ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 44 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 861 - 880 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
861 | การขอแก้ไขหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ | ตช. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเพิ่มรอบการดำเนินโครงการ รอบ ๑ เมษายน
โดยมีผลในการลาออกจากราชการตามโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายนด้วย นอกเหนือจากรอบ ๑
ตุลาคม ของแต่ละปี เฉพาะกรณีผู้มียศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท และต้องมีระยะเวลาครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้วไม่น้อยกว่า
๖ เดือน นับถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ ๑ เมษายน) หรือครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้วไม่น้อยกว่า
๖ เดือน นับถึงวันที่ ๓๐ กันยายนของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ ๑ ตุลาคม)
ทั้งนี้ หากเป็นการได้รับการแต่งตั้งยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท ในการแต่งตั้งตามวาระประจำปี
ให้เริ่มนับเวลาการครองยศนี้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ของวาระประจำปีนั้น และมีเวลาราชการเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า
๖ เดือน นับแต่วันที่ ๑ เมษายน หรือ ๑ ตุลาคม แล้วแต่กรณี สำหรับคุณสมบัติและเงื่อนไขอื่น
ๆ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องที่จะพึงได้รับตามโครงการ
ให้เป็นไปตามแนวทางเดิม (ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีมีมติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องนำหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยจะต้องเวียนแจ้งหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการให้ข้าราชการตำรวจชั้นนายพลผู้สนใจเข้าร่วมโครงทราบ
จากนั้นจะเร่งตรวจสอบข้อมูลคุณสมบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของแต่ละรายที่สมัครเข้าร่วมโครงการ
และต้องมีคำสั่งอนุญาตให้ลาออกจากราชการตามโครงการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน
๒๕๖๘ เป็นต้นไป) ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานโครงการ
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
หรือปรับแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี
ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรแล้วเป็นลำดับแรก
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ความประหยัด ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
862 | ผลการพิจารณาญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป | ตช. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป
ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาแล้ว
ได้ให้ความสำคัญในประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจมาโดยตลอด
และเร่งติดตามแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้เห็นปรากฏตามรายงานของสื่อมวลชนเกี่ยวกับนายตำรวจระดับสูงให้ข้อมูลในลักษณะที่หากเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหาย
รวมถึงกรณีเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายราย ได้แก่ การยิงตำรวจเสียชีวิตที่สังกัดกองบังคับการตำรวจทางหลวงหรือคดีกำนันนก
ในส่วนของตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดขององค์กร เป็นตำแหน่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาจากผู้มีความรู้ความสามารถและมีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมิจำเป็นต้องพิจารณาจากผู้มีอาวุโสลำดับต้นเพียงอย่างเดียวในเรื่องเงินเดือนและค่าตอบแทนจะให้ความสำคัญไปที่การปรับเงินเดือนของข้าราชการที่มีรายได้น้อยก่อน
และในกรณีการปฏิรูปองค์กรตำรวจ เนื่องจากพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติยังบังคับใช้ได้เพียงไม่นาน
ยังคงอยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารงานให้สามารถดำเนินงานได้ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมต่อไป
รวมทั้งการกำหนดกลไกการตรวจสอบ โดยสถานีตำรวจได้ออกระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติว่าด้วยคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ
พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งส่งเสริมให้ท้องถิ่นหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการของตำรวจในเรื่องรับข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอแนะจากประชาชนถือได้ว่าเป็นการตรวจสอบอีกทางหนึ่ง
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
863 | การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2568 | รง. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ.
๒๕๖๘ ในช่วงระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๘ โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศเพื่อรองรับการดำเนินการยกเว้นไม่ต้องยื่นคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก
(Re-Entry Permit) ตามมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ในกรณีที่แรงงานต่างด้าวเดินทางออก -
เข้าระหว่างวันที่ ๑ เมษายน - ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองที่ประจำ
ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่รับผิดชอบช่องทางในการเข้า - ออกราชอาณาจักร
ดำเนินการประทับตราอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเดินทางออกนอกราชอาณาจักรและประทับตราอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง
ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๘
โดยยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมทั้งให้รายงานผลการเดินทางให้กระทรวงแรงงานทราบ
ในระหว่างดำเนินการและสิ้นสุดการดำเนินการแล้ว และให้กระทรวงการต่างประเทศประสานแจ้งแนวทางการดำเนินการตามมาตรการนี้ให้สถานเอกอัครราชทูตไทย
ณ
ประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าวได้ทราบและพิจารณาเตรียมการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักรตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงาน
หรือได้รับอนุญาตทำงานในเรือประมงและมีหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
หรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรกลับประเทศต้นทางเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
864 | รายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2566 และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ | สปสช. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖
และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖
ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมีผลการดำเนินงาน เช่น (๑) มีการเบิกจ่ายงบประมาณกองทุนฯ
ให้กับหน่วยบริการที่จัดบริการให้ผู้มีสิทธิ จำนวน ๑๔๘,๔๓๖.๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๐๔.๓๑ (จากงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
๑๔๒,๒๙๗.๙๔ ล้านบาท) และ (๒)
มีหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ขึ้นทะเบียนเพื่อให้บริการ จำนวน
๑๗,๒๔๗ แห่ง และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิส่วนทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว
เห็นว่ารายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
865 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดตัวผู้ออกบัตรและแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... | นร. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตัวผู้ออกบัตรและแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงผู้มีอำนาจในการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่และแบบบัตรดังกล่าวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค
พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
อันจะทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้อย่างทั่วถึง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
866 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน
พ.ศ. ๒๕๕๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อปรับปรุงบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารเพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรจัดทำประมาณการของจำนวนกลุ่มเป้าหมายและงบประมาณที่ต้องใช้เพื่อรองรับร่างกฎกระทรวงนี้ไว้ด้วย
ควรพิจารณาอัตราเงินเดือนในบางคุณวุฒิที่กำหนดไว้สูงหรือต่ำกว่าอัตราที่สำนักงาน
ก.พ. กำหนดให้มีความสอดคล้องกัน เร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้ทันต่อการปรับอัตราเงินเดือนของกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐในห้วงปีที่
๒ ซึ่งจะมีผลใช้บังคับ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ และพิจารณาจัดทำแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร
รวมทั้งจัดให้มีการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
867 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. 2558) | มท. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม
โดยมีการแก้ไขข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สามารถประกอบกิจการโรงงานในอาคารสูงหรืออาคารที่ไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่พิเศษได้
และแก้ไขประเภท ชนิด หรือจำพวกของโรงงาน รวมทั้งเพิ่มเติมประเภท ชนิด
และจำพวกของโรงงานตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงฯ
เพื่อให้เป็นไปตามสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของจังหวัดอ่างทอง
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงพลังงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎหรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
868 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ พ.ศ. .... | ศธ. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาทิ กำหนดประเภทเครื่องแบบลูกเสือ ส่วนประกอบของเครื่องแบบลูกเสือแต่ละประเภท
โอกาสในการแต่งเครื่องแบบแต่ละประเภท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามระเบียบ
และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรกำหนดแนวทางปฏิบัติในโอกาสการเข้าร่วมงานพิธีการลูกเสือให้ชัดเจน
โดยพิจารณาจากความสมัครใจและความพร้อมของครู ผู้ปกครองและนักเรียนเป็นสำคัญ
เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อผู้ปกครอง และนักเรียนที่มีรายได้น้อย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
869 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน
สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน
สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๑๔๗๙ - ๒๕๕๘ โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๑๔๗๙ - ๒๕๖๖ เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยี
รวมทั้งการทำและการใช้ภายในประเทศ และมีข้อกำหนดเพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ดีและรัดกุมมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
870 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายธีรภัทร มงคลนาวิน) | กต. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธีรภัทร มงคลนาวิน ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
871 | งบการเงินแสดงฐานะการเงิน และรายงานผลการปฏิบัติงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตามมาตรา 26 และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 28 วรรคท้าย | สทบ. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบการเงินแสดงฐานะการเงิน และรายงานผลการปฏิบัติงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมีการดำเนินโครงการและกิจกรรมสำคัญ
เช่น ๑) โครงการข้าวรักษ์โลก BCG MODEL กองทุนหมู่บ้านฯ ระยะ ๒ ๒) โครงการโคล้านครอบครัว ๓) โครงการนำร่องตามโมเดลเศรษฐกิจ
BCG กองทุนหมู่บ้านฯ และ ๔) โครงการพัฒนาขีดความสามารถบุคลากรสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว
เห็นว่ารายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
872 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.01 | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ มีสาระสำคัญครอบคลุมผลการดำเนินงานของ
๓ องค์กรสำคัญ ที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนภารกิจงานของคณะกรรมการดังกล่าว ได้แก่ ๑)
คณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ เช่นคณะอนุกรรมการพิจารณาส่งคำอุทธรณ์
และดำเนินการเรื่องร้องเรียนได้รับเรื่องร้องเรียนการไม่ปฏิบัติตาม มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ
จำนวน ๔๙๙ เรื่อง และพิจารณาแล้วเสร็จครบทุกเรื่องแล้ว ๒)
คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ ได้ให้ผู้อุทธรณ์และผู้แทนหน่วยงานของรัฐเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วจัดทำคำวินิจฉัย
โดยพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน ๒๗๓ เรื่อง (จาก ๓๕๙ เรื่อง) และ ๓)
สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เช่น ดำเนินโครงการคลินิกข้อมูลข่าวสารเคลื่อนที่โดยให้คำปรึกษา
แนะนำ แก้ไขปัญหา เกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ จำนวน ๑๐ ครั้ง
มีหน่วยงานเข้าร่วม ๑๓๗ หน่วยงาน ตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
873 | ข้อเสนอแนะให้ทบทวนและชะลอพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า | สม. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะให้ทบทวนและชะลอพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ
และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
874 | การติดตามประเด็นมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน | นร.04 | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสภาพปัญหา สถานะปัจจุบันของการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
(Mekong River Commission Secretariat
: MRCS) ในการเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำแม่น้ำโขงล้นตลิ่งโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ มอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีติดตามการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยในการพิจารณามาตรการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทรายในที่ดินของรัฐในภาพรวมทั้งระบบ
ซึ่งรวมถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดูดทราย ตามข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ๒.๓
มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง
พิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำตามแนวชายแดนระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศ
และสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพื่อเร่งรัดดำเนินการ ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าประเด็นปัญหาชายฝั่งทลายและแนวทางการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลง
ควรมีการสำรวจศึกษาเพิ่มเติมในประเด็น
แผ่นดินทรุดเกิดความสูญเสียและความเสียหายในเขตพื้นที่ชุมชน
แก่งหินและดอนทรายที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลายจะส่งผลต่อแนวเขตแดนของประเทศ
และพื้นที่สบน้ำซึ่งเป็นพื้นที่เปราะบางเกิดการกัดเซาะพังทลาย และควรมีการศึกษาและจัดทำมาตรการลดผลกระทบจากการกัดเซาะตลิ่งที่ส่งผลให้พื้นที่ตลิ่งริมน้ำโขงฝั่งไทยลดลง
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำลึก
และควรศึกษาผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงในประเทศสมาชิกและการลดลงของปริมาณตะกอนในแม่น้ำโขงด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการผันน้ำและการระบายน้ำ
ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงในภาพรวมเพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งนำแผนที่พื้นที่เสี่ยงด้านอุทกภัย และข้อมูลการผันน้ำและระบายน้ำของแม่น้ำโขงเพื่อประกอบการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำ
ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอุทกวิทยา
กรณีฤดูน้ำหลากสำหรับแม่น้ำโขง - ล้านช้าง มาปรับใช้ในการวางแผนรับมือ และการแก้ไขปัญหาการดูดทราย
ควรมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ที่มีศักยภาพในการดูดทรายในระดับประเทศ
โดยมีการระบุพื้นที่ที่มีศักยภาพและเหมาะสมในการดูดทราย
รวมทั้งข้อมูลพื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากการดูดทราย
เพื่อใช้ประกอบการอนุญาตให้ดำเนินการดูดทราย ซึ่งจะสามารถป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นและช่วยให้กระบวนการพิจารณาอนุญาตการดูดทรายในประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
875 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก
(ฉบับที่..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ต.ล.ท.) โดยให้คำนวณมูลค่าหุ้นที่ต้องเสียภาษีการรับมรดกเท่ากับมูลค่าทางบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้น
เพื่ออำนวยความสะดวกและลดความซับซ้อนให้แก่ผู้ได้รับมรดกที่มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดกและเจ้าพนักงานประเมินในการคำนวณและตรวจสอบการคำนวณมูลค่าหุ้น
รวมทั้งจะเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักภาษีอากรที่ดี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
876 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | คค. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวรวม ๒
ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงบางซื่อ
เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต
แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด
แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์
แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ
แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา
แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง
แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร
และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
และกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต
เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด
แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์
แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง
เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ
แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ
แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง
จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า
สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้า
และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วง
ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้นำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่ากรณีโครงการฯ
มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว
ต้องดำเนินการตามที่ระบุไว้ในมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ของรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
กำกับให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเร่งจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก)
โดยทำการปรับปรุงตามความเห็นของหน่วยงานและคณะทำงานตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อให้รายงานดังกล่าวมีความครบถ้วน สมบูรณ์และเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจะช่วยให้สามารถคัดเลือกเอกชนและสามารถเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง
ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ได้ทันทีที่การก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี
๒๕๗๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
877 | โครงการเพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ (โครงการสำคัญ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.11 สศช | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
878 | แผนการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2572 | ศธ. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแผนการอุดหนุนทางการเงิน
และให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
และโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๒ จำนวน ๒๐ โรงเรียน
กรอบวงเงินทั้งสิ้น ๑๓๓,๘๖๗,๗๑๗ บาท สำหรับปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ อยู่ในขั้นตอนกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๗๐ - ๒๕๗๒ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งตรวจสอบความพร้อมด้านครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างของโรงเรียนเอกชนตามแผนการดำเนินงาน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นของภารกิจอย่างเหมาะสม
และ/หรือพิจารณาเงินนอกงบประมาณ
รวมถึงรายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามขั้นตอนต่อไป
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด
โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินตามแผนดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณากำหนดกลไกการกำกับ
ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องและจริงจัง
โดยอาจกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ต่อผู้เรียนในมิติคุณภาพการศึกษาจากการสนับสนุนงบประมาณของภาครัฐ
อาทิ ผลการประเมินตามโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล
(PISA) การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) และการวัดทักษะชีวิต และทักษะอาชีพ
เพื่อให้สามารถวางแผนในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ทางการศึกษาได้อย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
879 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง | มท. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย
ช่วงที่ ๓ ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
ในวงเงิน ๘๗๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท
สัดส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล ร้อยละ ๕๐ เป็นเงิน ๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๕๐ เป็นเงิน ๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท โดยในส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน
๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท จะดำเนินการโอนเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลผลิตการจัดบริการสาธารณะ
จากงบเงินอุดหนุนทั่วไป
รายการเงินอุดหนุนสำหรับชดเชยรายได้ไห้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
จำนวน ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อไปตั้งจ่ายในรายการโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย
ช่วงที่ ๓ ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
จำนวน ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ
จำนวน ๓๘๘,๗๕๐,๐๐๐ บาท จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๐ ต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกายให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาอย่างเคร่งครัด ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกรุงเทพมหานครให้ดำเนินการโครงการก่อสร้างช่วงที่ ๑ และช่วงที่ ๒
ให้แล้วเสร็จตามแผนงาน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
880 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาแก่นักเรียน/นักศึกษา | กค. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒,๘๓๘.๖๔๙๒ ล้านบาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียน/นักศึกษากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษารับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๑.๑/๓๔๓๘
ลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นควรพิจารณาดำเนินการกระตุ้นการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินอย่างเร่งด่วน
เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการขาดงบประมาณในการเบิกจ่ายให้แก่ผู้กู้ยืมเงินต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณากำหนดกรอบการให้กู้ยืมที่สอดคล้องกับจำนวนนักเรียนและนักศึกษา
และงบประมาณของกองทุนที่มีอยู่ และเนื่องจากปัจจุบันพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๖
มีการลดอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ ซึ่งกระทบต่อรายรับของกองทุนในการกำหนดมาตรการจูงใจให้ลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาชำระเงินคืน
โดยการลดเงินต้น ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับ อาจยิ่งส่งผลกระทบต่อกองทุนฯ
และอาจเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับลูกหนี้กลุ่มอื่นให้ผิดนัดชำระหนี้ (moral hazard) อีกด้วย
|