ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1357 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 27121 - 27140 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 27121 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2008 มาใช้ในทุกสายการเดินรถ ปัจจุบัน ขสมก. ได้รับใบรับรองคุณภาพ ISO 9001 : 2008 จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ทุกสายเดินรถ ๒. การดำเนินการตามโครงการขันน็อตของกระทรวงคมนาคม ๒.๑ โครงการซ้ายตลอดจอดทุกป้าย สร้างวินัยจราจร วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการ ลดจำนวนเรื่องร้องเรียน และการกระทำผิดกฎหมายจราจรของพนักงานขับรถโดยสาร ๒.๒ โครงการบริการดีมีน้ำใจ สร้างความพึงพอใจให้ประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบริการของพนักงานเก็บค่าโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพ กล่าวคำ “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๓ โครงการสายตรวจลดอุบัติเหตุ เป็นมิตรกับประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพกล่าวคำว่า “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๔ โครงการรักษ์ท่า รักษ์สะอาด รักษ์ความปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงท่าปล่อยรถทุกสายให้อยู่ในสภาพดี สะอาด เป็นระเบียบ ปลอดภัย จำนวน ๑๓๖ ท่า และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการรักษาความสะอาดและปลอดภัยตามคู่มือระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2008 ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน ๒.๕ โครงการสร้างวินัยจราจร สร้างความปลอดภัยที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง วัตถุประสงค์เพื่อกำหนดป้ายรถโดยสารประจำทางที่มีผู้ใช้บริการมากในแต่ละถนน โดย ขสมก. ได้จัดผู้บริหาร พนักงานตรวจการ นายตรวจ และเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานให้บริการประชาสัมพันธ์ตามป้ายที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ตามถนนสายหลัก สายรอง และป้ายรถโดยสารประจำทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะขึ้น-ลง และรอรถโดยสารประจำทาง ๒.๖ โครงการบริการดี ขับขี่ปลอดภัยไปกับรถเมล์ฟรี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจในการใช้บริการรถเมล์ฟรี เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์การ และหันมาใช้บริการรถโดยสารประจำทางเพิ่มขึ้น ๒.๗ โครงการนายท่า IT วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับนายท่าจัดทำข้อมูลในการบริหารการเดินรถ ระบบปล่อยรถ รวมทั้งลดขั้นตอนและเวลาการทำงานของพนักงานในกลุ่มของนายท่าและพนักงานจัดทำสารสนเทศด้านการเดินรถ ๓. การปรับปรุงการปล่อยรถโดยสารประจำทางทุกช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขสมก. ได้จัดทำแผนการปล่อยรถโดยสารประจำทางรายสายจำแนกตามเขตการเดินรถที่ ๑-๘ และได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. นำรถออกวิ่งในช่วงเวลา ๑๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ให้ครบร้อยละ ๑๐๐ ของทุกสายการเดินรถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนในช่วงเย็น ๔. การกำกับดูแลบริษัทเหมาซ่อมรถโดยสารดำเนินการซ่อมบำรุงรถโดยสารประจำทางให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรงและสามารถออกวิ่งให้บริการมากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27122 | รายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2556 ของกระทรวงการคลัง | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การให้ความช่วยเหลือด้านอุปโภคบริโภคผ่านส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๒๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี พังงา ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ พิษณุโลก ตาก พิจิตร ลพบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครนายก ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพังงา ปราจีนบุรี นนทบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง เสื้อชูชีพ จำนวน ๒๖๕ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๑๐,๓๐๐ ขวด ข้าวสาร ๕ กิโลกรัม จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง และอื่น ๆ ได้แก่ เครื่องกรองน้ำ ๑๙๐ เครื่อง ปลากระป๋อง ๑๑ ลัง ปลาหมึกแห้ง ๑ ถุงใหญ่ และให้ยืมเครื่องสูบน้ำ ๒ เครื่อง ๑.๒ กรมธนารักษ์ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตราด และปราจีนบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๓ กรมบัญชีกลางได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมบัญชีกลางที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๔ กรมศุลกากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๕ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ตาก ปราจีนบุรี สระแก้ว และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๒,๓๐๐ ถุง และข้าวสาร จำนวน ๗๕๐ กิโลกรัม ๑.๕ กรมสรรพากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา โดยการบริจาคเงิน จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท และบริจาคเรือ จำนวน ๒๐ ลำ ๑.๖ กรมสรรพสามิตได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพสามิตที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑๑๒ ถุง และเรือ จำนวน ๗ ลำ ๑.๗ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของธนาคารใน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย บริจาคเงิน จำนวน ๔๗,๐๐๐ บาท ถุงยังชีพ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ถุง เรือ จำนวน ๔ ลำ และอื่น ๆ ได้แก่ อาหารกล่อง จำนวน ๕,๐๐๐ ชุด ๑.๘ ธนาคารออมสินได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ตาก ขอนแก่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครราชสีมา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๖,๖๒๐ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๗,๗๐๐ ขวด และอื่น ๆ ได้แก่ เสื้อชูชีพ ๑๐ ตัว และยารักษาโรค ๒,๐๐๐ ชุด ๑.๙ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ นครสวรรค์ พิจิตร สระแก้ว ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ และนครนายก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๓,๒๕๓,๕๕๔ บาท แบ่งเป็น ถุงยังชีพ จัดเลี้ยงอาหารและน้ำดื่ม ณ จุดรวมพล จำนวน ๒๖,๖๒๙ ราย เป็นเงิน ๑๓,๓๑๔,๖๑๖ บาท มอบเงินบำรุงขวัญแก่ลูกค้าผู้กู้ที่เสียชีวิต จำนวน ๒ ราย (รายละ ๒๐,๐๐๐ บาท) เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท และมอบเงินเพื่อโครงการป้องกันและบริหารความเสี่ยงภัย จำนวน ๑๙,๘๙๘,๙๓๘ บาท ๑.๑๐ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (เขตหนองจอก) จังหวัดฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒,๒๐๐ ถุง ๒. การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประสบอุทกภัยผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมาตรการต่าง ๆ คือ การผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระคืนหนี้เดิม การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การผ่อนปรนเวลาชำระหนี้เงินกู้ การลดดอกเบี้ย กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มาตรการพักหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การเพิ่มวงเงินฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ การให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยจะพิจารณาเป็นราย ๆ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เดิม ซึ่งประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นลูกค้าอยู่ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27123 | การลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏาน | พณ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในสารัตถะของร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏาน (Trade Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Royal Government of Bhutan) โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมสาขาความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ความร่วมมือด้านการค้า/การลงทุน การอำนวยความสะดวกทางการค้า การท่องเที่ยว การก่อสร้าง ด้านสุขภาพ/การรักษาพยาบาล การศึกษา ด้านพลังงาน ด้านโลจิสติกส์ รวมทั้งการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๑.๑.๒ การยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าที่นำเข้ามาชั่วคราวเพื่อใช้เป็นตัวอย่าง/สินค้าโฆษณาที่ไม่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์ เครื่องมือ/ชิ้นส่วนสำหรับการประกอบและซ่อมแซม และสินค้าสำหรับแสดงในงานแสดงสินค้าซึ่งจะต้องส่งกลับไป (Re-export) โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบภายในของแต่ละภาคี ๑.๑.๓ การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) เพื่อทบทวนการดำเนินการตามความตกลงทางการค้าฉบับนี้ พิจารณาแนวทางขยายการค้าระหว่างกัน และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการค้าระหว่างกัน ๑.๑.๔ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการติดต่อทางธุรกิจระหว่างบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนและส่งเสริมการเปิดสาขาธุรกิจในแต่ละภาคี โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบภายในของแต่ละภาคี ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และเร่งสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนในรายละเอียดของความตกลงฯ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งติดตามประเมินผลเพื่อขยายไปสู่ความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27124 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2556 | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญาเงินกู้ระยะยาว ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๓ รายการ วงเงินรวม ๑๔,๖๒๔,๘๑๘,๑๓๔.๒๓ บาท ประกอบด้วย ตั๋วสัญญาใช้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑/๑ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑/๒ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และสัญญาเงินกู้ระยะยาวเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑/๑ จำนวน ๔,๖๒๔,๘๑๘,๑๓๔.๒๓ บาท โดยชำระคืนต้นเงินกู้จากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๒ จำนวน ๔,๕๐๐ ล้านบาท จากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง จำนวน ๗,๒๖๑,๕๐๘,๑๓๔.๒๓ บาท และจากการกู้เงินโดยตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน ๒,๘๖๓,๓๑๐,๐๐๐ บาท ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๙ (LB236A) อายุคงเหลือ ๙.๗๘ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๒๕ ต่อปี เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๘,๘๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และได้มีการประมูลตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุ ๒ ปี วงเงิน ๓,๖๖๙,๙๙๘,๑๓๔.๒๓ บาท รวมจำนวน ๑๒,๔๙๙,๙๙๘,๑๓๔.๒๓ บาท เพื่อนำไปชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่ใช้ชำระคืนเงินกู้ดังกล่าว จำนวน ๗,๒๖๑,๕๐๘,๑๓๔.๒๓ บาท และเงินทดรองจ่ายคงค้างเดิม จำนวน ๕,๒๓๘,๔๙๐,๐๐๐ บาท ๓. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ ฉบับ ประกอบด้วย ๓.๑ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๙ ๓.๒ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ๓.๓ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การปรับลดวงเงินการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๙ ๓.๔ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๓
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27125 | รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2556 | อก | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนและการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ปี ๒๕๕๕ วิสาหกิจทั่วประเทศในปี ๒๕๕๕ มีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๗๘๑,๙๔๕ ราย จำแนกเป็นวิสาหกิจขนาดใหญ่ จำนวน ๗,๕๙๑ ราย ขณะที่ SMEs มีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๗๓๙,๑๔๒ ราย และอื่น ๆ ๓๕,๒๑๒ ราย โดยจำนวน SMEs คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๕ ของวิสาหกิจทั่วประเทศ จำแนกตามกลุ่มวิสาหกิจพบว่า อยู่ในภาคการขายส่ง ขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ฯ มากที่สุด จำนวน ๑,๑๙๓,๐๓๘ ราย คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๕ รองลงมา อยู่ในภาคการบริการ จำนวน ๑,๐๓๕,๐๘๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๘ ส่วนภาคการผลิต จำนวน ๕๑๑,๐๑๕ ราย คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๗ ๒. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ของ SMEs ปี ๒๕๕๕ โดย GDP ปี ๒๕๕๕ มีมูลค่า ๑๑,๓๗๕,๓๔๙.๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ๘๓๕,๙๐๓.๐ ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๕ ส่วน GDP ของ SMEs มีมูลค่า ๔,๒๑๑,๒๖๒.๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๐ ของ GDP รวมทั้งประเทศ โดยมูลค่า GDP ของ SMEs ขยายตัวร้อยละ ๖.๖ เมื่อพิจารณามูลค่า GDP ตามขนาดวิสาหกิจ พบว่า วิสาหกิจขนาดย่อม (SE) มีบทบาทด้านมูลค่า GDP สูงกว่าวิสาหกิจขนาดกลาง (ME) โดยอยู่ที่ ๒,๘๒๔,๘๙๘.๒ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๖.๕ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๒๔.๘ ของ GDP รวม ส่วน GDP ของ ME มีมูลค่า ๑,๓๘๖,๓๖๔.๕ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๖.๘ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑๒.๒ ของ GDP รวม ๓. การค้าระหว่างประเทศของ SMEs ปี ๒๕๕๕ ๓.๑ ด้านการส่งออก มีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น ๗,๐๙๑,๑๖๒.๒๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า คิดเป็นร้อยละ ๕.๗ เป็นการส่งออกของ SMEs มูลค่า ๒,๐๔๓,๖๖๔.๙๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๘.๘ ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๗ ตลาดส่งออกที่สำคัญของ SMEs ไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยมีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ ๑๑.๗, ๑๐.๒ และ ๙.๙ ตามลำดับ ทั้งนี้ ตลาดที่ SMEs สามารถขยายการส่งออกได้สูงสุด ได้แก่ ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๑.๕ รองลงมา คือ กัมพูชา เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๖.๓ สินค้าที่ SMEs มีการส่งออกในสัดส่วนสูงที่สุด คือ กลุ่มสินค้าประเภทอัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก ยางและของที่ทำด้วยยาง ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ ๑๖.๒, ๘.๗ และ ๗.๓ ตามลำดับ ๓.๒ ด้านการนำเข้า มีการนำเข้าจากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น ๗,๗๓๔,๕๐๓.๔๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐.๙ เป็นการนำเข้าของ SMEs มูลค่า ๒,๔๖๖,๙๙๓.๖๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๙ ของมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕ ตลาดนำเข้าที่สำคัญของ SMEs ไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ ๒๑.๖, ๑๗.๐ และ ๗.๙ ตามลำดับ สินค้าในกลุ่มที่ SMEs มีการนำเข้าสูงสุด คือ กลุ่มสินค้าประเภทอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรและส่วนประกอบ รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ โดยมีสัดส่วนร้อยละ ๑๖.๑, ๑๕.๓ และ ๑๒.๖ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27126 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบบูรณาการสำหรับการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... เพื่อเป็นกรอบกฎหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถออกระเบียบเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน ตลอดจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการด้านการทำงานร่วมกันโดยมีวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบเดียวกันได้ คือ ระบบ National Single Window (NSW) ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ซึ่งระบบดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานของระบบการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างประเทศ หรือ ASEAN Single Window (ASW) ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และให้คำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วย รวมทั้งควรกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจัดทำระบบของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดในเชิงปฏิบัติ เพื่อช่วยให้คำแนะนำหรือกำหนดกรอบแนวทางในการพัฒนา เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นควรให้มีการดำเนินงานในการบริหารจัดการระบบ NSW โดยทำในรูปแบบ PMO (Project Management Office) ที่มีบุคลากรจากส่วนงานสำคัญที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ เช่น กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมทำงานแบบเต็มเวลาเพื่อนำไปสู่การผลักดันระบบ NSW ที่มีความพร้อมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ เพื่อผลักดันนโยบายของคณะกรรมการฯ ให้นำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27127 | ขอความเห็นชอบการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างอาเซียน - เยอรมนี (ASEAN-German Technical Cooperation Project on Sustainable Port Development in the ASEAN Region: SPD) ระยะที่ 2 (Verbal Note) | คค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจัดทำร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างอาเซียน-เยอรมนี (ASEAN-German Technical Cooperation Sustainable Port Development in the ASEAN Region : SPD) ระยะที่ ๒ (Verbal Note) ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๓ ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖-ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ เห็นชอบการจัดทำร่างความตกลงสำหรับดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างอาเซียน-เยอรมนี ระยะที่ ๒ (ASEAN-German Technical Cooperation Sustainable Port Development in the ASEAN Region : SPD) ๑.๓ เห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ แทนประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของเลขาธิการอาเซียนหรือผู้ที่เลขาธิการอาเซียนมอบหมายเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนไทยถาวรประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา เกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบของรัฐบาลไทยต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการทำความตกลงระหว่างประเทศโดยอาเซียนที่กำหนดให้รัฐบาลไทยจะต้องยินยอมผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในการลงนามร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว และภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมได้มีการจัดทำระบบ Manifest System ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลไกของอาเซียนเพื่อส่งเสริมการเฝ้าระวังและติดตามการลักลอบทิ้งของเสียที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งการทิ้งของเสียจากการเดินเรือทะเล (ASEAN Mechanism to Enhance Surveillance against Illegal Desludging and Disposal of Tanker Sludge at Sea) โดยเป็นหลักการร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน ดังนั้น ในการดำเนินโครงการควรนำเรื่องระบบ Manifest System มาพิจารณาด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลและบริหารท่าเรือ นำองค์ความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้กับท่าเรือแห่งอื่นภายในประเทศ เพื่อยกระดับการบริการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพในมาตรฐานเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27128 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางพัชรี ขันติพงษ์) | สธ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางพัชรี ขันติพงษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27129 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคาร และค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดวิเชียรบุรี ขนาด 8 บัลลังก์ 1 หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับงานที่เพิ่มขึ้น และขออนุมัติปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | ศย | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้สำนักงานศาลยุติธรรมเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดวิเชียรบุรี ขนาด ๘ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงิน ๑๒๐,๘๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๒๕,๐๒๓,๐๐๐ บาท โดยมีค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น จำนวน ๔,๒๒๓,๐๐๐ บาท และเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดวิเชียรบุรี ขนาด ๘ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงิน ๑,๙๕๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒,๐๓๔,๔๖๐ บาท โดยมีค่าควบคุมงานเพิ่มขึ้น จำนวน ๘๔,๔๖๐ บาท สำหรับการปรับแผนการใช้งบประมาณและการขยายระยะเวลาการก่อสร้าง ให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27130 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. .... | มท | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลกะลุวอเหนือ และตำบลกะลุวอ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27131 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน | พณ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ต่อต้านมาตรการกีดกันทางการค้า (Protectionist measures) ขยายเวลาที่จะคง (standstill) การไม่นำมาตรการใหม่ ๆ ที่เป็นการปกป้องทางการค้ามาใช้จนถึงปี ๒๕๕๙ และเรียกร้องให้สมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) แสดงเจตจำนงทางการเมืองและความยืดหยุ่นเพื่อให้การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ (The 9th WTO Ministerial Conference : MC9) เมื่อวันที่ ๓-๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย บรรลุผลสำเร็จ สนับสนุนการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA Expansion) ให้สามารถหาข้อสรุปได้ก่อน MC9 โดยได้ผลลัพธ์ที่มีคุณค่าเชิงพาณิชย์ น่าเชื่อถือ ปฏิบัติได้ และสมดุล ๑.๒ ยืนยันการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคให้เหลือร้อยละ ๕ หรือต่ำกว่า ภายในปี ๒๕๕๘ และเห็นชอบการจัดตั้งเวทีหุ้นส่วนภาครัฐและเอกชนเรื่องสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อม (APEC Public-Private Partnership on Environmental Goods and Services : PPEGS) เพื่อหารือประเด็นด้านการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนให้การส่งเสริมการค้าสินค้าที่สนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงโดยการพัฒนาชนบทและบรรเทาความยากจน นอกจากนี้ ต่อต้านและยกเลิกมาตรการที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนทางการค้า ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff measures : NTMs) และให้การรับรองแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสร้างงานและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน (APEC Best Practices to Create Jobs and Increase Competitiveness) เพื่อเสนอแนะนโยบายการสร้างงาน การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แทนการใช้มาตรการกำหนดเงื่อนไขให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ๑.๓ รับรองแผนงานด้านความเชื่อมโยงในกรอบเอเปค (APEC Framework on Connectivity) ประกอบด้วยความเชื่อมโยง ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านสถาบัน และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน และเพื่อบรรลุเป้าหมายปรับปรุงประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานของเอเปคให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี ๒๕๕๘ ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (APEC Trade and Investment Liberalization Sub-Fund on Supply Chain Connectivity) เพื่อใช้สำหรับกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร ๑.๔ ส่งเสริมบทบาทสตรีและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อการมีส่วนร่วมมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด ส่งเสริมความเป็นสากล ให้ความรู้เรื่องการเงิน และการคุ้มครองผู้บริโภค ตลอดจนให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางน้ำ พลังงาน และทางอาหาร โดยส่งเสริมความร่วมมือและนโยบายแบบบูรณาการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ภายในเวลาที่กำหนด การดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค ให้รับฟังความเห็นจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน รวมทั้งพิจารณามาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลเพื่อการเข้าถึงการค้าบริการ [APEC Services Trade Access Requirements (STAR) Database] ควรมีการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพ (Trade in Health Services) อย่างรอบคอบในทุกกรอบความร่วมมือ รวมทั้งท่าทีของประเทศไทยในการสนับสนุนการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA Expansion) เพื่อให้สามารถหาข้อสรุปได้ก่อนการประชุม MC9 อยู่บนฐานของความยืดหยุ่นและระดับการพัฒนาด้าน IT ที่แตกต่างกัน และไม่ควรมีผลกระทบต่อรายการสินค้าอ่อนไหวของความตกลงการค้าเสรีในกรอบอื่น ๆ ที่ได้ลงนามไปแล้ว รวมถึงต้องคำนึงถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม IT ภายในประเทศ และการปฏิบัติได้จริงตามกระบวนการศุลกากร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27132 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐรวันดา | กต | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐรวันดา (Memorandum of Understanding on the Establishment of Bilateral Consultations between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs and Cooperation of the Republic of Rwanda) โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกรอบการปรึกษาหารืออย่างเป็นทางการเป็นประจำในระดับปลัดกระทรวงหรือผู้แทน เพื่อทบทวนความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ การพาณิชย์ วิชาการ วัฒนธรรมและกงสุล อันจะนำมาซึ่งการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐรวันดาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ลงนาม ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการเจรจาและประชุมนานาชาติตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27133 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 14 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๔ (14th Informal ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 14th IAMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๙ (9th Meeting of the Conference of the Parties to the ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution : COP-9) การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ (Special ASEAN-Japan Ministerial Dialogue) และการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEAN Plus Three Environment Ministers Meeting) ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยในส่วนของผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมให้การรับรองแผนปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยสิ่งแวดล้อมศึกษา (ASEAN Environmental Education Action Plan : AEEAP) พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ ที่สิ้นสุดลง เพื่อเป็นแนวทางส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ๒. ที่ประชุมให้การรับรองอุทยานแห่งชาติ Mt. Makiling Forest Reserve in Los Banos ของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียนแห่งที่ ๓๓ ๓. ที่ประชุมรับทราบว่าประเทศไทยให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียนว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Agreement on the Establishment of the ASEAN Centre for Biodiversity) เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๔. ที่ประชุมเห็นชอบต่อการจัดพิธีมอบรางวัลเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนอาเซียน ครั้งที่ ๓ (3rd ASEAN ESC Award) และการมอบใบประกาศเกียรติคุณ ครั้งที่ ๒ (2nd Certificate of Recognition) ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๕. ที่ประชุมให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม การดำเนินการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการดำเนินการเรื่องการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน รวมถึงกิจกรรมภายใต้กรอบการดำเนินงาน ๑๐ ปีว่าด้วยการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27134 | การรับรองเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 11 | กต | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงของประธาน (Chair’s Statement) ฉบับวันที่ ๒๓ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๑๓ สำหรับการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑๑ (the 11th ASEM Foreign Ministers’ Meeting : ASEM FMM 11) โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นการแถลงเจตนารมณ์ทางการเมืองและนโยบายที่มีนัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประกอบกับการเข้าร่วมการประชุมและร่วมรับรองเอกสารผลการประชุม ASEM FMM 11 เป็นการสะท้อนท่าทีและเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศสมาชิก ASEM ๑.๒ อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย หรือผู้แทน รับรองเอกสารดังกล่าว ๑.๓ หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของร่างเอกสารผลการประชุม ASEM FMM 11 ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยก่อนจะมีการรับรองเอกสารดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรพิจารณาจัดกิจกรรมทางวิชาการเพื่อพัฒนาความร่วมมือกับประเทศสมาชิก ASEM ในด้านที่มีความสนใจร่วมกัน รวมทั้งปรับปรุงถ้อยคำในเอกสารดังกล่าวเพื่อให้มีความเหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27135 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรเลโซโทประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายอภิชาติ สุดแสวง) | กต | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอภิชาติ สุดแสวง เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรเลโซโทประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย สืบแทนนายรณพงศ์ คำนวณทิพย์ ที่ขอลาออกจากตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27136 | การขอรับเงินชดเชยจากรัฐ สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทร กรณีได้รับผลกระทบจากการขยายระยะเวลาก่อสร้าง ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 ครั้ง | พม | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติได้รับเงินชดเชยจากรัฐสำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทร จำนวนเงิน ๑๑๙.๔๒ ล้านบาท กรณีได้รับผลกระทบจากการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างในการขยายระยะเวลาก่อสร้าง ตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ ครั้ง ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในเขตจังหวัดที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งออกตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการก่อสร้างอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย) โดยใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่การเคหะแห่งชาติได้รับจัดสรรและงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินงานที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เพื่อให้การเคหะแห่งชาติสามารถปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐได้โดยไม่เกิดผลกระทบทางการเงิน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้การเคหะแห่งชาติขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยดังกล่าวให้เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการบ้านเอื้ออาทรได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27137 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดยโสธร พ.ศ. .... | มท | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดยโสธร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดยโสธร เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27138 | คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร | นร | 11/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้จัดประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยเชิญรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม ตามนัยมาตรา ๘ วรรคสอง ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยที่เห็นว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหว เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติและอยู่ในความสนใจของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งเข้าข่ายเป็นกรณีที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่สมควรจะรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
๑. ให้เสนอเรื่อง คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร ให้ประธานรัฐสภาเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา ๑๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารของประเทศไทย รายงานคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร สรุปได้ว่า คำพิพากษาของศาลฯ ให้ความสำคัญกับการที่ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจากัน โดยมีประเด็นหลัก ๆ ดังนี้ ๒.๑ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับฟังข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย และได้ยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒.๒ ศาลฯ รับฟังข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย โดยยืนยันว่าคำพิพากษาเดิมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งหมายความว่าศาลฯ ไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร และที่สำคัญศาลฯ ไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน ๑ ต่อ ๒๐๐,๐๐๐ ผูกพันไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒.๓ ศาลฯ รับตีความเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร (vicinity) ตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี ๒๕๐๕ โดยอธิบายว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และที่สำคัญไม่รวมพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งในส่วนของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนี้ ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปโดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ๒.๔ ศาลฯ ได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการที่จะต้องร่วมมือกันอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก ๓. ให้คณะที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพากษาเพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาลต่อไป ต่อจากนั้น ฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจาหารือภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย โดยจะต้องคำนึงถึงขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมาย ตลอดจนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย ๔. ให้ฝ่ายทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน รักษาอธิปไตยและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสันติภาพ สันติสุข และความสงบเรียบร้อยดังที่ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27139 | รายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ | นร | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่จะต้องจัดส่งให้ประเทศสหรัฐอเมริกาภายในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ยังมีข้อมูลหลายส่วนที่ยังไม่ชัดเจนและครบถ้วน รวมทั้งยังไม่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงการดำเนินการเพื่อแก้ไขต้นตอของปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งการดำเนินการในส่วนของศูนย์ช่วยเหลือสังคม (One Stop Crisis Center : OSCC) ยังขาดการประสานงานและการเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อรับประเด็นปัญหาและข้อร้องเรียนไปพิจารณาดำเนินการต่อไป จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการประสานและกำกับดูแลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์รับไปเร่งรัดดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อปรับปรุงรายงานความคืบหน้าดังกล่าวให้มีข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ถูกต้อง ชัดเจน ครบถ้วน ก่อนจัดส่งให้กับประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๓ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 27140 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... | นร09 | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากสถาบันการเงินของรัฐ และการใช้จ่ายเงินที่ได้มาจากการเรียกเก็บดังกล่าวในการพัฒนาระบบสถาบันการเงินและช่วยเหลือสถาบันการเงินของรัฐ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
