ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 837 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 16721 - 16740 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16721 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 4 | พณ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการค้า เช่น การตั้งเป้าหมายทางการค้าร่วมกันเป็นสองเท่า หรือ ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ (ค.ศ. ๒๐๒๑) การพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ระหว่างกัน บังกลาเทศเรียกร้องให้ไทยพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อขอรับสิทธิและการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตาสำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (DFQF) อีก ๓๖ รายการ เป็นต้น ๑.๒ ด้านการลงทุน เช่น ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุน และบังกลาเทศเชิญชวนไทยเข้ามาลงทุนในสาขา อาทิ อาหารแปรรูป ผลไม้แปรรูป ประมง เพาะเลี้ยงกุ้ง เครื่องจักร ยานยนต์ อัญมณีเทียม สิ่งทอ ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเกษตร ยา เทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อสร้าง บริการสุขภาพ และท่องเที่ยว เป็นต้น ๑.๓ ด้านความร่วมมือ เช่น เร่งรัดให้มีการจัดประชุมคณะทำงานร่วมด้านการเกษตรเพื่อแสวงหาความร่วมมือและความช่วยเหลือด้านเกษตรระหว่างกัน และสนับสนุนให้มีการทบทวนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือประมง เป็นต้น ๑.๔ ประเด็นอื่น ๆ เช่น การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ ปริมาณไม่เกิน ๑ ล้านตันต่อปี ระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๔ โดยจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและราคาในตลาดโลก ไทยแจ้งถึงข้อกังวลที่บังกลาเทศขึ้นภาษีแป้งมันสำปะหลัง (HS 1108.14) จากร้อยละ ๕ เป็นร้อยละ ๑๕ และบังกลาเทศแสดงความสนใจเกี่ยวกับโครงการสร้างถนนเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ๓ ฝ่ายระหว่างอินเดีย-เมียนมา-ไทย (Trilateral highway) โดยขอให้ไทยช่วยสนับสนุนให้โครงการดังกล่าวเชื่อมไปยังบังกลาเทศด้วย เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรมีการติดตามผลการประชุมฯ อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการผลักดันการลงทุนในสาขาอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมเกษตร ก่อสร้าง และพลังงาน ซึ่งเป็นสาขาที่บังกลาเทศมีศักยภาพและไทยมีความเชี่ยวชาญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16722 | ร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐเพื่อการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัล | นร10 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ เพื่อการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัลเพื่อให้ใช้เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกำลังคนภาครัฐ ๑.๒ ให้ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐเร่งพัฒนาตนเองและสนับสนุนการพัฒนาผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีทักษะด้านดิจิทัลในระดับที่สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมการทำงานหรือการให้บริการภาครัฐที่ทันสมัยและมีการเชื่อมโยงการทำงานและข้อมูลข้ามหน่วยงานด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยนำร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาด้วย ๑.๓ ให้ทุกส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ องค์กรกลางบริหารงานบุคคล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีการนำร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลไปปรับใช้ในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกำลังคนในสังกัด ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัล และการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการนำทักษะด้านดิจิทัลที่พัฒนาไปใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการทำงานและการให้บริการของรัฐ การสร้างองค์กรภาครัฐที่ทันสมัย การเชื่อมโยงการทำงานและข้อมูลข้ามหน่วยงาน และการสร้างรัฐบาลแบบเปิดด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานในสังกัด สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้การสนับสนุนการดำเนินงาน งบประมาณ และทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง ตามร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐอย่างต่อเนื่องด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ที่เห็นควรจัดทำแผนการส่งเสริมดำเนินการพัฒนาข้าราชการและบุคลากรภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน และควรกำหนดวิธีการและรูปแบบการประเมินทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐให้มีความชัดเจน เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในแต่ละหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าว เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปดำเนินการเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้บังคับแล้ว ส่วนปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16723 | ขออนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายเงินและก่อหนี้ผูกพันนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อนำไปใช้จ่ายในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการและอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) สถานีตำรวจภูธรจะนะ จังหวัดสงขลา | ตช | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายเงินและก่อหนี้ผูกพันนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้จ่ายในรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการและอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) สถานีตำรวจภูธรจะนะ จังหวัดสงขลา ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ได้แก่ (๑) รายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจภูธรจะนะ จังหวัดสงขลา พร้อมส่วนประกอบ ๑ หลัง วงเงิน ๔,๓๑๓,๘๖๖ บาท และ (๒) รายการค่าก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) สถานีตำรวจภูธรจะนะ พร้อมส่วนประกอบ ๑ หลัง วงเงิน ๓,๑๑๒,๔๘๐ บาท โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้ถือปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายฯ (เพิ่มเติม) รวมทั้งขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16724 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามมาตรา 23 วรรคสี่ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | กก | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๓ แผนงานพื้นฐานด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลผลิตการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งสิ้น ๘ รายการ ภายในวงเงิน ๗๒,๖๑๐,๔๐๐ บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศปัจจุบัน (ณ วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐) เป็นกรณีเฉพาะราย โดยเห็นควรที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และต่อรองค่าเช่าจนได้ราคาต่ำสุด โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๒๔,๕๑๒,๔๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) ค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงาน จำนวน ๔ สำนักงาน จำนวนเงิน ๒๑,๑๙๖,๗๐๐ บาท (๒) ค่าเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลเพื่อใช้ประจำสำนักงาน จำนวน ๓ สำนักงาน จำนวนเงิน ๓,๐๘๐,๑๐๐ บาท และ (๓) ค่าเช่าคลังเก็บวัสดุสำนักงาน จำนวน ๑ สำนักงาน จำนวนเงิน ๒๓๕,๖๐๐ บาท เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16725 | ขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2556 (โครงการปรับปรุงวังสราญรมย์) | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16726 | ขออนุมัติงบกลางปี 2560 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560 - 2564) | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลางปี ๒๕๖๐ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๗๗.๕๒๘๔ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถเริ่มดำเนินโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ตามเป้าหมายที่วางไว้ต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศึกษาเพื่อจัดทำแผนหลักการพัฒนาและจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (๒) โครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ (๓) โครงการอาคารอัดน้ำท้ายอ่างเก็บน้ำประแสร์ (๔) โครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำดอกกราย และ (๕) โครงการเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณที่จะใช้สำหรับงานดำเนินการเอง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานจะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานส่งรายละเอียดโครงการและวงเงินของ ๕ โครงการ ที่มีการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติบรรจุในแผนงานโครงการที่มีความพร้อม ตามการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและภัยแล้งทั้งประเทศ และได้กำหนดเป้าหมายการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ (Area-based) เพื่อพิจารณาให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ/เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16727 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี 2560/61 ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | กษ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี ๒๕๖๐/๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกรให้ทันต่อรอบการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา และควรเข้มงวดกวดขันการลักลอบนำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งในการลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่า ควรส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมและมีรายได้ใกล้เคียงกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้ตามแผนที่กำหนดและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒.๒ ให้เร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขของโครงการให้เกษตรกรรับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานโครงการด้วย ๒.๓ การกำหนดให้พื้นที่ที่สามารถเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวในฤดูนาปรัง ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) และจะต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปประกอบกิจกรรมอื่นเป็นการถาวรไปแล้ว ได้แก่ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙) และโครงการปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนนาข้าว (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) ๓. การจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16728 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชา | ยธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชา โดยสนับสนุนงบประมาณให้แก่หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของกัมพูชา (National Authority for Combating Drugs-NACD) จำนวน ๓๘,๐๑๑,๔๐๐ บาท สำหรับการก่อสร้างศูนย์บำบัดและฝึกอาชีพสำหรับผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ ณ อำเภอสตึงฮาว จังหวัดพระสีหนุ รวมถึงการฝึกอบรมและศึกษาดูงานด้านการบำบัดรักษาให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของกัมพูชา ๑.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ NACD จำนวน ๓๘,๐๑๑,๔๐๐ บาท สำหรับดำเนินโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ๑.๓ ให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินงบประมาณของโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชา เพื่อนำไปสนับสนุน NACD ดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ๒. ในขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16729 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมที่จะมีการรับรองในที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๕ เป็นการให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation 2016-2025 : APAEC) ในส่วนของเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด และการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ๑.๒ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๔ เป็นการแสดงถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนานโยบายด้านน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติและแนวทางการสำรองน้ำมันในอาเซียน ๑.๓ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๑ เป็นการแสดงถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียน ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การพัฒนาด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือกเพื่อผลิตไฟฟ้า เป็นต้น ๑.๔ ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ เป็นการแสดงถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับทบวงพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศในการให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการดำเนินการตาม APAEC พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ในส่วนของการพัฒนาพลังงานทดแทน และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการมีบันทึกความตกลงเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในระยะยาวและสอดคล้องกับแผน APAEC พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ รวมทั้งพิจารณาให้มีการประชุมระหว่างอาเซียนและทบวงพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศผ่านการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ๒ ปีครั้ง และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านพลังงานเป็นประจำทุกปี ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16730 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๗) เกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยเป็นการยกระดับและเพิ่มการลงโทษมากขึ้นโดยเพิ่มเติมรายชื่อบุคคล องค์กร เรือ และสิ่งของที่ถูกกำหนด ขยายมาตรการทางเศรษฐกิจให้ครอบคลุมการห้ามนำเข้าสิ่งทอและการส่งออกทรัพยากรพลังงาน รวมทั้งเน้นย้ำมาตรการเกี่ยวกับการตรวจค้นเรือในทะเลหลวง ห้ามการอนุญาตการทำงานเพิ่มเติม และห้ามเปิดกิจการร่วมค้าหรือร่วมทุนกับองค์กรหรือบุคคลของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีโดยให้ปิดกิจการดังกล่าวที่มีอยู่ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ดำเนินการดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๑.๒.๒ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามวรรค ๔-๕ วรรค ๑๓-๑๖ และวรรค ๑๘ ของข้อมติฯ ที่ ๒๓๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และมาตรการตามข้อมติฯ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญของวรรคดังกล่าว ๑.๒.๓ มอบหมายกระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามวรรค ๑๗ ของข้อมติฯ ที่ ๒๓๗๕ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และมาตรการตามข้อมติฯ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญของวรรคดังกล่าว ๑.๒.๔ มอบหมายสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดแนวทางการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อเรือที่มีความเกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ ซึ่งรวมถึงมาตรการตามวรรค ๗-๑๒ และวรรค ๒๒ โดยเป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามข้อมติ UNSC ซึ่งมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจต่อการดำเนินการต่อเรือข้างต้นตามพันธกรณีระหว่างประเทศจากข้อมติฯ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒.๕ ปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็ปไซต์ของสหประชาชาติ (https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1718) ทั้งนี้ สหประชาชาติ (United Nations : UN) จะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กร และเรือที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ และจะกำหนดรายการสิ่งของภายใต้หัวข้อ “Prohibited Items” ในภายหลัง ๑.๒.๖ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องพึงระวังและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อมติฯ ๑.๒.๗ แจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป และหากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ขอให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16731 | ขอความเห็นชอบการร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยการทบทวนการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการระดับโลกแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ | กต | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยการทบทวนการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการระดับโลกแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (Political Declaration on the Global Plan of Action to Combat Trafficking in Persons) เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกของสหประชาชาติในการส่งเสริม การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้บุคคลเสี่ยงต่อการตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งการดูแล การช่วยเหลือ การเยียวยาและพักฟื้นผู้เสียหายและผู้รอดชีวิต ตลอดจนการเพิ่มความเข้มแข็งระหว่างรัฐภาคีร่วมกันผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเสริมสร้างขีดความสามารถและความช่วยเหลือด้านเทคนิคในการป้องกันการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ และการจัดการฝึกอบรมบุคลากรด้านมนุษยธรรม โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมระดับสูงว่าด้วยการทบทวนการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการระดับโลกแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ครั้งที่ ๒ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16732 | เรื่องเกี่ยวข้องกับงานพระบรมศพที่เห็นสมควรนำเสนอคณะรัฐมนตรี (การดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร) | นร01 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นหยุดราชการเพียงวันเดียว เนื่องจากในวันพุธที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันออกพระเมรุมาศก่อนวันถวายพระเพลิง และวันศุกร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันต่อเนื่อง คณะกรรมการฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการรักษาความปลอดภัยและการจราจร คณะกรรมการจัดขบวนพระบรมราชอิสริยยศ และคณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการ ได้วางแผนรองรับครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ปฏิบัตินั้น เนื่องจากการปฏิบัติงานในพิธีช่วงก่อนและหลังวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นการปฏิบัติราชการ จึงให้หน่วยงานเจ้าสังกัดพิจารณาผ่อนผัน หากจะต้องใช้เวลาราชการเพื่อการเดินทาง และเตรียมการตามสมควร ๑.๒ ขยายเวลาการไว้ทุกข์ของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเดิมเคยมีประกาศกำหนดระยะเวลา ๑ ปี โดยขยายจากวันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ ไปจนถึงวันศุกร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ อันเป็นวันเก็บพระบรมอัฐิ รวมเวลา ๑๕ วัน ๑.๓ ให้สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานที่ทำการของรัฐ ทั้งในและต่างประเทศลดธงครึ่งเสา ตั้งแต่วันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันศุกร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ รวมเวลา ๑๕ วัน ๑.๔ ให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกทุกข์ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ๑.๕ ให้เริ่มเก็บผ้าระบาย ป้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตามสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๑.๖ ให้ประธานกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือและซักซ้อมทำความเข้าใจสถานบันเทิง และสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ งดหรือลดกิจกรรมบันเทิงในเดือนตุลาคมตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรีในการเสนอเรื่องนี้)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16733 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 (ครั้งที่ 13) | พน | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานว่า การดำเนินการภายใต้ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปยังมาเลเซียผ่านระบบส่งไฟฟ้าของไทย (LTM-PIP) เป็นการดำเนินการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านไฟฟ้าตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวผ่านระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพื่อนำส่งต่อไปยังมาเลเซียในปริมาณที่จำกัดไม่เกิน ๑๐๐ เมกะวัตต์ และมีอายุสัญญาเป็นเวลา ๒ ปี (นับจากวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑) โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานระบบส่งไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม กระทรวงพลังงานจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนในระบบสายส่งไฟฟ้าเพิ่มเติม ประกอบกับการดำเนินการดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าและการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในประเทศ ทั้งนี้ ในส่วนของการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าในภาคใต้ นั้น ปัจจุบันกระทรวงพลังงานยังไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในพื้นที่เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ จึงได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยดำเนินการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคใต้เป็นการชั่วคราว ๒. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๓) เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปยังมาเลเซียผ่านระบบส่งไฟฟ้าของไทย (LTM-PIP) (๒) แนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ (๓) การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) (๔) มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้านพลังงาน และ (๕) อัตราค่าไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ประโยชน์ของระบบส่งของไทยตามโครงการ LTM-PIP ควรมีการพิจารณาส่งคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศด้วย รวมทั้งในการดำเนินการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ควรมีการประเมินผลการดำเนินงาน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในระยะที่ ๑ ก่อน เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการวางแผนส่งเสริมการแข่งขันในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. สำหรับกรณีการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ให้กระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) ด้วยวิธีการประมูลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ภายใต้การแข่งขันอย่างเสรี โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิต LNG ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถเข้าร่วมการประมูลได้ เพื่อให้ต้นทุนการจัดหา LNG ดังกล่าวอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16734 | การบริหารจัดการยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามโครงการพิเศษ ปีงบประมาณ 2561 | สธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางในการจัดการเกี่ยวกับการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ตามโครงการพิเศษ สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำแผน ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อจัดทำแผนการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์จำเป็นตามโครงการพิเศษ สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ๑.๒ การจัดซื้อ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโอนเงินให้หน่วยบริการใดหน่วยบริการหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข และให้กระทรวงสาธารณสุขมอบหมายให้หน่วยบริการดังกล่าวเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์จำเป็นตามโครงการพิเศษ สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๑ จากองค์การเภสัชกรรม ๑.๓ การกำหนดระเบียบเพื่อรองรับการดำเนินการจัดซื้อ ให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกระทรวงการคลังพิจารณากำหนด กฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ หรือแนวทาง ให้สอดคล้องกับการดำเนินการจัดซื้อให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16735 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน | อก | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน และให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานดำเนินการ ๑.๒ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่มียอดขายขนาดเล็กและประสบปัญหาทางการเงินก่อนเป็นอันดับแรก รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการในระยะแรกอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงมาตรการฯ ในระยะต่อ ๆ ไป ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอปรับแก้ไขรายละเอียดของโครงการส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ภายใต้มาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากมีรายละเอียดเนื้อหาบางส่วนที่อาจก่อให้เกิดความสับสนและความเข้าใจผิดในการตีความได้ โดยปรับปรุงรายละเอียดข้อ ๔.๓.๓ การทำธุรกรรม FX Options เป็นดังนี้ ผู้ประกอบการ SMEs สามารถใช้คูปองเพื่อการซื้อ FX Options ซึ่งเป็นการซื้อสิทธิ์ที่จะซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ (ห้ามใช้เพื่อการขาย FX Options) โดยสามารถซื้อได้เฉพาะ FX Options ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีความซับซ้อน (Plain Vanilla Options) และสามารถใช้สิทธิ์เมื่อใดก็ได้ในช่วงเวลาที่กำหนด (American Options)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16736 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพิ่มเติม | กห | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๐๑๓,๐๘๗,๐๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทย และกองทัพบก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการซ่อมปรับปรุงถนนเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๑๒๙ เส้นทาง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย และกองทัพบก) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16737 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๔๐๙.๐๕๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๓๒๒.๕๕๗ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดหารถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๕๒ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๘๖.๕๐๐ ล้านบาท ๒.ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานตามมาตรการฯ ที่เกิดขึ้นจริงโดยผ่านคณะกรรมการการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินตามมาตรการฯ รวมทั้งควรพิจารณาแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการฯ ไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกับการให้ความช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายเดินทางของประชาชนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกำหนดแผนบูรณาการระบบสวัสดิการของภาครัฐในรูปแบบต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้การจัดสวัสดิการของภาครัฐเป็นไปตามความจำเป็นและตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16738 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางสาวชลิดา โชไชย และนายสิงคิ์ วิเศษพจนกิจ) | นร08 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการและทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวชลิดา โชไชย ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๒. นายสิงคิ์ วิเศษพจนกิจ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16739 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) (นายยงยุทธ จันทรโรทัย) | พน | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายยงยุทธ จันทรโรทัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16740 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) (นายกิตติศักดิ์ กลับดี และนางมยุรา กุสุมภ์) | สธ | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายกิตติศักดิ์ กลับดี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ๒. นางมยุรา กุสุมภ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
|
.....