ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1356 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 27101 - 27120 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 27101 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (นักบริหารสูง) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายอภิมุข สุขประสิทธิ์) | นร04 | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอภิมุข สุขประสิทธิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27102 | การจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพฯ - นครศรีธรรมราช | นร07 | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประสานงานกับสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เกี่ยวกับการจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ในวันเสาร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้จากการจำหน่ายบัตรโดยสารโดยไม่หักค่าใช้จ่าย ร่วมสมทบทุนมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) โดยขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นนักบินที่ ๑ พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ร่วมเสด็จพระราชดำเนินในเที่ยวบินพิเศษมหากุศลในครั้งนี้ด้วย ในการนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประสานงานกับสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งได้รับพระราชทานวินิจฉัยให้จัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช โดยจะเสด็จพระราชดำเนินไปบำเพ็ญกุศล ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันเสาร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ ให้แต่งตั้งคณะทำงานอำนวยการการจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช โดยมีเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นประธานคณะทำงาน ผู้แทนจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ทำงานและเลขานุการ และผู้แทนจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และผู้แทนจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่สั่งการ อำนวยการ กำกับ กำหนดกิจกรรมดำเนินการ ติดตามการจัดทำแผนงานและกิจกรรม ประสานงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการรับเสด็จ บริหารจัดการงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายในกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งจัดหาผู้รับจ้างดำเนินการ การจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ตลอดรวมถึงดำเนินการอื่นใดที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งดำเนินการอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ๑.๓ บัตรโดยสารเครื่องบิน จำนวน ๑๐๐ ที่นั่ง ให้หน่วยงานที่มีรัฐวิสาหกิจในสังกัด ให้การสนับสนุนบัตรโดยสารเครื่องบิน จำนวน ๕๐ ที่นั่ง ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๕๐ ที่นั่ง ให้หน่วยงานอื่น ๆ ร่วมสนับสนุน โดยแจ้งยืนยันไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๑.๔ ให้ขอพระราชทานพระราชานุญาตเชิญพระนามาภิไธยย่อ ม.ว.ก. จัดทำเข็มที่ระลึกเพื่อพระราชทานให้แก่ผู้สนับสนุนบัตรโดยสารเครื่องบิน และนำรายได้ที่ได้จากการสนับสนุนทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายร่วมสมทบทุนมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ๒. อนุมัติหลักการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ภายในกรอบวงเงิน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27103 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ทก | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยครอบคลุมความร่วมมือด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง นวัตกรรมเทคโนโลยีด้านไอซีที แอพพลิเคชั่นด้านไอซีที การแลกเปลี่ยนทางสารสนเทศ การสื่อสารในกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งการคุ้มครองข้อมูลและความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยมิใช่เป็นการแก้ไขสาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 27104 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในข้อ ๑๗ ซึ่งจากเดิมกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติอยู่ในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาเป็นให้สำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติอยู่ในกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ๒. เพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พ.ศ. ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาหรือคัดเลือกผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด ๓. เพิ่มเติมบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ ก่อนที่ระเบียบฉบับแก้ไขใหม่จะมีผลใช้บังคับ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27105 | แถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ | กต | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ไทย-นิวซีแลนด์ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยร่างแถลงข่าวร่วมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และการต่อยอดผลการเยือนนิวซีแลนด์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งผลักดันความร่วมมือทวิภาคีในมิติด้านต่าง ๆ อาทิ การค้าและการเชื่อมโยงธุรกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการท่องเที่ยว ตลอดจนความร่วมมือในกรอบพหุภาคี นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแน่นแฟ้นตลอด ๕๗ ปี นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและนิวซีแลนด์ ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองแถลงข่าวร่วมฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามผลการเยือนนิวซีแลนด์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง สรุปผลการเยือนนิวซีแลนด์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี) รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องไปยังกระทรวงการต่างประเทศโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27106 | การจัดทำความตกลงในการเป็นประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาแห่งภาคีสถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศ (International Anti - Corruption Commission : IACA) ครั้งที่ 2 | ปช | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อจัดทำความตกลงในการเป็นประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาแห่งภาคี สถาบันป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศ (International Anti-Corruption Commission : IACA) ครั้งที่ ๒ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร (United Nations Conference Centre) และร่างหนังสือตอบรับของฝ่ายไทย ๑.๒ อนุมัติให้ผู้แทนไทยประจำ IACA เป็นผู้ลงนามในหนังสือตอบรับของฝ่ายไทย ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขความตกลงฯ ดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) โดยหากผู้ลงนามมิใช่นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องได้รับหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
||||||||||||||||||||||||
| 27107 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการปรับเงินเดือนเจ้าหน้าที่ (มูลนิธิโครงการหลวง) | กร | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามแนวทางและกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการปรับเงินเดือนเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิโครงการหลวง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเพิ่มค่าจ้างให้แก่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิโครงการหลวง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 27108 | การลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการหารือเชิงนโยบายด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระหว่างสหภาพยุโรปกับราชอาณาจักรไทย | อก | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการหารือเชิงนโยบายด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ระหว่างสหภาพยุโรปกับราชอาณาจักรไทย (Letter of Intent on an SME Policy Dialogue between the European Union and the Kingdom of Thailand) ในระหว่างการเยือนราชอาณาจักรไทยของนาย Antonio Tajani รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปและกรรมาธิการยุโรปด้านอุตสหากรรมและกิจการวิสาหกิจ ในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีสาระมุ่งเน้นการหารือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านนโยบายการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมให้เกิดพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการสนับสนุนและส่งเสริมให้กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีศักยภาพของต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการภาคเอกชนด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปกับราชอาณาจักรไทยมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโยงทางธุรกิจที่มีศักยภาพระหว่างกัน โดยให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลเพื่อนำไปสู่การขยายความร่วมมือที่จะมีมากขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 27109 | คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร | นร | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เรื่อง คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ เป็นไปตามนัยมาตรา ๘ วรรคสอง ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ดังนี้
๑. ให้เสนอเรื่อง คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร ให้ประธานรัฐสภาขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา ๑๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารของประเทศไทย รายงานคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร สรุปได้ว่า คำพิพากษาของศาลฯ ให้ความสำคัญกับการที่ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจากัน โดยมีประเด็นหลัก ๆ ดังนี้ ๒.๑ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับฟังข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย และได้ยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒.๒ ศาลฯ รับฟังข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย โดยยืนยันว่าคำพิพากษาเดิมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งหมายความว่าศาลฯ ไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร และที่สำคัญศาลฯ ไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน ๑ ต่อ ๒๐๐,๐๐๐ ผูกพันไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒.๓ ศาลฯ รับตีความเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร (vicinity) ตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี ๒๕๐๕ โดยอธิบายว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และที่สำคัญไม่รวมพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งในส่วนของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนี้ ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปโดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ๒.๔ ศาลฯ ได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการที่จะต้องร่วมมือกันอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก ๓. ให้คณะที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพากษาเพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาลต่อไป ต่อจากนั้น ฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจาหารือภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย โดยจะต้องคำนึงถึงขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมาย ตลอดจนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย ๔. ให้ฝ่ายทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน รักษาอธิปไตยและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสันติภาพ สันติสุข และความสงบเรียบร้อยดังที่ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด
|
||||||||||||||||||||||||
| 27110 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและพาณิชย์แห่งนิวซีแลนด์ | กก | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๑.๑ การจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) ว่าด้วยการยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและพาณิชย์แห่งนิวซีแลนด์ โดยหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีสาระสำคัญคือ พัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวและส่งเสริมการเดินทางให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ สนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งสถิติและสื่อประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว ส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยวและกิจกรรมของทั้งสองประเทศ แลกเปลี่ยนทางวิชาการ การสัมมนา และการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการบริการและการท่องเที่ยว ตลอดจนแลกเปลี่ยนความเห็นด้านการท่องเที่ยวภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีไทย-นิวซีแลนด์ ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและพาณิชย์แห่งนิวซีแลนด์ (โดยระบุตำแหน่ง) ในโอกาสการเยือนไทยของนายจอห์น คีย์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับภาษาอังกฤษให้ครบถ้วน ถูกต้องตรงตามฉบับภาษาไทย ก่อนการลงนามต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 27111 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา (จำนวน 6 คน 1. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ฯลฯ) | กษ | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา จำนวน ๖ คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป โดยกรรมการในลำดับที่ ๑, ๒ และ ๓ เป็นบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังจัดทำขึ้นตามมาตรา ๑๒/๑ แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ประธานกรรมการ ๒. รองศาสตราจารย์ นาวาอากาศเอก ประสงค์ ปราณีตพลกรัง กรรมการ ๓. นายนิพนธ์ ฮะกีมี กรรมการ ๔. พลตำรวจโท ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ กรรมการ ๕. นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล กรรมการ ๖. นายอัศม์เดช วานิชชินชัย กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27112 | การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุใต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | นร04 | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประสบกับภัยพิบัติรุนแรงมากจากพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ซึ่งได้พัดขึ้นฝั่งทางตอนกลางของประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนเสียชีวิตและไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก สมควรที่ประเทศไทยจะให้การช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์เป็นการด่วนในฐานะมิตรประเทศ จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ต่อไป โดยอาจขอความร่วมมือจากภาคเอกชนร่วมดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 27113 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายวีระพล ธีระพันธ์เจริญ) | สธ | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายอภิชาต อภิวัฒนพร ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลสกลนคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ๒. นายวีระพล ธีระพันธ์เจริญ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
| 27114 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||
| 27115 | รายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังไม่มียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Porgramme ๒. ในช่วงไตรมาสที่ ๑-๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังไม่มีการกู้เงินใหม่ โดยทำให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังไม่มียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Porgramme ดังนั้น กระทรวงการคลังสามารถเบิกใช้เงินกู้ภายใต้ ECP Porgramme ได้จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27116 | การปรับปรุงข้อเสนอแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร จำนวน ๖ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) วงเงิน ๕ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด ต.แหลมรัง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร-นาตาเซา ต.วังชะโอน อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร วงเงิน ๑๘ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน ต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร วงเงิน ๑๒ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไป ต.ท่าหลวง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองห้วยน้อยเชื่อมโครงการท่อทองแดงผันน้ำจากแม่น้ำปิงลงสู่แม่น้ำยม วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกรมบัญชีกลางแล้ว ๑.๒ ให้จังหวัดพิจิตรรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อประกอบการดำเนินโครงการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการพัฒนาหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่สำคัญที่ถูกบุกรุกจนไม่เหลือสภาพธรรมชาติเดิม จำเป็นจะต้องบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงาน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ควรจัดทำเป็นแผนพัฒนาระยะยาวที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และมีคณะกรรมการกำกับแผนและโครงการในระดับพื้นที่เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เป็นกลไกประสานงานกับหน่วยงานระดับกระทรวงที่มีความเป็นเอกภาพ มีความสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และสามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในกรณีการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ในระยะยาวให้สามารถฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของแหล่งน้ำดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 27117 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดนประจำเมืองพัทยา (นายชัชวาล ศุภชยานนท์) | กต | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชัชวาล ศุภชยานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดน ประจำเมืองพัทยาคนใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมเมืองพัทยา สืบแทนนายสัญญา วีระไวทยะ ซึ่งเกษียณอายุ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 27118 | การบังคับใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี | พณ | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในสารัตถะของร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ หรือ Decision to Endorse the Amendment of Appendix 1 [Operational Certification Procedures (OCP) for Rules of Origin] ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง สำหรับร่างระเบียบปฏิบัติฯ มีวัตถุประสงค์อำนวยความสะดวกทางการค้ามากขึ้น โดยให้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ แต่ไม่เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญตามพันธกรณีความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ได้แก่ ๑.๑ การขยายอายุหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจาก ๖ เดือน เป็น ๑๒ เดือน ๑.๒ การอนุญาตให้ผู้ส่งออกสามารถออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าก่อนเวลาที่ส่งออกจากเดิมที่อนุญาตให้ออกใบรับรองได้เฉพาะเวลาที่ส่งออกหรือหลังส่งออก ๑.๓ การอนุญาตให้การแก้ไขใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ผิดพลาด โดยการขีดฆ่าข้อความที่ไม่ต้องการและเพิ่มเติมข้อความที่ถูกต้องหรือออกใบรับรองฉบับใหม่ จากเดิมที่ให้แก้ไขจากฉบับเดิมเท่านั้น ๑.๔ การอนุญาตให้ไม่ต้องระบุราคาสินค้าที่ส่งมอบ ณ ท่าเรือ (Free On Board : FOB) [ยกเว้นกรณีที่ใช้เกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค (Regional Value Content) ต้องระบุราคา FOB] จากเดิมที่ต้องระบุว่า FOB ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ส่งออกในกรณีที่ไม่ต้องการเปิดเผยราคาของผู้ขายหรือผู้ผลิต ๒. เห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศและกรมศุลกากรดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งประเทศภาคีความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีว่า ไทยพร้อมที่จะดำเนินการบังคับใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่หลังจากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินกระบวนการภายในแล้ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) และกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไทยทราบถึงระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ดังกล่าว เพื่อป้องกันปัญหาในทางปฏิบัติ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีเพิ่มมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27119 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ของวุฒิสภา พร้อมผลการพิจารณาตามข้อสังเกตดังกล่าวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ รัฐสภาควรให้ความสำคัญ จึงสมควรที่จะได้รับการพิจารณาบรรจุวาระโดยเร็วและมีการพิจารณาอย่างต่อเนื่องในการจัดทำเป็นกฎหมาย ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอนั้นเกี่ยวด้วยการเงิน ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้คำรับรองก่อนนั้น ในการพิจารณาให้คำรับรองให้นายกรัฐมนตรีคำนึงถึงความรวดเร็วและความสำคัญของร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ นอกจากนี้ หากมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภาเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน ควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน ควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ๒. เนื่องจากสภาพัฒนาการเมืองมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน ดังนั้น รัฐบาลควรพิจารณาจัดให้มีมาตรการสนับสนุนการดำเนินการขององค์กรดังกล่าวในด้านต่าง ๆ อย่างเพียงพอและเหมาะสมกับภารกิจตามพระราชบัญญัตินี้ ๓. โดยที่ได้มีการกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหน่วยงานอีกหน่วยหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน ในการดำเนินการจัดให้มีการรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นการสมควรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะได้มีบทบาทเกี่ยวกับการให้ความรู้ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการเสนอร่างกฎหมายและสาระสำคัญของร่างกฎหมาย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญและส่งเสริมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ๔. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายและหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือจัดทำร่างกฎหมายให้แก่ประชาชน ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เป็นหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายที่ประชาชนจะเสนอต่อประธานรัฐสภา ในการนี้ เพื่อให้ประชาชนทราบถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและสามารถขอรับความช่วยเหลือได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สมควรที่หน่วยงานดังกล่าวจะได้มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่วิธีการในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนทั่วไป ๕. ในกรณีที่ร่างกฎหมายใดที่เสนอให้รัฐสภาพิจารณา ทั้งที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หากร่างกฎหมายนั้นมีสาระสำคัญกระทบซึ่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ สมควรที่จะได้มีการเปิดโอกาสหรือจัดให้ประชาชนหรือผู้ซึ่งได้รับผลกระทบได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะในร่างกฎหมายนั้น เพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 27120 | สรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 192 | ศธ | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๙๒ และการหารือระดับทวิภาคี ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน-๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมเต็มคณะ โดยกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลไทยที่ได้กำหนดให้การจัดการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการร่วมผลิตบุคลากรตามความต้องการของตลาดแรงงาน และให้มีการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนในสายอาชีวศึกษาเมื่อเปรียบเทียบกับสายสามัญ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะได้ร่วมมือกับองค์การยูเนสโกจัดการประชุมระดับภูมิภาคและระดับโลกในประเทศไทย ได้แก่ การประชุมระดับโลกว่าด้วยสื่อและความเสมอภาคทางเพศ ระหว่างวันที่ ๒-๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ การประชุมว่าด้วยความเป็นพลเมืองโลก ระหว่างวันที่ ๒-๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ และการประชุมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกว่าด้วยการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน ในช่วงกลางปี ๒๕๕๗ ๒. ที่ประชุมฯ รับทราบการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้ ๕ สาขาหลัก ของยูเนสโก ได้แก่ สาขาการศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สาขาสังคมและมนุษยศาสตร์ สาขาวัฒนธรรม และสาขาสื่อสารมวลชน โดยการดำเนินโครงการในภาพรวมจะเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ และเพิ่มเครือข่ายความร่วมมือเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทั้งนี้ องค์การยูเนสโกได้ใช้เงินงบประมาณปกติเพื่อดำเนินการในโครงการต่าง ๆ ร้อยละ ๗๓ คือ ๓๗๗.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่ตั้งไว้ที่ ๕๑๗.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. ที่ประชุมฯ ได้มีการเลือกตั้งผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ซึ่งผลการลงคะแนนเลือกตั้งปรากฏว่า นาง Irina Gueorguieva Bokova ชาวบัลแกเรีย เป็นผู้ชนะการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก เป็นสมัยที่สอง ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เดินทางไปเยี่ยมนักเรียนโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๓ จำนวน ๔๑ คน ณ สถาบันเทคโนโลยีอุดมศึกษา (Institute Universitaire de Technologie : IUT) มหาวิทยาลัย Le Mans ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดเตรียมให้นักเรียนเหล่านี้เข้าศึกษาหลักสูตรเตรียมความพร้อมด้านภาษาและวิชาการ ณ ศูนย์ภาษา สังกัดสถาบัน IUT มหาวิทยาลัย Le Mans
|
||||||||||||||||||||||||
.....
