ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 839 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 16761 - 16780 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16761 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 41 | ทส | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ ระหว่างวันที่ ๒-๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ เมืองคราคูฟ สาธารณรัฐโปแลนด์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ซึ่งมีข้อมติคณะกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้ราชอาณาจักรไทยดำเนินการในด้านต่าง ๆ เช่น ประเมินทางเลือกอื่น ๆ หลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นต่อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลในการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๘ และยกเลิกแผนการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในพื้นที่แหล่งทรัพย์สินอย่างถาวร รวมถึงโครงการก่อสร้างเขื่อนห้วยสะโตนและเขื่อนลำพระยาธาร เป็นต้น ทั้งนี้ พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ไม่ได้รับการบรรจุเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตราย และหากเอกสารรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ที่ต้องจัดส่งต่อศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ได้รับการพิจารณาแล้วเห็นว่า มีความก้าวหน้าเพียงพอก็จะไม่มีการนำเสนอรายงานดังกล่าวต่อคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๒ ในปี ๒๕๖๑ ๑.๒ ให้ราชอาณาจักรไทยดำเนินการในด้านต่าง ๆ เช่น ให้จัดส่งเอกสารรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาฉบับปรับปรุง และแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องต่อศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาในการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๓ ในปี ๒๕๖๒ เป็นต้น ๑.๓ เห็นชอบการบรรจุแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมพระธาตุพนม กลุ่มสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ และภูมิทัศน์ที่เกี่ยวข้องในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดโลก ตามที่ราชอาณาจักรไทยนำเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมระงับการดำเนินการขยายเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๘ ในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และให้พิจารณาทางเลือกในการขยายทางหลวงแผ่นดินเส้นทางอื่นแทนตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนความจำเป็น เหมาะสมในการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างเขื่อนห้วยสะโตนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16762 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 และขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒๖,๗๘๒.๔๗๗ ล้านบาท (ปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๒๓,๓๓๕.๒๕๐ ล้านบาท และชำระดอกเบี้ยที่จะครบกำหนด จำนวน ๓,๔๔๗.๒๒๗ ล้านบาท) และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดให้ ขสมก. ปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ให้มีความชัดเจน และให้ ขสมก. เร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางในการเพิ่มรายได้จากการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยนำผลสำเร็จของการจัดทำต้นทุนมาตรฐานมาใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการของรถประจำทางให้มีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแผนฟื้นฟู ขสมก. ให้ครอบคลุมถึงแผนการบริหารหนี้ในภาพรวม ซึ่งรวมถึงแนวทางการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือกู้เงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และค่าดอกเบี้ยที่ครบกำหนดของ ขสมก. ในปี ๒๕๖๒ และปีต่อ ๆ ไป และให้กระทรวงคมนาคมนำแผนดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาโดยเร็วตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16763 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง ระยะทางรวมประมาณ ๙๖ กิโลเมตร แบ่งการดำเนินการก่อสร้างออกเป็น ๒๕ สัญญา ลงนามในสัญญา จำนวน ๒๔ สัญญา และอยู่ระหว่างรอลงนามในสัญญา จำนวน ๑ สัญญา ผลงานก่อสร้างร้อยละ ๓.๐๕ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๗.๘๓ (ตามแผนงานร้อยละ ๑๐.๘๘) สำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุนการบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) ขณะนี้กรมทางหลวงอยู่ระหว่างการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๓๕ เพื่อเร่งรัดประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ และจะเสนอคณะรัฐมนตรีปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและทบทวนผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ รวมทั้งรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการสำรวจทรัพย์สินเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16764 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูฟื้นฟูชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2560 | กษ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๖๐ เป็นการดำเนินการในชุมชนตามโครงการฯ ที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๔๓ จังหวัด มีเป้าหมายเกษตรกร จำนวน ๔๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน มีลักษณะการดำเนินการเป็นการสนับสนุนกิจกรรมในลักษณะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประกอบด้วย (๑) การปลูกพืชอายุสั้น (๒) การเลี้ยงสัตว์ (การเลี้ยงสัตว์ปีกและแมลงเศรษฐกิจ เช่น จิ้งหรีด) (๓) การผลิตอาหาร แปรรูปผลผลิต และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และ (๔) การประมง (เช่น การเลี้ยงกบในกระชัง การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน/พลาสติก) โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายปัจจัยการผลิต ครัวเรือนละไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม กลุ่มละไม่น้อยกว่า ๑๐ ราย สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๒๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับกระบวนการถ่ายทอดความรู้และคำแนะนำในการผลิตตามกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทั่วถึง เพื่อมิให้เกิดความเสียหายกับเกษตรกรขึ้นอีก รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของเกษตรกรอย่างใกล้ชิด เพื่อต่อยอดหรือให้คำแนะนำสำหรับใช้ประโยชน์จากกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้โครงการฯ เป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวของครอบครัวต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๓.๑ ในการดำเนินกิจกรรมของเกษตรกรภายใต้โครงการฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องสำรวจเกษตรกรที่มีความพร้อมและเต็มใจเข้าร่วมโครงการและให้การสนับสนุนและคำแนะนำแก่เกษตรกรในการเลือกกิจกรรมที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และศักยภาพของเกษตรกร รวมทั้งมีการติดตามและให้คำแนะนำการดำเนินกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างแท้จริง ๓.๒ ให้เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่เป็นการใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต้องใช้จ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓.๓ ให้ติดตาม ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ หากโครงการใดหมดความจำเป็นหรือมีโครงการอื่นใดที่สมควรดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น ก็ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16765 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซม ครั้งที่ 7 | พณ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อ (๑) ร่างแถลงการณ์ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซม ครั้งที่ ๗ (The 7th ASEM Economic Ministers’ Meeting : 7th ASEM EMM) เพื่อสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี (๒) ร่างเอกสารสรุปผลการประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ของประธาน และ (๓) ร่างเอกสารข้อริเริ่มของที่ประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมASEM EMM ครั้งที่ ๗ ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างเอเชียและยุโรป โดยไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ประเทศไทยเข้าร่วมการเจรจาความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าสิ่งแวดล้อม (Environmental Goods Agreement : EGA) ก็ต่อเมื่อเป็นการเจรจาที่ให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization) เข้าร่วมเท่านั้น สำหรับร่างเอกสารข้อริเริ่มของที่ประชุม ASEM EMM ครั้งที่ ๗ ด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การพัฒนาทักษะแรงงานให้มีศักยภาพสอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ตามแนวทางการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ ของอาเซม รวมทั้งการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในสาขาอาชีพที่มีโอกาสถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีและส่งเสริมสาขาอาชีพใหม่ ๆ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับประเด็นความร่วมมือทางด้านกฎระเบียบที่ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตามแนวทางการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ ของแต่ละประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16766 | การประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวงชายแดนไทย - ลาว ครั้งที่ 10 | มท | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการจัดทำบันทึกการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าแขวงชายแดนไทย-ลาว ครั้งที่ ๑๐ เป็นการทบทวนผลการดำเนินงานของการประชุมฯ ครั้งที่ ๙ และนำประเด็นต่าง ๆ จากผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๐ และการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๓ ซึ่งครอบคลุมสาระสำคัญในด้านความร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน ด้านเศรษฐกิจ การค้าชายแดน และความร่วมมือทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมทั้งสิ้น ๑๖ ประเด็น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ลงนามในบันทึกการประชุมฯ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16767 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 1 | ทส | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๑ ในระหว่างวันที่ ๒๔-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส รวมทั้งสิ้น ๓๗ คน ประกอบด้วย (๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย (๒) ประธานอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท (๓) ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๔) ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม (๕) ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (๖) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (๗) ผู้แทนกระทรวงการคลัง และ (๘) ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๑ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศและภูมิภาคด้านการจัดการสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร โดยผ่านการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและทางด้านการเงิน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคีต่าง ๆ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือและการบูรณาการร่วมกันในการดำเนินงานตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีของไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๑ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับท่าทีของไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ ๑ ในข้อ ๔.๒ ประเด็นด้านเทคนิควิชาการและวิทยาศาสตร์ และข้อ ๔.๔ ประเด็นความช่วยเหลือด้านเทคนิควิชาการ ควรเพิ่มการกำหนดค่ามาตรฐานของปริมาณ และมาตรฐานวิธีการทดสอบเมทิลเมอร์คิวรี่ (Methyl Mercury) และขอรับการสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเครื่องมือในการตรวจวัดสารประกอบเมทิลเมอร์คิวรี่ และอนุพันธุ์ของสารดังกล่าวที่เกิดจากกระบวนการ Methylation ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมินามาตะ รวมทั้งประเด็นเกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16768 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันรายการจ้างก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี | กษ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันรายการเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จากเดิม ๑,๒๙๗.๓๐๐ ล้านบาท เป็น ๑,๓๕๑.๔๘๖ ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวน ๕๔.๑๘๖ ล้านบาท) โดยที่ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันยังเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16769 | ร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (CICA) ในโอกาสครบรอบ 25 ปี | กต | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับแก้ข้อความในร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia : CICA) ในโอกาสครบรอบ ๒๕ ปี ว่า คณะกรรมการยกร่างถ้อยแถลงฯ ซึ่งมีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประธานได้เห็นชอบการปรับแก้ข้อความตามข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ ตามร่างถ้อยแถลงฯ ฉบับล่าสุดเป็น ดังนี้ ๑.๑ ปรับข้อความในส่วนที่ ๒ ข้อ ๑ จาก “...ไม่สนับสนุนการกระทำที่มุ่งล้มล้างรัฐบาลอันชอบธรรม...” (“...to support no actions that aim at overthrowing legitimate governments…”) เป็น “...ละเว้นและประณามการกระทำใด ๆ ที่มุ่งล้มล้างรัฐบาลอันชอบธรรมซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ...” (“…to refrain from and denounce any action aimed at overthrowing legitimate governments in contravention of international law…”) ทั้งนี้ การเพิ่มถ้อยคำว่า “ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ” จะทำให้รัฐบาลใด ๆ ที่ดำเนินนโยบายอันขัดต่ออธิปไตยหรือมีอำนาจภายนอกแทรกแซงการบริหารถูกรวมเข้าเป็นรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมด้วย ซึ่งสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยและมีความชัดเจนมากขึ้น ๑.๒ ในส่วนที่ ๒ ข้อ ๕ จาก “...ต่อสู้กับการก่อการร้ายโดยไม่แยกแยะ...” (“…to combat terrorism without any distinction…”) ให้ตัด “โดยไม่แยกแยะ” (“…without any distinction…”) ออก เนื่องจากข้อความดังกล่าวทำให้เกิดการตีความที่ไม่ชัดเจน อาจส่งผลให้ผู้ก่อความไม่สงบบางกลุ่มถูกเหมารวมเป็นผู้ก่อการร้ายโดยที่ไม่มีหลักฐานเพียงพอ ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นให้บางประเทศกดดันประเทศไทยได้ ๒. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia : CICA) ในโอกาสครบรอบ ๒๕ ปี ที่กระทรวงการต่างประเทศแก้ไข ซึ่งจะมีการรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ในการประชุม CICA ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอย่างไม่เป็นทางการ ในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองถ้อยแถลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16770 | การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 22 (The 22nd GMS Ministerial Conference) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | นร11 | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ครั้งที่ ๒๒ (Joint Ministerial Statement) มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือภายใต้แผนงาน GMS และร่างกรอบการลงทุนของภูมิภาค ปี ๒๕๖๕ (Regional Investment Framework 2022 : RIF 2022) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนงานการลงทุนในภูมิภาคปี ๒๕๖๕ ซึ่งประเทศไทยมีโครงการลงทุนและโครงการความช่วยเหลือทางวิชาการ จำนวน ๗๖ โครงการ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรอง ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ และร่าง RIF 2022 โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ครั้งที่ ๒๒ (The 22nd GMS Ministerial Conference) ในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพลังงานที่ขอปรับแก้ร่าง RIF 2022 ลำดับที่ ๑๖ และ ๑๗ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16771 | ขออนุมัติหลักการในการเตรียมความพร้อมโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล - บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | กษ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามแผนงานระยะเร่งด่วน ใน ๒ กิจกรรม คือ (๑) กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการสำรวจ-ออกแบบรายละเอียด และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการ และ (๒) การดำเนินการในกระบวนการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างและงานเตรียมความพร้อมเพื่อการก่อสร้าง โดยคาดว่าหลังจากกระบวนการสำรวจออกแบบรายละเอียดและจัดหาที่ดินแล้วเสร็จ จะเริ่มการก่อสร้างโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ได้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินที่ใช้ดำเนินการโดยอาจพิจารณาจากความร่วมมือจากประเทศต่าง ๆ เงินกู้ หรือเงินงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดช่องทางการสื่อสารของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้ครอบคลุมประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ติดกับคลองระบายน้ำฯ เพื่อป้องกันหรือลดการเกิดผลกระทบในอนาคต รวมทั้งควรมีการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างที่มีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และหากดำเนินการในขั้นตอนการเตรียมความพร้อมเสร็จแล้ว ให้เร่งดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างเป็นระบบเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาพรวมทั้งระบบ (ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง) รวมทั้งแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินการเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16772 | ขอความเห็นชอบในการรับรองและลงนามเอกสารในการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง - แม่โขง ณ เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน | วธ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อริเริ่มหนิงโปว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมล้านช้าง-แม่โขง (Draft of the Ningbo Initiative on Lancang-Mekong Cultural Cooperation) มีสาระสำคัญที่เน้นย้ำพันธะของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านวัฒนธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบความร่วมมือหลักที่ได้รับการระบุในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ รวมถึงการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งเสริมการเจรจาทางวัฒนธรรมและความร่วมมือข้ามพรมแดน การแบ่งปันวัฒนธรรมเพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยในการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (Lancang-Mekong Cultural Cooperation Forum) ณ เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นผู้รับรองและลงนามในร่างข้อริเริ่มฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อริเริ่มฯ เอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16773 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการประกันสุขภาพ) | กค | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการประกันสุขภาพ) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ประกอบกิจการในราชอาณาจักร สำหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ สำหรับเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรคำนึงถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสมสำหรับการประกันสุขภาพให้กับบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้มีเงินได้ รวมทั้งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีปฏิบัติ และประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16774 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ พ.ศ. .... | ดศ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่จัดทำนโยบายและแผนระดับชาติด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรตัดความในข้อ ๑๑ วรรคสอง ของร่างระเบียบฯ เนื่องจากคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้งมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมกรรมการตามนัยพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมคณะกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และอาจพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนจากหน่วยงานเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านไซเบอร์เทคโนโลยีร่วมในองค์คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมที่มีความรู้ในด้านสังคมเพื่อประเมินผลกระทบจากการคุกคามไซเบอร์ในด้านสังคมและการดำเนินการให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในการป้องกันได้อย่างเชิงรุก และควรกำหนดให้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นกรอบทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญของบุคลากรในหน่วยงานด้วย นอกจากนี้ องค์ประกอบคณะกรรมการควรครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศทุกภาคส่วนและมีกลไกในการประสานความร่วมมือกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง และควรเพิ่มบทบาทและหน้าที่ของคณะกรรมการให้ครอบคลุมการสร้าง Common Infrastructure ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการยกระดับเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งในระดับบริหารและปฏิบัติการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือค่าใช่จ่ายอื่นใดที่เกี่ยวข้องซึ่งจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16775 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นใหม่ โดยแยกภารกิจในส่วนของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ซึ่งเดิมอยู่ในสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) มาจัดตั้งเป็นสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ในฐานะรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เห็นควรปรับเพิ่มวัตถุประสงค์ของ สศส. ให้เกิดความชัดเจนและสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศทั้งระบบครบวงจรได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการดำเนินงานควรมุ่งเน้นการทำงานแบบเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการทำงานในลักษณะที่เป็นการต่อยอดส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดการใช้งบประมาณในการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพ บูรณาการ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ นอกจากนี้ ควรเพิ่มผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อเป็นการเสริมประสิทธิภาพการทำงานด้านการพัฒนาผู้ประกอบการให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดรวมกัน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้ สศส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินงานของ สศส. ในเบื้องต้น เห็นควรใช้จ่ายจากเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับโอนมา ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยจะต้องดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดอย่างคุ้มค่า รวมทั้งกำหนดให้มีบุคลากรอย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น ตลอดจนต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วยเมื่อได้มีการจัดตั้ง สศส. แล้ว ๓. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางในการกำหนดเครื่องแบบและเครื่องหมายขององค์การมหาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) ที่ให้โอนภารกิจด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไปไว้ที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมอบให้เป็นภารกิจของ สศส.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16776 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... | พณ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บทบัญญัติเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16777 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร | กษ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบขยายระยะเวลาการจ่ายเงินกู้โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ๑.๒ กำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการซื้อข้าวคุณภาพจากโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ๑.๓ มอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ในการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ข้าว GAP และข้าวเพื่อสุขภาพระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับผู้ประกอบการค้าในจังหวัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อและการเบิกจ่ายเงินกู้ให้แก่กลุ่มเกษตรกรในโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๖ เดือน (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการให้ทันตามกำหนดที่ได้ขอขยายระยะเวลาไว้และควรติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชอย่างต่อเนื่องในทุกฤดูการผลิต รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนความร่วมมือทางการตลาดเพื่อให้ผลผลิตข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีตลาดรองรับที่ชัดเจน ควบคู่กับการส่งเสริมการผลิตและการรับรองมาตรฐาน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการและปัญหาอุปสรรคให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติได้รับทราบเป็นระยะ เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16778 | รายงานการดำเนินงานการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา | วธ | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การอนุรักษ์นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากรจัดทำแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เพื่ออนุรักษ์ พัฒนา และปรับปรุงภูมิทัศน์โบราณสถาน ปรับปรุงสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ตลอดจนปรับปรุงฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยมีแนวความคิดให้ชุมชนอยู่กับโบราณสถานอย่างเกื้อกูลกัน ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๔๔ งบประมาณดำเนินการ ๒,๙๔๖.๗๘ ล้านบาท ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนแม่บทฯ ในส่วนของงานโบราณคดี งานอนุรักษ์โบราณสถาน และงานปรับปรุงชุมชนบางส่วน แต่ยังไม่สำเร็จครบถ้วนทั้งหมด ๒. การพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๐ กรมศิลปากรยึดแนวทางตามแผนแม่บทฯ ดำเนินการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาสืบต่อมาภายใต้งบประมาณปกติ ประมาณ ๑,๓๐๐ ล้านบาท ภาคเอกชน ๖๗ ล้านบาท และองค์กรต่างประเทศ ๓๗ ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวรวมที่ใช้ในการฟื้นฟูโบราณสถาน จำนวน ๑๕๔ แห่งที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ด้วย ๓. การดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ ๓๙ ณ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน-๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ กรมศิลปากรได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ แล้ว ได้แก่ การจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในการบูรณปฏิสังขรณ์มรดกโลก การจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และการพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ และการควบคุมการปลูกสร้างอาคารใหม่ในพื้นที่กันชนและพื้นที่อนุรักษ์สำคัญที่ยื่นขออนุญาตในปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ๔. โครงการจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและควบคุมการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ ที่เห็นชอบให้กรมศิลปากรจัดทำแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระยะที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๙ โดยมีแนวความคิดการพัฒนาให้เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต ให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับโบราณสถานได้ สาระสำคัญในแผนแม่บทฯ ประกอบด้วย งานค้นคว้าศึกษาวิจัยโบราณคดี งานด้านการอนุรักษ์โบราณสถาน งานควบคุมการใช้ที่ดินและปรับปรุงชุมชนปัจจุบัน งานการปรับปรุงภูมิทัศน์ และงานส่งเสริมรายได้ชุมชน เป็นต้น คาดว่าจะนำแผนแม่บทฯ เสนอคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16779 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการอำนวยความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนในพื้นที่ภาคกลางของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท | คค | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการอำนวยความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนในพื้นที่ภาคกลางของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ซึ่งผลการดำเนินการปรับปรุงทางหลวงและทางหลวงชนบทบริเวณหน้าโรงเรียน โดยการติดตั้งป้ายเตือนเขตโรงเรียน ป้ายจำกัดความเร็ว (ไม่เกิน ๓๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง) ป้ายเตือนทางข้าม เครื่องหมายจราจรบนผิวทางบริเวณทางข้ามหน้าโรงเรียน และติดตั้งแถบสีพร้อมกันลื่นสีแดง (Red Anti Skid) บนถนนทั้ง ๒ ช่องจราจร (ไป-กลับ) รวมทั้งจัดระเบียบการจราจรและการใช้เขตทาง (หาบเร่ แผงลอย) เพื่อมิให้กีดขวางการจราจรที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุบริเวณหน้าโรงเรียน ตลอดจนรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่นักเรียนเกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย ได้ดำเนินการแล้วเสร็จปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ จำนวน ๒,๙๓๐ แห่ง วงเงิน ๒,๗๗๙.๔๒ ล้านบาท เป็นพื้นที่ภาคกลาง จำนวน ๖๖๘ แห่ง วงเงิน ๖๙๘.๔๙ ล้านบาท และจะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๖๑๐ แห่ง วงเงิน ๗๗๙.๕๒ ล้านบาท เป็นพื้นที่ภาคกลาง จำนวน ๑๐๓ แห่ง วงเงิน ๙๒.๓๘ ล้านบาท ทั้งนี้ จากผลการสำรวจพบว่า ยังมีพื้นที่บริเวณหน้าโรงเรียนในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมที่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงอีกกว่า ๓,๐๐๐ จุด ซึ่งจะได้จัดทำแผนเพื่อดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวตามลำดับความสำคัญและขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในการดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16780 | ความก้าวหน้าในการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและอุทกภัย และข้อเสนอแผนงานโครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคกลาง | ทส | 19/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติรายงานความก้าวหน้าในการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและอุทกภัย ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ (Area-based) อย่างเป็นระบบ ครบวงจร และยั่งยืน ประกอบด้วย พื้นที่ภาคเหนือ ๑๓ พื้นที่ ภาคตะวันออก ๖ พื้นที่ ภาคใต้ ๕ พื้นที่ และภาคใต้ชายแดน ๒ พื้นที่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจความถูกต้องในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการกำหนดพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง และน้ำเค็มรุกล้ำอย่างเป็นระบบในพื้นที่ภาคกลาง (Area-based) จำนวน ๑๐ พื้นที่ เพื่อให้มีความชัดเจนในการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมและวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคกลางในภาพรวมทั้งระบบ รวมทั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการทั้งหมดแล้วเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
.....