ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 786 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15701 - 15720 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15701 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้แก่ภาคเอกชนในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยสำหรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งเร่งรัดการกำหนดแนวทางพัฒนาพื้นที่และการดำเนินกิจการต่าง ๆ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ นั้น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้รวมถึงการพิจารณากำหนดสิทธิประโยชน์ให้แก่ภาคเอกชนในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมา ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นที่เป็นความต้องการของประชาชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15702 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 13 | กห | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑๓ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสมเด็จพิชัยเสนา เตีย บัณห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานร่วม ซึ่งที่ประชุมฯ ได้ชื่นชมผลสำเร็จของการปฏิบัติงานที่ผ่านมา เช่น การแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมและกีฬาระหว่างหน่วยงานความมั่นคงตามแนวชายแดน และเห็นชอบให้เพิ่มความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น ให้มีการพบปะหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง และให้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ประสานงาน (HOTLINE) ให้ครอบคลุมตลอดแนวชายแดน นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมราชอาณาจักรกัมพูชาได้เข้าเยี่ยมคำนับนายกรัฐมนตรี และได้หารือถึงความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูง รวมทั้งมีความเห็นร่วมกันที่จะติดตามและจับกุมบุคคลที่กระทำผิดกฎหมายและหลบหนีคดีอยู่ในราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา การพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนที่ทับซ้อน และการพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีความสงบสุขและมั่นคง ตลอดจนการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ ไทย-กัมพูชา เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15703 | แนวทางการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2561 (สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ำคุ้มค่า ชีวาปลอดภัย) | วธ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๑ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ำคุ้มค่า ชีวาปลอดภัย” โดยกระทรวงวัฒนธรรม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) ได้จัดประชุมเพื่อบูรณาการความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เข่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ซึ่งทุกหน่วยงานเห็นพ้องกันว่า ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีที่สำคัญ แสดงถึงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทยซึ่งประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติรับรู้และรู้จักเป็นอย่างดี โดยมีแนวทางการรณรงค์ที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การรณรงค์จัดกิจกรรม “สงกรานต์วิถีไทย” (๒) การรณรงค์เรื่อง “ใช้น้ำคุ้มค่า” และ (๓) การรณรงค์เรื่อง “ชีวาปลอดภัย” ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติรับทราบแนวทางการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๑ ดังกล่าวแล้ว ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15704 | สรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภค เงินเฟ้อทั่วไป เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๖๘ (YoY) ในเดือนก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๘ ติดต่อกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของความต้องการสินค้าและบริการของผู้บริโภค (Demand Pull) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งผลจากการดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา โดยเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ (YoY) ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๙ (YoY) และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙ (YoY) ๒. แนวโน้มสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค (ทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐาน) อย่างต่อเนื่อง สวนทางกับการลดลงต่อเนื่องของดัชนีราคาผู้ผลิต ประกอบกับเครื่องชี้วัดด้านการบริโภคภาคเอกชนต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในทิศทางชี้ว่าเศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัวและมีอุปสงค์ในสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลดี ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อในปี ๒๕๖๑ มีทิศทางที่เข้าสู่เป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15705 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับและเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ. .... | ยธ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับและเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับและเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15706 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย 1 ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่สายสองพี่น้องเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑ ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่สายสองพี่น้องเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑ ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่สายสองพี่น้องเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำสำหรับกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นที่มิใช่การเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และเพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15707 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4369 สายพรุเตียว-ด่านศุลกากรสะเดาแห่งที่ 2 พ.ศ. .... | คค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓๖๙ สายพรุเตียว-ด่านศุลกากรสะเดาแห่งที่ ๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๓๖๙ สายพรุเตียว-ด่านศุลกากรสะเดาแห่งที่ ๒ ในท้องที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ไปพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในบริเวณพื้นที่ด่านศุลกากรสะเดาแห่งที่ ๒ ที่มีความสอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการด้านศุลกากรสะเดาแห่งที่ ๒ และเชื่อมโยงกับแนวทางการใช้ประโยชน์ด่านศุลกากรสะเดาแห่งที่ ๒ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15708 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี 2560 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๖๐ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งานจัดเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูล ได้รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์รวม ๗ ประเภท ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า เพื่อนำมาประมวลผลใน ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงิน ๒. การดำเนินงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ข้อมูลและข่าวสารด้านอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ ปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอข้อมูลบนเว็บไซต์ จัดทำวารสารฉบับใหม่ชื่อวารสาร “GHB : REIC วารสารศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์” และงานอบรมสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ๓. งานบริหารจัดการระบบสารสนเทศ ได้จัดทำโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสอง และอยู่ระหว่างจัดทำร่างข้อกำหนดความต้องการของระบบ (Term of Reference : TOR) เพื่อเสนอขออนุมัติงบประมาณจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ๔. ข้อมูลสถิติและสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญ (เฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล) ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๖๐ เฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน ๕. ผลสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยจากแอปพลิเคชัน Home For All พบว่า มีประชาชน จำนวน ๗๓,๗๖๑ ราย หรือร้อยละ ๘๙.๒ มีความต้องการที่อยู่อาศัย จากประชาชนผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด ๘๒,๗๑๙ ราย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15709 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (จำนวน 6 ราย 1. นางสาวชวนชม กิจพันธ์ ฯลฯ) | นร07 | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๖ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวชวนชม กิจพันธ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๒. นายสมชัย รอดเรือง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๓. นางสาวศิลักษณ์ ปั้นน่วม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๔. นางพิมพร โอวาสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๕. นายสุรยุทธ ศรีประเสริฐ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๖. นายทวีศักดิ์ ชพานนท์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15710 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่องขออนุมัติเปิดสถานกงสุลสหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต เป็น เรื่องขออนุมัติเปิดสถานกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต | กต | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอนุมัติกรณีรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียเสนอขอเปิดสถานกงสุลสหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา ตรัง และยะลา เป็น ขอเปิดสถานกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา ตรัง และยะลา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15711 | สรุปผลการประชุมระดับนโยบายของคณะกรรมการด้านการขนส่งทางบก ครั้งที่ 80 ของ UNECE | คค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมระดับนโยบายของคณะกรรมการด้านการขนส่งทางบก (Inland Transport Committee : ITC) ครั้งที่ ๘๐ ภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับภูมิภาคยุโรป (United Nations Economic Commission for Europe : UNECE) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกล่าวเปิดการประชุมฯ โดยเลขาธิการบริหาร UNECE ซึ่งได้นำเสนอเครื่องมือสำหรับแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยทางถนน ภายใต้ชื่อ “SafeFITS” (Safe Future Inland Transport System) และได้เชิญชวนรัฐบาลจากประเทศต่าง ๆ ให้การสนับสนุนด้านการเงินสำหรับกองทุนด้านความปลอดภัยทางถนนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Trust Fund on Road Safety) ๒. การประชุมหารือระดับนโยบายภายใต้หัวข้อ “Intermobility : The Key to Sustainable Transport and Mobility” โดยที่ประชุมฯ ได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นต่าง ๆ อาทิ บทบาทของระบบการขนส่งที่เชื่อมต่อกันเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การเชื่อมโยงการขนส่งทุกรูปแบบอย่างไร้รอยต่อทั้งการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า การส่งเสริมระบบการขนส่งที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมีความรวดเร็วขึ้น ในราคาที่ถูกลง ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ร่วมเป็นผู้อภิปราย (Keynote Speaker) ภายใต้หัวข้อ Intermodal passenger mobility โดยกล่าวถึงการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการขนส่งของประเทศในระยะ ๒๐ ปี ซึ่งสอดคล้องกับแผนการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ รวมทั้งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง ๓. การหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกับผู้บริหารระดับสูงขององค์การระหว่างประเทศ ได้แก่ การหารือกับเลขาธิการบริหารของ UNECE เลขาธิการสหภาพการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศ (International Road Transport Union : IRU) และเลขาธิการกิจการพิเศษด้านความปลอดภัยทางถนนแห่งสหประชาชาติ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีข้อเสนอที่สำคัญ อาทิ การจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ควรมุ่งเน้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการของประเทศกำลังพัฒนา การให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยทางถนน ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายระดับชาติในรูปแบบมาตรการเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลปีใหม่ และสงกรานต์ เป็นต้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีกองทุน Road Safety Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุทางถนน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15712 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 21 และ 28 กุมภาพันธ์ 2561 และวันที่ 14 มีนาคม 2561 | กค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๑ และ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑ จำนวนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๓ โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ R-Bill ที่ครบกำหนด และจะดำเนินการออกพันธบัตร รุ่นอายุ ๑๐ ปี จำนวนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ ๓-๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อมาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นดังกล่าว รวมทั้งได้จัดส่งประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินดังกล่าว จำนวน ๒ ฉบับ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15713 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ 24 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์-๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๒๔ ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นด้านเศรษฐกิจที่สิงคโปร์ในฐานะประธานอาเซียนปี ๒๕๖๑ เสนอให้สมาชิกอาเซียนร่วมกันดำเนินการให้สำเร็จในปี ๒๕๖๑ อาทิ การหาข้อสรุปความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน การจัดตั้งเครือข่ายนวัตกรรมในอาเซียน การจัดทำระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน การเชื่อมโยงระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียนให้ใช้งานได้จริง การลงนามความตกลงการค้าบริการของอาเซียน การยกระดับความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน และที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับผลการศึกษาของสำนักงานเลขาธิการอาเซียนเกี่ยวกับการประเมินประเทศ/กลุ่มประเทศที่แสดงความสนใจที่จะจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) กับอาเซียนในอนาคต ได้แก่ สหภาพยุโรป แคนาดา สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (EAEU) และกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก (Pacific Alliance) โดยที่ประชุมเห็นว่าการจัดทำความตกลง FTA กับประเทศคู่เจรจาของอาเซียนในอนาคตจะมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยอาเซียนควรใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เป็นแนวทางในการเจรจาที่อาเซียนจะต้องได้ประโยชน์มากขึ้นจาก FTA ที่ผ่านมา ๒. การประชุมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ที่ประชุมได้หารือการส่งเสริมความสัมพันธ์สองฝ่าย รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการหารือคณะทำงานร่วมสองฝ่ายเพื่อจัดทำกรอบกำหนดขอบเขตการเจรจา FTA ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป โดยที่ประชุมมอบให้คณะทำงานร่วมสองฝ่ายหารือกันต่อ เพื่อให้สามารถจัดทำกรอบกำหนดขอบเขตการเจรจาฯ ร่วมกัน และรายงานความคืบหน้าในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับกรรมาธิการยุโรปด้านการค้าครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในปี ๒๕๖๒ ๓. การประชุมรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) สมัยพิเศษ ครั้งที่ ๔ ที่ประชุมย้ำความตั้งใจที่จะให้การเจรจา RCEP มีความคืบหน้าเพื่อให้สามารถสรุปผลได้อย่างมีนัยสำคัญในปี ๒๕๖๑ และมอบแนวทางการเจรจาในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า และการแข่งขัน โดยขอให้สมาชิกมุ่งเน้นการเจรจาสองฝ่าย (Request & Offer Process) พร้อมปรับปรุงข้อเสนอเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุนที่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสมาชิก เพื่อให้การเปิดตลาดเป็นไปอย่างมีนัยสำคัญเชิงพาณิชย์ ๔. การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) กับผู้แทนสภาธุรกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป (EU-ABC) และสมาคมพันธมิตรธุรกิจยุโรป-อาเซียน (Europe-ASEAN Business Alliance : EABA) โดยได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการค้าการลงทุนของไทย โอกาสการขยายธุรกิจในไทย และแนวทางแก้ไขปัญหามาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้า นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยุโรปสนับสนุนการรื้อฟื้นการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป และรับที่จะช่วยผลักดันให้สหภาพยุโรปเริ่มกระบวนการหารือกับไทยโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15714 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๘ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานผลแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง เป็นกฎหมาย จำนวน ๑๖ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๘ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๘ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานผลแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมาย จำนวน ๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำทั้ง ๘ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานผลแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมาย จำนวน ๘๑ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๓๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๔๘ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย จำนวน ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานผลครบถ้วนแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานผลครบถ้วนแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15715 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พ.ศ. .... | ศธ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเปลี่ยนสถานภาพของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ที่เป็นส่วนราชการไปเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรแก้ไขร่างมาตรา ๑๕ เกี่ยวกับการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของสถาบัน และการกู้ยืมเงินของสถาบันตามร่างมาตรา ๑๓ (๕) จะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะและกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐด้วย รวมทั้งปรับปรุงเนื้อหาตามร่างมาตรา ๑๘ เกี่ยวกับองค์ประกอบของสภาสถาบันที่มาจากบุคคลภายนอก และควรกำหนดให้มีการวางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกเงิน การรับเงิน การเก็บรักษาเงินรายได้ และระบบการติดตามและรายงานผลการใช้จ่ายเงินให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางวิชาการที่สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของสถาบันฯ และวางระบบการบริหารจัดการการเงินการคลัง รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษา สามารถนำข้อมูลมาใช้ประกอบการวางแผนการผลิตและการพัฒนากำลังคนให้มีความชัดเจน เป็นรูปธรรมและรองรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15716 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท่าธง และตำบลอาซ่อง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท่าธง และตำบลอาซ่อง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกินหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การเลี้ยงชีพสามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่มั่นคงมีแรงจูงใจในการพัฒนาผลผลิต และสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินให้เกษตรกรได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมควรพิจารณาให้สอดคล้องกับการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล และควรพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาด รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่เหมาะสมกับเงื่อนไขการพัฒนาในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15717 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2560 | นร11 | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์ทางสังคม มีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ค่าจ้างแรงงานภาคเกษตรและสาขาบริการ ผลิตภาพแรงงานขยายตัวได้ดี หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว การพัฒนาคุณภาพการศึกษายังต้องเร่งดำเนินการ การเจ็บป่วยยังต้องเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อ การตั้งครรภ์ในกลุ่มวัยรุ่นลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูงและยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เด็กและเยาวชนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไปในทางไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ลดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเด็กและเยาวชน คดีอาญาลดลง การเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลลดลง ประชาชนมีการออมเพื่อเกษียณอายุเพิ่มขึ้น การสื่อสารกับผู้บริโภคเป็นช่องทางสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภค ๒. ประเด็นเฝ้าระวังและที่ต้องดำเนินการในปี ๒๕๖๑ ได้แก่ การติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ การป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคซึมเศร้าและการลดภาวะทุพพลภาพจากอุบัติเหตุและการเจ็บป่วย และการขยายหลักประกันทางสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15718 | รายงานการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี สมัยที่ 62 (CSW 62) ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และคณะ | พม | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี สมัยที่ ๖๒ (The sixty-second session of the Commission on the Status of Women : CSW 62) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม CSW 62 ในนามกลุ่มประเทศอาเซียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้กล่าวถึงความก้าวหน้าของการดำเนินงานด้านสตรีในกรอบประชาคมอาเซียนว่า อาเซียนมีเป้าหมายในการพัฒนาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเป็นประชาคมแห่งสันติภาพ ความมั่นคง และความยั่งยืน วิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียน ๒๐๒๕ ที่ได้รับการรับรองเมื่อปี ค.ศ. ๒๐๑๕ นั้น มีหลักการสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นหลักการที่มุ่งมั่นที่จะบูรณาการความเสมอภาคระหว่างเพศในการพัฒนานโยบายต่าง ๆ โดยอาเซียนมีผลงานสำคัญ ๆ ในประเด็นความเสมอภาคระหว่างเพศที่เพิ่งได้รับการรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ ที่ผ่านมา ได้แก่ ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ๒๐๒๕ แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการส่งเสริมสตรี สันติภาพและความมั่นคงในอาเซียน และวาระว่าด้วยการบูรณาการการเสริมความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจของสตรีในอาเซียน โดยการดำเนินงานของอาเซียนมีความก้าวหน้าหลายด้าน เช่น ทำให้สตรีเข้าไปมีบทบาทในภาคเศรษฐกิจ และทำให้เกิดการจ้างแรงงานสตรีมากขึ้น เป็นต้น ๒. การเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลม ในหัวข้อ “ตัวอย่างที่ดีในการเสริมสร้างความเข้มแข็งต่อสตรีในชนบท โดยผ่านการป้องกันความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ การเข้าถึงความยุติธรรม การบริการสาธารณสุข และสวัสดิการสังคม” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการพัฒนาสตรีในชนบททั้งทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาศักยภาพ และการกระจายบริการด้านสาธารณสุข เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสตรีชนบทอย่างสมบูรณ์ และเป็นรากฐานที่สำคัญเพื่อจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ (๒) การบริการด้านสาธารณสุข และ (๓) การขจัดความรุนแรงต่อสตรี ๓. กิจกรรมคู่ขนานของประเทศไทย (Side Event) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เป็นประธานและกล่าวเปิดงานกิจกรรมคู่ขนานในหัวข้อการเข้าถึงเทคโนโลยีและการสื่อสาร : เพื่อการสร้างความเข้มแข็งให้สตรีในชนบทในบริบทอาเซียน (Women’s Access to Technologies and Media : Empowering rural women in the ASEAN region) โดยกล่าวถึงความสำคัญของบทบาทของเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญในการขับเคลื่อน “ไทยแลนด์ ๔.๐” เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศไทยภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสตรีชนบทในการเข้าถึงทรัพยากร การพัฒนาศักยภาพ การบริการสาธารณสุข และสวัสดิการสังคมได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15719 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี 2559 และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | สม | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสิทธิต่าง ๆ ๔ ส่วนหลัก ได้แก่ (๑) สถานการณ์ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เช่น การทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุม (๒) สถานการณ์ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น สิทธิด้านการศึกษา สิทธิด้านสุขภาพ (๓) สถานการณ์สิทธิมนุษยชนกรณีเฉพาะ เช่น การค้ามนุษย์ ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๔) สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ คนไร้รัฐและไร้สัญชาติ กลุ่มคนพิการ กลุ่มเด็ก กลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตาม และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบด้วย ๒ ส่วนหลัก ได้แก่ รายงานผลการปฏิบัติงานส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี ๒๕๕๙ และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้ส่งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเพื่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพิจารณาต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยให้ทุกภาคส่วนรับรู้และมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงสถานการณ์ดังกล่าวให้ประเทศต่าง ๆ และองค์กรระหว่างประเทศทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15720 | ขออนุมัติเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายค้างเบิกงบประมาณ พ.ศ. 2560 จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) | ศธ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายค้างเบิกปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๔ รายการ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวนรวม ๖๔,๔๘๒,๒๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีรายการและวงเงินคำขอ ดังนี้ ๑.๑ เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวครูโรงเรียนเอกชน วงเงิน ๓,๙๘๙,๖๐๐ บาท ๑.๒ เงินอุดหนุนโครงการอาหารเสริม (นม) วงเงิน ๑๙,๑๙๑,๐๐๐ บาท ๑.๓ เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนเอกชน วงเงิน ๓๙,๕๙๘,๖๐๐ บาท ๑.๔ เงินอุดหนุนสถาบันศึกษาปอเนาะ วงเงิน ๑,๗๐๓,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ไม่เกิดปัญหาการทุจริต หรือการใช้จ่ายเงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
|
.....