ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 785 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15681 - 15700 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15681 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 3 (12 กันยายน 2559-12 กันยายน 2560) | นร | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับรูปแบบการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กขร. ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ มีมติรับทราบร่างรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) และให้นำกราบเรียนนายกรัฐมนตรี และเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ รับทราบรายงานฯ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานฯ เพื่อเผยแพร่ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. กขร. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๑ มีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับรูปแบบการรจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) จากการจัดพิมพ์เอกสารเป็นรูปเล่มเพื่อเผยแพร่ เป็นการจัดทำในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-booK) เพื่อเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15682 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ 3 ปี 6 เดือน | ดศ | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ ๓ ปี ๖ เดือน ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติได้เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ ๒-๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ จากประชาชนกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ จำนวน ๕,๘๐๐ ราย โดยผลการสำรวจความคิดเห็นฯ ด้านการติดตามข้อมูลข่าวสาร/รายงานของรัฐบาล ประชาชนมากกว่าร้อยละ ๘๐ ติดตามข้อมูลข่าวสาร/รายงานของรัฐบาล ด้านการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา มากกว่าร้อยละ ๙๐ ทราบเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล ด้านความพึงพอใจในภาพรวมต่อการดำเนินงานของรัฐบาล ร้อยละ ๖๕.๘ ระบุว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด และความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล ประชาชนมากกว่าร้อยละ ๕๐ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด ในส่วนของความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ร้อยละ ๖๓.๘ มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด การเพิ่มเบี้ยยังชีพอีก ๑๐๐ บาทต่อเดือน ให้แก่ผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีรายได้น้อยในโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนร้อยละ ๙๔.๓ เห็นด้วย และเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วน ๕ อันดับแรก ได้แก่ การควบคุมสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้มีราคาแพง การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ การแก้ปัญหายาเสพติด การแก้ปัญหาหนี้สิน และการปรับขึ้นค่าแรงให้เพียงพอกับค่าครองชีพ รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการ (๑) ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ประชาชนรับทราบน้อย (๒) เร่งรัดและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาตามความต้องการของประชาชนอย่างเร่งด่วน มุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดกฎหมาย และติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับวิธีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล โดยในประเด็นคำถามควรมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาล ให้ครอบคลุมถึงพื้นที่ กิจกรรม ตลอดจนจำแนกตามระดับรายได้ของประชาชน เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลในลักษณะการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15683 | ร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. .... | กห | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายขอบเขตการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น “สำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ” โดยเป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะซึ่งไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์การร่วมทุนกับสำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ การกำหนดแนวทางป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล และการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง ขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน) และให้กระทรวงกลาโหมเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะต่อไป รวมทั้งการใช้จ่ายเงินและการกู้ยืมเงินของสำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15684 | รายงานผลการปฏิบัติงาน กสทช. ประจำปี 2560 | กสทช | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประจำปี ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย
๑. ผลงานที่สำคัญของ กสทช. ในปี ๒๕๖๐ ๒. แผนการดำเนินงานและงบประมาณรายจ่ายในปี ๒๕๖๑ ๓. งบการเงินของสำนักงาน กสทช. สำหรับงวดปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๔. ปัญหาและอุปสรรคในการประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ที่มีความสำคัญต่อประชาชน ๕. คุณภาพและอัตราค่าบริการโทรคมนาคมประเภทต่าง ๆ ๖. ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภค กรณีกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ ๗. ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ๘. รายงานสภาพตลาดและการแข่งขันของกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ในปี ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15685 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2560 | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงิน โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๔.๑ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ที่ร้อยละ ๓.๗ ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดีในทุกตลาดส่งออกสำคัญและในเกือบทุกหมวดสินค้า และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูง ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๖ ใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งแรกของปีซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๗ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๑ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี ๒๕๖๐ ที่อัตราร้อยละ ๓.๙ จากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่องตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัวชัดเจน ๒. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ โดยในการตัดสินนโยบายอัตราดอกเบี้ย กนง. ได้คำนึงถึงผลบวกและผลลบของแต่ละทางเลือกนโยบาย (Policy Trade-offs) ทั้งในด้านระยะเวลาที่อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย การสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และการสะสมความเปราะบางในระบบการเงินภายใต้ภาระอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และเห็นว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันมีความเหมาะสม ๓. การติดตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยแม้ว่ามีทิศทางขยายตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่อง แต่การส่งผ่านผลดีจากการขยายดังกล่าวไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนและมีแนวโน้มใช้ระยะเวลานานกว่าในอดีต ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยประเด็นที่ กนง. ให้ความสำคัญ ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคุณภาพสินเชื่อในบางธุรกิจที่ยังด้อยลงแม้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรและธุรกิจ SMEs
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15686 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2560) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๔.๑ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การลงทุนภาครัฐหดตัวเนื่องจากการลงทุนบางส่วนยังเผชิญกับข้อกำจัดด้านประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของบางหน่วยงาน ทำให้ล่าช้าออกไปจากแผน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ส่วนด้านเสถียรภาพต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ เนื่องจากเห็นว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังเอื้อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายเพียงพอและสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างเข้มแข็ง ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ มีเงินสำรอง เงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ๒.๓ ด้านนโยบายระบบชำระเงิน ธปท. ได้ส่งเสริมและพัฒนาบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการระบบพร้อมเพย์ และผลักดันให้มีการพัฒนาและส่งเสริมการใช้มาตฐาน Quick Response Code (QR Code) เพื่อการชำระเงินและการโอนเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค เพิ่มช่องทางการรับเงินของภาคธุรกิจที่สะดวก และต้นทุนต่ำ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายส่งเสริมการเชื่อมโยงระบบหรือบริการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยการผลักดันให้มีกฎระเบียบที่รองรับและเอื้อต่อการชำระเงินข้ามพรมแดน และกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15687 | สถานการณ์ด้านแรงงานเดือนมกราคม 2561 และประมาณการไตรมาส 1 ปี 2561 | รง | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์ด้านแรงงานเดือนมกราคม ๒๕๖๑ และประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การจ้างงาน ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อัตราการจ้างงานขยายตัวร้อยละ ๓.๑๖ (YoY) และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๓.๑๓ (YoY) เนื่องจากภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวสูง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัวลง และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล โดยประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ อัตราการจ้างงานจะขยายตัวร้อยละ ๒.๑๗ (YoY) และแนวโน้มการจ้างงานในภาพรวมปี ๒๕๖๑ อยู่ในภาวะปกติ ๒. สถานการณ์การว่างงาน ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๒๖ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๙๖ เนื่องจากผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและอยู่ระหว่างการรองานมีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมถึงในภาคอุตสาหกรรมมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานเพิ่มขึ้น โดยประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ จะมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๐.๘๙ ๓. สถานการณ์การเลิกจ้าง ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคม มาตรา ๓๓ อยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๒ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๑ เนื่องจากในภาคอุตสาหกรรมมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานเพิ่มขึ้น ๔. ประเด็นด้านแรงงานที่น่าสนใจ คือ ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาผลิตภาพแรงงานต่ำ เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น แรงงานมีความชำนาญหรือทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโลก เป็นต้น โดยกระทรวงแรงงานได้จัดทำแผนแม่บทการเพิ่มผลิตภาพแรงงานและแผนปฏิบัติการการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) เพื่อใช้เป็นกรอบในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจด้านผลิตภาพแรงงาน และตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศไทย ๔.๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15688 | ร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและครอบคลุมการทำธุรกรรมที่มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการพิจารณาข้อกฎหมายที่อาจมีความเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายฉบับอื่น ๆ การนำแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาปรับใช้ เช่น การกำหนดให้ภาคธุรกิจที่ทำสัญญาต่างตอบแทนต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาไว้ในเอกสารชี้ชวนหรือสัญญา หรืออาจดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น การประกาศกำหนดค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา การคุ้มครองเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์ การแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำในบางมาตรา และการแก้ไขประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15689 | ขอความเห็นชอบโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ปี 2561 ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) | พม | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ปี ๒๕๖๑ ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ดำเนินการโดยกรมประชาสัมพันธ์ จำนวน ๑๐ โครงการ รวม ๑๙๒ หน่วย วงเงินงบประมาณ ๑๕๓.๙๙๓๒ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนที่อยู่อาศัยให้แก่ข้าราชการรายได้น้อยถึงปานกลางของกรมประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) และส่วนภูมิภาค [๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดระนอง จังหวัดสงขลา (บ้านสานฝันปันน้ำใจ) จังหวัดลำปาง และจังหวัดตาก] ได้มีที่อยู่อาศัยและได้มาตรฐาน ใกล้สถานที่ทำงาน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กรมประชาสัมพันธ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละระดับ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กรมประชาสัมพันธ์พิจารณาแนวทางการจัดรัฐสวัสดิการอย่างเหมาะสม โดยให้กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเข้าพักอาศัยในโครงการให้มีความชัดเจน และให้ความสำคัญกับกลุ่มข้าราชการผู้มีรายได้น้อยเป็นลำดับแรก รวมถึงจัดทำมาตรการดำเนินการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เช่น การจัดระเบียบการอยู่อาศัย การเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางสำหรับใช้ในการบำรุงรักษาอาคารและสภาพแวดล้อมทั่วไป และกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาในการอยู่อาศัยของโครงการ เช่น เมื่อข้าราชการมีระดับรายได้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดต้องออกจากโครงการและไปใช้สิทธิอื่น ตลอดจนพิจารณารูปแบบการก่อสร้างและขนาดการลงทุนที่เหมาะสมและเป็นไปตามบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างของสำนักงบประมาณ เพื่อให้การใช้งบประมาณของภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุด ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15690 | รายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ 2 | มท | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ ๒ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเปิดตลาดประชารัฐและการจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้า การปรับปรุงตลาดให้ได้มาตรฐานตลาดประชารัฐ หลักสูตรและจัดการอบรมผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (CMO) คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ การส่งเสริมตลาดประชารัฐเพื่อการท่องเที่ยว การประเมินโครงการตลาดประชารัฐเพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ และก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15691 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ | นร11 | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งประกอบด้วยความก้าวหน้าการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ความก้าวหน้าการดำเนินการปฏิรูปประเทศ การติดตามประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ การสร้างการรับรู้และขยายหุ้นส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ และการดำเนินการในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ ๒. มอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ประสานงานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ คณะ เพื่อพิจารณาจัดลำดับกิจกรรมที่สำคัญและเร่งด่วนในประเด็นการปฏิรูปด้านต่าง ๆ และนำกิจกรรมปฏิรูปดังกล่าวมาขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ในขั้นตอนการดำเนินการให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. แผนการปฏิรูปประเทศ พระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๗ บัญญัติให้ระบุวงเงินที่คาดว่าจะใช้ในการดำเนินการ ตลอดจนประมาณการของแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งปรากฏว่าแผนแต่ละด้านระบุวงเงินไว้สูงมากและกำหนดให้ตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่เป็นอันมาก โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมิได้พิจารณาความเร่งด่วนและความพร้อมทางด้านบุคลากร และการเงินการคลังของประเทศตามความในวรรคสอง จึงให้ผู้เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทเสนอมายังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๔. มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์กับสาธารณชนเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการตามประเด็นการปฏิรูปภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศให้ถูกต้อง ทั่วถึง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงกันด้วย ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดทำระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลตามแผนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15692 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทย การส่งออกของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ขยายตัวสูงสุดในรอบ ๗ ปี ที่ร้อยละ ๑๐.๓ (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๒๐,๓๖๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งออกกระจายสู่ตลาดศักยภาพและตลาดใหม่อื่น ๆ ได้มากขึ้น ด้านการนำเข้า คิดเป็นมูลค่า ๑๙,๒๒๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๖ (YoY) จากการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ เช่น สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน วัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการผลิตในประเทศ และสินค้าอุปโภค ด้านการส่งออกรายสินค้าและรายตลาด โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๖ ที่ร้อยละ ๐.๓ (YoY) โดยเฉพาะข้าว น้ำมันปาล์ม ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และไก่สดแช่แข็งและแปรรูป รวมทั้งการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๒ ที่ร้อยละ ๑๑.๕ (YoY) จากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ และน้ำมันสำเร็จรูป ขณะที่การส่งออกสินค้าบางชนิดหดตัว เช่น ทองคำ และแผงวงจรไฟฟ้า ด้านการส่งออกรายตลาดยังคงขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อาเซียน และตะวันออกกลาง ๒. แนวโน้มการส่งออกปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออกของไทย และทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามอุปสงค์โลก สำหรับสินค้าสำคัญที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15693 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2561 | มท | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย หัวข้อหลักในการรณรงค์ใช้ชื่อว่า “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” ช่วงเวลาการดำเนินการระหว่างวันที่ “๑๑ เมษายน ๒๕๖๑-๑๗ เมษายน ๒๕๖๑” และมาตรการสำคัญ ได้แก่ (๑) มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน (๒) มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม (๓) มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ (๔) มาตรการดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว (๕) มาตรการความปลอดภัยทางน้ำ และ (๖) มาตรการด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุทางถนนให้ครบถ้วนในทุกมิติ เช่น สาเหตุหรือปัจจัยของการเกิดอุบัติเหตุ สถิติการเกิดอุบัติเหตุ ผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เป็นต้น และจัดทำเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการวางแผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในภาพรวมของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15694 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร07 | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น และให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีดังกล่าวที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปรับฟังความคิดเห็นให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๗๗ วรรค ๒ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15695 | รายงานผลการเบิกจ่าย และแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ งบประมาณทั้งสิ้น จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๔๗๐,๕๕๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๐.๗๑ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑.๕๙ (เป้าหมายภาพรวม ร้อยละ ๕๒.๒๙) และรายจ่ายลงทุนรายการปีเดียว (ไม่รวมงบกลาง) ที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๕๔,๖๑๗ ล้านบาท สำหรับประมาณการก่อหนี้ผูกพันรายจ่ายลงทุนรายการปีเดียว (ไม่รวมงบกลาง) โดยหักรายจ่ายลงทุนหน่วยงานดำเนินการเอง รายการค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน รายการค่าครุภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะพิเศษหรือจัดซื้อจากต่างประเทศ และรายการยกเลิกและเงินเหลือจ่ายจากการจัดซื้อจัดจ้าง หลังวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๓๙,๐๐๗ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ คาดว่าจะมีการก่อหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นประมาณ ๖,๘๗๐ ล้านบาท จากรายการที่มีสถานะรอลงนาม และ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ คาดว่าจะมีการก่อหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นประมาณ ๑๔,๕๕๔ ล้านบาท จากรายการที่มีสถานะทราบผลการประกวดราคาแล้ว ๑.๒ เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันรายจ่ายลงทุนรายการปีเดียวให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ สำหรับรายจ่ายลงทุนรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้เร่งรัดดำเนินการและก่อหนี้ผูกพันในโอกาสแรก ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15696 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๘๔๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๖๐ จำนวน ๒๕๔,๒๗๓,๗๔๖.๙๔ บาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๘๖,๘๒๖,๒๕๓.๐๖ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๘๖,๘๒๖,๒๕๓.๐๖ บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง พร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑ ให้ได้ตามเป้าหมาย โดยเกษตรกรผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้บริการพร้อมเพย์ (Promptpay) ในการรับ-โอนค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการรับประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในอนาคต และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่การประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๕๙ และ ๒๕๖๐ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๑ ได้ทันที ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ และการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. เตรียมการเพื่อให้เกษตรกรกลุ่มที่ได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจาก ธ.ก.ส. ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับภาระโดยจ่ายเบี้ยประกันภัยส่วนหนึ่งในการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ๑.๘ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ จะต้องมีความเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ของฤดูกาลเพาะปลูกอย่างแท้จริง รวมทั้งประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการประกันภัยในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนเกษตรกรผู้เอาประกันภัย จำนวนพื้นที่การเพาะปลูก ประเภทของภัยที่จะคุ้มครอง อัตราเบี้ยประกันภัย อัตราค่าสินไหมทดแทน และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ควรพิจารณาผลการดำเนินงานโดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่เหมาะสม แต่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมและมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเป็นประจำทุกปี ตลอดจนเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายผลไปยังข้าวนาปรัง ซึ่งมีโอกาสได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางการเกษตรเช่นกัน รวมถึงสินค้าเกษตรที่สำคัญอื่น ๆ ในระยะต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15697 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผังเมือง (พลเอก เกษม ยุกตวีระ) (กรรมการผังเมืองขอลาออก และขอแต่งตั้งกรรมการผังเมืองทดแทนตำแหน่งที่ว่าง) | มท | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลเอก เกษม ยุกตวีระ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมในคณะกรรมการผังเมือง แทนผู้ที่ลาออก ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรี (๑๐ เมษายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15698 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล) | วธ | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ เมษายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15699 | การแต่งตั้งข้าราชการ (จำนวน 2 ราย 1. นายปรเมธี วิมลศิริ 2. นายสมชัย สัจจพงษ์) | นร | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เสนอ ดังนี้
๑. นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งเดิมซึ่งต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ๒. นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15700 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2561 | นร | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ และตรวจราชการ ระหว่างวันที่ ๗-๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ : จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์) โดยจัดกำหนดการนายกรัฐมนตรีตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ และจัดการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
.....