ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 847 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 16921 - 16940 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16921 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท พ.ศ. ....) | มท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท จังหวัดระยอง จังหวัดพิจิตร และจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดระยอง พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดควบคุมการอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16922 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2559 ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย | ส.ส.ท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๕๙ ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุม (๑) ผลงานเด่นขององค์การในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย ปี ๒๕๕๙ (๓) การดำเนินการด้านต่าง ๆ ในปี ๒๕๕๙ (๔) รายงานผลการดำเนินงานของสื่อสาธารณะ และ (๕) ทิศทางของสื่อสาธารณะ ปี ๒๕๖๐ ตามที่ ส.ส.ท. เสนอ ๒. ให้ ส.ส.ท. ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การสร้างความร่วมมือและความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการของรัฐที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในภาพรวมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16923 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสุณี วงศ์คงคาเทพ) | สธ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสุณี วงศ์คงคาเทพ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16924 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงแรงงาน) (พันตำรวจตรีหญิง รมยง สุรกิจบรรหาร) | รง | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พันตำรวจตรีหญิง รมยง สุรกิจบรรหาร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน (นักวิชาการแรงงานทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16925 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางปิยนุช วุฒิสอน และนางธิดา พัทธธรรม) | นร11 | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นางปิยนุช วุฒิสอน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๒. นางธิดา พัทธธรรม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16926 | รัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นางอานา ลูซี เชนทิล กาบรัล เพเทอร์เซิน (Mrs. Ana Lucy Gentil Cabral Petersen)] | กต | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางอานา ลูซี เชนทิล กาบรัล เพเทอร์เซิน (Mrs. Ana Lucy Gentil Cabral Petersen) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายฆิลเบร์โต ฟอนเซกา กีมาไรซ์ เด โมว์รา (Mr. Gilberto Fonseca Guimaraes de Moura) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16927 | รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายแสง สุขะทิวง (Mr. Seng Soukhathivong)] | กต | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายแสง สุขะทิวง (Mr. Seng Soukhathivong) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายหลี บุนค้ำ (Mr. Ly Bounkham) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16928 | สหภาพยุโรปเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายปีร์กะ ตาปีโอละ (Mr. Pirkka Tapiola)] | กต | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายปีร์กะ ตาปีโอละ (Mr. Pirkka Tapiola) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายเคซุส มีเกล ซันซ์ เอสโกรีอวยลา (Mr. Jesus Miguel Sanz Escorihuela) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16929 | การดำเนินการนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชน | คค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชน ในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ประกอบด้วย การจัดตั้งหน่วยงานบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม (CTC) และการดำเนินงานบูรณาการระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) เพื่อใช้งานระบบตั๋วร่วม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชนอย่างครบวงจรให้เสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ โดยข้อเสนอที่จะมีการให้สิทธิหรือโอนสิทธิให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยใช้ระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CCH) นั้น เห็นควรดำเนินการตามระเบียบการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ ตลอดจนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องการโอนสิทธิระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CCH) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ การจัดตั้งบริษัทเพื่อเป็นผู้บริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุน และกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16930 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปากดง จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปากดง จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลไตรตรึงษ์ และตำบลธำมรงค์ อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวเขตปฏิรูปที่ดิน พร้อมทั้งสัญลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ รวมทั้งควรเพิ่มประเภทและขนาดของโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่และเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่มีน้ำเสียและขยะ และควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16931 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 32 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 พฤษภาคม 2560) | นร04 | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๒ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ การดำเนินการที่สำคัญเพื่อส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็ง และส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16932 | ร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งชาติ ทำหน้าที่กำกับ ดูแล รับผิดชอบการบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ จัดตั้งกองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มขึ้นในสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อสนับสนุนด้านการเงินสำหรับการศึกษา วิจัยและพัฒนา ด้านการผลิต การแปรรูป การตลาด การใช้ประโยชน์ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ และกำหนดบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กองทุนปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มต้องไม่มีภารกิจในเรื่องการรักษาเสถียรภาพด้านราคาของปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และเมื่อจัดตั้งกองทุนแล้วต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับการใช้งบประมาณของหน่วยงานของรัฐใด ๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการสนับสนุนการผลิตและการวิจัยพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม รวมทั้งวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนควรครอบคลุมด้านการป้องกันและหรือลดผลกระทบจากภัยที่เกิดจากศัตรูธรรมชาติทั้งโรคและแมลงระบาด นอกจากนี้ ควรเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการบริหารกองทุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรให้มีผู้ประสานงานกับกลุ่มเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ และการให้ผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่การผลิตทำรายงานปริมาณการผลิต การจำหน่าย ปริมาณคงเหลือ รวมถึงปริมาณนำเข้า ควรออกแบบระบบการเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลที่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการจัดทำตัวชี้วัดผลสำเร็จการทำงานในการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบให้ชัดเจน และมีการวางระบบการติดตามประเมินผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้เสียที่จะต้องมีเงินส่งเข้ากองทุนให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16933 | ข้อตกลงการยอมรับร่วมรายสาขาว่าด้วยระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะอาหารสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปของอาเซียน (ASEAN Sectoral Mutual Recognition Arrangement for Inspection and Certification Systems on Food Hygiene for Prepared Foodstuff Products) | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติการลงนามข้อตกลงการยอมรับร่วมรายสาขาว่าด้วยระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะอาหารสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปของอาเซียน (ASEAN Sectoral Mutual Recognition Arrangement for Inspection and Certification Systems on Food Hygiene for Prepared Foodstuff Products) มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดกรอบของประเทศสมาชิกอาเซียนในการยอมรับร่วมซึ่งกันและกันในระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะอาหารในอาเซียน ภายใต้พิกัดศุลกากร ตอนที่ ๑๖-๒๒ ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้า ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๒ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๔๙ ระหว่างวันที่ ๔-๑๐ กันยายน ๒๕๖๐ ณ ประเทศฟิลิปปินส์ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามข้อตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้แทนในคณะกรรมการร่วมรายสาขาที่ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญ และมีการประสานงานกับภาคเอกชนในการสนับสนุนข้อมูลประกอบการประชุมที่ครบถ้วน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะต่อการจัดทำข้อกำหนด กฎ หรือองค์ประกอบของระบบการตรวจสอบและการให้การรับรองด้านสุขลักษณะอาหารที่ไม่เป็นอุปสรรคการส่งออกสินค้าอาหารสำเร็จรูปของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16934 | การร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 49 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการประกาศความสำเร็จของการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน-ฮ่องกง ที่ได้เริ่มการเจรจามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ และมีแผนที่จะลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๓๑ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๑.๒ เห็นชอบเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๔๙ และการประชุมอื่น ๆ จำนวน ๑๔ ฉบับ ประกอบด้วย เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในอาเซียน จำนวน ๙ ฉบับ และเอกสารที่ AEM จะรับรองร่วมกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน จำนวน ๕ ฉบับ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุม AEM ครั้งที่ ๔๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๖-๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในส่วนของเอกสารสรุปสาระแผนงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ปี ๒๐๑๗-๒๐๒๕ และข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมในส่วนของการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และแผนการดำเนินงานด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับรัสเซีย หลังปี ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16935 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - ภูฏาน ครั้งที่ 2 | พณ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ มีสาระสำคัญในประเด็นความร่วมมือด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ด้านการค้าและการลงทุน (๒) ด้านการท่องเที่ยว (๓) ด้านการเกษตร (๔) ด้านการพัฒนาสินค้าหัตถกรรม และ (๕) การรักษาพยาบาลของชาวภูฏานในไทย ทั้งนี้ การประชุม JTC ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ จะเป็นเวทีการประชุมหารือระดับรัฐมนตรีการค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับภูฏาน และจัดทำแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ หากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับภูฏาน โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ ๒ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ และเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้โอกาสนี้ร่วมกันพิจารณาขยายปริมาณการค้าสินค้าและบริการที่แต่ละประเทศมีศักยภาพ โดยขยายความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนของไทยในภูฏานในสาขาบริการที่ไทยมีความเข้มแข็ง อาทิ บริการสุขภาพ และการอำนวยความสะดวกในการเดินทางเพื่อเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16936 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และรัฐบาลไทย ว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ราชอาณาจักรไทย ในฐานะศูนย์ประเภทที่ 2 ภายใต้ยูเนสโก | วท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และรัฐบาลไทย ว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ราชอาณาจักรไทย ในฐานะศูนย์ประเภทที่ ๒ ภายใต้ยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมในระดับนานาชาติ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินการฝึกอบรมให้แก่นักวิจัยรุ่นใหม่ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา เพื่อเติมเต็มช่องว่างในการจัดการศึกษาและวิจัยทางด้านดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางดาราศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัยและวิชาการทางดาราศาสตร์ โดยจะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในโอกาสการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ในวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโกที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๑๗,๗๕๘,๒๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16937 | ร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (พ.ศ. 2560 - 2564) | กต | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกวาจาและร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกวาจา เป็นการสรุปเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายที่มุ่งส่งเสริมและกระชับมิตรภาพและความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างกันในความร่วมมือทุกสาขาและทุกระดับเพื่อนำไปสู่การประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมฯ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ส่วนสาระสำคัญของร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ขยายสาขาความร่วมมือเพิ่มเติม ๓ สาขา คือ สาขาความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของแรงงาน สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสาขาสื่อและประชาสัมพันธ์ รวมเป็น ๒๐ สาขา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกวาจาดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกวาจาและร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เสนอแก้ไขคำแปลในสาขาความร่วมมือที่ (๑๖) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ข้อ ๙๙ “ภูมิสารนิเทศและเทคโนโลยีอวกาศ” แก้ไขเป็น “ภูมิสารสนเทศและเทคโนโลยีอวกาศ” “เทคโนโลยีวัสดุนาโนเทคโนโลยี” แก้ไขเป็น “เทคโนโลยีวัสดุ นาโนเทคโนโลยี” และ “มาตรวิทยาและโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ” แก้ไขเป็น “มาตรวิทยาและโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16938 | ข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการสำคัญตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๑ โครงการ ภายในวงเงินรวม ๒,๒๒๕.๔๒ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๗๓๗.๓๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการด้านการพัฒนาการเกษตร ๘ โครงการ วงเงิน ๔๘๘.๑๒ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ เร่งรัดการขอรับจัดสรรงบประมาณกับสำนักงบประมาณและเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ผูกพันในโอกาสแรก แล้วจึงขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างโปร่งใส คุ้มค่า รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เนื่องจากเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงเห็นควรให้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในเรื่องดังกล่าวต่อไป และในการใช้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามแผนงาน/โครงการของหน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้อนุมัติไปแล้ว นอกจากนี้ บางโครงการยังขาดรายละเอียดของตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมาย โครงการ และแนวทางการติดตามประเมินผลโครงการ จึงควรปรับปรุงตัวชี้วัดให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการให้ชัดเจน ปรับปรุงบางโครงการให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น และมีการติดตามประเมินผลโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16939 | มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ | อก | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต/ธุรกิจบริการมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (๒) ผลักดัน System Integrator (SI) ให้มีจำนวนเพียงพอต่อการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนการผลิตให้กับ SI ในประเทศ และ (๓) พัฒนาศักยภาพและบูรณาการความร่วมมือในเครือข่ายหน่วยงาน Center of Robotics Excellence (CoRE) และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายระหว่างกันและการเชื่อมโยงความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรและธุรกิจไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งควรมีกลไกการติดตามประเมินผลที่เป็นระบบที่สามารถสะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการติดตามการดำเนินงานตามมาตรการต่าง ๆ ในภาพรวมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว เห็นควรให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าในการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เช่น ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น เพื่อนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของประเทศให้เหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16940 | ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อดำเนินโครงการแก้มลิงทุ่งหินของจังหวัดสมุทรสงคราม | มท | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้จังหวัดสมุทรสงครามใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการแก้มลิงทุ่งหิน เนื้อที่ ๒,๖๒๓ ไร่ ๒ งาน ๒๓.๒ ตารางวา ตั้งอยู่ที่บ้านต้นลำแพน ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอเรื่องการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามขั้นตอนต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนการดำเนินโครงการ ระหว่างดำเนินโครงการ และภายหลังดำเนินโครงการแล้วเสร็จ รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นและเหมาะสมในการใช้พื้นที่ป่าชายเลนดังกล่าว รวมถึงประโยชน์โดยรวมสูงสุดที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ป่าชายเลนที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อนำมาคำนวณพื้นที่ปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการขอตั้งงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณานำหลัก Strategic Environmental Assessment (SEA) มาใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย
|
.....