ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 481 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 9601 - 9620 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
9601 | แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2563 – 2565 | ยธ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เพื่อใช้เป็นกรอบทิศทางการดำเนินงาน
เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ประสานการปฏิบัติ จัดสรรทรัพยากร
และติดตามประเมินผลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยแผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย ๕
มาตรการ (๙ แนวทาง) ได้แก่ (๑) มาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศ (๒)
มาตรการการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย (๓) มาตรการการป้องกันยาเสพติด (๔)
มาตรการการบำบัดรักษายาเสพติด และ (๕) มาตรการการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประจำปีให้สอดคล้องรองรับกับแผนปฏิบัติการฯ
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลกลไกการขับเคลื่อนในแต่ละระดับ
รวมทั้งการกำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดเพื่อให้สามารถติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามแผนปฏิบัติการฯ
เห็นควรให้ดำเนินการในลักษณะบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งนำไปเป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9602 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 | นร.14 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาเรื่องที่หน่วยงานเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อทราบ ๕ เรื่อง ได้แก่
ผลการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. จำนวน ๗ คณะ
ผลการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม
๒๕๖๓ ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรี และงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรี
ตรวจงานในพื้นที่ และการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
และงบประมาณรายจ่ายแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และรายงานสถานการณ์น้ำที่ผ่านมา สถานการณ์น้ำปัจจุบัน และการคาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๑.๒ เรื่องเพื่อพิจารณา ๔ เรื่อง ได้แก่
โครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ที่วงเงินงบประมาณเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท
ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกำหนดขอบเขต บทบาท ภารกิจ
หน้าที่และอำนาจของหน่วยงานด้านการบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศ
การมอบหมายให้คณะกรรมการลุ่มน้ำคณะหนึ่งคณะใด ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการลุ่มน้ำประจำลุ่มน้ำตามมาตรา
๒๗ (มาตรา ๑๐๐ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑)
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์
ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง ภายใต้ กนช. และคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการฯ ๑.๓ เรื่องอื่น ๆ ๒ เรื่อง ได้แก่
การปรับปรุงองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจ ของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด
และการแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานประปาหมู่บ้าน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสั่งการของประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชนทั้งประเทศ
และการประชุมในครั้งนี้ เป็นการร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำให้กับประชาชน
ทั้งน้ำอุปโภค-บริโภค น้ำเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว
ทุกหน่วยงานต้องร่วมกันหาวิธีการดำเนินงานอย่างไรให้มีการกระจายน้ำได้อย่างทั่วถึง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9603 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด
ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) เมื่อวันอังคารที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
จังหวัดภูเก็ต ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9604 | ข้อเสนอโครงการภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” | ทส. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบโครงการภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน”
ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันสืบเนื่องมาจากข้อเสนอของที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ
(กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล)
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๑๑ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน
๒,๐๙๘.๕๔๘๘ ล้านบาท สำหรับโครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล
พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง วงเงิน ๒๐๐.๐๐๐๐
ล้านบาท เห็นควรให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องโดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) เร่งจัดเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ของโครงการ อาทิ
สถานที่ดำเนินโครงการ แบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้าง อัตรากำลัง
และการบริหารจัดการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ ความต้องการหรือประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นและความพร้อมของโครงการ
ให้สอดคล้องกับฐานะการคลังของประเทศด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9605 | สรุปผลการประชุมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต
เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีประเด็นหารือที่สำคัญ คือ
ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ต
ข้อเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภูเก็ต
มาตรการส่งเสริมการจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
และมาตรการส่งเสริมการจัดสัมมนาของภาครัฐในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรง
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9606 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2563 | นร.10 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓
ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม และมีข้อสั่งการสำคัญ ๓ ประเด็น
เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้กำกับและติดตามการดำเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ให้นำเสนอวัฒนธรรมของประเทศในลักษณะ Soft Power เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ
รวมถึงการสร้างความภาคภูมิใจ ความรัก ความสามัคคีของประชาชนภายในประเทศ ๒.
ให้พิจารณาทบทวนแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการให้สอดคล้อง
เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วนตามสถานการณ์ ทั้งนี้
ให้คำนึงถึงบริบทของการเปลี่ยนฉับพลันทางดิจิทัล (Digital Disruption)
และความพร้อมในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของประชาชน ๓.
ให้มีการทำงานแบบบูรณาการ มุ่งเน้นการทำงานให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
โดยเฉพาะการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเปราะบางของสังคม
ซึ่งถือเป็นวาระเร่งด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9607 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.02 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบสรุปรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ซี่งมีรายละเอียดครอบคลุม ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑)
งานสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องสื่อสารที่สำคัญประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยคณะอนุกรรมการทบทวนนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕
(พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในภาพรวมของประเทศผ่านสื่อต่าง ๆ
ซึ่งประชาชนมีข้อเสนอต่อการพัฒนางานประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานภาครัฐในประเด็นต่าง ๆ
(๒) งานบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐและประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้องค์ความรู้เพื่อบริหารจัดการข่าวลวง
โดยคณะอนุกรรมการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนร่วมกับทุกกระทรวงดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ เช่น ประชาสัมพันธ์เชิงรุก สร้างองค์ความรู้ ต่อต้านข่าวปลอม
และจัดทำระบบตรวจสอบข่าวปลอมที่มีมาตรฐาน เป็นต้น และ (๓) งานพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ
โดยคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศได้ดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ได้แก่ พัฒนาหลักสูตรเดิมให้เป็นหลักสูตรการสื่อสารในยุคดิจิทัล
และการนำหลักสูตรการสื่อสารในยุคดิจิทัลของสถาบันการประชาสัมพันธ์ไปใช้ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง
ๆ และมอบหมายหน่วยงานภาครัฐรับข้อเสนอของประชาชนไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่ กปช. เสนอ ๒. ให้ กปช. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการติดตามประเมินผลการรับรู้และเข้าใจข่าวสารของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9608 | ขออนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณตามแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2564-2568) ของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ศธ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณตามแผนการดำเนินงานระยะ
๕ ปี ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘) ของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซีมีโอ) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๓๕.๙๑ ล้านบาท เพื่อดำเนินงานตามภารกิจของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
ภายใต้วิสัยทัศน์ว่า “เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศในระดับภูมิภาคด้านการวิจัยและการพัฒนาศักยภาพด้านสะเต็มศึกษาที่ส่งเสริมนโยบายและแนวปฏิบัติที่รองรับด้วยงานวิจัย”
ซึ่งมีกรอบแนวทางการดำเนินงานตามภารกิจของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ ได้แก่ (๑)
การประเมินและวิจัยเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของประเทศและภูมิภาคด้านงานวิจัยเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา
เพื่อให้ผู้นำทางการศึกษามีข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายที่มีฐานจากงานวิจัย (๒)
การพัฒนาสื่อและศักยภาพบุคลากรทางการศึกษา เพื่อวิจัย
พัฒนาและทดสอบสื่อการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
และเผยแพร่สู่สถาบันการศึกษาและโรงเรียน อีกทั้งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาทั้งในระดับผู้นำด้านนโยบาย
ผู้บริหารการศึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษา ครู ศึกษานิเทศก์ในด้านการเป็นผู้นำด้านการจัดการสะเต็มศึกษา
และ (๓) การให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การสร้างพันธมิตร และการสื่อสาร โดยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เช่น (๑) ควรสนับสนุนตามแผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
โดยจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามระยะเวลาของแผนงาน
โดยกำหนดผลสัมฤทธิ์ที่แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ
การบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ และ (๒) แผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
เป็นแผนที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานภายในเฉพาะศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
เท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องนำแผนดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณากลั่นกรองแผนระดับที่
๓ ตามแนวทางการนำเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
โดยสามารถดำเนินการเสนอแผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนปกติ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9609 | ผลการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน | มท. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน
และเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน
ภายใต้แนวคิด “การลดความยากจนและเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง : การฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19)” โดยสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในฐานะประธานการประชุมสมัยพิเศษฯ
ได้จัดการประชุมสมัยพิเศษฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๓
เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของแต่ละประเทศในการรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งแลกเปลี่ยนมาตรการในการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถปรับตัวได้ต่อการเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างขีดความสามารถของกลุ่มคนยากจนให้สามารถปรับตัวได้
ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการอาเซียนได้จัดทำร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน
โดยเฉพาะกลุ่มคนยากจนในพื้นที่ชนบทที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
เช่น
การสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นและระบบการผลิตอาหารให้สามารถขับเคลื่อนไปได้
การสร้างหลักประกันว่าทุกประเทศมีกรอบแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูประเทศที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับคนยากจน
และการส่งเสริมการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในชนบท เป็นต้น
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนที่จะร่วมมือกันขจัดความยากจน
และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซี่งรวมถึงผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ
ซี่งมีเนื้อหาสอดคล้องกับการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐
ของสหประชาชาติ โดยเฉพาะในการบรรลุเป้าหมายที่ ๑ ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable
Development Goals : SDGs) ซึ่งมีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของความยากจนขั้นรุนแรงที่ชัดเจน ดังนั้น หากยังสามารถแก้ไขได้ ควรปรับถ้อยคำในวรรคปฏิบัติการที่
๑ (ย่อหน้าที่ ๕ ในหน้า ๒) จากคำว่า “poor population” เป็น “population living in
poverty” เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการตาม SDGs ก็จะทำให้เนื้อหาของร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีความสมบูรณ์และชัดเจนขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9610 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 | พณ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑
พร้อมมาตรการคู่ขนาน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และอนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปี ๒๕๖๓/๖๔ รอบที่ ๑ พร้อมมาตรการคู่ขนาน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณเบื้องต้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
โดยกระทรวงพาณิชย์ควรหารือร่วมกับ ธ.ก.ส.
ในการจัดทำประมาณการค่าชดเชยต้นทุนเงินให้มีความสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
๑๒ เดือน ณ ปัจจุบันของ ธ.ก.ส. ด้วย สำหรับค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. ให้คงอัตราเช่นเดียวกับ
ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้เป็นตามวัตถุประสงค์โครงการ/มาตรการอย่างแท้จริง
และกระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ทั้งพันธุ์ข้าว
โครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
ตลอดจนการยกระดับมูลค่าข้าวจากการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน
และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันที่จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9611 | การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 24 ผ่านระบบการประชุมทางไกล | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ (GMS) ครั้งที่ ๒๔
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ (GMS Minister) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS
ครั้งที่ ๒๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
รวมทั้งเห็นชอบให้รัฐมนตรีวาการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยไม่มีการลงนามในการประชุมดังกล่าว โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการรับทราบถึงการระบาดของโรคโควิด-๑๙ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออนุภูมิภาค GMS
การชื่นชมแผนงาน GMS ที่ได้ใช้กลไกเชิงสถาบันในฐานะแผนงานความร่วมมือระหว่างประเทศในทั้ง
๑๐ สาขา และการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศ GMS ดำเนินการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์ระยะยาวของแผนงาน
GMS ปี ๒๕๗๓ (GMS-๒๐๓๐) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9612 | ผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูฝนปี 2563 และมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 2563/2564 | นร.14 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝนปี ๒๕๖๓
เพื่อเตรียมความพร้อมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝนปี ๒๕๖๒/๖๓
โดยการติดตามปริมาณฝนสะสม
และประเมินปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อวางแผนการจัดสรรน้ำให้เพียงพอในทุกกิจกรรม
รวมทั้งมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี ๒๕๖๓/๒๕๖๔
โดยบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง
การพัฒนาบำรุงรักษาแหล่งน้ำด้านน้ำต้นทุน
การควบคุมการใช้น้ำในเขตพื้นที่ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
และจัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ ติดตาม วิเคราะห์
ประเมินสถานการณ์การใช้น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9613 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 27/2563 | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้จังหวัดในฐานะหน่วยรับงบประมาณเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
และรายงานผลการดำเนินงานตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนด
รวมทั้งให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เร่งปรับปรุงข้อมูลของโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
เพื่อให้สามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายและลงทุนให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
และสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในภาพรวมได้ตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนของแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9614 | ขออนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 | กษ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง
ระยะที่ ๒ ซึ่งมีหลักการเดียวกับโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑
โดยมีสาระสำคัญเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางโดยการประกันรายได้ให้แก่เกษตรกรเป็นรายเดือนสำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย
(กยท.) ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยเป็นสวนยางอายุ ๗ ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดแล้ว
รายละไม่เกิน ๒๕ ไร่ กำหนดระยะเวลาประกันรายได้ ๖ เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม
๒๕๖๓-มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งเงินที่เกษตรกรจะได้รับคำนวณจากส่วนต่างราคายางที่ประกันรายได้
เช่น (ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ๖๐ บาท/กิโลกรัม) กับราคากลางอ้างอิงการขาย
โดยจะจ่ายให้กับเกษตรกรผ่านทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ใช้เงินทุนสำรอง ธ.ก.ส. สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม
โดยต้องคำนึงถึงสถานะทางการเงินการคลังของประเทศในแต่ละปีต่อไป
ส่วนค่าบริหารโครงการฯ เห็นควรให้ กยท. ใช้จ่ายจากเงินกองทุนพัฒนายางพาราในลำดับแรก
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กยท.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
(๑) ควรมีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อสร้างเสถียรภาพที่มั่นคงยั่งยืนและช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐ
(๒) ควรมีมาตรการที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรชาวสวนยางสามารถมีรายได้จากหลากหลายทาง
เพื่อรองรับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น (๓) ควรกำหนดราคาประกันรายได้เท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้ส่วนต่างของต้นทุนการผลิตสูงเกินความจำเป็น
และควรพิจารณามาตรการเร่งรัดและติดตามการดำเนินการที่ทันต่อสถานการณ์และจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์
และ (๔) ควรมีมาตรการในการลดปริมาณยางในระบบ
และส่งเสริมการใช้ยางในประเทศให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ยางระยะ ๒๐ ปี
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9615 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว | กค. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว
ประกอบด้วย การปรับปรุงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบ SMEs ธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง
การปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee
Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัส
การขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำออมสินช่วยเหลือ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว (โครงการ Soft loan ออมสินฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย)
วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท
และการขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง
ควรกำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
อย่างครอบคลุม เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
นอกจากนี้ ควรศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา
รวมทั้งการแก้ไขกฎหมาย
กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือสำหรับการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9616 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล)
ซึ่งมีข้อสั่งการตามประเด็นการพัฒนากลุ่มจังหวัด เช่น (๑)
การพัฒนาคุณภาพด้านการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานอย่างยั่งยืน (๒) การพัฒนาระบบและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าภาคเกษตร
ประมงและปศุสัตว์ที่มีศักยภาพในพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
และ (๓) การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพต้นทุนมนุษย์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น
โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบด้วย
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9617 | การปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงโคเปนเฮเกนเป็นการถาวร และการพ้นจากตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงโคเปนเฮเกน ราชอาณาจักรเดนมาร์ก (นายคาร์สเตน เด็งเคอ นีลเซน) | กต. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. การปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงโคเปนเฮเกน
ราชอาณาจักรเดนมาร์ก เป็นการถาวร ๒.
การพ้นจากตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำกรุงโคเปนเฮเกน
ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ของ นายคาร์สเตน เด็งเคอ นีลเซน) เนื่องจากถึงแก่กรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9618 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์
โดยรัฐบาลสนับสนุนวงเงินชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ ๓
ต่อปี จำนวนไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒
อนุมัติขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
เป็นการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการทั้งสองโครงการเดิมให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้ออกไปและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามระยะเวลาการขยายระยเวลาชำระคืนเงินกู้พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา
FDR+1
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ รวมทั้งขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการ
(ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัย และค่าจ้างผลิตยาง) รวมทั้งสิ้น ๘๙๘.๗๖ ล้านบาท ๑.๓
อนุมัติปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขอสินเชื่อได้จากทั้งธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ
(สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้ยางเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในปีการผลิต
๒๕๖๓ เพื่อลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๔ อนุมัติเพิ่มกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง
(ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่เป็นรายเดือน
และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒ ต่อปี ๒.
สำหรับแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพารา
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนยางพารา เป็นต้น และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษามาตรการและแนวทางเพิ่มเติมในการดูดซับอุปทานส่วนเกินของยางพาราในระบบ
และ (๒)
การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
การยางแห่งประเทศไทยจึงควรหาวิธีชำระคืนเงินกู้โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย)
เร่งดำเนินการระบายสต็อกยางในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางให้หมดไปโดยเร็ว
โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาและระดับราคาจำหน่ายที่เหมาะสม
เพื่อลดภาระงบประมาณและรักษาประโยชน์สูงสุดของรัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9619 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร) | พน. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9620 | การแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี | ทส. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี รวม ๒๗ คน
และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี รวม ๗ ข้อ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงาน
ก.พ.ร.
ที่เห็นควรคำนึงถึงมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศประกอบด้วยเสมอ
และเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องดำเนินการยุบเลิกคณะกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาและจัดตั้งอุทยานธรณี
และคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องในทันที ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |