ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 836 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 16701 - 16720 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16701 | แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ 5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564) | สธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับชื่อแผนยุทธศาสตร์นี้ให้เหมาะสม จากเดิม “แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” เป็น “แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)” ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนปฏิบัติการ (Action Plan) โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ มีเป้าประสงค์เพื่อลดภาวะการป่วย การตาย และความพิการที่ป้องกันได้ อันมีผลสืบเนื่องจากโรคไม่ติดต่อ ด้วยวิธีการร่วมมือระหว่างภาคีภาคส่วนหลากหลายสาขาและการประสานงานในระดับชาติ ภูมิภาค และระดับโลก เพื่อให้ประชาชนมีภาวะสุขภาพที่ดีและสร้างให้เกิดผลผลิตตามมาตรฐานสูงสุดในทุกกลุ่มอายุ และโรคต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) พัฒนานโยบายสาธารณสุขและกฎหมายที่สนับสนุนการป้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อ (๒) เร่งขับเคลื่อนทางสังคม สื่อสารความเสี่ยงและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง (๓) การพัฒนาศักยภาพชุมชน/ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย (๔) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและการจัดการข้อมูล (๕) ปฏิรูปการจัดบริการเพื่อลดเสี่ยง และควบคุมโรคให้สอคดล้องกับสถานการณ์โรคและบริบทพื้นที่ และ (๖) พัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างบูรณาการ โดยมีกรอบวงเงินสำหรับดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ รวม ๘๑๗.๘๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณสำหรับดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๖๑ เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลใช้บังคับแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ภาคเอกชนเป็นภาคส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ เนื่องจากภาคเอกชนเป็นภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ และส่งผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคของประชาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16702 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 5 | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๕ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายสิงคโปร์เข้าร่วมการประชุมฯ โดยได้มีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการลงทุน ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงทางอากาศ และความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ ระหว่าง IE Singapore กับเอกชนไทย ๒ ราย คือ บริษัท ซี เอ ซี จำกัด (c asean) กับบริษัท Hubba จำกัด โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเน้นส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายให้กับ Start-up ของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม STEER ครั้งที่ ๖ ในปี ๒๕๖๑ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-สิงคโปร์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการอำนวยความสะดวกเพื่อการพัฒนาและเชื่อมโยงธุรกิจ Start-up ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ การนำประสบการณ์จากประเทศที่สร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart city) มาพิจารณาข้อดีข้อเสียประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ และการส่งเสริมการลงทุนแก่ภาคเอกชนสิงคโปร์ในการเข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก รวมทั้งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ ของไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16703 | การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 1 (1st Asia-Pacific Ministerial Forum of Management of Social Transformations Programme - MOST) | ศธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑ (1st Asia-Pacific Ministerial Forum of Management of Social Transformations Programme-MOST) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้หัวข้อหลัก คือ Inclusive Social Development (การพัฒนาสังคมสำหรับทุกคน) โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานภายใต้กรอบโครงการการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของยูเนสโก เช่น (๑) การสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบโครงการการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของยูเนสโก การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ รวมทั้งแผนปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (๒) การส่งเสริมการกำหนดนโยบายบนหลักฐานอ้างอิงผ่านการดำเนินความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาสังคม และสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ (๓) ส่งเสริมการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16704 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... | ศป | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่น เพิ่มบทบัญญัติให้อำนาจศาลปกครองดำเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองได้ แก้ไขเพิ่มเติมเหตุที่จะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตุลาการศาลปกครองพ้นจากตำแหน่งให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม หลักเกณฑ์และวิธีการเลือก การพ้นจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ และการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับมาตรา ๑๙๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถเสนอเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๒๓๑ (๒) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ฟ้องคดีอาจยื่นคำฟ้องโดยส่งทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โทรสาร หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นใด ตามที่ศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขบทบัญญัติมาตรา ๔๓ โดยใช้คำว่า “หน่วยงานของรัฐ” น่าจะไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีบัญญัติไว้เฉพาะ “หน่วยงานทางปกครอง” เท่านั้น ดังนั้น ตามมาตรา ๔๓ ควรใช้คำว่า “หน่วยงานทางปกครอง” เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตีความ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ศาลปกครองเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16705 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 23 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๓ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) (Draft Joint Statement of the Twenty Third Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Ministerial Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมความก้าวหน้าในการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ และการขับเคลื่อนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (IB 2017-2021) เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปี ๒๕๗๙ ของ IMT-GT ซึ่งได้รับรองในที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงาน IMT-GT เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวมทั้งเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ในการพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนโครงการด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านยางพาราและปาล์มน้ำมัน การพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถดำเนินการได้ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในภายหลังหากมีการปรับปรุงแก้ไขพร้อมด้วยเหตุผลประกอบ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน IMT-GT ครั้งที่ ๒๓ ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เกาบังกา จังหวัดบังกา-เบลิตุง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16706 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๗๑ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยเป็นการยกระดับและเพิ่มการลงโทษมากขึ้น โดยเพิ่มเติมรายชื่อบุคคล องค์กร และสิ่งของที่ถูกกำหนด ขยายมาตรการทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมการห้ามนำเข้าอาหารทะเล ตะกั่วและแร่ตะกั่ว การห้ามนำเข้าถ่านหิน เหล็ก และแร่เหล็ก การห้ามเรือที่กำหนดเข้าเทียบท่า จำกัดจำนวนการอนุญาตการทำงานให้แก่บุคคลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และห้ามเปิดกิจการร่วมค้า (Joint venture) หรือสหกรณ์กับองค์กรหรือบุคคลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือขยายกิจการร่วมค้าที่มีอยู่ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ดำเนินการดังต่อไปนี้ ๒.๑ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ ปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (https//www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1718) ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กร และเรือที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ ๒.๓ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องพึงระวังและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อมติฯ ๒.๔ แจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป และหากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ขอให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16707 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2561 | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๙๗๕,๔๑๔ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๔๖,๓๓๗ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติโครงการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๒. เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และการอนุมัติลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว โดยกรณีมีการปรับลดเป้าหมายการลงทุนต้องเป็นเหตุจากปัจจัยภายนอกที่รัฐวิสาหกิจไม่สามารถบริหารจัดการได้เท่านั้น ๔. ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๕. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๑๒๕,๓๑๘ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๙๗,๑๐๖ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๔๘,๖๖๕ ล้านบาท ๖. ให้กระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่ง และหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับรายละเอียดประกอบการวิเคราะห์ความจำเป็นและความเหมาะสมการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ครบถ้วนและสอดคล้องกับปัจจัยในทุกด้าน รวมถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และให้มีการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งการมีมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายกรณีที่มีความล่าช้า เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16708 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2557 ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีงบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี งบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน ๒,๔๗๕.๑๐ ล้านบาท จากเดิมคณะรัฐมนตรีมีมติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายได้จนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๐ เป็นจนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ เนื่องจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูองค์กร ในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๗ วรรคสาม และการสรรหาพันธมิตรเพื่อร่วมทุนในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังจะดำเนินการเพิ่มทุนในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยให้ส่วนของทุนไม่ติดลบได้ภายหลังจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างชัดเจน เพื่อการติดตามและเร่งรัดการดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จตามแผนฯ โดยเร็ว รวมทั้งควรเร่งรัดและติดตามการแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยฯ และเร่งจัดหาพันธมิตรร่วมทุนให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแนวทางการฟื้นฟูธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16709 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดพังงา ขนาด 14 บัลลังก์ 1 หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ | ศย | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดพังงา ขนาด ๑๔ บังลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากเดิมวงเงิน ๒๑๐,๖๖๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๒๕,๑๘๓,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไปถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำเนินงานและระยะเวลาที่จะใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๒๑๐,๖๖๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๔,๕๒๓,๐๐๐ เห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้จ่ายจากเงินค่าธรรมเนียมศาลเพื่อเสริมงบประมาณหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน ๒. การดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าว ขอให้สำนักงานศาลยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานให้เป็นไปตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อสนับสนุนให้การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐมีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรมจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16710 | ขอความเห็นชอบในหลักการแนวทางการช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชน | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชนด้านเงินทุน เพื่อยกระดับการพัฒนากิจการผ่านโครงการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับให้ยืมแก่วิสาหกิจชุมชน เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน และเพื่อให้การส่งเสริม สนับสนุน หรืออุดหนุนแก่วิสาหกิจชุมชน เครือข่ายวิสาหกิจขุมชนเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การบริหารจัดการ เทคโนโลยีด้านการผลิต การตลาด การรับรองคุณภาพและแหล่งกำเนิดสินค้า และการพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๐-๒๕๖๔ งบประมาณดำเนินการ ๓,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการการส่งเสริมตลาดสินค้าวิสาหกิจชุมชนผ่านโครงการ “วิสาหกิจชุมชนแฟร์ ๒๐๑๘” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของวิสาหกิจชุมชนให้มากขึ้น กำหนดจัดงานประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ระยะเวลา ๕ วัน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล งบประมาณดำเนินการ ๒๕ ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากมีความจำเป็นต้องขออนุมัติใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จะต้องจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย แผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนฯ ควรชี้แจงถึงแหล่งเงินที่จะใช้ในการจัดตั้งกองทุนฯ รวมทั้งประมาณการวงเงินดังกล่าว และควรต้องมีการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งกองทุนฯ โดยเฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุม พ.ศ. ๒๕๔๘ ให้ครอบคลุมถึงภารกิจการจัดตั้งและดำเนินงานกองทุนฯ ซึ่งควรสอดคล้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว ตลอดจนระเบียบและขั้นตอนการจัดตั้งทุนหมุนเวียนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ควรมีการพิจารณาถึงช่องทางการเพิ่มรายได้ของกองทุนฯ จากแหล่งอื่น เพื่อลดภาระด้านงบประมาณแผ่นดิน และควรพิจารณาประเด็นทางการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาให้เงินอุดหนุนหรือการให้กองทุนฯ เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการให้ยืมแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16711 | การพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน 316 อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข | นร10 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้นำตำแหน่งที่มีอยู่มาบรรจุนักศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุข และสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จนครบถ้วนทั้ง ๓๕๐ ราย แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องสนับสนุนอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุขที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ อีก ๑.๒ รับทราบการวิเคราะห์สัดส่วนเภสัชกรต่อประชาชนผู้มารับบริการที่เหมาะสมและสามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ตลอดจนภาระงบประมาณและจำนวนบุคลากรด้านเภสัชกรที่ได้รับทุนการศึกษาและที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในแต่ละปี รวมทั้งความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ในปีต่อ ๆ ไป ของกระทรวงสาธารณสุข นั้น คณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับบทบาทภารกิจ ทิศทางและนโยบายด้านการบริการสุขภาพของประเทศ และได้กำหนดกรอบการทำงานไว้ว่าแผนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ เมื่อแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้วเสร็จ คปร. จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้ คปร. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบ โดยให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจด้านสาธารณสุขของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงงานตามนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16712 | แผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ 2 ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 | นร12 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นแผนการยกระดับประสิทธิภาพการบริการของภาครัฐให้ดีขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการจากภาครัฐที่รวดเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และค่าใช้จ่ายที่ถูกลง โดยแผนการยกระดับดังกล่าวแบ่งออกเป็น ๕ แผนงาน ได้แก่ (๑) การปรับปรุงคู่มือสำหรับประชาชน ระยะที่ ๒ (๒) การจัดทำแบบฟอร์มเอกสารราชการ ๒ ภาษา (๓) การพัฒนาระบบติดตามการให้บริการ (๔) การอำนวยความสะดวกในการจองคิวกลางและการให้ข้อมูลป้อนกลับของประชาชนต่อการบริการ และ (๕) การทบทวนกฎหมายในการยกเลิกใบอนุญาตที่ไม่จำเป็น ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานร่วมสนับสนุนการดำเนินการตามแผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวการกำหนดเกณฑ์ค่าเป้าหมายที่มีความเหมาะสมกับแต่ละกระบวนงาน การจัดให้มีหน่วยงานกลาง (focal point) ทั้งระดับประเทศและระดับกระทรวงเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดทำเอกสารภาษาต่างประเทศ การเชื่อมโยงระบบติดตามการให้บริการและระบบการจองคิวกลางของการบริการภาครัฐ และการพัฒนาระบบข้อมูลกลางให้เป็นมาตรฐานและสามารถเข้าถึงได้แบบทันที (real time) เป็นต้น รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ให้มีระบบสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการคำขออนุญาตที่เชื่อมโยงกับระบบของหน่วยงาน และพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณสำหรับการพัฒนาระบบค่าเช่าใช้บริการค่าอุปกรณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกิจกรรมภายใต้แผนงานต่าง ๆ โดยระบุเป้าหมายและตัวชี้วัดของกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจนเพื่อให้สามารถกำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดกรอบเวลาและเร่งรัดการดำเนินการกิจกรรมดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16713 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน | อื่นๆ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งนักวิชาการแรงงานให้กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จำนวน ๖๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คปร. เสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้วก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16714 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. 2560 - 2564 | ปง | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ปรับชื่อร่างยุทธศาสตร์นี้ให้เหมาะสม จากเดิม “ร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔” เป็น “ร่างยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔” ๒. เห็นชอบตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ดังนี้ ๒.๑ ร่างยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการในเชิงบูรณาการและเพิ่มประสิทธิผลในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ของประเทศในภาพรวม ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) เสริมสร้างกลไกการป้องกันสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพที่ไม่ใช่สถาบันการเงินจากการฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (๒) สร้างระบบการป้องกันองค์กรไม่แสวงหากำไร/นิติบุคคลจากการฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (๓) ยกระดับงานด้านข่าวกรองทางการเงิน (๔) ส่งเสริมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมาย และการดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามความเสี่ยง (๕) ยกระดับการดำเนินคดีอาญาฟอกเงิน และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (๖) เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งภาคประชาสังคม (๗) พัฒนาระบบการบริหารจัดการ (กฎหมาย/นโยบายและมาตรการ/บุคลากร/ฐานข้อมูล) ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และ (๘) ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ๒.๒ ให้สำนักงาน ปปง. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๓. ให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐที่เห็นควรแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และควรให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้ความเข้าใจในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้เกิดเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ (กฎหมายนโยบายและมาตรการ บุคลากร ฐานข้อมูล) ควบคู่กับการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเป็นกลไกขยายความร่วมมือไปยังภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16715 | รายงานสรุปผลการปฏิบัติการตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. 2558 ประจำปี 2559 | นร09 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปผลการปฏิบัติการตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ ประจำปี ๒๕๕๙ ประกอบด้วย รายงานกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐ ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งผลการดำเนินงานอื่นของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปหารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายในทุกหน่วยงานของรัฐ โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายของทุกหน่วยงานของรัฐได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินการทบทวนความเหมาะสมของบทบัญญัติของกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม และไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16716 | ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน | ปง | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ในการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้เฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยใช้เงินจากกองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ปปง. เร่งดำเนินการบรรจุข้าราชการในอัตราที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงาน ปปง. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และยกเลิกการจ้างลูกจ้างชั่วคราวดังกล่าวตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ปปง. กำหนดเงื่อนไขในสัญญาจ้างไม่ให้ลูกจ้างชั่วคราวมาเรียกร้องขอให้บรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการในภายหลังด้วย ๒. ให้สำนักงาน ปปง. ปรับปรุงการบริหารจัดการและกระบวนการปฏิบัติงานโดยใช้ประโยชน์จากอัตรากำลังข้าราชการและพนักงานราชการที่มีอยู่ทั้งหมดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งให้พิจารณาจัดทำแผนอัตรากำลังที่เหมาะสมร่วมกับคณะกรรมการ คปร. ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16717 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่ประธานที่ประชุมได้มอบนโยบาย ดังนี้ (๑) ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนน้อมนำพระราชดำรัส สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม (๒) การดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ควรขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างน้อยภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (๓) การจัดทำโครงการที่ขอใช้งบประมาณผูกพันในระยะยาว ขอให้ทุกส่วนราชการยึดหลักสำคัญ ได้แก่ การเชื่อมโยงทิศทางการพัฒนาประเทศตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และการตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ และ (๔) ประเด็นที่ต้องขับเคลื่อนสำคัญ เช่น การสื่อสารกับสังคมในเรื่องการจัดทำแผนกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศ การพัฒนาระบบ E-Learning เพื่อสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับคนไทยทุกกลุ่ม และการร่วมมือกับสถานประกอบการเพื่อแปลภาษาที่ใช้ในการปฏิบัติงานให้เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาที่จำเป็นอื่น ๆ ในทุกโรงงานภายในสิ้นปีนี้ ๒. รับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๘/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๐ โดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการฯ จำนวน ๑๒ ท่าน ๓. รับทราบความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษา และมอบหมายกระทรวงแรงงานประสานความร่วมมือกับสถานประกอบการในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะภาษา และมอบหมายกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานรวบรวมและจัดทำข้อมูลการผลิตและความต้องการกำลังคนให้ชัดเจน ๔. รับทราบการศึกษารูปแบบการจัดการศึกษาของบรูไนดารุสซาลาม ที่กำหนดจุดเน้นในการปฏิรูปการศึกษาใน ๖ เรื่องสำคัญ ได้แก่ (๑) การพัฒนาโครงสร้างหลักสูตร (๒) การขยายขอบข่ายการฝึกงาน (๓) การจัดระบบการให้บริการใหม่ (๔) การสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (๕) การพัฒนาการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ และ (๖) การยกระดับสภาพแวดล้อมในการฝึกอบรม ๕. เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) ของกระทรวงสาธารณสุข และให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการดำเนินงานในระยะ ๓ ปีแรก รวมทั้งให้รับความเห็นจากที่ประชุมไปปรับปรุงยุทธศาสตร์ฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๖. เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะที่ ๔ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นจากที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวบรวมข้อมูลนักเรียนทุนโครงการฯ ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว จำนวน ๒,๙๐๐ ราย ที่มีรายละเอียดสาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา สถานที่ทำงาน และผู้ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาอีกประมาณ ๗๐๐ ราย เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากผู้รับทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. รวบรวมข้อมูลแหล่งทุน ผู้รับทุนในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ และพิจารณาเกี่ยวกับค่าตอบแทนนักวิจัยที่เหมาะสม และแนวทางการให้นักวิจัยสามารถไปทำงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากรภาครัฐสร้างนวัตกรรมและผลงานวิจัยให้กับประเทศและสนับสนุนงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น และสรุปผลการดำเนินการดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อทราบ ๗. เห็นชอบในหลักการของโครงการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในอุดมศึกษา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก (ทุนพัฒนาอาจารย์) พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการจัดลำดับความสำคัญและจัดทำกรอบการจัดสรรในระยะ ๓ ปี และให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทุนการศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ ในภาพรวมให้เป็นระบบ รวมทั้งสังเคราะห์ข้อมูลสาขาวิชาที่ผู้รับทุนสำเร็จการศึกษากับสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของประเทศ โดยกำหนดรูปแบบการจ้างในระบบราชการให้ชัดเจน และกำหนดคุณวุฒิที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้การผลิตกำลังคนส่งผลกระทบต่ออัตรากำลังภาครัฐและเป็นภาระงบประมาณภาครัฐ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ๘. เห็นชอบในหลักการของโครงการผลิตทันตแพทย์เพิ่มของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ระยะที่ ๒ เพื่อพัฒนาทันตสุขภาวะของประชาชน (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนขอรับการสนับสนุนระยะเวลา ๓ ปี รวมทั้งให้พิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ. ในการกำหนดกรอบอัตรากำลังของข้าราชการที่เหมาะสมให้ได้ข้อยุติ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่า ผลิตแล้ว ต้องรักษาไว้ในสถานพยาบาลของรัฐให้ได้ ไม่ใช่ไปเอกชนหมด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16718 | การขอรับเงินสนับสนุนกรณีการจัดเดินรถเชื่อมต่อตามโครงการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ (บขส.) เข้าใช้สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ 3 สถานี | คค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๔,๗๑๗,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดรถรับส่งผู้โดยสาร กรณีการจัดเดินรถเชื่อมต่อขยายโครงการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ (บขส.) เข้าใช้สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ ๓ สถานี [สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ (ปิ่นเกล้า) สถานีจตุจักร และสถานีเอกมัย] ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16719 | ขอความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสตรีให้มีความก้าวหน้า แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสตรีในสังคมไทย และยกระดับมาตรฐานการพัฒนาสตรีและสถานภาพของสตรีให้สอดคล้องกับหลักการสากล ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ปรับเปลี่ยนเจตคติของสังคมในประเด็นความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย ยุทธศาสตร์ที่ ๒ เสริมพลัง เพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตแก่สตรีทุกกลุ่มและทุกระดับ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ พัฒนาเงื่อนไขและปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาสตรีที่มีประสิทธิผลและเสมอภาค ยุทธศาสตร์ที่ ๔ กำหนดมาตรการเฝ้าระวัง ขจัดปัจจัยเสี่ยง ป้องกัน คุ้มครองช่วยเหลือและเยียวยา และยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างความเข้มแข็งของกลไก และกระบวนการพัฒนาสตรี ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ควรมุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างทุกภาคส่วนให้เกิดการดำเนินงานที่ครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อสตรีในสังคมไทย และควรพิจารณาเพิ่มเติมแนวทางในการจูงใจให้สถานประกอบการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นทั้งด้านเวลา สถานที่ กำหนดประเภทงาน และค่าจ้างที่เหมาะสมสำหรับสตรีที่มีภาระในการดูแลครอบครัว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน สำหรับปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับระยะเวลาของร่างยุทธศาสตร์ฯ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและขับเคลื่อนการดำเนินการตามร่างยุทธศาสตร์ฯ ตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ด้วย เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ปรับปรุงการดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีในระยะต่อ ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. เมื่อมีกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16720 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ครั้งที่ 7 | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (Joint Commission : JC) ไทย-สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเข้าร่วมการประชุมฯ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) ผลการประชุมฯ ที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อเพิ่มพูนและผลักดันความร่วมมือในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านการค้าและการลงทุน และด้านสาขาอื่น ๆ (เช่น ประมงและเกษตร พลังงาน และการท่องเที่ยว) รวมทั้งความร่วมมือระดับภูมิภาค และความร่วมมือในเวทีพหุภาคี (๒) ผลการหารือกับนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และ (๓) ผลการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....