ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 850 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 16981 - 17000 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16981 | การประชุมคณะกรรมการร่วม ภายใต้ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 | กต | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยรับรองข้อกำหนดขอบเขต (Terms of Reference : ToR) ของการทบทวนทั่วไปความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น ในการประชุมคณะกรรมการร่วม (Joint Committee : JC) ภายใต้ JTEPA (JC-JTEPA) ครั้งที่ ๔ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กระทรวงการต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ส่วนประเด็นการขออนุมัติองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม JC-JTEPA ครั้งที่ ๔ นั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับข้อกำหนดสำหรับการทบทวนทั่วไป JTEPA ควรระบุให้ชัดเจนว่า ภายหลังจากที่คณะอนุกรรมการว่าด้วยการทบทวนทั่วไปรายงานผลการทบทวนทั่วไปพร้อมข้อเสนอแนะแก่คณะกรรมการร่วมแล้ว ภารกิจของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะสิ้นสุดลง โดยหากทั้งสองฝ่ายมีมติร่วมกันให้มีการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไข JTEPA เห็นควรใช้คณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วภายใต้ JTEPA เป็นกลไกหลักในการทบทวนเพื่อแก้ไขเนื้อหาในความตกลงในส่วนที่รับผิดชอบ ส่วนร่างข้อกำหนดขอบเขต (ToR) สำหรับการทบทวนทั่วไป JTEPA ควรพิจารณาปรับปรุงกระบวนการทบทวนให้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน รวมทั้งการดำเนินความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ภายใต้ JTEPA ควรพิจารณาปรับกรอบการดำเนินการในสาขาต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น และควรนำผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ได้ลงนามกันไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมถึงข้อวิพากษ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความตกลงดังกล่าวมาทบทวนใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16982 | การประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 | มท | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการจัดทำบันทึกการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ ซึ่งกำหนดประเด็นการติดตามการดำเนินความร่วมมือ จำนวน ๑๕ ประเด็น โดยไม่กล่าวถึงประเด็นอ่อนไหวที่มีผลต่อความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่รัฐบาลทั้งสองยังมิได้เคยทำความตกลงกันไว้ รวมทั้งไม่มีการจัดทำความตกลงใด ๆ ในการประชุม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ลงนามในบันทึกการประชุมฯ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ในส่วนของการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสตึงเมนัม/สตึงเมตึก นั้น เนื่องจากเรื่องนี้ยังมีความจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการใช้น้ำ การขายและรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน จึงมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการตามขั้นตอนและข้อกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการข้อมูลในภาพรวมทั้งหมดเพื่อใช้ในการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการปรับแก้ไขถ้อยคำและเพิ่มข้อความบางประการในร่างบันทึกการประชุมฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16983 | เอกสาร Busan Declaration ที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของกรอบเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ครั้งที่ 8 ที่สาธารณรัฐเกาหลี | กต | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างเอกสาร Busan Declaration ที่จะรับรองในที่ประชุม Foreign Ministers’ Meeting of the Forum for East Asia-Latin America Cooperation (FEALAC FMM) ครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งมีภาคผนวก ๒ ฉบับ คือ (๑) ร่าง New FEALAC Action Plan เป็นแผนปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของ FEALAC ประกอบด้วย ๓ เสาหลัก ได้แก่ การเสริมสร้างกรอบการบริหารเชิงสถาบันของ FEALAC การส่งเสริมประสิทธิผลของคณะทำงานและโครงการ และการขยายความเป็นหุ้นส่วนกับองค์การระดับภูมิภาคและองค์กรระหว่างประเทศ และ (๒) ร่าง FEALAC Troika-Operational Modalities เป็นเอกสารที่กำหนดโครงสร้างของ Troika ประกอบด้วย ประเทศผู้ประสานงานก่อนหน้าปัจจุบัน ประเทศผู้ประสานงานในปัจจุบัน และประเทศผู้ประสานงานในอนาคต ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม FEALAC FMM ครั้งที่ ๘ และร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลัง ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณก่อนเป็นลำดับแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16984 | การเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐ (ขออนุมัติโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา ของกรมทางหลวง) | กค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) โดยเอกชนเป็นผู้ออกแบบและลงทุนค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่เอกชนลงทุนก่อสร้าง รวมถึงรายได้ทั้งหมดจากค่าธรรมเนียมผ่านทาง และให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) โครงการทั้งหมดทั้งในส่วนของงานโยธาที่รัฐเป็นผู้ลงทุนและงานส่วนที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ตลอดจนเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง โดยเอกชนได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ค่าบำรุงรักษา และค่าบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด และมีระยะเวลาร่วมลงทุนไม่เกิน ๓๐ ปี นับแต่เปิดให้บริการ ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงรับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ เกี่ยวกับค่าตอบแทนที่เอกชนจะได้รับเป็นเงินค่าก่อสร้างงานระบบและองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง ค่าบำรุงรักษา และค่าบริหารจัดเก็บค่าธรรมเนียม รวมทั้งงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขอบเขตงานและเงื่อนไขที่กำหนด ต้องไม่เกินจำนวน ๓๓,๒๕๘ ล้านบาท สำหรับโครงการ M6 (O&M) และจำนวน ๒๗,๘๒๘ ล้านบาท สำหรับโครงการ M81 (O&M) รวมถึงกำหนดเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนให้มีความเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของเอกชน และกรณีการปรับลดค่าตอบแทนหากเอกชนปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหรือข้อตกลง ๑.๒ มอบหมายให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ของโครงการ M6 (O&M) และโครงการ M81 (O&M) รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการนโยบายฯ เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางถนนและทางรางเพื่อให้โครงการมีความคุ้มค่าในด้านการเงินและด้านเศรษฐศาสตร์ การพิจารณารายละเอียดค่าตอบแทนให้กับเอกชน การกำหนดเงื่อนไขในขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ของงานระบบการบำรุงรักษาและเกณฑ์คุณภาพของการดำเนินงานและบำรุงรักษาที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนต้องรับผิดชอบดำเนินการที่ชัดเจน การพิจารณาแนวทางการประเมินข้อเสนอของเอกชนเพื่อให้รัฐได้รับประโยชน์ทั้งในด้านเทคนิคและด้านการเงิน การกำหนดเงื่อนไขให้ภาคเอกชนจัดทำรายงานทางการเงินเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำต้นทุนการลงทุนระบบ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง การกำหนดกลไกการปรับอัตราค่าผ่านทางเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านรายได้และค่าใช้จ่ายของโครงการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การบริหารจัดการบัญชีเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางให้มีความเพียงพอต่อการจ่ายค่าตอบแทนให้กับเอกชนตามกำหนดเวลา และการปรับปรุงกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการให้รวดเร็วขึ้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในระยะต่อไป ควรพิจารณารูปแบบการลงทุนที่ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนทั้งระบบ และในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนการเงินจากภาครัฐบางส่วนเพื่อให้โครงการมีผลตอบแทนทางการเงินอยู่ในระดับที่เอกชนมีความสนใจเข้าร่วมลงทุน ให้พิจารณาภายใต้ความสามารถในการลงทุนของเงินกองทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อให้ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณไปใช้ในการบำรุงรักษาโครงข่ายถนนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ให้พิจารณากำหนดราคาค่าเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ถ้ามี) ให้ถูกต้อง ตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและราคาตลาดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนอย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16985 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,101.46 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของกระทรวงคมนาคม | คค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒,๑๐๑.๔๖ ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย (๑) กรมทางหลวง จำนวน ๗๙ สายทาง ๑๔๑ แห่ง วงเงิน ๑,๖๒๐.๖๗ ล้านบาท และ (๒) กรมทางหลวงชนบท จำนวน ๔๗ สายทาง ๑๑๔ แห่ง วงเงิน ๔๘๐.๗๙ ล้านบาท โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทพิจารณาจัดทำแผนปรับปรุงถนนที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากให้สามารถลดผลกระทบและความเสียหายอันเนื่องมาจากอุทกภัยในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมกีดขวางเส้นทางน้ำทุกจุดให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มฤดูฝนปี ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16986 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และข้อเสนอแผนงานโครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | ทส | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (เลขานุการ กนช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม กนช. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยที่ประชุมมีมติสำคัญ เช่น (๑) ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำจัดทำรายละเอียดแผนงาน โครงการ และงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ และแผนงานเร่งด่วนเพิ่มเติม และให้ฝ่ายเลขานุการ กนช. นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน (๒) ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสิ่งกีดขวางทางน้ำเร่งรัดการดำเนินการจัดการแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ (๓) เห็นชอบการหาพื้นที่บริเวณเนินเขาเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำไม่ให้น้ำไหลลงสู่พื้นที่ราบ (๔) รับทราบแผนการเติมน้ำลงสู่ใต้ดิน และ (๕) รับทราบการโอนกรมทรัพยากรน้ำไป สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เป็นต้น ๑.๒ รับทราบและเห็นชอบการกำหนดพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Area-based) จำนวน ๘ พื้นที่ ประกอบด้วย (๑) ลุ่มน้ำเลยตอนล่าง (๒) ลุ่มน้ำห้วยหลวง (๓) ลุ่มน้ำแม่น้ำสงคราม (๔) ลุ่มน้ำพุง-น้ำก่ำ (๕) ลุ่มน้ำชีตอนบน (๖) ลุ่มแม่น้ำชีตอนล่าง (๗) ลุ่มน้ำมูลตอนบน และ (๘) ลุ่มน้ำมูลตอนล่าง เพื่อให้มีความชัดเจนในการบูรณาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ๑.๓ เห็นชอบให้กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมทรัพยากรน้ำเสนอโครงการที่มีความพร้อมเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพิ่มเติม รวม ๓๔๘ โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น ๘,๘๒๐ ล้านบาท มีพื้นที่ได้รับประโยชน์รวม ๕๔๙,๗๐๐ ไร่ คิดเป็นปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ๑๐๗ ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน ๘ พื้นที่ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนช. รวบรวมพิจารณาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการและงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๑.๔ เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ กนช. รวบรวมแผนงานโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในระยะยาว (ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๙) ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยแผนงานดังกล่าวจะต้องสามารถแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ของพื้นที่เสี่ยงรุนแรง และร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่ทั้งหมด ๑.๕ รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำตามที่ฝ่ายเลขานุการ กนช. เสนอ และให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการแก้ไข จัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ หรือกำหนดมาตรการรองรับกรณีเกิดอุทกภัย หากสิ่งกีดขวางดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยกำหนดให้การแก้ไขสิ่งกีดขวางลำน้ำทั้งหมดต้องแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ สำหรับสิ่งกีดขวางทางน้ำ จำนวน ๑๒ แห่ง ที่ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบ กรมทรัพยากรน้ำจะได้ประสานกับทางจังหวัดเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ฝ่ายเลขานุการ กนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรรวบรวมโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามพื้นที่บริหารจัดการน้ำ ๘ พื้นที่ ที่มิได้อยู่ในแผนฯ ที่เสนอในครั้งนี้ โดยจัดเตรียมรายละเอียดโครงการ งบประมาณ และความพร้อมต่าง ๆ รวมถึงจัดลำดับความสำคัญของโครงการ สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการในเชิงบูรณาการเพื่อแก้ไขจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ หรือกำหนดมาตรการรองรับกรณีเกิดอุทกภัยในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนช. รับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในระยะยาว ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16987 | มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีรายการงบประมาณเดิมที่ยังมีความสำคัญและจำเป็นต้องดำเนินการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน และกรอกข้อมูลในระบบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ กรณีรายการงบประมาณเดิมที่มีเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินการที่บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดสรรงบประมาณแล้ว และ/หรือรายการที่ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อนำไปช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย หรือปรับปรุงซ่อมแซม บูรณะสถานที่ราชการ หรือสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากอุทกภัย ตลอดจนป้องกันเหตุอุทกภัย เป็นลำดับแรก โดยให้ขอความเห็นชอบต่อรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการแล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๐ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และก่อหนี้ผูกพันให้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ทั้งนี้ หากดำเนินการดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีวงเงินเหลืออีก ก็ให้พิจารณาโอนเปลี่ยนแปลงไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการ/โครงการที่มีข้อผูกพันตามกฎหมาย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๐ หรือขอทำความตกลงกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพฯ อย่างเคร่งครัด และหากดำเนินการแล้วยังมีวงเงินเหลือจ่ายอยู่ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อนำไปใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน/ชุมชนในพื้นที่ ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ที่ให้ทุกส่วนราชการเตรียมแผนการลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมประชาชน โดยพิจารณาปรับแผนงาน/โครงการ รวมถึงพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณที่จะนำไปใช้รองรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน/ชุมชนในพื้นที่ โดยควรเป็นแผนงาน/โครงการระยะสั้นที่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายใน ๑ ปี รวมทั้งมีการกำหนดเป้าหมายและสถานที่ดำเนินการอย่างชัดเจนทั่วถึง เช่น การสร้าง/ซ่อมถนนในชุมชนหรือหมู่บ้านในเส้นทางระยะสั้น ๆ ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับชุมชนในพื้นที่ การจัดให้มีแหล่งน้ำทางการเกษตรขนาดเล็กในชุมชน การจัดให้มีตลาดระดับหมู่บ้านหรือตำบล เป็นต้น ๓. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. ๒๕๖๐ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งจะส่งผลให้วิธีปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างเปลี่ยนแปลงไป จึงเห็นควรให้กรมบัญชีกลางร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในกรณีต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติฯ ให้เกิดความชัดเจนและเร่งประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นโดยด่วน เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ ได้อย่างถูกต้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16988 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล โดยใช้งบประมาณค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้าย ในการจัดหาที่ดินของกรมชลประทาน | กษ | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล จำนวน ๕๔ แปลง เนื้อที่ ๘๖-๒-๓๘.๓ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรดังกล่าว เห็นควรให้กรมชลประทานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จากแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ซึ่งมีเงินเพียงพอไปดำเนินการ ในวงเงิน ๒,๗๗๑,๐๖๔ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานดำเนินการโดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ โดยจะต้องกำกับการตรวจสอบสิทธิของบุคคลให้เป็นไปอย่างถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริง ไม่มีความซ้ำซ้อน มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับราษฎรที่จะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้จะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับรายที่ได้รับความช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้แล้ว ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16989 | รายงานผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 -2564 | กษ | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ประกอบด้วย (๑) การจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์เพื่อให้มีการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนในระดับต่าง ๆ และ (๒) ผลการดำเนินงานพัฒนาเกษตรอินทรีย์ และเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐) และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๘๕ โครงการ งบประมาณรวม ๑,๓๙๙.๑๗ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และมอบหมายงานด้านการวิจัย รวมทั้งสถาบันการศึกษาในพื้นที่สนับสนุนการดำเนินงานแบบบูรณาการในภูมิภาคต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติเสนอ ๒. สำหรับรายละเอียดงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยแผนปฏิบัติการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐) เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว ส่วนแผนปฏิบัติการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซี่งได้รับจัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๑,๐๒๕.๙๘ ล้านบาท หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการเพิ่มเติม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งกำหนดแนวทาง/มาตรการในการลดปริมาณการนำเข้าและการใช้ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี และสารเคมีทางการเกษตร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ [เรื่อง (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และเพิ่มองค์ประกอบในคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ] รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบเป็นระยะ ๆ ไปดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยให้กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดเพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานให้ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16990 | แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี 2560/61 | พณ | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ดำเนินการต่อเนื่องและสอดคล้องกับปีการผลิตที่ผ่านมา จำนวน ๓ โครงการ เห็นควรชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา FDR+1 เท่ากับการดำเนินโครงการในปีการผลิตที่ผ่านมา กรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม ๑๘๐.๒๒๕ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และ (๓) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูปมันสำปะหลัง สำหรับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยส่วนต่างจากอัตราร้อยละ ๓ เห็นควรให้ ธ.ก.ส. รับภาระ และเนื่องจากการดำเนินโครงการในปีที่ผ่านมามีเกษตรกรและสถาบันการเกษตรสนใจเข้าร่วมโครงการน้อย ธ.ก.ส. จึงควรประมวลปัญหาอุปสรรคเพื่อนำมาปรับปรุงรายละเอียดการดำเนินโครงการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่เกษตรกรจะได้รับเป็นลำดับแรก และเมื่อสิ้นสุดโครงการควรประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าเพื่อประโยชน์ในการจัดทำโครงการในปีต่อไป ๑.๒ แนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๐/๖๑ จำนวน ๘ โครงการ ให้ดำเนินการในกรอบวงเงิน ๓๗๑.๔๓๔ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลัง (๒) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อเพิ่มมูลค่า (๓) โครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กให้วิสาหกิจชุมชน (๔) โครงการสนับสนุนเครื่องชั่งน้ำหนักรถบรรทุกให้ด่านที่มีการนำเข้ามันสำปะหลัง (๕) โครงการกำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน (๖) โครงการแปรรูปมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (๗) โครงการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด (มันเส้นสะอาด) และ (๘) โครงการขยายโอกาสทางการค้าและพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดของค่าใช้จ่าย เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการชดเชยดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ควรคำนึงถึงต้นทุนเงินและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อ โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้าและคำนึงถึงศักยภาพของลูกค้า ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรนำระบบการพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มจำนวนผลผลิตต่อไร่และลดพื้นที่เพาะปลูก โดยในระยะแรกอาจพิจารณาจัดทำแปลงเพาะปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่เกษตรกร และให้ประสานงานกับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพและคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดสามารถเข้าร่วมโครงการของ ธ.ก.ส. ได้อย่างทั่วถึง ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจในการดำเนินโครงการให้ทั่วถึงเพื่อประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ตลอดจนติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด และประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการที่กำหนดไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลังในปีต่อไป และรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16991 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญา 2.1 การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | คค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” เป็น “โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ๒. เห็นชอบร่างสัญญา ๒.๑ การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design Services Agreement) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ในวงเงินค่าจ้าง ๑,๗๐๖.๗๗๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินโครงการฯ ด้วยความละเอียดรอบคอบและคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ รวมถึงศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ รวมทั้งสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ และให้ความสำคัญกับการกำกับและบริหารโครงการฯ ให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำคัญตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)] โดยเฉพาะกรณีการจัดตั้งองค์กรพิเศษ เพื่อให้สอดรับกับแผนการดำเนินโครงการที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16992 | ขออนุมัติการแสดงเจตจำนงที่จะร่วมมือกับ OECD ในการดำเนินโครงการ Country Programme ในโอกาสที่เลขาธิการ OECD เยือนไทย | กต | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแสดงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายในการร่วมมือในการดำเนินโครงการ Country Programme (CP) และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) เป็นผู้ลงนามแทนรัฐบาลไทย ในโอกาสที่นาย Angel Gurria เลขาธิการ OECD จะเดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการ CP ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมเป็นผู้ประสานงานกับ OECD ในการติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ CP และบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และบรรลุเจตจำนงของการดำเนินความร่วมมือกับ OECD ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16993 | ทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) | นร11 | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) แก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐานด้านน้ำและดินให้เอื้อต่อการประกอบอาชีพ การดำรงชีพ และการพัฒนาเศรษฐกิจของภาค (๒) ดูแลช่วยเหลือคนจน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี พึ่งพาตนเอง พึ่งพาครอบครัว และพึ่งพากันในชุมชนได้ (๓) ยกระดับการผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สนับสนุนให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคไม่ต่ำกว่าระดับประเทศ (๔) เชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าของระบบเศรษฐกิจภาคเข้ากับระบบเศรษฐกิจของประเทศ และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ (๕) พัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และมีบทบาทสนับสนุนประเทศเป็นศูนย์กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อเสนอแผนงาน/โครงการในเบื้องต้นที่นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ ไปพิจารณาและจัดทำเป็นแผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือแบบบูรณาการให้มีความสมบูรณ์ภายใต้กระบวนการและกลไกการพัฒนาพื้นที่เชิงบูรณาการระดับภาค ๖ ภาคที่จะมีการจัดตั้งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16994 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | นร11 | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ (๑) การพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ และ (๒) ผลการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มเติมจากสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการน้ำ (๒) การพัฒนาการเกษตร (๓) การพัฒนาฝีมือแรงงาน (๔) การแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิต (๕) การบริหารจัดการด่านศุลกากรและการเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษบริเวณชายแดน และ (๖) การพัฒนาเส้นทางคมนาคม ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรี่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16995 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16996 | ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | กค | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16997 | การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง | นร05 | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กระทรวงมหาดไทยโดยจังหวัดต่าง ๆ หลายจังหวัดได้ดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง หรือบ้านพี่เมืองน้องกับจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งประเทศที่มีเขตแดนต่อเนื่องกับประเทศเพื่อนบ้านไว้แล้ว และล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับกรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน)] เห็นชอบในหลักการให้จังหวัดของไทยสามารถดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์ในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัด/เมือง/มณฑลของทุกประเทศได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนมกับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดีเพื่อผลักดันการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก] ดังนั้น จึงมีมติให้กระทรวงมหาดไทย (ทุกจังหวัดที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์แล้ว) พิจารณาดำเนินการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้การสถาปนาความสัมพันธ์ดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายอย่างเหมาะสม และมีความต่อเนื่อง เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดแสดงและซื้อขายสินค้า การจัดประชุม/สัมมนาและแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16998 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออกในประเทศเวียดนามและเมียนมา และพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านดังกล่าว รวมทั้งให้เร่งพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวสู่ประเทศไทยด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานงานกับอุตสาหกรรมจังหวัดเพื่อรวบรวมข้อมูลการขึ้นทะเบียนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัดด้วย และนำข้อมูลไปใช้ในการพิจารณาแนวทาง/มาตรการส่งเสริม SMEs ในพื้นที่ต่อไป ๒.๒ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับไปประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการผลิตรถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Cell Vehicle : FCV) ต้นแบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานของสมาคมกีฬาประเภทต่าง ๆ ให้สามารถส่งเสริมและพัฒนานักกีฬาให้มีคุณภาพ และให้มีกระบวนการคัดเลือกผู้มีศักยภาพและความสามารถสูงสุดในแต่ละประเภทกีฬา เพื่อเป็นตัวแทนของชาติเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาในระดับนานาชาติต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาแนวทางในการนำนักเรียนที่มีความสนใจในด้านกีฬาหรือนักกีฬาของโรงเรียนที่มีความสามารถโดดเด่นมีพื้นฐานและทักษะที่เหมาะสมมาพัฒนาให้เป็นตัวแทนทีมชาติหรือนักกีฬาอาชีพในอนาคต ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินงานเสนอนายกรัฐมนตรีภายใน ๖ เดือน ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับให้สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาแนวทางการเตรียมความพร้อมของข้าราชการให้มีศักยภาพในการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติและพัฒนางานให้มากยิ่งขึ้น โดยให้ครอบคลุมทั้งข้าราชการที่จะบรรจุใหม่และข้าราชการปัจจุบัน รวมถึงการจัดกรอบอัตรากำลังข้าราชการที่ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยตรงของหน่วยงานให้เพียงพอและเหมาะสมเพื่อให้สามารถดำเนินการขับเคลื่อนและพัฒนาระบบราชการไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลงานเป็นรูปธรรม รองรับการเข้าสู่ประเทศไทย ๔.๐ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16999 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำกระทรวงแรงงาน (นายสุเมธ มโหสถ) | รง | 22/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุเมธ มโหสถ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำกระทรวงแรงงาน (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน รับเงินประจำตำแหน่ง ๒๑,๐๐๐ บาท ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๖/๒๕๖๐ เรื่อง การกำหนดตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำส่วนราชการ ลงวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17000 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 50/2560 และครั้งที่ 51/2560 | นร | 15/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๕๐/๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๕๑/๒๕๖๐ วันศุกร์ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐
|
.....