ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 789 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15761 - 15780 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15761 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศเพื่อประชุมหารือและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ณ สมาพันธรัฐสวิส และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) | นร11 | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศเพื่อประชุมหารือและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ณ สมาพันธรัฐสวิส และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์-๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ในฐานะหัวหน้าคณะการประชุมหารือกับผู้แทนสถาบันจัดอันดับ ๒ สถาบัน คือ สถาบัน World Economic Forum (WEF) และ Institute for Management Development (IMD) โดยผลการหารือกับ WEF เห็นด้วยที่จะจัดทำข้อตกลงความร่วมมือกับไทยอย่างบูรณาการเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือหลัก (Master Framework) ในการขับเคลื่อนการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และสำหรับกรณีที่ประเทศไทยแสดงความสนใจเป็นเจ้าภาพ WEF ASEAN Summit 2020 นั้น ผู้แทน WEF เห็นว่ามีความเป็นไปได้ ซึ่งทาง WEF จะพิจารณาตัดสินใจเรื่องการเป็นเจ้าภาพนี้ในปีหน้า ส่วนผลการหารือกับ IMD โดย IMD ชี้แจงว่า ไม่มีนโยบายให้คำปรึกษาในการยกอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ดี IMD สามารถศึกษาแนวทางการจัดทำเครื่องมือในการจำลองการเปลี่ยนแปลงอันดับความสามารถในการแข่งขันร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และยินดีร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนของไทยในการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตของบริษัท Startups การสร้างและใช้ประโยชน์จาก Big Data ๒. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ได้ศึกษาดูงานองค์กรและสถาบันที่มีส่วนสนับสนุนการพัฒนาความสามารถด้านนวัตกรรมและสังคมผู้ประกอบการ ได้แก่ (๑) Accenture Paris Innovation ซึ่งเป็นศูนย์ด้านวัตกรรมที่ตั้งขึ้นโดยใช้กรอบแนวคิด Design Thinking (๒) Station F ศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างเมืองหลวงด้านเทคโนโลยี/Silicon Valley แห่งภูมิภาคยุโรป และ (๓) BCG’s Innovation Center for Operations โรงงานต้นแบบในการนำแนวคิดอุตสาหกรรม ๔.๐ มาใช้ในกระบวนการผลิต โดย BCG ได้เสนอแนวทางเบื้องต้นสำหรับการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรม ๔.๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15762 | การปรับปรุงกลไกการทบทวนนโยบายการค้าขององค์การการค้าโลก | พณ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขยายกำหนดระยะเวลาการทบทวนนโยบายการค้าของประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยออกไปรอบละ ๑ ปี (จากเดิมทุกระยะ ๔ ปี เป็นทุกระยะ ๕ ปี) และจะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ ตามมติที่ประชุมคณะมนตรีใหญ่ (General Council) เนื่องจากจำนวนสมาชิก WTO เพิ่มขึ้นจากเดิม ฝ่ายเลขาธิการ WTO ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานการทบทวนนโยบายทางการค้า มีทรัพยากรและบุคลากรจำกัดไม่สามารถจัดทำรายงานฯ ได้ตามกรอบเวลาเดิม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแจ้งการขยายกำหนดระยะเวลาการทบทวนนโยบายการค้าดังกล่าวให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อประโยชน์ในการศึกษานโยบายการค้าของแต่ละประเทศ และควรประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดทำรายงานการทบทวนนโยบายทางการค้าของไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง รัดกุม และครอบคลุมมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้านการค้ามากยิ่งขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15763 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม 2561 | พณ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ๒๕๖๑ โดยการส่งออกขยายตัวสูงสุดในรอบ ๖๒ เดือน ที่ร้อยละ ๑๗.๖ (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๒๐,๑๐๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความสามารถในการเปิดตลาดใหม่และกระจายประเภทสินค้าส่งออกไทยตามแนวทางการส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ด้านการนำเข้ามีมูลค่า ๒๐,๒๒๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว ๒๔.๓ (YoY) จากการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ เช่น สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป เพื่อใช้ในการผลิตในประเทศ ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๕ ที่ ๑๖.๒ (YoY) ทั้งในด้านปริมาณและราคา โดยเฉพาะข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๑ ที่ ๑๗.๒ (YoY) ทั้งในด้านปริมาณและราคา จากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับแนวโน้มการส่งออกปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออกไทย ทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ การรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินการเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้เร็วยิ่งขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ การส่งออก และการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย รวมทั้งประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับให้ถูกต้องตรงกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15764 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการทหารให้มีมาตรฐานทั่วไปสอดคล้องกับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งกระทรวงกลาโหมจะนำไปกำหนดไว้ในข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ สถาบันการศึกษา สังกัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นมาตรการในการป้องกันและลงโทษผู้ขอกำหนดตำแหน่งอันส่อให้เห็นว่าเป็นผู้กระทำผิดทางจริยธรรมและจรรยาบรรณเกี่ยวกับผลงานทางวิชาการ และข้อสังเกตกรณีควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าสู่ตำแหน่งวิทยฐานะและเลื่อนระดับ กระทรวงกลาโหมจะนำไปกำหนดไว้ในข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการกำหนดวิทยฐานะสำหรับข้าราชการทหารที่ทำหน้าที่สอน เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าสู่ระดับหรือเลื่อนระดับประเภทวิทยฐานะของข้าราชการทหารที่ทำหน้าที่สอนให้ชัดเจน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15765 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 | ดศ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงาน จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าของการดำเนินงานดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ (๒) รายงานความคืบหน้ากรณีดาวเทียมไทยคม ๗ และไทยคม ๘ (๓) รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ (๔) ความคืบหน้าการศึกษาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การอวกาศแห่งชาติ พ.ศ. .... (๕) ความคืบหน้าการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) และ (๖) ผลการสัมมนา “เทคโนโลยีอวกาศสู่งานวิจัยไทย ๔.๐” และการขับเคลื่อน Thailand Satellite Consortium ๒. พิจารณาประเด็นต่าง ๆ รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุม United Nations/United Arab Emirates-High Level Forum : Space as a Driver for Socio-Economic Sustainable Development (UN/UAE-High Level Forum) วันที่ ๖-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (๒) แนวทางการบริหารเอกสารข่ายงานดาวเทียมและสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมตามมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ (๓) นโยบายการอนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เข้าใช้ช่องสัญญาณของดาวเทียมต่างประเทศในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15766 | ร่างกฎกระทรวงสถานที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทห้องบรรจุ พ.ศ. .... | พน | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสถานที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทห้องบรรจุ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทห้องบรรจุ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15767 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง และศาลอาญาพระโขนง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง และศาลอาญาพระโขนง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง และศาลอาญาพระโขนง เพื่อเป็นการรองรับคดีของศาลยุติธรรมที่มีแนวโน้มจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรมซึ่งเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตท้องที่ของศาลแพ่งและศาลอาญา และกำหนดการรับพิจารณาและการโอนคดีในกรณีที่คดีในศาลชั้นต้นเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดตั้งศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง และศาลอาญาพระโขนง พ.ศ. .... และเป็นการรองรับศาลยุติธรรมที่จะจัดตั้งขึ้นในอนาคต ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง และศาลอาญาพระโขนง พ.ศ. .... ควรกำหนดหลักเกณฑ์การปรับเปลี่ยนสถานภาพของศาลตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับหน้าที่อำนาจ ปริมาณงาน และความคุ้มค่าต่อประชาชนและประเทศ โดยคำนึงถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้หน้าที่อำนาจและปริมาณงานเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และหากพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับมีผลบังคับใช้ และมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ มาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15768 | การประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 24 (The 24th Meeting of Mekong River Commission Council) | ทส | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๔ (The 24th Meeting of Mekong River Commission Council) ระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบกำหนดการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ ที่กำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา และมีมติอนุมัติ (๑) แผนดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๑ (๒) แผนยุทธศาสตร์การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มแม่น้ำโขงและแผนปฏิบัติการ (๓) แผนกลยุทธการบริหารจัดการและการพัฒนาการประมงในระดับลุ่มน้ำ และ (๔) การจ่ายเงินอุดหนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๓ รวมทั้งอนุมัติหลักการจ่ายเงินอุดหนุนแก่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๓ โดยในปี ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ไทยจะจ่ายเงินอุดหนุนลดลงร้อยละ ๑ ในทุก ๆ ๓ ปี (ปัจจุบันไทยจ่ายเงินอุดหนุนร้อยละ ๓๐) และในปี ๒๕๗๓ ไทยและประเทศสมาชิกจะมีสัดส่วนการจ่ายเงินอุดหนุนเท่ากันที่ร้อยละ ๒๕ ซึ่งเงินอุดหนุนรวมของประเทศสมาชิกจะมีการปรับฐานเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราร้อยละ ๑๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินอุดหนุนของไทยให้แก่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) จัดทำรายละเอียดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๓ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15769 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2561 เรื่อง ให้กรรมการการเลือกตั้งยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่) | สลธ.คสช. | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔/๒๕๖๑ เรื่อง ให้กรรมการการเลือกตั้งยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่ ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่กรรมการการเลือกตั้งตั้งแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับเป็นต้นไป ๒. ในกรณีที่ผู้ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการการเลือกตั้งหรือกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา ๗๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๐ มีอายุครบเจ็ดสิบปี ให้ผู้นั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวต่อไปจนกว่าประธานกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการการเลือกตั้งที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15770 | รายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2560 | พม | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๐ โดยมีผลงานสำคัญ ได้แก่ การจัดสรรงบประมาณในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมายการค้ามนุษย์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง การคุ้มครองและช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การเพิ่มสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้แก่ผู้เสียหาย การนำเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์แรงงานต่างด้าวทั้งระบบให้อยู่ในระบบฐานข้อมูลเดียวกันทั่วประเทศ การเพิ่มจำนวนบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญและมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ และการใช้นโยบายเปิดกว้างเพื่อเพิ่มการทำงานร่วมกับพันธมิตรภาคประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15771 | ร่างพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกและปรับปรุงพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับคำนิยามของที่ราชพัสดุให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำทะเบียนที่ราชพัสดุและการปกครองดูแล บำรุงรักษา ใช้ จัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ และการเรียกคืนที่ราชพัสดุ ซึ่งจะช่วยให้ระบบการบริหารจัดการที่ราชพัสดุมีความชัดเจน และเพิ่มเติมบทกำหนดโทษ รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นำไปใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิง หรือเป็นฐานในการจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานอื่นของหน่วยงานของรัฐ ส่งผลทำให้เกิดความรวดเร็วในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และเพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับคำนิยม เช่น คำว่า ที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินและที่ดิน องค์ประกอบของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ องค์ประกอบของคณะกรรมการประเมินมูลค่าทรัพย์สินประจำจังหวัด การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการกำหนดให้โครงการจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุ การส่งบัญชีกำหนดมูลค่าประเมินทรัพย์สิน และบทกำหนดโทษ เป็นต้น และความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรพิจารณาการกำหนดโทษอาญาให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี (๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) ที่เห็นควรกำหนดโทษอาญาในกรณีที่เป็นการกระทำที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง และเป็นกรณีที่ไม่สามารถใช้มาตรการอื่นใดเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างได้ผลหรือมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะทำให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายได้ ทั้งนี้ หากโดยสภาพแล้วไม่ใช่ความผิดในลักษณะดังกล่าว สมควรใช้โทษปรับทางปกครองแทนหรือวิธีการอื่นแทนการปรับ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์เร่งสำรวจการใช้ที่ราชพัสดุของหน่วยงานราชการต่าง ๆ เพื่อให้มีการใช้ที่ดินและอาคารอย่างสมประโยชน์ และสอดคล้องกับศักยภาพและการใช้ที่ดินโดยรอบ อีกทั้งควรเน้นให้ส่วนราชการที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกันอยู่ในอาคารรวมเดียวกันและบางส่วนอาจนำที่ราชพัสดุมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและเมืองมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15772 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านศุลกากรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสหพันธรัฐมาเลเซีย | กค | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านศุลกากรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสหพันธรัฐมาเลเซีย (Memorandum of Understanding Between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Malaysia Concerning Cooperation and Mutual Assistance in Customs Matters) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือ และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างศุลกากรไทยและศุลกากรมาเลเซียให้เกิดความเข้าใจในการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร กฎหมาย ข้อบังคับ และพิธีการต่าง ๆ การแจ้งข่าวสารและแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับถ้อยคำที่ปรากฏในร่างบันทึกความเข้าใจฯ จาก สหพันธรัฐมาเลเซีย เป็น มาเลเซีย ตามชื่อทางการของประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน และเห็นควรให้กรมศุลกากรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าของไทยเพื่อให้ทราบความต้องการข้อมูลของฝ่ายไทยจากหน่วยงานศุลกากรของมาเลเซีย โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในกระบวนการส่งออกและนำเข้าให้กับผู้ประกอบการไทย โดยควรมีการหารือเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15773 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตใช้เรือ และการประกันภัยเรือสำหรับโดยสาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตใช้เรือและการประกันภัยเรือสำหรับโดยสาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตใช้เรือ และการประกันภัยเรือสำหรับโดยสาร พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15774 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) ร่างแผนปฏิบัติงาน 2559-2564 วนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสักและร่างข้อตกลงการใช้ตัวอย่างชีวภาพ | ทส | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) ร่างแผนปฏิบัติงาน ๒๕๕๙-๒๕๖๔ วนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสักและร่างข้อตกลงการใช้ตัวอย่างชีวภาพ คืนไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่างแผนปฏิบัติการฯ และร่างข้อตกลงฯ ดังกล่าวไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมในส่วนของร่างข้อตกลงฯ เช่น ควรพิจารณากำหนดเงื่อนไข (ปริมาณวัสดุที่ต้องส่งในแต่ละครั้ง จำนวนครั้งสูงสุดที่ต้องจัดส่ง) ซึ่งอาจเกิดการร้องขอเกินความจำเป็นและจะมีผลต่อเนื่องในข้อตกลงเรื่องการขนส่งที่กรมป่าไม้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดส่งแต่ฝ่ายเดียว เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15775 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2561 | กค | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ คนร. อย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคนร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ฯ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งจัดสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในรัฐวิสาหกิจ โดย คนร. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับมาตรฐานในการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับสากล โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบการกำกับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสภาพปัญหาและอุปสรรคในการกำกับดูแลติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี และมีประสิทธิภาพสูงสุด ๑.๓ การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง พบว่าธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาองค์กรจนถึงปัจจุบัน คนร. จึงมีมติให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร และมอบหมายให้กระทรวงการคลังกำกับติดตามการดำเนินงานต่อไป สำหรับรัฐวิสาหกิจอีก ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มอบหมายให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ๒. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางและกรอบเวลาที่ คนร. มอบหมาย เพื่อให้กระบวนการกำกับดูแลและการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน ตลอดจนการจัดตั้งและบริหารจัดการบริษัทลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15776 | ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และที่แก้ไขเพิ่มเติม | วท | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการภาคยานุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และการให้สัตยาบันข้อแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญา โดยไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการภาคยานุวัติอนุสัญญาฯ และการให้สัตยาบันข้อแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาฯ ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นหน่วยประสานงานหลักระดับชาติของการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาแล้ว ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว โดยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15777 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี 2560/61 ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | กษ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี ๒๕๖๐/๖๑ ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ ๓๑ จังหวัด พื้นที่ ๗๐๐,๐๐๐ ไร่ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวนาปรังเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ กระจายผลผลิตให้ออกสู่ตลาดสม่ำเสมอ เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน จากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หมุนเวียนในระบบปลูกข้าว โดยรัฐถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกร รวมทั้งสนับสนุนเงินอุดหนุนในอัตราไร่ละ ๒,๐๐๐ บาท (รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่) คิดเป็นเงินสนับสนุนทั้งสิ้น ๑,๔๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการฯ ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการฯ จะต้องไม่ดำเนินการเพาะปลูกในพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เป็นการใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต้องใช้จ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการฯ ให้หน่วยงานในพื้นที่และเกษตรกรในพื้นที่รับทราบ การตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการฯ ของเกษตรกรต้องรวดเร็วเพื่อให้ทันต่อรอบการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ควรเข้มงวดกวดขันการลักลอบนำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และในการลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่า และควรส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมและมีรายได้ใกล้เคียงกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15778 | ขออนุมัติโครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมผู้สำเร็จอาชีวศึกษาในทุกระดับให้มีศักยภาพและขีดความสามารถสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และทันต่อเทคโนโลยีการประกอบอาชีพที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ พัฒนาสถานศึกษาต้นแบบในสังกัด สอศ. จำนวน ๒๐ แห่ง ทั่วประเทศ ที่มีคุณภาพสำหรับการขยายผลต่อไป และเพื่อสนับสนุนการต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม (Fist S Curve) การเติมอุตสาหกรรมอนาคต (New S Curve) และตอบสนองการพัฒนาประเทศตามนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๑) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๕๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินงบประมาณของประเทศไทย วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ วงเงิน ๒,๗๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยในส่วนของโครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาก่อนการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียดให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับทุนการศึกษา ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของผู้เรียน เงื่อนไขในการให้/ชดใช้ทุนประเภทต่าง ๆ อัตราตำแหน่งรองรับครูของ สอศ. ภายหลังจากที่นักเรียนจบการศึกษา ให้เป็นไปด้วยความรัดกุม และเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินการในลักษณะการร่วมจ่าย (Co-sharing) หรือรูปแบบประชารัฐ เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณภาครัฐด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา เช่น ควรสร้างความร่วมมือระหว่าง สอศ. กับสถาบันวิจัยที่มีความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ EEC เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาฝึกทำงานจากโจทย์จริงของภาคอุตสาหกรรม และร่วมทำโครงการวิจัยและพัฒนากับภาคเอกชน ควรกำหนดแผนการพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาในระยะสั้น โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่ออาศัยความชำนาญเฉพาะด้านของหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนากำลังคนระดับอาชีวศึกษาในภาพรวมของประเทศ การจัดสรรทุนควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของสาขาวิชาให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนาของอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ รวมทั้งควรศึกษาวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนอาชีวศึกษาของประเทศทั้งในมิติเชิงปริมาณและมิติเชิงคุณภาพ ตลอดจนแผนการดำเนินการเตรียมและพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษา และควรคำนึงถึงการได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจากหน่วยงาน/องค์กรวิชาชีพที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของประเทศไทยของตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้ผู้รับทุนสามารถปฏิบัติงานได้เมื่อสำเร็จการศึกษา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในส่วนของแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ โดยกรณีเงินสมทบที่เป็นเงินงบประมาณของประเทศไทยนั้น เห็นควรให้ สอศ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนเงินสมทบที่มาจากแหล่งเงินกู้ควรคำนึงถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น โดยผ่านกลไกขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้คำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15779 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ 2562 รายการเงินอุดหนุนเป็นค่าก่อสร้างอาคารเรียนรวม 6 ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนรวม ๖ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมระยะเวลา ๒ ปี วงเงินทั้งสิ้น ๑๘๐,๓๗๙,๓๐๐ บาท โดยค่าก่อสร้างอาคาร จำนวน ๑๘๐,๓๗๙,๓๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑๕๗,๘๓๒,๓๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๗๘,๙๑๖,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๗๘,๙๑๖,๓๐๐ บาท ให้มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๒,๕๔๗,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จทันตามกรอบระยะเวลาและกรอบวงเงินงบประมาณที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน และคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. การดำเนินการเรื่องทำนองนี้ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15780 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ 2562 รายการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนามาตรฐานและเฝ้าระวังการปนเปื้อนสารเคมี กำจัดศัตรูพืชในผลิตภัณฑ์ออกานิกในสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ของมหาวิทยาลัยนเรศวร | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มหาวิทยาลัยนเรศวรดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนามาตรฐานและเฝ้าระวังการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผลิตภัณฑ์ออกานิกในสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมระยะเวลา ๒ ปี วงเงินทั้งสิ้น ๙๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๗๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓๕,๔๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๓๖,๐๙๐,๐๐๐ บาท ให้มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยนเรศวรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และเมื่อดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้ว ก็ให้ขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารฯ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จทันตามกรอบระยะเวลา และกรอบวงเงินงบประมาณที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน และคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. การดำเนินการเรื่องทำนองนี้ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด
|
.....