ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 841 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 16801 - 16820 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16801 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาต เชื้อโรค กลุ่มที่ 3 และพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. ....) | สธ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวการงแจ้งและการดำเนินการเกี่ยวกับการแจ้ง เชื้อโรค กลุ่มที่ ๒ และพิษจากสัตว์กลุ่มที่ ๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การแจ้งและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ประสงค์จะผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรค กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงปานกลางหรืออันตรายปานกลางและพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ พิษจากสัตว์ที่ทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปกติ ในระดับที่ไม่ร้ายแรงและและมีวิธีรักษาที่ได้ผล ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาต เชื้อโรค กลุ่มที่ ๓ และพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเฉพาะเชื้อโรค กลุ่มที่ ๓ ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงหรืออันตรายสูง หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ พิษจากสัตว์ที่ทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปกติ ในระดับที่ร้ายแรงและมีวิธีรักษาที่ได้ผล ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้งกรณีที่มีเหตุความไม่ปลอดภัยและอันตรายเนื่องจากกระบวนการหรือขั้นตอนที่เกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ ต้องแจ้งให้อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทราบเมื่อเกิดเหตุความไม่ปลอดภัยและอันตรายต่อบุคคล สิ่งแวดล้อม หรือสาธารณชน ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกรณีที่ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตตายหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการกรณีผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ตายหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ พระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ กำหนดรายการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์โดยคำนึงถึง “ความเสี่ยงหรืออันตราย” ดังนั้น หมวด ๓ ของร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ควรใช้หลักการความเสี่ยงหรืออันตรายที่สูงขึ้นแทนการใช้หลัก “ระดับความรุนแรงสูงขึ้น” ๒.๒ สิทธิการอุทธรณ์ตามหมวด ๘ ของพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดสิทธิอุทธรณ์ได้ทั้งกรณีการไม่ออกหนังสือรับรองการแจ้งหรือใบอนุญาตและการไม่อนุญาตให้ต่ออายุหนังสือรับรองการแจ้งหรือใบอนุญาต แต่ขณะที่ร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ยังไม่ได้กำหนดสิทธิอุทธรณ์เรื่องดังกล่าว ๒.๓ วิธีการทำลายหรือส่งมอบเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ในร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๔ ในข้อ ๓ ที่กำหนดให้การทำลายหรือส่งมอบเชื้อโรคและพิษจากสัตว์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ออกตามความในมาตรา ๖ (๑๕) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่ร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ ข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๓ มิได้ระบุเรื่องดังกล่าวไว้ ๒.๔ การกำหนดวันที่ต้องดำเนินการ ควรกำหนดในรูปแบบของจำนวนวันทำการให้สอดคล้องกันในทุกฉบับ ๒.๕ หมวด ๓ ของร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ กำหนดให้เมื่อเชื้อโรคและพิษจากสัตว์มีระดับความรุนแรงสูงขึ้นกว่าระดับที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้ได้รับอนุญาตแจ้งให้อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทราบทันที ทั้งนี้ ควรกำหนดนิยามของความไม่ปลอดภัยไว้ให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16802 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้งกาณีที่มีเหตุความไม่ปลอดภัยและอันตรายเนื่องจากกระบวนการหรือขั้นตอนที่เกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ พ.ศ. ....) | สธ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวการงแจ้งและการดำเนินการเกี่ยวกับการแจ้ง เชื้อโรค กลุ่มที่ ๒ และพิษจากสัตว์กลุ่มที่ ๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การแจ้งและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ประสงค์จะผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรค กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงปานกลางหรืออันตรายปานกลางและพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ พิษจากสัตว์ที่ทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปกติ ในระดับที่ไม่ร้ายแรงและและมีวิธีรักษาที่ได้ผล ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาต เชื้อโรค กลุ่มที่ ๓ และพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเฉพาะเชื้อโรค กลุ่มที่ ๓ ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงหรืออันตรายสูง หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ พิษจากสัตว์ที่ทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปกติ ในระดับที่ร้ายแรงและมีวิธีรักษาที่ได้ผล ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้งกรณีที่มีเหตุความไม่ปลอดภัยและอันตรายเนื่องจากกระบวนการหรือขั้นตอนที่เกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ ต้องแจ้งให้อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทราบเมื่อเกิดเหตุความไม่ปลอดภัยและอันตรายต่อบุคคล สิ่งแวดล้อม หรือสาธารณชน ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกรณีที่ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตตายหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการกรณีผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ตายหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ พระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ กำหนดรายการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์โดยคำนึงถึง “ความเสี่ยงหรืออันตราย” ดังนั้น หมวด ๓ ของร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ควรใช้หลักการความเสี่ยงหรืออันตรายที่สูงขึ้นแทนการใช้หลัก “ระดับความรุนแรงสูงขึ้น” ๒.๒ สิทธิการอุทธรณ์ตามหมวด ๘ ของพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดสิทธิอุทธรณ์ได้ทั้งกรณีการไม่ออกหนังสือรับรองการแจ้งหรือใบอนุญาตและการไม่อนุญาตให้ต่ออายุหนังสือรับรองการแจ้งหรือใบอนุญาต แต่ขณะที่ร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ยังไม่ได้กำหนดสิทธิอุทธรณ์เรื่องดังกล่าว ๒.๓ วิธีการทำลายหรือส่งมอบเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ในร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๔ ในข้อ ๓ ที่กำหนดให้การทำลายหรือส่งมอบเชื้อโรคและพิษจากสัตว์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ออกตามความในมาตรา ๖ (๑๕) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่ร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ ข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๓ มิได้ระบุเรื่องดังกล่าวไว้ ๒.๔ การกำหนดวันที่ต้องดำเนินการ ควรกำหนดในรูปแบบของจำนวนวันทำการให้สอดคล้องกันในทุกฉบับ ๒.๕ หมวด ๓ ของร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ กำหนดให้เมื่อเชื้อโรคและพิษจากสัตว์มีระดับความรุนแรงสูงขึ้นกว่าระดับที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้ได้รับอนุญาตแจ้งให้อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทราบทันที ทั้งนี้ ควรกำหนดนิยามของความไม่ปลอดภัยไว้ให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16803 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกรณีที่ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตตายหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล พ.ศ. ....) | สธ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการดำเนินการเกี่ยวกับการแจ้ง เชื้อโรค กลุ่มที่ ๒ และพิษจากสัตว์กลุ่มที่ ๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การแจ้งและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ประสงค์จะผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรค กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงปานกลางหรืออันตรายปานกลางและพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ พิษจากสัตว์ที่ทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปกติ ในระดับที่ไม่ร้ายแรงและและมีวิธีรักษาที่ได้ผล ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาต เชื้อโรค กลุ่มที่ ๓ และพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเฉพาะเชื้อโรค กลุ่มที่ ๓ ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงหรืออันตรายสูง หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ ๒ ได้แก่ พิษจากสัตว์ที่ทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปกติ ในระดับที่ร้ายแรงและมีวิธีรักษาที่ได้ผล ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้งกรณีที่มีเหตุความไม่ปลอดภัยและอันตรายเนื่องจากกระบวนการหรือขั้นตอนที่เกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ ต้องแจ้งให้อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทราบเมื่อเกิดเหตุความไม่ปลอดภัยและอันตรายต่อบุคคล สิ่งแวดล้อม หรือสาธารณชน ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกรณีที่ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตตายหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการกรณีผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้รับใบอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ตายหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ พระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ กำหนดรายการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์โดยคำนึงถึง “ความเสี่ยงหรืออันตราย” ดังนั้น หมวด ๓ ของร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ควรใช้หลักการความเสี่ยงหรืออันตรายที่สูงขึ้นแทนการใช้หลัก “ระดับความรุนแรงสูงขึ้น” ๒.๒ สิทธิการอุทธรณ์ตามหมวด ๘ ของพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดสิทธิอุทธรณ์ได้ทั้งกรณีการไม่ออกหนังสือรับรองการแจ้งหรือใบอนุญาตและการไม่อนุญาตให้ต่ออายุหนังสือรับรองการแจ้งหรือใบอนุญาต แต่ขณะที่ร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ยังไม่ได้กำหนดสิทธิอุทธรณ์เรื่องดังกล่าว ๒.๓ วิธีการทำลายหรือส่งมอบเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ในร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๔ ในข้อ ๓ ที่กำหนดให้การทำลายหรือส่งมอบเชื้อโรคและพิษจากสัตว์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ออกตามความในมาตรา ๖ (๑๕) ของพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่ร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ ข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๓ มิได้ระบุเรื่องดังกล่าวไว้ ๒.๔ การกำหนดวันที่ต้องดำเนินการ ควรกำหนดในรูปแบบของจำนวนวันทำการให้สอดคล้องกันในทุกฉบับ ๒.๕ หมวด ๓ ของร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ กำหนดให้เมื่อเชื้อโรคและพิษจากสัตว์มีระดับความรุนแรงสูงขึ้นกว่าระดับที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งหรือผู้ได้รับอนุญาตแจ้งให้อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทราบทันที ทั้งนี้ ควรกำหนดนิยามของความไม่ปลอดภัยไว้ให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16804 | ร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติเงินคงคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมอำนาจกระทรวงการคลังในการกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง โดยกำหนดกรอบเพดานการกู้เงิน โดยกระทรวงการคลังจะมีหนี้คงค้างเพื่อบริหารสภาพคล่อง ณ ขณะใดขณะหนึ่งได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ตลอดจนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้ดังกล่าว และกำหนดให้การชำระคืนต้นเงินกู้เพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังให้จ่ายจากเงินคงคลัง ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติเงินคงคลัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมบทบัญญัติให้กระทรวงการคลังสามารถสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๒ (บัญชีกระแสรายวันที่กระทรวงการคลังมีไว้เพื่อจ่ายเงิน) เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังได้โดยไม่ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณากำหนดกรอบวงเงินกู้เพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลังตามความเหมาะสมเท่าที่จำเป็นและไม่ควรเกินกรอบวงเงินกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ตลอดจนรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ รวมทั้งควรประมาณการสภาพคล่องเงินคงคลังโดยคำนึงถึงความต้องการใช้จ่าย ประสิทธิภาพการเบิกจ่าย และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้ประมาณการมีความแม่นยำและสอดคล้องกับสถานการณ์ในระยะใกล้ที่ประเมินว่าจะเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16805 | ร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขภาคผนวก 2 และภาคผนวก 5 ของความตกลงการค้าเสรี ไทย - ออสเตรเลีย | พณ | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขภาคผนวก ๒ และภาคผนวก ๕ ของความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปริมาณสินค้าที่มีการใช้มาตรการโควตาภาษี (Tariff Rate Quota : TRQ) ตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก ๒ โดยเพิ่มปริมาณโควตานมผงขาดมันเนย ร้อยละ ๑๐ และแก้ไขปริมาณการนำเข้าสินค้าที่มีการใช้ปกป้องพิเศษ (Special Safeguard : SSG) ตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก ๕ โดยเพิ่มปริมาณการนำเข้า (Tigger Volume) ของสินค้า ๓ รายการ (๖ พิกัดสินค้า) ของไทย ได้แก่ หางนม ไขมันเนย และเนยแข็ง โดยมีผลในทางปฏิบัติภายในปี ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภามีมติเห็นชอบพิธีสารฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้มีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของพิธีสารฯ เสร็จสิ้นแล้ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการส่งเสริมอุตสาหกรรมนมไทยเพื่อลดปริมาณการนำเข้า และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมโคนมไทย ซึ่งฝ่ายออสเตรเลียจะเสนอความร่วมมือให้กับฝ่ายไทยนั้น ควรระบุรายละเอียดโครงการให้เป็นรูปธรรมและชัดเจน และควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการผู้มีส่วนได้เสียรับทราบถึงการดำเนินการจากการทบทวนพันธกรณีการเปิดตลาดสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นตามความตกลง TAFTA อย่างทั่วถึง รวมทั้งติดตามประเมินผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากมาตรการที่มีอยู่ของหน่วยงานภาครัฐอย่างเต็มที่ และเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรและสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็งเพื่อรองรับการแข่งขันจากการเปิดเสรีทางการค้าในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๖. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสินค้าที่มีการใช้มาตรการโควตาภาษี (TRQ) จำนวน ๘ รายการ โควตาภาษีดังกล่าวจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๖ รายการ ได้แก่ มั่นฝรั่ง (สดและแช่แข็ง) เมล็ดกาแฟ กาแฟสำเร็จรูป ชา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) และจะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ นมดิบและนมพร้อมดื่ม นมผงขาดมันเนย และสินค้าที่มีการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ (SSG) กำหนดเพดานปริมาณ Tigger Volume โดยเก็บภาษีนำเข้าในอัตราต่ำ ส่วนปริมาณที่นำเข้าเกินกำหนดจะเก็บภาษีในอัตราสูงกว่า จำนวน ๑๗ รายการ เช่น ไขมันเนย หางนม และเนยแข็ง จะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ หลังจากนั้นจะไม่กำหนดเพดานนำเข้าและอัตราภาษีนำเข้าจะเป็นร้อยละ ๐ จึงเห็นควรพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรดังกล่าวภายในประเทศ ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16806 | ร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560 - 2564) | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตลาดทุนไทยให้สามารถเป็นแหล่งระดมทุน แหล่งการออม และการลงทุนของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รองรับต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทในธุรกรรมด้านการเงินการลงทุนมากขึ้น รองรับกระแสการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค โดยมีประเด็นสำคัญที่มุ่งเน้นในการพัฒนาใน ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) การปรับปรุงตลาดทุนให้เป็นแหล่งทุนสำหรับ SMEs นวัตกรรม และกลุ่ม Startup (๒) การปรับปรุงตลาดทุนให้เป็นแหล่งระดมทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ (๓) การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน (๔) การปรับปรุงให้ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของภูมิภาค และ (๕) การปรับปรุงตลาดทุนให้รองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างแผนพัฒนาตลาดทุนฯ มีมาตรการในการดำเนินการที่ครอบคลุมและเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ การกำกับดูแลให้บรรลุเป้าหมายอย่างเป็นองค์รวมภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดจะต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ ชัดเจนอย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพภายใต้กรอบของวินัยการเงินการคลังที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ร่างแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ฉบับนี้ เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์การระดมทุนที่เป็นนวัตกรรมและผู้ประกอบการรูปแบบใหม่สำหรับตลาดทุนไทย ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อรองรับการระดมทุนสำหรับกลุ่มประเทศในภูมิภาค จึงควรพิจารณาศึกษาผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบด้านด้วย และเนื่องจากสภาวะแวดล้อมของภาคการเงินมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงเห็นควรให้คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกปี และประเมินผลสัมฤทธิ์ของร่างแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ในระยะครึ่งแผน เพื่อให้สามารถพิจารณาปรับปรุงแผนงานและตัวชี้วัดให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย รวมทั้งให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ จัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการตามร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ ให้ชัดเจน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาและกำกับดูแลตลาดทุนให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ลงทุนรายใหญ่และรายย่อย ๒.๒ พิจารณาดำเนินการเพื่อจัดให้มีกลไกในการประสานความร่วมมือในการพัฒนาและกำกับดูแลตลาดการเงินในภาพรวมที่ครอบคลุมทั้งสถาบันการเงิน การประกันภัย ตลาดทุน รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การพัฒนาภาคการเงินในภาพรวมของประเทศมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และมีการกำกับดูแลที่มีมาตรฐานเท่าเทียมกันต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16807 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2559 | นร09 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำปี ๒๕*๙ ซึ่งมีผลการปฏิบัติงานที่สำคัญ ได้แก่ (๑) ให้คำแนะนำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และ (๒) การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยในส่วนของปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการปฏิบัติราชการทางปกครอง มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการศึกษาและยกร่างกฎหมายเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการบังคับทางปกครองขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการบังคับทางปกครองให้มีประสิทธิภาพต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16808 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 408 สายนครศรีธรรมราช - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 (นาทวี) ที่บ้านหัวถนนการะเกด บ้านปากช่อง บ้านทรายขาว และที่บ้านบางแค พ.ศ. .... | คค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๘ สายนครศรีธรรมราช-บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๒ (นาทวี) ที่บ้านหัวถนนการะเกด บ้านปากช่อง บ้านทรายขาว และที่บ้านบางแค พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๘ สายนครศรีธรรมราช-บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๒ (นาทวี) ที่บ้านหัวถนนการะเกด บ้านปากช่อง บ้านทรายขาว และที่บ้านบางแค ในท้องที่อำเภอเชียรใหญ่ และอำเภอหัวไทร จังหวัดนครซรีธรรมราช เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16809 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 4/2560 : การเร่งรัดและขับเคลื่อนประเด็นการปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจผู้สูงวัย เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม เกษตรกรรมยั่งยืน ความมั่นคงทางอาหาร และการปฏิรูป ระบบบริหารราชการ : ระบบการตรวจราชการแบบบูรณาการ มุ่งผลสัมฤทธิ์ และการมีส่วนร่วม | นร04 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นการปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจผู้สูงวัย เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม เกษตรยั่งยืน ความมั่นคงทางอาหาร และการปฏิรูประบบบริหารราชการ : ระบบการตรวจราชการแบบบูรณาการ มุ่งผลสัมฤทธิ์ และการมีส่วนร่วม โดยมีผลการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปที่สำคัญ ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) การปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงชีวภาพ (๒) การปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม (๓) การปฏิรูปเศรษฐกิจผู้สูงวัย (๔) ระบบเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน และความมั่นคงทางอาหาร และ (๕) การปฏิรูประบบบริหารราชการ : ระบบการตรวจราชการแบบบูรณาการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และการมีส่วนร่วม รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมในประเด็นการปฏิรูประบบราชการ ระบบบริหารราชการ และข้าราชการ ต้องดำเนินการให้สอดคล้องทั้งหน่วยงานและหัวหน้าส่วนราชการทุกระดับ โดยเฉพาะการจัดส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการบูรณาการ/การปฏิรูปประเทศ/ยุทธศาสตร์ชาติ ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16810 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งภาพรวมสถิติการยื่นเรื่องผ่านช่องทางร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๒,๖๐๗ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๑๐๖ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอและตรากฎหมาย การปฏิรูปประเทศ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และขอให้แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๓,๑๕๘ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๗๑ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒,๙๔๘ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๒๙ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16811 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนกรกฎาคม 2560 | นร02 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ มีประเด็นการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ (๑) เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย การดำเนินงานโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ การผลักดันการค้าชายแดนและการลงทุนจากต่างประเทศ และ (๒) เดือนต่อไป (กันยายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การรายงานสถานการณ์การละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนและการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิ และการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ให้ทันสมัยและเป็นสากล ๑.๒ ผลงานตามประเด็นการปฏิรูป (๑) เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติการปฏิรูปประเทศ และนโยบายของรัฐบาล บทบาทการศึกษาเอกชนกับการพัฒนาประเทศไทย ๔.๐ และการเร่งจัดหาโควตาความต้องการจ้างคนพิการเพิ่ม และ (๒) เดือนต่อไป (กันยายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามขบวนการตัดไม้ทำลายป่า การบุกรุกพื้นที่ป่าและที่ดินของรัฐ การวางระบบการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพเพื่อจัดการอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑.๓ ผลงานการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน (๑) เดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคม ๒๕๖๐) ได้แก่ การแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย มาตรการแก้ปัญหาและส่งเสริมผู้ประกอบการยางพารา และมาตรการความช่วยเหลือผู้ประกอบการจากอุทกภัยและน้ำไหลหลาก และ (๒) เดือนต่อไป (กันยายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและแชร์ลูกโซ่ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว และการรายงานความคืบหน้าของโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ๒. ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติพิจารณาปรับปรุงการจัดข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลให้ถูกต้อง ตรงตามกลุ่มผลงานที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ในส่วนผลงานสำคัญซึ่งไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มผลงานที่กำหนด ให้ปรับเพิ่มกลุ่มงานใหม่ได้ตามความเหมาะสม เช่น การจัดงานพระราชพิธีสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16812 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้ อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพังงา พ.ศ. ....) | มท | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพังงา จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดปัตตานี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพังงา พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดปัตตานี พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดควบคุมการอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16813 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนท่าโขลง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... | มท | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนท่าโขลง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลบางขาม ตำบลบ้านชี อำเภอบ้านหมี่ และตำบลโคกสลุด ตำบลเขาสมอคอน ตำบลมุจลินท์ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนดำเนินการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรให้เพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ เช่น โรงงานประเภท ๑๐๑ ปรับคุณภาพของเสียรวม โรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล และโรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม รวมทั้งโรงงานประเภท ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ชีวภาพ และขยะชุมชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการตรวจสอบแนวเขตพื้นที่ การให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมือง การควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ การพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ การพิจารณาเพิ่มเติมการปลูกต้นไม้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของที่ว่างของแปลงที่ดินที่ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง การจัดทำฐานข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นปัจจุบัน และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง นอกจากนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองควรพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16814 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมมาตรฐานผู้ฝึกสอนกีฬาและผู้ตัดสินกีฬา พ.ศ. .... | กก | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมมาตรฐานผู้ฝึกสอนกีฬาและผู้ตัดสินกีฬา พ.ศ. .... ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมมาตรฐานผู้ฝึกสอนกีฬาและผู้ตัดสินกีฬาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพควบคุมมาตรฐานในการทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนกีฬาและผู้ตัดสินกีฬาให้มีคุณภาพ มาตรฐาน อยู่ในกรอบของจรรยาบรรณ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบสาระสำคัญและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16815 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4367 สายโคกเจียก - ไสเสียด ตอนบ้านวังจา - บ้านนาเหนือ พ.ศ. .... | คค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓๖๗ สายโคกเจียก-ไสเสียด ตอนบ้านวังจา-บ้านนาเหนือ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓๖๗ สายโคกเจียก-ไสเสียด ตอนบ้านวังจา-บ้านนาเหนือ ในท้องที่อำเภอปลายพระยา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16816 | ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร02 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ระดับกระทรวงและจังหวัด ประกอบด้วย ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความมั่นคง (๒) ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (๓) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน (๔) ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม (๕) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๖) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ นอกจากนี้ ได้ดำเนินการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์โดยการสร้างเครือข่ายระหว่างโฆษกกระทรวง รวมทั้งมีการติดตามผลการดำเนินการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ๒. ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ตามนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้เห็นภาพรวมของผลการดำเนินงานทั้งระบบ รวมถึงการจัดทำแผนปฏิบัติงานของหน่วยงาน และกำหนดประเด็นการประชาสัมพันธ์และเร่งรัดดำเนินงานโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ ตลอดจนเร่งรัดการสร้างเครือข่ายประชาสัมพันธ์ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนให้เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้หน่วยงานระดับกระทรวงนำนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ระดับกระทรวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเชื่อมโยงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) รวมทั้งส่งแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ดังกล่าวและรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติทราบด้วย ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรม เช่น ผลการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16817 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการวางระเบียบเกี่ยวกับการส่งข้อมูลให้แก่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามมาตรา ๓๗ ตรี แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับการสร้างความสมัครใจในการเสียภาษี กรมสรรพากรได้ตราพระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของกิจการ โดยยกเว้นการตรวจสอบภาษีอากรย้อนหลังให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ และยังมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม สามารถหักรายจ่ายค่าจ้างนักเรียนหรือนักศึกษาที่อยู่ระหว่างศึกษาในแผนกหรือสาขาวิชาบัญชีปฏิบัติงานได้เป็นจำนวน ๒ เท่า โดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมากขึ้นซึ่งจะมีการแสดงผลประกอบการที่แท้จริง มีความโปร่งใส และเป็นการสร้างฐานภาษีที่ยั่งยืนในระยะยาว ทำให้ผู้เสียภาษีสมัครใจที่จะเสียภาษี และกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ส่วนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารการจัดเก็บภาษี กรมสรรพากรได้จัดทำ Roadmap "Digital RD 2020" ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในการบริหารการจัดเก็บภาษีและการให้บริการแก่ผู้เสียภาษี นอกจากนั้น ยังได้ดำเนินโครงการระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment master Plan) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16818 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายวิโรจน์ นรารักษ์) | นร11 | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นายเอนก มีมงคล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ ๒. นายวิโรจน์ นรารักษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16819 | รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี 2558 และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2558 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | สม | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๘ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ (๑) สถานการณ์สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๒) สถานการณ์สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น การบริหารจัดการพลังงาน สิทธิทางการศึกษา สิทธิด้านสุขภาพ และ (๓) สถานการณ์สิทธิของกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มเด็ก กลุ่มคนพิการ กลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าและชนพื้นเมือง ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๕๘ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประกอบด้วย ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ (๑) ผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีผลการเบิกจ่ายงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๙๖,๗๓๙,๙๙๕ ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๑๑) (๒) ผลการดำเนินงานตามภารกิจอำนาจหน้าที่ เช่น การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การศึกษาวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และ (๓) รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินการให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์และบริบทของสังคมไทย สภาวะแวดล้อมและสถานการณ์ในทุกมิติ โดยจัดทำรายงานฯ ให้รวดเร็วและเป็นปัจจุบัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ ปรับปรุง แก้ไข กฎระเบียบให้เท่าทันสถานการณ์ และควรบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางมาตรการสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล เช่น การสร้างความเสมอภาคและคุณภาพการศึกษาให้กับผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น ทั้งนี้ ขอให้เพิ่มเติมสาระสำคัญตามมาตรา ๖๗ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ และตรวจสอบข้อความในมาตรา ๖๗ วรรคหนึ่ง เพื่อให้เกิดความถูกต้องและสมบูรณ์ของเอกสาร ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นข้อเสนอของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในรายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปี ๒๕๕๘ ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการแล้วให้รายงานผลการดำเนินการไปยังรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16820 | นโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งมีวิสัยทัศน์ คือ “ประชารัฐร่วมใจ ประเทศไทยไร้การค้ามนุษย์” ประกอบด้วยประเด็นยุทธศาสตร์ ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านพัฒนากลไกเชิงนโยบายและการขับเคลื่อน (๒) ด้านดำเนินคดี (๓) ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ (๔) ด้านป้องกัน และ (๕) ด้านพัฒนาความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า ในด้านการพัฒนากลไกเชิงนโยบายและการขับเคลื่อนจำเป็นต้องเร่งเสริมบทบาทศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในระดับจังหวัด รวมทั้งการเฝ้าระวังและการแจ้งเบาะแสจากประชาชนและเครือข่าย การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีส่วนร่วมและมีการประชาสัมพันธ์เพื่อขยายผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง การดำเนินการเชิงรุกในการเข้าถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และพิจารณาออกกฎระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคประชาชนและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ในขั้นของการจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการดำเนินงานควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดในลักษณะบูรณาการที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความตระหนักรู้และเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างกว้างขวาง รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นเห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อดำเนินการในโอกาสแรกก่อน ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลา นโยบาย ยุทธศาสตร์ดังกล่าว เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. เมื่อมียุทธศาสตร์ชาติแล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย ๕. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) จัดตั้งคณะกรรมการภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการติดตามการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ ๖. ให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงการดำเนินการของไทยเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะความก้าวหน้าในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดให้ประเทศผู้ประเมินและจัดอันดับการค้ามนุษย์ทราบอย่างต่อเนื่องด้วย |
.....