ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 486 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 9701 - 9720 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
9701 | แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.07 | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒.
ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9702 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 4/2563 | นร.11 | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) (ศบค.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ
ได้แก่ (๑) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙ และภาพรวมเศรษฐกิจ (๒) ข้อเสนอมาตรการเศรษฐกิจรายสาขาจากภาคเอกชน
(๓) ความคืบหน้าการดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจ (๔)
ความคืบหน้ามาตรการด้านการท่องเที่ยว และ (๕) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9703 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 24/2563 | นร.11 | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
โดยเฉพาะการแก้ไขปรับปรุงข้อมูลของโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
และเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้โดยเร็ว และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชัดเจนของโครงการ/รายการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์
อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ
ของภาครัฐ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9704 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต รวม 4 ฉบับ | คค. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต
รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และในท้องที่เขตจตุจักร
เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา
จังหวัดปทุมธานี ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เพื่อปรับปรุงทางเท้าบริเวณบันไดขึ้น-ลง
สถานีรถไฟฟ้า ลิฟต์ ตอม่อ และทางลาดของคนพิการ บริเวณสถานีต่าง ๆ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้ใช้ทางเท้าอื่นในการสัญจรไปมา
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. .... ๑.๒
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน
เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
พ.ศ. .... ๑.๓
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. .... ๑.๔
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. ....
๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงคมนาคมควรให้ความสำคัญในการป้องกันปัญหาการกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
และควรกำหนดมาตรฐานในการก่อสร้างรถไฟฟ้าให้ชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
การรถไฟแห่งประเทศไทยควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
ควรมอบหมายให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และควรมอบหมายให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยประสานและบูรณาการกับกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงทางเท้าบริเวณบันไดขึ้น-ลงลิฟต์
ตอม่อ และทางลาดของคนพิการให้เป็นไปตามความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9705 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (จังหวัดภูเก็ต) | นร.04 | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ และตรวจราชการ ระหว่างวันที่ ๒-๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
โดยการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ณ
จังหวัดภูเก็ต พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต
ระนอง และสตูล) และตรวจราชการ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดภูเก็ต
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9706 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง แผนปฏิบัติการความร่วมมือไทย - สปป.ลาว เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน (โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด หมู่บ้านอุดมไซ เมืองเวียงทอง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2565) | ยธ. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒) เรื่อง
แผนปฏิบัติการความร่วมมือไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน
โดยขอยกเลิกเฉพาะโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด หมู่บ้านอุดมไว
เมืองเวียงทอง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
กระทรวงยุติธรรมควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดการประชุมทวิภาคีไทย-สปป.ลาว
เรื่อง ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ ๑๘ อีกครั้ง
ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อกำหนดพื้นที่ใหม่ในการดำเนินโครงการฯ
ได้แก่ เมืองคำเกิดและเมืองปกกะดิ่ง แขวงบอลิคำไซ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ สปป.ลาว
เคยแจ้งเป็นการภายในว่ามีความพร้อมให้ฝ่ายไทยเข้าไปดำเนินโครงการฯ ได้ และ (๒)
เห็นควรให้มีการดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยให้หารือกับ สปป.ลาว
ถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาทางเลือกในพื้นที่อื่น ๆ ในปีงบประมาณต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9707 | มาตรการ "ช้อปดีมีคืน" | กค. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ของกระทรวงการคลัง
เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศในช่วงปลายปี ๒๕๖๓
โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
หักลดหย่อยค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ
สำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักร ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน
๓๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้อง
ครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการคลังและบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เห็นควรให้บริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด เข้าร่วมการดำเนินการตามมาตรการ “ช้อปดีมีคืน”
รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการลดราคาค่าบริการจัดส่งสินค้าให้กับผู้ใช้บริการเพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการบางประเภทให้แก่ผู้ขายสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
ซึ่งได้แก่ ค่าซื้อหนังสือ
หรือค่าบริการหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
และค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน
เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
๔.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9708 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ.
๒๕๔๕
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสามารถประกาศกำหนดมูลฝอยติดเชื้อเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงดังกล่าวได้
และกำหนดมาตรการเพิ่มเติมสำหรับการเก็บและการขนมูลฝอยติดเชื้อ
เพื่อคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชนและป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการจัดการมูลฝอยติดเชื้อนั้น
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควร (๑)
พิจารณาแก้ไขชื่อร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้เป็น “ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการมูลฝอยติดเชื้อ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....” เนื่องจากบทบัญญัติของร่างกฎกระทรวงดังกล่าวครอบคลุมถึงการเก็บ
ขน และการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ (๒) กำหนดให้มีการคัดแยกประเภทหรือชนิดความอันตรายของมูลฝอยติดเชื้อ
กำหนดเครื่องหมายหรือข้อความที่ระบุบนภาชนะที่ใช้จัดเก็บมูลฝอยติดเชื้ออย่างเหมาะสม
และกำหนดผู้ดำเนินการหรือผู้รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอน (๓) มีข้อกำหนดที่รัดกุมเกี่ยวกับการควบคุมการเก็บ
ขน และการป้องกันการลักลอบทิ้งมูลฝอยติดเชื้อของเอกชน รวมทั้งกำหนดมาตรการการสร้างแรงจูงใจในเชิงบวกนอกเหนือจากการกำกับดูแล
และ (๔) พิจารณาถึงความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยอาจพิจารณาตั้งงบประมาณและบุคลากรในการช่วยอบรมให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และการเตรียมความพร้อมของแหล่งกำเนิดมูลฝอยติดเชื้อ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9709 | บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเกรตบริเตนและนอร์เทิร์นไอร์แลนด์เรื่องแผนงานสร้างเสริมสุขภาพ | สธ. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราขอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเกรตบริเตนและนอร์เทิร์นไอร์แลนด์เรื่องแผนงานสร้างเสริมสุขภาพ
(Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom
of Thailand and the Government of the United Kingdom of Great Britain and
Northern Ireland on the Better Health Programme) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกันในประเด็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ และการศึกษาและการฝึกอบรม
เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนพรอสเพอริตี้ (Prosperity
Fund) การพัฒนาผลลัพธ์ทางสุขภาพในประเทศไทย และการส่งเสริมการเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า
เพื่อให้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรูปแบบของเอกสารที่มิใช่สนธิสัญญา
จึงขอเสนอให้ตัดวรรคก่อนวรรคท้าย “IN WITNESS WHERE OF, the
undersigned, being duly authorized by their respective authorities, have signed
this Memorandum of Understanding.” ออก ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9710 | แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศปีงบประมาณ 2564 (แผนปฏิบัติการประจำปี 2564) | พณ. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ (แผนปฏิบัติการประจำปี ๒๕๖๔)
ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ครั้งที่
๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติแผนปฏิบัติการระยะยาว
กองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำปี ๒๕๖๔-๒๕๖๘
และแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปีงบประมาณ ๒๕๖๔
(แผนปฏิบัติการประจำปี ๒๕๖๔) ซึ่งเป็นโครงการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๑๑
หน่วยงาน จำนวน ๒๓๗ โครงการ วงเงิน ๑,๐๔๗,๖๐๒,๕๐๐ บาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9711 | ขออนุมัติยกเว้นการจำกัดความสูงในการก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า | กห. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้กองทัพบกได้รับการยกเว้นการจำกัดความสูงในการก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
โดยไม่นำข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง
ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล
แขวงดุสิต แขวงสวนจิตรลดา แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงสามเสนใน
เขตพญาไท แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และแขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม
เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๖ ในประเด็นการก่อสร้างอาคารสูงเกินข้อกำหนดมาใช้กับการก่อสร้างอาคารหอพักอาศัยของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม
(กองทัพบก) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า
พื้นที่ดังกล่าวอยู่บนที่ดินราชพัสดุ
ซึ่งเมื่อก่อสร้างอาคารดังกล่าวแล้วเสร็จจะต้องนำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุต่อกรมธนารักษ์
และควรให้ความสำคัญในการควบคุมกำกับดูแลโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องต่อไป
นอกจากนี้ อาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์มีความสูงเกินจากข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครฯ
การออกแบบและการวางผังอาคารควรจะต้องให้ความสำคัญกับภูมิทัศน์และพื้นที่สำคัญในบริเวณโดยรอบด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9712 | ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | คค. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ
ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ซึ่งสิ้นสุดการมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ออกไปอีก ๒ ปี โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เพื่อพัฒนาและกระชับความร่วมมือด้านระบบราง
โดยเฉพาะการพัฒนาการขนส่งทางรถไฟและระบบขนส่งมวลชนในเมือง โดยการดำเนินกิจกรรมใด ๆ
ภายใต้แถลงการณ์ร่วมฯ จะยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งไม่มีผลกระทบใด ๆ
แม้ว่าแถลงการณ์ร่วมฯ จะสิ้นสุดการมีผลใช้บังคับไปแล้ว ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9713 | มอบหมายการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน (ปัญหาการก่อสร้างเส้นทาง คมนาคมขนส่ง ทางระบายน้ำ และการสร้างการรับรู้ของประชาชน) | นร. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายหน่วยงานให้ดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรุงเทพมหานคร) ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการก่อสร้างถนนและทางเท้าในพื้นที่กรุงเทพมหานครและในเขตปริมณฑลให้มีความเหมาะสมเป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกำหนดอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่มีการเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งต่าง
ๆ เพื่อลดผลกระทบในการสัญจรที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน เช่น
ปัญหาการเกิดน้ำท่วมขังรอระบาย และปัญหาความไม่สะดวกในการใช้ทางเท้า เป็นต้น ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ/โครงการต่าง
ๆ ของรัฐมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว
เท่าทันสถานการณ์และเข้าร่วมใช้สิทธิ์หรือเข้ารับบริการต่าง ๆ
ตามมาตรการ/โครงการต่าง ๆ ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป ทั้งนี้
ให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบเส้นทางคมนาคมขนส่งทั้งหมดในภาพรวม
เพื่อแก้ไขปัญหาเส้นทางคมนาคมที่กีดขวางทางน้ำไหลหรือที่ไม่มีท่อระบายน้ำ (Box
Culvert) อย่างเหมาะสม
และให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามลำดับความสำคัญอย่างเร่งด่วน
รวมทั้งให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาในทำนองเดียวกันในพื้นที่รับผิดชอบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9714 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2563 ของการประปาส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม) | มท. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๓ ของการประปาส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม)
จำนวน ๖ โครงการ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๔
สาขา ได้แก่ สาขาเพชรบูรณ์-หล่มสัก สาขาเดิมบางนางบวช สาขาสมุทรสาคร-นครปฐม
และสาขาด่านช้าง
และเป็นโครงการก่อสร้างปรับปรุงกิจการประปาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒ สาขา
ได้แก่ สาขานครศรีธรรมราช องค์การบริหารส่วนตำบลท่าเรือ และสาขานครศรีธรรมราช
เทศบาลตำบลการะเกด วงเงินรวม ๑๑,๔๕๑.๕๖ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินอุดหนุน จำนวน
๘,๐๒๗.๔๑ ล้านบาท เงินรายได้ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๗๔๘.๓๕ ล้านบาท
และเงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๒,๖๗๕.๗๐ ล้านบาท สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) จัดทำรายละเอียดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของโครงการที่แสดงถึงศักยภาพและความพร้อมในทุกมิติเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้การประปาส่วนภูมิภาคใช้จ่ายเงินลงทุนจากรายได้เป็นลำดับแรก
และหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ให้กู้เงินในประเทศ
โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้การประปาส่วนภูมิภาครับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น (๑)
หากมีโครงการบางส่วนไม่สามารถจัดหาที่ดินและแหล่งน้ำดิบได้และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงที่ตั้งโครงการหรือยกเลิกโครงการ
การประปาส่วนภูมิภาคควรพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกโครงการตามขั้นตอนต่อไป
(๒)
การประปาส่วนภูมิภาคควรเร่งดำเนินการจัดหาที่ดินตามแผนการดำเนินงานให้แล้วเสร็จก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโครงการ
(๓) การประปาส่วนภูมิภาคควรจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ในแต่ละพื้นที่โครงการ
และในอนาคตต้องดำเนินการขออนุญาตใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๓
(เรื่อง โครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๓ ของการประปาส่วนภูมิภาค)
ที่ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาที่ดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ยังไม่มีความพร้อมด้านที่ดิน
เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งดำเนินการจัดหาที่ดินตามแผนการดำเนินงานให้แล้วเสร็จก่อนนำโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
อย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9715 | การปรับปรุงแนวทางการขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแปลกฎหมายและตรวจสอบรับรอง คำแปลกฎหมาย | นร.09 | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ดังนี้ ๑.
แนวทางการขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแปลกฎหมายและตรวจสอบรับรองคำแปลกฎหมายที่เสนอปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากแนวทางในการจัดทำคำแปลกฎหมายในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันและสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบัน
และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งเกิดความชัดเจนและเป็นระบบเดียวกัน อันจะทำให้การจัดทำคำแปลของกฎหมายและการเผยแพร่กฎหมายเพื่อบริการประชาชนมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาสามารถแก้ไขปรับปรุงแนวทางดังกล่าวในส่วนที่เป็นรายละเอียดและไม่กระทบหลักการสำคัญ
และแจ้งเวียนให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9716 | ร่างปฏิญญาพิเศษของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดโดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 75 | กต. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างปฏิญญาพิเศษของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดโดยวิธีออนไลน์
ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๕
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาพิเศษฯ
โดยร่างปฏิญญาพิเศษฯ
เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
โดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๕ (Online Ministerial Meeting of the Non-Aligned Movement on the
margins of the General Debate of the 75th Session of the United
Nations General Assembly) มีสาระสำคัญเป็นการประณามการปะทะกันระหว่างสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานกับสาธารณรัฐอาร์เมเนีย
แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิต
รับทราบข้อเรียกร้องของเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๓ และสนับสนุนการยุติความขัดแย้งระหว่างสองประเทศดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาพิเศษฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9717 | การขอความเห็นชอบต่อร่างขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (TOR of ACWC) ฉบับแก้ไข | พม. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการแก้ไขขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก
(Terms of Reference of the ASEAN Commission on the Promotion and
Protection of the Rights of Women and Children : TOR of ACWC) ซึ่งการแก้ไข
TOR of ACWC เป็นการแก้ไขใน ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ (๑)
องค์ประกอบ (เพิ่มเติมในหมวดย่อยว่าด้วยขั้นตอนการคัดเลือกคณะผู้แทนเพื่อเข้าร่วมเป็นกรรมาธิการ
แก้ไขวาระการดำรงตำแหน่งของผู้แทน และแก้ไขในหมวดย่อยว่าด้วยประธานและรองประธาน)
(๒) แนวทางการดำเนินงาน
(แก้ไขในหมวดย่อยว่าด้วยลำดับขั้นการเสนอรายงานประจำปีและรายงานอื่น ๆ) และ (๓)
บทบัญญัติทั่วไปและบทบัญญัติสุดท้าย (แก้ไขในหมวดย่อยว่าด้วยการทบทวนแผนการดำเนินงาน)
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาของประเทศไทย
มีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อการแก้ไข TOR of ACWC ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียนในโอกาสแรกภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างขอบเขตฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว
เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อไป
เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและความเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9718 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 52 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(ASEAN Economic Ministers : AEM) ครั้งที่ ๕๒
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายสรรเสริญ
สมะลาภา) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๔-๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๓
ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่
การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕๒ เช่น รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจที่เวียดนามผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จในปี
๒๕๖๓ และการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และการตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) เป็นต้น การประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน
ครั้งที่ ๓๔ เช่น ข้อตกลงที่ได้ข้อสรุปและพร้อมจะลงนามภายในปีนี้ ได้แก่ ข้อตกลงยอมรับร่วมสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
ข้อตกลงยอมรับร่วมสาขาวัสดุก่อสร้าง การทบทวนข้อตกลงยอมรับร่วมในผลการตรวจสอบและรับรองของอาเซียน
และประเด็นที่ได้ข้อสรุปแล้ว ได้แก่ กรอบความตกลงอาเซียนด้านยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน เป็นต้น รวมทั้งการหารือของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
และการหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9719 | การขออนุมัติดำเนินงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) | กษ. | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการโครงการเข้าร่วมงาน The International
Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ณ เมือง Almere
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร)
เป็นหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารและเตรียมงานเบื้องต้น
ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการดังกล่าวไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๑,๖๑๖,๓๐๐ บาท สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
ให้กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาทบทวนการจัดทำตัวชี้วัดหรือหลักเกณฑ์ในการประเมินผลลัพธ์ของการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมและแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ
รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ควรมีแผนบริหารความเสี่ยงกรณีที่ยังคงมีการระบาดของไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) อยู่ เพื่อมิให้มีการลงทุนที่สูญเปล่าหากไม่สามารถเข้าร่วมงานได้
และควรเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการภาคเอกชนในการดำเนินการและสนับสนุนค่าใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9720 | ขอขยายเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | นร.51 | 12/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบสรุปผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ ในเขตพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา
และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอสุไหงโก-ลก
อำเภอสุคิริน และอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส
ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ ๒.
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ในพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา
และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอสุไหงโก-ลก
อำเภอสุคิริน และอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ออกไปอีก ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม
๒๕๖๓-๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ ๓. เห็นชอบร่างประกาศ
และร่างข้อกำหนด รวม ๔ ฉบับ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๓.๑ ร่างประกาศ เรื่อง
พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ๓.๒ ร่างประกาศ เรื่อง
การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ๓.๓ ร่างประกาศ เรื่อง
กำหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามมาตรา ๒๑
แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓.๔ ร่างข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๔. เมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลงแล้ว
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลส่งให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
เพื่อรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว
ตามมาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.
๒๕๕๑ ต่อไป ๕. ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยที่เห็นควรพิจารณากำหนดมาตรการในการพัฒนาประสิทธิภาพ
การกำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องให้บูรณาการการดำเนินการให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ
(พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐)
แผนการดำเนินการที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
และแผนเผชิญเหตุในแต่ละสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
รวมทั้งพิจารณาจัดให้มีการติดตามประเมินผลความเหมาะสมในการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
โดยผ่านกลไกระบบตัวชี้วัดเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|