คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการจัดหา
ระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ระยะที่ 2 วงเงินทั้งสิ้น 1,680 ล้านบาท  โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณราย
จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 320 ล้านบาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2548 อีกจำนวน 1,280 ล้านบาท สำรองเผื่อเหลือเผื่อขาดอีก 80 ล้านบาท

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รายงานผล
การดำเนินโครงการจำหน่ายสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ซึ่งออกจำหน่ายตั้งแต่งวดประจำวันที่ 
1 สิงหาคม 2546  จนถึงงวดวันที่ 1 พฤศจิกายน 2546  รวม 7 งวด  มียอดกำไรสุทธิรวม 2,047,599,988
บาท โดยการออกสลากในแต่ละงวด  มีผู้ถูกรางวัลคิดเป็นอัตราร้อยละ 50-66  ของยอดจำหน่ายสลาก  ซึ่ง
ถือเป็นอัตราปกติ นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ประกอบด้วย ส่วนลดของตัวแทนจำหน่าย ร้อยละ 12 ค่า
ใช้จ่ายในการดำเนินงาน ร้อยละ 7.5 และค่าภาษีการพนันร้อยละ 0.5

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับวงเงินประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการ
ก่อสร้างทางรถไฟระหว่างหนองคาย-ท่านาแล้ง ที่เปลี่ยนแปลงจากเดิม  185  ล้านบาท  เป็น  197  ล้านบาท
รวมทั้งร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในโครงการ ฯ และให้กระทรวงการคลัง โดยรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลัง เป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินดังกล่าว  และให้รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังสามารถลงนามได้โดยมิต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หากว่าสัญญาการให้ความช่วย
เหลือทางการเงินฉบับนี้มีการแก้ไขแต่มิใช่ในสาระสำคัญ  ทั้งนี้  ให้มีการลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทาง
การเงินดังกล่าวในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-สปป.ลาว  อย่างไม่เป็นทางการ   โดยให้กระทรวง
การต่างประเทศเป็นผู้เตรียมการพิธีการในการลงนามดังกล่าว

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. 2547  ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2547  โดยการเบิกจ่ายเงินในภาพรวม
ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 419,095 ล้านบาท  หรือร้อยละ 40.77  ของวงเงินงบ
ประมาณ  (1,028,000  ล้านบาท)  สูงกว่าผลการเบิกจ่ายในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อนร้อยละ
6.20  (40.77 - 34.57)  ทั้งนี้  หากไม่รวมงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและ
การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) ซึ่งมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 1,517 ล้านบาท  จะทำให้
มีการเบิกจ่ายเงินจำนวน 417,578 ล้านบาท หรือร้อยละ 41.28 ของวงเงินงบประมาณ (1,011,500 ล้านบาท)
ส่วนผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ  จำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ/ลงทุน) มีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ
385,545 ล้านบาท  หรือร้อยละ  46.34  ของงบประมาณรายจ่ายประจำ (832,003 ล้านบาท) และรายจ่ายลง
ทุน 33,550 ล้านบาท  หรือร้อยละ 17.12 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน (195,997 ล้านบาท) และผลการเบิก
จ่ายรายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน  1,000  ล้านบาท จำนวน  17  แห่ง  มีจำนวน
20,838 ล้านบาท  หรือร้อยละ  15.31  ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนในกลุ่มนี้ (136,149 ล้านบาท) ซึ่งหน่วย
งานที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนต่ำสุด 3 อันดับแรก  ได้แก่  เมืองพัทยา   การรถไฟแห่งประเทศ
ไทย และการเคหะแห่งชาติ  ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ  และผู้ว่าราชการจังหวัดกำชับให้เจ้าหน้า
ที่ที่เกี่ยวข้องติดตามเร่งรัดการดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่  2  เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินงบ
ประมาณเป็นไปตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ เห็นชอบในร่างอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษี
ซ้อนระหว่างประเทศไทยกับประเทศยูเครน  ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วย  ขอบข่ายของอนุสัญญา  ฯ  วิธีขจัดภาษี
ซ้อน การเก็บภาษีจากกำไรธุรกิจ การเก็บภาษีจากการขนส่งระหว่างประเทศ การเก็บภาษีจากทรัพย์สิน  การเก็บ
ภาษีจากเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนจากการจ้างแรงงาน  การให้บริการส่วนบุคคล  ครู  นักวิจัย  การเริ่มใช้
และการเลิกใช้อนุสัญญา ฯ และบทบัญญัติพิเศษอื่น ๆ และอนุมัติให้การกระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการ
เพื่อให้อนุสัญญา ฯ มีผลบังคับใช้

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการให้ความ
ช่วยเหลือแก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ปฏิบัติงานในเขตพื้นที่  3  จังหวัดชายแดนภาคใต้  ตามมติที่ประชุม
ร่วมกันระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังนี้
            (1) จ่ายเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (สปพ.) ในอัตรา 1,000
บาท/คน/เดือน   ให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ปฏิบัติงานประจำหรือลักษณะประจำที่ปฏิบัติงานในพื้น
ที่ดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังได้เคยออกประกาศไปแล้ว เมื่อต้นปีงบประมาณต่อไปอีกจนถึง 30 กันยายน
2547
            (2) กำหนดเงินตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำตามข้อ (1) ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติ
งานตามแผนยุทธศาสตร์ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด  หรือแผนปฏิบัติการที่ส่วนราชการกำหนด  ให้มีสิทธิได้
รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนในอัตรา 2,500 บาท  ทั้งนี้ อัตราค่าตอบแทนในข้อ (1) และ (2) รวมกันต้อง
ไม่เกิน 2,500 บาท/คน/เดือน
            (3) สำหรับผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ นอกจากข้อ 1  ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้พิจารณา
กำหนดบุคคลผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่  3  จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สมควรได้รับเงินตอบแทนพิเศษรายเดือน  โดย
ให้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษในอัตราเดียวกับอัตราในข้อ (1)   หากเป็นผู้ปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์
ตามข้อ (2) ให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมอีก 2,500 บาท  ทั้งนี้ อัตราค่าตอบแทนดังกล่าวรวมกันต้องไม่
เกิน 2,500 บาท/คน/เดือน

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเสนอผลการพิจารณาร่างพระ
ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 พ.ศ. ....  ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ของสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเสร็จแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา   และเห็นชอบด้วย
กับร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีเสนอ  โดยไม่มีการแก้ไขในสาระสำคัญ  มีผู้ขอสงวนคำแปรญัตติจำนวน
หนึ่ง   ซึ่งคาดว่า  สภาผู้แทนราษฎรอาจกำหนดพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการ  ฯ  พิจารณา
เสร็จแล้วในวันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ 2547  และ  ในกรณีร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอและอยู่ในชั้น
การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา   ให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของเรื่องติดตามความ
เคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดและกำชับเจ้าหน้าที่ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540
เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอต่อรัฐสภาโดยเคร่งครัดด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติ
       1. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานคณะกรรมการนโยบายทุน
รัฐวิสาหกิจเสนอการแปลงทุนเป็นทุนเรือนหุ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และแนวทาง
การแปลงสภาพองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย   (อ.ส.ม.ท.)   ตามมติคณะกรรมการนโยบายทุน
รัฐวิสาหกิจ กับ
       2. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอเพิ่มเติมขอ
แก้ไขเอกสาร รายละเอียดการแปลงสภาพ กฟผ.  เป็น  บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)  หน้า 10 - 11 โดยขอ
ยกเลิกความเดิมใน  (3)  การจัดสรรผลประโยชน์พนักงานทั้งหมด    และใช้ความใหม่ต่อไปนี้แทน "(3) การ
จัดสรรผลประโยชน์พนักงาน เห็นชอบมอบหมายให้ฝ่ายบริหารของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.) 
ไปดำเนินการบริหารจัดการตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ในการจัดสรรหุ้นสามัญ  และ/หรือ  ใบสำคัญแสดง
สิทธิให้แก่พนักงานและผู้บริหารระดับสูง    จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่  27  มกราคม  2547  
ที่ได้กำหนดกรอบหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้แก่พนักงานสำหรับรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการแปลงสภาพเป็น
บริษัทมหาชน  และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" ทั้งนี้  ในระยะแรกให้นำหุ้นของ
บริษัท กฟผ. จำกัด  (มหาชน)  ออกจำหน่ายไม่เกินร้อยละ  25  ของหุ้นทั้งหมด  และ
        3. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ    สิทธิ   และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด  
(มหาชน) พ.ศ. ....  เพื่อให้บริษัท  กฟผ. จำกัด  (มหาชน)  ได้รับอำนาจ  สิทธิ  และประโยชน์บางกรณีตามที่
กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและตามกฎหมายอื่น  รวมไปถึงการจำกัดสิทธิ
ในบางกรณี  และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ....  เพื่อกำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายจัดตั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและให้ส่งสำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)(ฝ่าย
กฎหมาย)     ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติศุลกากร  (ฉบับที่ ..)    พ.ศ. .... 
 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา   โดยให้รับประเด็นอภิปรายของ     คกก.7  เกี่ยวกับการ
แก้ไขกฎหมายว่าด้วยศุลกากร  กระทรวงการคลังได้เสนอมาเพื่อดำเนินการแล้วหลายฉบับหลายเรื่อง    บางฉบับอยู่
ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา    และบางฉบับอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
ฉะนั้นในการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาควรคำนึงถึงขั้นตอนและ
ระยะเวลาการประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายด้วยเพื่อให้กฎหมายที่ประกาศใช้ก่อนและหลังมีความสอดคล้องกันอย่าง
ไรก็ตามในกรณีที่ร่างกฎหมายอยู่ในขั้นตอนและมีเนื้อหาที่สามารถรวมกันเป็นฉบับเดียวได้       เช่น    อยู่ในขั้นตอน
การตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยกันก็สมควรรวมเป็นฉบับเดียวหากพิจารณา     แล้วเห็น
ว่ามีความเหมาะสม    นอกจากนี้    หลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดลงไปในรายละเอียด
ของการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติอย่างเฉพาะเจาะจง       ซึ่งอาจทำให้การพิจารณาในชั้นของสภา ฯ มีปัญหา
หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมว่าเป็นการแก้ไขในหลักการหรือไม่      สมควรพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมหลักการของร่างพระราช
บัญญัติให้มีความยืดหยุ่น   เพื่อให้สามารถแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นการพิจารณาของสภา  ฯ      ได้โดยไม่ขัดกับหลักการที่
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบไว้        รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาด้วย   แล้วส่งให้คณะ
กรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้แต่งตั้ง นายบรรพต หงษ์ทอง เป็นรองประธาน
กรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร นายธวัช คงเดชา นางสาวสุธีพร ดวงโต
นายบุญมี จันทรวงศ์ นายอดิศักด์ ศรีสรรพกิจ นายเกริก วณิกกุล  นายอำนวย ทงก๊ก  นายอัชพร จารุจินดา  นาย
วิรัติ  ศักดิ์จิรพาพงษ์  นายมนตรี  คงตระกูลเทียน  นายวิโรจน์  อิ่มพิทักษ์  นายวิเชฐ  ตันติวานิช  เป็นกรรมการใน
คณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (17 กุมภาพันธ์
2547) เป็นต้นไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติ
       1. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานคณะกรรมการนโยบายทุน
รัฐวิสาหกิจเสนอการแปลงทุนเป็นทุนเรือนหุ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และแนวทาง
การแปลงสภาพองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย   (อ.ส.ม.ท.)   ตามมติคณะกรรมการนโยบายทุน
รัฐวิสาหกิจ กับ
       2. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอเพิ่มเติมขอ
แก้ไขเอกสาร รายละเอียดการแปลงสภาพ กฟผ.  เป็น  บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)  หน้า 10 - 11 โดยขอ
ยกเลิกความเดิมใน  (3)  การจัดสรรผลประโยชน์พนักงานทั้งหมด    และใช้ความใหม่ต่อไปนี้แทน "(3) การ
จัดสรรผลประโยชน์พนักงาน เห็นชอบมอบหมายให้ฝ่ายบริหารของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.) 
ไปดำเนินการบริหารจัดการตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ในการจัดสรรหุ้นสามัญ  และ/หรือ  ใบสำคัญแสดง
สิทธิให้แก่พนักงานและผู้บริหารระดับสูง    จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่  27  มกราคม  2547  
ที่ได้กำหนดกรอบหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้แก่พนักงานสำหรับรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการแปลงสภาพเป็น
บริษัทมหาชน  และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" ทั้งนี้  ในระยะแรกให้นำหุ้นของ
บริษัท กฟผ. จำกัด  (มหาชน)  ออกจำหน่ายไม่เกินร้อยละ  25  ของหุ้นทั้งหมด  และ
        3. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ    สิทธิ   และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด  
(มหาชน) พ.ศ. ....  เพื่อให้บริษัท  กฟผ. จำกัด  (มหาชน)  ได้รับอำนาจ  สิทธิ  และประโยชน์บางกรณีตามที่
กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและตามกฎหมายอื่น  รวมไปถึงการจำกัดสิทธิ
ในบางกรณี  และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ....  เพื่อกำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายจัดตั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและให้ส่งสำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของ
เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก  70  ปี ราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. ....  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ
พิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการกำหนดชนิด ราคา โลหะ
อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด  อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด  ลวดลายและลักษณะอื่น ๆ  ของเหรียญกษาปณ์โลหะ
สองสี  (สีขาวและสีทอง)  ราคาสิบบาท หนึ่งชนิด  ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาส  70  ปี ราชบัณฑิตย
สถาน ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2547

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการประกอบกิจการ
อันพึงเป็นงานธนาคารของธนาคารออมสิน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการรับฝากเงินประเภทสลาก
ออมสินพิเศษ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้  โดย
ร่างกฎกระทรวงทั้ง 2 ฉบับ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ปรับปรุงข้อกำหนดและเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการอัน
พึงเป็นงานธนาคารของธนาคารออมสิน และปรับปรุงการรับฝากเงินประเภทสลากออมสินพิเศษ

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ในปี
งบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2547 การเบิกจ่ายเงินในภาพรวม ส่วน
ราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว  351,921  ล้านบาท  หรือร้อยละ  34.23  ของวงเงินงบ
ประมาณ (1,028,000 ล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าผลการเบิกจ่ายในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อนร้อย
ละ 5.72 (34.23-28.51) ทั้งนี้  หากไม่รวมงบกลาง  รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน
และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ  (16,500 ล้านบาท)  ซึ่งมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว  982  ล้านบาท จะ
ทำให้มีการเบิกจ่ายเงินจำนวน  350,939  ล้านบาท หรือร้อยละ  34.69  ของวงเงินงบประมาณ (1,011,500
ล้านบาท) ในส่วนของผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ จำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ/ลงทุน) มีการเบิก
จ่ายรายจ่ายประจำ 327,516 ล้านบาท หรือร้อยละ  39.37  ของงบประมาณรายจ่ายประจำ (831,986  ล้าน
บาท) และรายจ่ายลงทุน  24,405  ล้านบาท  หรือร้อยละ 12.45  ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน  (196,014
ล้านบาท)  สำหรับผลการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน  1,000  ล้าน
บาทจำนวน 17 แห่ง มีจำนวน  12,908  ล้านบาท หรือร้อยละ  9.48  ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนในกลุ่มนี้
(136,171 ล้านบาท)

             คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ อนุมัติให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้
เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ออกให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในส่วนที่ ธปท. ได้
ขยายระยะเวลาการให้การสนับสนุนทางการเงินตามโครงการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง วง
เงินไม่เกิน 8,300 ล้านบาท  รวมทั้งอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวของ
ธอส. ในกรณีที่ ธปท. ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการสนับสนุนทางการเงิน

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการทำความตกลงกลไกการชำระเงิน
แบบทวิภาคีระหว่างไทยและพม่า ซึ่งผลการทำความตกลงกลไกการชำระเงินแบบทวิภาคีระหว่างไทยและพม่า
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ในฐานะธนาคารตัวแทนของไทยได้ร่วมลงนามใน
สัญญา   Banking  Arrangement  for  Account  Trade  ระหว่างไทยและพม่ากับ  Myanmar  Investment  and
CommercialBank (MICB) ซึ่งเป็นธนาคารตัวแทนของพม่า เมื่อวันที่  7  พฤศจิกายน  2546  โดยมีเงื่อนไขใน
สัญญา  ดังนี้  วงเงินในการเปิด  L/C  เท่ากับ  10  ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ฯ   เครื่องมือในการชำระเงินคือ  L/C
at Sight  อัตราดอกเบี้ย ปลอดดอกเบี้ยจนถึงวันครบกำหนดชำระเงิน  อัตราดอกเบี้ยผิดนัดระยะที่ 1  เท่ากับ
SIBOR 6 เดือน +2.5% ต่อปี โดยเริ่มคำนวณตั้งแต่วันทำการที่ 8 หลังจากวันสุดท้ายของการ Clearing Period
จนถึงวันสุดท้ายของเดือนนั้น และอัตราดอกเบี้ยผิดนัดระยะที่ 2 เท่ากับ SIBOR  6 เดือน + 4.5%  ต่อปี  โดย
เริ่มคำนวณตั้งแต่วันแรกของเดือนถัดมา จนถึงวันชำระเงินครบถ้วน และระยะเวลาในการชำระบัญชี (Clearing
Period) ทุก 6 เดือน

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการจัดตั้งสำนักเลขาธิการการพัฒนาตลาด
พันธบัตรเอเชีย เพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดตามและประสานงานการพัฒนาตลาดตราสารหนี้เอเชียที่มีอยู่ใน
กรอบการประชุมต่าง ๆ  ทั้งในภูมิภาคและในประเทศ ให้มีความเข้าใจตรงกัน และทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา  และอุปสรรคที่มีต่อการพัฒนาตลาดตราสารหนี้เอเชียในระดับภูมิภาคให้กับผู้
แทนไทยเพื่อผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในกรอบการประชุมต่าง  ๆ  ตลอดจนชักชวนและประสานการศึกษา
เชิงนโยบายที่สำคัญ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในกลุ่มประเทศเอเชียถึงปัญหาและแนวทางแก้ไข   รวมทั้งลด
ความซ้ำซ้อนของการศึกษาวิจัยจากกรอบการประชุมต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยในชั้นนี้ให้หน่วยงานดังกล่าว
มีฐานะเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจในสังกัดกระทรวงการคลังและให้ยืมตัวบุคลากรจากกระทรวงการคลัง ธนาคาร
แห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องที่มีความรู้  ความสามารถ  เกี่ยวกับงานทางด้านนี้มาช่วยปฏิบัติ
งานอย่างเต็มเวลา และให้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างจากต้นสังกัดไปพลางก่อน

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ข้าราชการซึ่งประจำปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตที่ได้
มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกตามบัญชีรายชื่อเขตพื้นที่ที่ประกาศกฎอัยการศึกมีสิทธินับเวลาราชการเป็นทวีคูณ
ตั้งแต่วันที่  5  มกราคม  2547 จนถึงวันที่  30  กันยายน  2547  ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า แนวทางการ
ให้ความช่วยเหลือในด้านเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำที่
ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงานของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี  และจังหวัดยะลา
ตามแนวทางที่กระทรวงการคลังเสนออาจจะก่อให้เกิดมาตรฐานการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเท่าที่ควร
เนื่องจากพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าว  มิได้เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วทั้งจังหวัด  ความรุนแรงและความเสี่ยงภัยอันตรายของ
แต่ละพื้นที่ก็ยังมีความแตกต่างกัน   นอกจากนี้  ยังมีกรณีที่เป็นการดำเนินการตามเป้าหมายเร่งด่วนที่สำคัญของ
รัฐบาล เช่น  การปราบปรามยาเสพติด  การปราบปรามผู้มีอิทธิพล  ซึ่งการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวในบางพื้นที่ก็
อยู่ในข่ายที่เป็นการเสี่ยงภัยด้วยเช่นกัน  ฉะนั้น ในกรณีของการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ใน 3  จังหวัดชายแดนภาคใต้
หากจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเฉพาะแก่ข้าราชการและลูกจ้างที่ประสบเหตุจนเสียชีวิต  หรือบาดเจ็บจากการ
ปฏิบัติหน้าที่ โดยให้ได้รับเงินช่วยเหลือในจำนวนที่สูงหรือสวัสดิการอื่นแก่ครอบครัวอาจมีความเหมาะสมมากกว่า
จึงให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตดังกล่าว ไปพิจารณาทบทวนอีกครั้ง    และหากเห็นสมควรประการใดก็ให้นำ
เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป