ (Loan Agreement) และร่างสัญญาค้ำประกันเงินกู้ (Guarantee Agreement) สำหรับโครงการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยให้บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด กู้เงินจากธนาคารเพื่อความ ร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) วงเงิน 44,852 ล้านเยน โดยมีกระทรวงการคลังในนามรัฐบาลไทยเป็น ผู้ค้ำประกันเงินกู้ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นในหนังสือแลกเปลี่ยน ฯ กับ JBIC ในสัญญาค้ำประกันเงินกู้ และ เอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ฯ |
||||||||||||||||||||||||
| 4685 | หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ | กค | 07/04/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอกรอบหลักเกณฑ์การกระจายหุ้นรัฐวิสาห
กิจให้ประชาชนทั่วไป เพื่อให้การกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีความโปร่งใส เป็นธรรม และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็น เจ้าของรัฐวิสาหกิจอย่างแท้จริง รวมทั้งหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้พนักงานรัฐวิสาหกิจที่เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้การจัดสรรหุ้นให้แก่พนักงานรัฐวิสาหกิจมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และ หลักการดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน ผู้บริโภค และพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นบรรทัด ฐานในการดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 4686 | รายงานผลการเจรจาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 โครงการ | กค | 30/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอการให้ความช่วยเหลือ
ทางการเงินแก่ สปป.ลาว ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างร่องระบายน้ำและ ปรับปรุงถนน T2 ในนครหลวงเวียงจันทน์ โครงการปรับปรุงสนามบินระหว่างประเทศวัดไต และโครงการปรับ ปรุงสนามบินปากเซ วงเงินรวม 800 ล้านบาท โดยให้ใช้ร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือในโครงการห้วยโก๋น /เมืองเงิน-ปากแบ่ง เป็นแบบอย่างในการจัดทำสัญญาการให้ความช่วยเหลือทั้งสามโครงการ และให้กระทรวง การคลังรับการจัดสรรงบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน และการพัฒนาที่ยั่งยืน ของประเทศ ปี 2547 จำนวน 240 ล้านบาท และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังมอบอำนาจ เป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินดังกล่าว และให้ ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อ ให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการปรับปรุงโครง สร้างพื้นฐานทั้ง 3 โครงการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินโครงการปรับปรุงสนาม บินระหว่างประเทศวัดไตก่อนเป็นลำดับแรก และให้กระทรวงการคลังสามารถปรับปรุงร่างสัญญาการให้ความ ช่วยเหลือในโครงการดังกล่าวในส่วนที่มิได้เป็นสาระสำคัญโดยประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้ สปป. ลาว มีความคล่องตัวในการคัดเลือกผู้ประกอบการไทยได้เอง แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
| 4687 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ) พ.ศ. .... (การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมือง) | กค | 30/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่ายกำหมาย) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล รัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยสาระสำคัญของ ร่างพระราชบัญญัติฉบับ นี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร โดยการกำหนดให้เงินที่บริจาคแก่พรรค การเมืองสามารถนำมาหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมทั้งกำหนดให้รายจ่ายในการ บริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดย ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ไปพิจารณาด้วยว่า การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณี การบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองสามารถออกเป็น พระราชกฤษฎีกาโดยให้อาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากรได้ และโดยที่มาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ได้กำหนดให้จำนวนเงินที่บริจาคให้แก่พรรคการเมืองไปหักเป็น ค่าลดหย่อนตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร จึงต้องพิจารณาว่าจะต้องดำเนินการในรูปของร่างพระราชบัญญัติ หรือไม่ เพราะกระบวนการตราพระราชบัญญัติมีหลายขั้นตอนและต้องใช้เวลานาน หากจะดำเนินการโดยตราเป็น พระราชกฤษฎีกาก็น่าจะเป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว และ สามารถดำเนินการได้รวดเร็วกว่า จึงเห็นควรพิจารณาด้วยว่า จะสามารถตราเป็นพระราชกฤษฎีกาได้หรือจะ ต้องเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติเท่านั้น แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อน เสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ทั้งนี้ หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถตราเป็น พระราชกฤษฎีกาได้ก็ให้ยกร่างเป็นพระราชกฤษฎีกา แล้วให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
| 4688 | แนวทางการผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2 | กค | 30/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่สามารถ
ก่อหนี้ผูกพันได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 และให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติ ต่อไป ดังนี้ รายการที่เห็นควรผ่อนผันถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 (มิถุนายน 2547) ประกอบด้วย (1) รายการที่อยู่ ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างก่อนสิ้นไตรมาสที่ 2 (2) รายการที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการ เอง ได้แก่ งานที่ต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาหรือฤดูกาล (3) รายการที่มีปัญหาอุปสรรค เนื่องจากปัจจัยภายนอก หรือรายการที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานอื่น (4) รายการที่ส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจได้รับจัดสรรงบประมาณ ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระ ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ/หรือส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจัดทำแผนปฏิบัติการและแผน การใช้จ่ายงบประมาณที่จะจัดซื้อจัดจ้างหลังไตรมาสที่ 2 ซึ่งสำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบแผน ฯ แล้ว และ (5) รายการที่หน่วยงานสังกัดส่วนราชการส่วนกลางแต่มีสำนักงานที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค หรือส่วนราชการ ในภูมิภาคได้รับการโอนจัดสรรเงินประจำงวดจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจส่วนกลางล่าช้า จนไม่สามารถ ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2 และรายการที่เห็นควรผ่อนผันถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2547 ประกอบด้วย (1) งบอุดหนุน ที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (2) งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อ การเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) และงบกลาง ราย การค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (59,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการเร่งโอนเงินประจำงวดให้หน่วยงานในภูมิภาคโดยเร็ว และให้ถือว่า การดำเนินการ ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาประสิทธิภาพของหัวหน้าส่วนราชการ |
||||||||||||||||||||||||
| 4689 | ความตกลงกลไกการชำระเงินแบบทวิภาคี (BPA) ระหว่างไทยกับรัสเซียแบบ Revolving Trade Financing Facility Agreement | กค | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (คกก.2) ที่
มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเรื่อง ความตกลงกลไกการชำระเงินแบบ (ทวิภาคี) (Bilateral Payment Arrangement หรือ BPA) ระหว่างไทยกับรัสเซีย แบบ Revolving Trade Financing Facility Agreement ตามหลัก เกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เสนอ ดังนี้ วงเงิน : วงเงินหมุน เวียน จำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Financing Period (สำหรับตั้ว L/C แต่ละฉบับ) ไม่เกิน 180 วัน นับตั้งแต่ วันที่ ธสน. ชำระเงินแทน Vneshtorgbank อัตราดอกเบี้ย ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยปกติ : LIBOR+1.5% ต่อปี โดยเริ่มคำนวณตั้งแต่วันที่เกิดรายการจนถึงวันครบกำหนดชำระเงิน และอัตราดอกเบี้ยผิดนัด : อัตราดอกเบี้ย ปกติ+2% ต่อปี โดยเริ่มคำนวณตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดชำระเงิน จนถึงวันที่ได้รับชำระเงินครบถ้วน ทั้งนี้ ให้ ธสน. สามารถเปิดวงเงินหมุนเวียนภายใต้การชำระเงินดังกล่าว รวมทั้งลงนามในความตกลงดังกล่าวในนาม ของรัฐบาลไทยร่วมกับ Vneshtorgbank ของรัสเซียได้ โดยให้ความคุ้มครองแก่ ธสน. ตามมาตรา 23 ของพระ ราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 ในการดำเนินการดังกล่าว และให้ ธสน. รายงานผลการดำเนินการตามความตกลง ฯ ให้กระทรวงการคลังทราบเป็นระยะ เพื่อประโยชน์ในการ ติดตามและประเมินความตกลง |
||||||||||||||||||||||||
| 4690 | แต่งตั้งเลขานุการรัฐมนตรีและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิมล ศรีวิกรม์ และพันตำรวจโท ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์) | กค | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้ง นายพิมล ศรีวิกรม์ เป็นเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และพันตำรวจโท ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2547 เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||
| 4691 | แต่งตั้งที่ปรึกษารัฐมนตรี (นายไชยยศ สะสมทรัพย์ และนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) | กค | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายไชยยศ สะสมทรัพย์ เป็นที่ปรึกษา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2547 เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||
| 4692 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2547 | กค | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการของ
รัฐบาล พ.ศ. 2547 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมอบรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับร่าง พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ทั้งแบบที่ 1 เป็นร่างที่ผ่าน การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) โดยได้มีการแก้ไขร่างมาตรา 5 (1) ที่กำหนดเกี่ยวกับ ลักษณะต้องห้ามของข้าราชการที่เข้าร่วมโครงการ โดยตัดคำว่า "สอบข้อเท็จจริงทางวินัย" และ "การพิจารณา อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย" ออก เนื่องจากการสอบข้อเท็จจริงทางวินัยเป็นเพียงขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จ จริงว่า มีการกระทำผิดวินัยหรือไม่ รวมทั้งมีผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องถูกสอบสวนทางวินัยเป็นผู้ใดบ้าง การกำหนด ลักษณะต้องห้ามดังกล่าวไว้เป็นการจำกัดสิทธิของข้าราชการ สำหรับการตัดเรื่องการพิจาณาอุทธรณ์คำสั่งลง โทษทางวินัยเพราะการคงไว้จะขัดแย้งกันเองในด้านหลักการตามร่างพระราชกฤษฎีกา เนื่องจากเป็นผู้ถูกลง โทษทางวินัยแต่ไม่อุทธรณ์จะได้รับสิทธิตามร่างพระราชกฤษีกา ในขณะที่ผู้อุทธรณ์จะไม่ได้รับสิทธิทั้ง ๆ ที่ยัง ไม่ทราบว่าจะเป็นผู้ถูกลงโทษทางวินัยต่อไปหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) เห็นว่า เป็นบท บัญญัติที่จำกัดสิทธิของบุคคลโดยไม่เป็นธรรม และอาจถูกโต้แย้งเป็นคดีซึ่งจะมีผลให้การบังคับใช้พระราช กฤษฎีกานี้ต้องเสียไปได้ และแบบที่ 2 เป็นร่างที่ได้แก้ไขตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรให้คงไว้ตามร่างเดิม ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง แล้วดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 4693 | มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของลูกจ้างประจำ | กค | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมติคณะกรรมการพัฒนาและบริหารกำลังคน
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2547 ซึ่งมีมติไม่ให้จัดทำโครงการตามมาตร การพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสำหรับลูกจ้างประจำ เนื่องจากกรณีลูกจ้างประจำ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ยุบอัตราลูกจ้างประจำที่ว่างลงซึ่งเป็นการลดจำนวนลูกจ้างประจำอยู่แล้ว อีกทั้งได้มีการ ปรับปรุงกระบวนการจ้างงานภาครัฐเป็นระบบพนักงานราชการเพื่อทดแทนระบบลูกจ้างประจำเดิม ประกอบ กับหากให้มีการจัดทำโครงการตามมาตรการดังกล่าวจะเป็นภาระด้านงบประมาณรายจ่ายที่จะต้องจ่ายเป็นเงิน ก้อนในครั้งเดียวเป็นจำนวนมาก ทั้ งในส่วนที่เป็นบำเหน็จ และเงินจูงใจที่เป็นเงินก้อนในการลงทุน 8-15 เท่า ของค่าจ้างเดือนสุดท้าย ให้แก่ลูกจ้างประจำที่เข้าโครงการ ฯ |
||||||||||||||||||||||||
| 4694 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... | กค | 16/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (คกก.2)
(ฝ่ายเศรษฐกิจ)ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนด บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณาโดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยบรรษัทบริหารสินทรัพย์ สถาบันการเงินในส่วนของคำนิยามคำว่า "สถาบันการเงิน" เพื่อให้รวมถึงบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย และนิติบุคคล อื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา แก้ไขเพิ่มเติมให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) สามารถประกอบธุรกิจรับซื้อ รับโอน หรือรับจ้างบริหารจัดการ หรือดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ด้อยคุณ ภาพรวมถึงหลักประกัน และทรัพย์สินที่ตกเป็นของสถาบันการเงินอันเนื่องมาจากการชำระหนี้ แก้ไขเพิ่มเติมให้ บบส. สามารถรับจ้างสถาบันการเงิน รวมทั้งดำเนินการจ้างช่วงเพื่อบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือทรัพย์สินอื่นของ สถาบันการเงิน และเพิ่มเติมให้ บบส. สามารถสวมสิทธิเข้าเป็นคู่ความในคดีที่อยู่ในศาล และสวมสิทธิเข้าเป็นเจ้า หนี้ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานศาลยุติธรรมและประเด็นอภิปราย แล้วส่ง ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สำหรับข้อ สังเกตของสำนักงานศาลยุติธรรม มีดังนี้ ร่างมาตรา 23 ทวิ บัญญัติให้อำนาจแก่บรรษัทที่เข้ามาเป็นคู่ความแทน มีสิทธินำพยานหลักฐานใหม่มาแสดงคัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้แล้ว ถามค้านพยานที่สืบมาแล้ว และคัดค้านพยาน หลักฐานที่ได้สืบไปแล้วได้ แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสาม มาตรา 117 วรรค สี่ และมาตรา 187 บัญญัติให้อำนาจศาลเท่านั้นเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในการอนุญาตให้คู่ความนำพยานหลักฐานเข้า สืบภายหลังสิ้นสุดระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ มิใช่สิทธิของคู่ความแต่อย่างใด ดังนั้น ตามร่างมาตรา 23 ทวิ จึง ขัดกับหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าว ส่วนประเด็นอภิปรายของ คกก.2 ซึ่งเห็นชอบในหลักการที่จะ ทำให้ บบส. มีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานมากขึ้น และช่วยให้การแก้ปัญหาหนี้และสินทรัพย์ด้อยคุณภาพโดย รวมเป็นไปได้สะดวกขึ้น และในการรับซื้อสินทรัพย์จากภาคเอกชน บบส. จะต้องไม่เสียเปรียบโดยจะต้องซื้อในราคา ยุติธรรม (Fair Value) มีการทำ Due Deligence อย่างเปิดเผย และบันทึกบัญชีแนบแยกกองสินทรัพย์ เพื่อสามารถ ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงาน นอกจากนี้ ในส่วนของแหล่งเงินทุนในการซื้อสินทรัพย์ บบส. จะใช้วิธีการ ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) เช่นเดียวกับการดำเนินการครั้งที่ซื้อสินทรัพย์จากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบัน การเงิน (ปรส.) |
||||||||||||||||||||||||
| 4695 | การให้ความช่วยเหลือภาคใต้ชายแดน 3 จังหวัด (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) ของกระทรวงการคลัง (วาระสำคัญของรัฐบาล) | กค | 16/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการให้ความช่วยเหลือภาคใต้ชายแดน
3 จังหวัด (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) ของหน่วยงานราชการภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ได้แก่ กรมศุลกา กร กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร กรมธนารักษ์ และกรมบัญชีกลาง ซึ่งให้ความช่วยเหลือเรื่อง การบริจาค เงินสนับสนุนการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนในพื้นที่เหตุการณ์จุดไฟเผาโรงเรียน ช่วยเหลือผู้ประกอบการ หรือผู้เสียภาษี ที่ไม่สามารถยื่นแบบชำระภาษี การจัดส่งงบเดือน หรือเอกสารในการส่งสินค้าออกนอกราช อาณาจักรได้ทันตามกำหนดเวลา ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและเร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้ประกอบการใน เขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้รวดเร็วเป็นกรณีพิเศษ รวมถึงการจัดทำโครงการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการ นำท่าจอดพักเรือปัตตานีซึ่งเป็นที่ราชพัสดุสนับสนุนยุทธศาสตร์จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาล โครง การบ้านมั่นคง และโครงการศูนย์บ้านพักข้าราชการในที่ดินที่ราชพัสดุ และการให้ความช่วยเหลือในด้านเงิน สวัสดิการสำหรับการปฏิบัติการในพื้นที่พิเศษ (สปพ.) สำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ปฏิบัติงานอยู่ ในสำนักงานของส่วนราชการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการให้สิทธิแก่ข้าราชการในการนับเวลาราช การทวีคูณแก่ข้าราชการในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งถูกประกาศกฎอัยการศึก และการให้ความช่วยเหลือของสถาบัน การเงินเฉพาะกิจของรัฐที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศ ไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แห่งประเทศไทย บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน โดยให้ความช่วยเหลือ เกี่ยวกับการเพิ่มจุดบริการของธนาคารเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ให้ความช่วย เหลือด้านธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กของประชาชนในพื้นที่ ให้การสนับสนุนการรับช่วงงานให้ บริการ เพื่อเป็นการสนับสนุนการส่งออกระหว่างประเทศ และจัดทำโครงการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสนับ สนุนอุตสาหกรรมยางพาราเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการยางพารา โครงการสนับสนุนนโยบายรัฐที่เน้นการ ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโดยการปล่อยสินเชื่อในรูปแบบ CLUSTER โครงการเร่งรัดการขยายสาขาและ การรับบุคลากรในพื้นที่เป็นพนักงาน เพื่อขยายการให้บริการให้ครอบคลุมพื้นที่ภาคใต้ทุกจังหวัด โครงการ ประนอมหนี้ โครงการเติมให้เต็ม เต็มใจจากสำหรับข้าราชการเกษียณ ปี 2547 รวมทั้งโครงการเสริมสร้าง ผู้ประกอบการใหม่ เพื่อสนับสนุนบัณฑิตใหม่ ผู้ว่างงาน ผู้ถูกออกจากงานและพนักงานลูกจ้างที่มีพื้นฐาน การศึกษา และมีศักยภาพ ให้สร้างโอกาสประกอบอาชีพด้วยตนเอง และการช่วยเหลือพนักงานและลูกจ้าง ของธนาคาร ฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดที่มีความเสี่ยงภัยจากเหตุการณ์ไม่สงบ 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ |
||||||||||||||||||||||||
| 4696 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 (โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ระยะที่ 2) | กค | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการจัดหา
ระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ระยะที่ 2 วงเงินทั้งสิ้น 1,680 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 320 ล้านบาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 อีกจำนวน 1,280 ล้านบาท สำรองเผื่อเหลือเผื่อขาดอีก 80 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 4697 | รายงานผลการดำเนินโครงการจำหน่ายสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว | กค | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รายงานผล
การดำเนินโครงการจำหน่ายสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ซึ่งออกจำหน่ายตั้งแต่งวดประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2546 จนถึงงวดวันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 รวม 7 งวด มียอดกำไรสุทธิรวม 2,047,599,988 บาท โดยการออกสลากในแต่ละงวด มีผู้ถูกรางวัลคิดเป็นอัตราร้อยละ 50-66 ของยอดจำหน่ายสลาก ซึ่ง ถือเป็นอัตราปกติ นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ประกอบด้วย ส่วนลดของตัวแทนจำหน่าย ร้อยละ 12 ค่า ใช้จ่ายในการดำเนินงาน ร้อยละ 7.5 และค่าภาษีการพนันร้อยละ 0.5
|
||||||||||||||||||||||||
| 4698 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (จำนวน 8 ราย) | กค | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ผู้แทนกระทรวง
การคลัง เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ นางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ ผู้ว่า การการเคหะแห่งชาติ นายชัยเกษม นิติสิริ นายปิยพันธุ์ มินมานเหมินทร์ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ นายฉัตรชัย วีระเมธีกุล นายรังสิน สืบแสง และพลตำรวจโท เฉลิมเดช ชมพูนุท เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคาร อาคารสงเคราะห์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2547 เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 4699 | มาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้ธุรกิจเอกชนจ้างงานนักเรียน นักศึกษา นอกเวลาเรียน | กค | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการสนับสนุน
และสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างและผู้ประกอบการรับนักเรียน/นักศึกษา เข้าทำงานเป็นรายชั่วโมง โดยที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ให้แรงจูงใจแก่ธุรกิจเอกชนเพื่อสนับสนุนการฝึกการสอนงานด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทาง ภาษีแก่นายจ้าง ด้วยการให้นายจ้างสามารถนำค่าใช้จ่ายในการฝึกการสอนมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณ ภาษีเงินได้ได้ร้อยละ 150 ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 298) พ.ศ. 2539 ซึ่งยังอิงอยู่กับกฎหมายเดิม คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมการฝึกอาชีพ พ.ศ. 2537 กระทรวงการคลังจึงกำลังดำเนินการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจเอกชนได้รับแรงจูงใจ อย่างต่อเนื่อง โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรง งาน พ.ศ. 2545 มีผลใช้บังคับ คือ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2546 เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 4700 | รายงานผลการหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือในการก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดหนองคาย - ท่านาแล้ง (สปป.ลาว) | กค | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับวงเงินประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการ
ก่อสร้างทางรถไฟระหว่างหนองคาย-ท่านาแล้ง ที่เปลี่ยนแปลงจากเดิม 185 ล้านบาท เป็น 197 ล้านบาท รวมทั้งร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในโครงการ ฯ และให้กระทรวงการคลัง โดยรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง เป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินดังกล่าว และให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังสามารถลงนามได้โดยมิต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หากว่าสัญญาการให้ความช่วย เหลือทางการเงินฉบับนี้มีการแก้ไขแต่มิใช่ในสาระสำคัญ ทั้งนี้ ให้มีการลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทาง การเงินดังกล่าวในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-สปป.ลาว อย่างไม่เป็นทางการ โดยให้กระทรวง การต่างประเทศเป็นผู้เตรียมการพิธีการในการลงนามดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
.....
