ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
541 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในการป้องกันภัยธรรมชาติ) | กค | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สาระสำคัญคือกำหนดยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินอุดหนุนหรือเงินอื่นอันมีลักษณะทำนองเดียวกันที่ได้รับจากรัฐบาล ซึ่งจ่ายตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้นำไปลงทุนในการป้องกันอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นภาษี เป็นต้น รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานความร่วมมือในการวางแผน เตรียมการ จัดทำแนวปฏิบัติและข้อตกลงร่วมกันเพื่อส่งเสริมและเตรียมความพร้อมให้ชุมชนหรือส่วนราชการได้ใช้ประโยชน์จากการลงทุนในการป้องกันภัยธรรมชาติดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
542 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๕๖๑๕/๑๕๔๑๑) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
543 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๘๖๐๘/๑๕๓๖๐) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
544 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ตามคำขอที่ ๕/๒๕๔๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
545 | แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด | นร12 | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๐๗/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ และอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน โดยให้ดำเนินการครอบคลุมส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายนิติบัญญัติ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายตุลาการ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
|
||||||||||||||||||||||||
546 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี (เพื่อทำปูนขาว) | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อทำเหมืองแร่หินอ่อนและหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่อทำปูนขาว) ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ตั้งโครงการควรให้ผู้ที่ได้รับสัมปทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ และพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท หินอ่อน จำกัด อย่างต่อเนื่องตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
547 | ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. .... | พม | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และกำหนดอำนาจหน้าที่ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ รับผิดชอบงานธุรการ งานประชุม และกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ๑.๓ กำหนดให้การจัดตั้งสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งต้องเสนอต่อคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งพิจารณาประกาศจัดตั้ง และกำหนดเขตพื้นที่ที่ให้การคุ้มครอง ๑.๔ กำหนดอำนาจหน้าที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๕ กำหนดให้มีการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรสาธารณประโยชน์ องค์กรสวัสดิการชุมชน องค์กรภาคเอกชนอื่น สถาบันศาสนา หรือกลุ่มคนไร้ที่พึ่ง ดำเนินการในลักษณะเดียวกับสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือมีส่วนร่วมในการให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๖ กำหนดให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งอาจจัดให้มีศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และกำหนดอำนาจหน้าที่ของศูนย์ดังกล่าว โดยให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ศูนย์พัฒนาสังคมประจำจังหวัด หรือส่วนราชการอื่นที่กำหนดเป็นศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๗ กำหนดให้คนไร้ที่พึ่งมีสิทธิขอรับการคุ้มครองจากสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๘ กำหนดให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งให้ความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นในเบื้องต้น แล้วจัดส่งคนไร้ที่พึ่งผู้นั้นไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบตามกฎหมาย ๑.๙ กำหนดให้คนไร้ที่พึ่งต้องจัดทำข้อตกลงเข้าร่วมการอบรมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ การประกอบอาชีพและทำงาน ๑.๑๐ กำหนดบทเฉพาะกาลให้สถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ทำหน้าที่ให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชั่วคราวเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปดำเนินการแปรญัตติตามข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในชั้นกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เกี่ยวกับบทนิยาม “คนไร้ที่พึ่ง” ในร่างมาตรา ๓ ควรหมายความรวมถึง “คนเร่ร่อน จรจัด” เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น และร่างมาตรา ๑๙ ควรเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการรองรับให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งซึ่งไม่สมัครใจในการขอใช้สิทธิตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งอาจมีการหลั่งไหลของคนไร้ที่พึ่งจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทย |
||||||||||||||||||||||||
548 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) รวม ๔ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ ๙-๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๔ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๒.๗๑ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ แผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๔ โครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๒ ได้แก่ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาริมบึงบอระเพ็ด วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๒๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกำแพงเพชร ได้แก่ โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก วงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองแม่ระกา วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ โครงการขุดลอกแควตากแดดบริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม.๘๖+๐๐๐-กม.๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำ บ้านดอนเพชร หมู่ที่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ที่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๒. ให้จังหวัดพิจิตรปรับปรุงข้อเสนอโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีภายใต้กรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๔. เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๑๗๗ โครงการ วงเงินรวม ๗๑,๗๔๗.๗๖ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีเพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน
|
||||||||||||||||||||||||
549 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดอุทัยธานี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นดังกล่าวไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ในพื้นที่จังหวัดนครสรรค์ และจังหวัดอุทัยธานี วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท (๒ ) โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ซึ่งดำเนินการในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และ (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดพิจิตร วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ความเห็นของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของ ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดนครสวรรค์ เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายปลาริมบึงบอระเพ็ด ตำบลเกรียงไกร อำเภอเมือง วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ตำบลเนินศาลา อำเภอโกรกพระ และตำบลจันเสน อำเภอตาคลี วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำจำนวน ๓ แห่ง ตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง และตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย วงเงิน ๓๒.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก อำเภอเมือง วงเงิน ๓๘.๖๒ ล้านบาท (๒) โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง อำเภอเมือง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท (๓) โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) ตำบลโค้งไผ่ อำเภอขาณุวรลักษบุรี วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการขุดลอกคลองแม่ระกา ตำบลท่าไม้ ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๓ จังหวัดพิจิตร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง ฯ จำนวน ๘ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการขุดลอกศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) ตำบลบึงนาราง และตำบลบางลาย อำเภอบึงนาราง วงเงิน ๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด หมู่ที่ ๕ ตำบลแหลมรัง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร-นาตาเซา หมู่ ๑๒ ตำบลวังชะโอน อำเภอบึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร วงเงิน ๑๘.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ ตำบลไทรโรงโขน ตำบลดงตะขบ อำเภอตะพานหิน ตำบลบางไผ่ อำเภอบางมูลนาก วงเงิน ๒๐.๐๐ ล้านบาท (๔) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน หมู่ที่ ๔ ตำบลไผ่หลวง อำเภอตะพานหิน วงเงิน ๑๒.๐๐ ล้านบาท (๕) โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไปตำบลท่าหลวง อำเภอเมืองพิจิตร วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท (๖) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายแยก ทล.๑๑๕-วัดสวนโพธิบัลลังค์ หมู่ที่ ๑๐ ตำบลบ้านนา อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๑.๒๐ ล้านบาท (๗) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายกลางหมู่บ้าน หมู่ ๔ บ้านมาบฝาง-หมู่ ๘ บ้านดงยาง ตำบลบึงบัว อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท และ (๘) โครงการซ่อมสร้างผิวทางจราจรถนนลาดยาง หมูที่ ๖ บ้านสระประทุม-หมู่ที่ ๗ บ้านหนองคล้า-หมู่ที่ ๑๐ บ้านหนองนาร้าง ตำบลไผ่รอบ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง วงเงิน ๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๔ จังหวัดอุทัยธานี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำบ้านดอนเพชร หมู่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการขุดลอกแควตากแดด บริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า อำเภอเมือง วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม. ๘๖+๐๐๐-กม. ๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) อำเภอบ้านไร่ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ ให้จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณโครงการให้เหลือจังหวัดละไม่เกิน ๑๐๕ ล้านบาท โดยจังหวัดกำแพงเพชรได้ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก เหลือวงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท จังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง เหลือวงเงิน ๒๙ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้จังหวัดพิจิตรทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดจัดทำข้อเสนอโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ๓.๑ จังหวัดพิจิตร ๓.๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูบึงสีไฟ (ขุดลอกบึงสีไฟ) โดยให้จังหวัดพิจิตรจัดทำรายละเอียดโครงการที่มีลักษณะบูรณาการของกิจกรรมทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยว และการพัฒนาอาชีพ โดยประสานงานกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการนอกกรอบงบ ๑๐๐ ล้านบาท จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๘ ตอนควบคุม ๐๑๐๑ ต่อเขตเทศบาลบางมูลนาก-กม. ๒๒+๐๐๐ (๒) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องทางจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม และ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๙ ตอนบางมูลนาก-ตลิ่งชัน โดยให้แขวงการทางพิจิตรจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และเสนอกรมทางหลวงเพื่อบรรจุในแผนงานประจำปีเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี ๒๕๕๘ หรือ ปีอื่น ๆ ถัดไปตามความจำเป็นเร่งด่วน ๓.๒ จังหวัดอุทัยธานี ๓.๒.๑ ให้จังหวัดและกรมชลประทานพิจารณาศักยภาพรอบเขื่อนวังร่มเกล้า กรณีปรับภูมิทัศน์แล้วอาจสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ๓.๒.๒ ให้กรมชลประทานและสำนักงบประมาณหารือปรับปรุงการขอจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๗ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการวางท่อส่งน้ำจากสถานีสูบน้ำบ้านจักษามาถึงแก้มลิงตำบลเขาขี้ฝอย เขื่อนวังร่มเกล้า ในส่วนที่ยังขาดอยู่เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว ๓.๒.๓ โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสำรวจออกแบบการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์สู่ลุ่มน้ำท่าจีนและลุ่มน้ำสะแกกรัง งบประมาณ ๔๐ ล้านบาท ที่เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งนี้เป็นวงเงินนอกกรอบ ควรมีการศึกษาความทับซ้อนด้านกฎหมายของส่วนราชการที่ถือปฏิบัติแต่ละหน่วยงาน ประเด็นที่อาจเป็นข้อร้องเรียนของ NGO ตลอดจนแนวทางการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ดำเนินการและควรให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการความร่วมมือสำหรับการดำเนินการแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน ๓.๓ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบโครงการตามที่วัดพระบรมธาตุเจดียารามได้นำเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเมืองเก่านครชุมเพิ่มเติม โดยให้จังหวัดหารือร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลนครชุม สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกำแพงเพชร และกรมศิลปากร เพื่อจัดทำรายละเอียดโครงการพร้อมประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอรับการสนับสนุน ได้แก่ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง หรือให้บรรจุโครงการไว้ในแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอุทยานประวัติศาสตร์ (สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร) ที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
550 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา | คค | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยจังหวัดนครราชสีมาได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๒๙ อำเภอ ๒๒๔ ตำบล ๒,๓๗๙ หมู่บ้าน ยกเว้นอำเภอปากช่อง ครบุรี และเสิงสาง มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๑๔๔,๖๘๐ ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ จำนวน ๙๒๖,๒๓๓ ไร่ ๒. ผลการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในส่วนของน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค ได้สนับสนุนยานพาหนะและเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งให้แก่อำเภอ ได้แก่ เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล (๓-๕ กม.) เพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนในการผลิตประปา รถบรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำเพื่อการเกษตร เครื่องสูบน้ำเพื่ออุปโภค ขุดเจาะบ่อบาดาล และสนับสนุนถังแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับน้ำเพื่อการเกษตรกรรม ได้สำรวจความเสียหายและทำรายการและขอรับความช่วยเหลือ โดยใช้เงินงบกลาง (กรมส่งเสริมการเกษตร) จำนวน ๖๖๓,๓๗๕ ไร่ เกษตรกร ๕๘,๐๒๙ ราย วงเงิน ๔๑๓,๘๒๓,๖๗๕ บาท ได้แก่ ข้าว ๖๑๒,๕๙๕ ไร่ เกษตรกร ๕๓,๙๗๐ ราย พืชไร่ ๔๙,๖๑๐ ไร่ เกษตรกร ๓,๘๙๗ ราย พืชสวนและอื่น ๆ ๑๒,๑๖๙ ไร่ เกษตรกร ๕๖,๓๖๐ ราย ๓. ข้อเสนอแนะเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน ได้แก่ โครงการสำรวจออกแบบการประปาชุมชนแบบยั่งยืน โดยเน้นให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการและประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำแบบต่อเนื่อง เพื่อยกระดับน้ำในแม่น้ำเพื่อการบริโภคอุปโภค และเพื่อการเกษตร และการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม
|
||||||||||||||||||||||||
551 | ขอความเห็นชอบวงเงินโครงการ พร้อมขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรฝั่งธนบุรี ย่านศิริราช ย่านบ้านช่างหล่อ และย่านอรุณอัมรินทร์ ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) | มท | 28/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบวงเงินโครงการ พร้อมอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรฝั่งธนบุรี ย่านศิริราช ย่านบ้านช่างหล่อ และย่านอรุณอัมรินทร์ ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ดังนี้ ๑.๑ โครงการต่อขยายสะพานอรุณอมรินทร์พร้อมทางขึ้น-ลง และทางยกระดับข้ามแยกศิริราช ในวงเงิน ๑,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยค่าชดเชยที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และค่าก่อสร้างจำนวน ๑,๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้งบประมาณสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาล ร้อยละ ๑๐๐ โดยให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีต่อไป สำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของกรุงเทพมหานคร โดยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการต่อไป ๑.๒ โครงการก่อสร้างขยายผิวจราจรของถนนสุทธาวาส และสะพานข้ามถนนจรัลสนิทวงศ์ ในวงเงิน ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙) ให้ใช้งบประมาณสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาล ร้อยละ ๑๐๐ โดยให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีต่อไป ทั้งนี้ การกำหนดการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวอยู่นอกเหนือจากสัดส่วนเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้กรุงเทพมหานคร ให้กรุงเทพมหานครนำเสนอคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร รับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างทดแทนสิ่งปลูกสร้างของกองทัพเรือที่ได้รับผลกระทบต่อพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างจากโครงการดังกล่าว และเห็นว่ากรุงเทพมหานครควรให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ และการดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อสถานที่ราชการและประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณแนวสายทางอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรประสานกับกระทรวงคมนาคมในการพิจารณาความเชื่อมโยงของโครงข่ายถนนโดยรอบเพื่อให้สามารถบรรเทาปัญหาจราจรในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางหรือมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมขนส่งในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยเฉพาะการก่อสร้างถนนยกระดับและการก่อสร้างรถไฟฟ้า ๑๐ สายทาง ตามนโยบายรัฐบาล เช่น การให้บริการจุดจอดแล้วจรฟรีชั่วคราวให้แก่ประชาชนในช่วงก่อสร้าง การจัดรถบริการสาธารณะพิเศษในเส้นทางก่อสร้าง การเปิดเส้นทางลัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
552 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 28/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้สถาบันเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญาโดยวิทยาลัยชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษา ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่นและชุมชน ตอบสนองและสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นและชุมชน ๑.๒ กำหนดให้สถาบันแบ่งส่วนราชการออกเป็น สำนักงานสถาบันวิทยาลัย ส่วนราชการอื่น ๆ และให้การจัดตั้ง การรวม การโอนหรือการยุบเลิกวิทยาลัยหรือส่วนราชการอื่นจัดทำเป็นกฎกระทรวง เว้นแต่การแบ่งส่วนราชการภายในให้ทำเป็นประกาศสถาบัน ๑.๓ กำหนดให้สถาบันมีรายได้นอกจากเงินที่กำหนดไว้ในงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่ เงินผลประโยชน์ ค่าธรรมเนียม เบี้ยปรับ ค่าปรับ และค่าบริการต่าง ๆ ของสถาบัน เงินอุดหนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือเงินอุดหนุนที่สถาบันได้รับเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการของสถาบัน เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้ เป็นต้น และให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่นำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๑.๔ กำหนดให้มีสภาสถาบัน ประกอบด้วย นายกสภาสถาบัน กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการซึ่งเลือกจากผู้แทนภาคเอกชน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งนายกสภาสถาบันและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและภาคเอกชนเป็นไปตามที่กำหนด และให้สภาสถาบันมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้มีสภาวิชาการ สภาวิทยาลัย และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการวิทยาลัย โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด และให้จำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุม เป็นไปตามที่กำหนด ๑.๖ กำหนดให้มีผู้อำนวยการสถาบันเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบการบริหารงานของสถาบัน กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามให้เป็นไปตามข้อบังคับของสถาบัน และให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๗ กำหนดให้วิทยาลัยซึ่งเป็นส่วนราชการในสถาบันมีหน้าที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา และฝึกอบรมด้านวิชาการหรือด้านวิชาชีพ และให้วิทยาลัยบริหารและจัดการศึกษาบนพื้นฐานของการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน ตลอดจนการระดมทรัพยากรและการสนับสนุน ๑.๘ กำหนดห้ามมิให้วิทยาลัยปฏิเสธการรับบุคคลเข้าศึกษาในวิทยาลัยหรือยุติหรือชะลอการศึกษาของนักศึกษาด้วยเหตุเพียงว่าผู้นั้นขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาว่านักศึกษาผู้ใดเป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้เป็นไปตามระเบียบที่สภาสถาบันกำหนด ๑.๙ กำหนดให้มีผู้อำนวยการวิทยาลัยซึ่งแต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนด หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาเป็นไปตามข้อบังคับของสถาบัน วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๑๐ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณฯ การโอนบรรดาข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ การดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการต่าง ๆ การได้รับอนุปริญญาและประกาศนียบัตร ตลอดจนกฎกระทรวง กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีและเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินกิจการของสถาบันวิทยาลัยชุมชนในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
553 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเร่งด่วนในการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤตภัย" | สสป | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเร่งด่วนในการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤตภัย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมโรงแรมไทย สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดวิกฤตภัย ได้แก่ กำหนดแผนการแก้ไขปัญหาวิกฤตต่าง ๆ ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว เสริมสร้างบทบาทขององค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวให้มีความเข้มแข็งและเป็นองค์กรหลักในการพัฒนาการท่องเที่ยวในระดับประเทศและนานาชาติทั้งในยามปกติและเกิดวิกฤตภัย จัดตั้งศูนย์การข่าวและการประชาสัมพันธ์ เพิ่มประสิทธิภาพในการนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยสร้างความเข้มแข็งแก่สายการบิน และสร้างความสะดวกด้านการเดินทาง และบูรณาการความพร้อมในการอำนวยความปลอดภัย ในกรณีเกิดวิกฤตภัย และแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพร้อมไปกับผู้ประกอบการ ๒. การดำเนินการในช่วงวิกฤตภัย ได้แก่ การสื่อข่าวและประชาสัมพันธ์ต้องเป็นเอกภาพจากแหล่งข่าวเดียว มีความชัดเจนถูกต้อง เสนอข่าวที่สร้างความน่าเชื่อถือจากข้อมูลที่อ้างอิงได้ในระดับสากล ร่วมประชาสัมพันธ์ข่าวและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นปัจจุบันของพื้นที่ท่องเที่ยวให้เห็นภาพข้อเท็จจริงว่ายังคงปลอดภัยและน่าท่องเที่ยว รวมทั้งควบคุมการนำเสนอข่าวของสื่อต่าง ๆ ให้เป็นไปโดยเอกภาพจากศูนย์การข่าวที่จัดตั้งขึ้นเป็นหลัก และให้องค์กรภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวเป็นแกนหลักในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ๓. การดำเนินการภายหลังวิกฤตภัย ได้แก่ สร้างความเชื่อมั่นโดยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในระดับชาติและนานาชาติโดยทันทีหลังเหตุการณ์คลี่คลาย มีมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู และกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ควรนำมาใช้หลังเกิดวิกฤตภัยและดำเนินการอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย ๖ เดือน ประกอบด้วย การเยียวยาผู้ประกอบการในด้านการเงินและภาษีที่รัฐควรดำเนินการ จัดหาแหล่งเงินทุน และผ่อนปรนเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถกู้เงินได้จริงในทางปฏิบัติ เป็นต้น รวมทั้งกระตุ้นบทบาทให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดอบรมภายในประเทศ และส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติและสร้างกิจกรรมในระดับนานาชาติเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว ตลอดจนใช้นโยบายส่งเสริมการตลาดให้ภาคเอกชน เช่น การให้รางวัลแก่ผู้ประกอบการที่มีความสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศและสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก ๆ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
554 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2552 (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 170 | กค | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาทบทวนข้อมูลรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งและดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ซึ่งต้องจัดทำรายงานฯ มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๒๑ แห่ง และ ๔๓๗ แห่ง ตามลำดับ โดยไม่นับรวมกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีลักษณะการปกครองพิเศษ และมีจำนวนหน่วยงานที่ต้องดำเนินการรวบรวมรายงานเป็นจำนวนมาก ประกอบกับกรมบัญชีกลางเริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลทางการเงินของหน่วยงานดังกล่าวอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ดังนั้น จึงไม่มีข้อมูลทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ที่จะนำมาใช้ในการรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วน และเห็นสมควรแจ้งให้หน่วยงานของกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำรายงานฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ๒. รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำรายงานฯ ได้แก่ ความชัดเจนของคำนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” และความหลากหลายของประเภทหน่วยงาน ตามนัยมาตรา ๑๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้มีข้อจำกัดในการพิจารณาว่าครอบคลุมถึงหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานฯ รวมทั้งข้อจำกัดในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานที่ยังมิได้จัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ๓. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง |
||||||||||||||||||||||||
555 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 2 (ตุลาคม 2555 - มีนาคม 2556) | กค | 14/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๒ (ตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป้าหมายการเบิกจ่ายไตรมาสที่ ๒ รายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๔๔.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๒๕.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๒๑๒,๖๘๖.๕๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๐.๕๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๕๓ โดยเป็นการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๐๖๓,๕๙๗.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๑๘ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๙,๘๖๖.๖๔ ล้านบาท และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๔๙,๐๘๘.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๗.๒๖ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๐,๑๓๓.๓๖ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๑๒.๒๖ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๐,๒๓๖.๓๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕๘,๘๙๐.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๒.๙๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง : รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๘๒๔.๖๖ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๑๑,๕๘๓.๓๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๙๙ ของวงเงินที่จัดสรร ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๘๖๕.๘๙ ล้านบาท ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๑๙๗.๓๔ ล้านบาท ๕. การเบิกจ่ายเงินของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๘,๑๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๖.๙๒ ของวงเงินงบประมาณ ๒๒๑,๓๐๖.๙๒ ล้านบาท ๖. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๐,๓๑๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๖.๙ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๕๗,๐๑๘ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
556 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร09 | 30/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. กำหนดภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ๓. กำหนดให้ส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประกอบด้วย สำนักงานเลขาธิการ กองกฎหมายและระเบียบราชการ กองกิจการองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐรูปแบบอื่น กองติดตามและประเมินผลการพัฒนาระบบราชการ กองบริหารการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม กองเผยแพร่และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ กองพัฒนาระบบราชการ ๑ กองพัฒนาระบบราชการ ๒ กองพัฒนาระเบียบราชการส่วนภูมิภาคและความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกองส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ๔. กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ขึ้นตรงต่อเลขาธิการ ก.พ.ร. |
||||||||||||||||||||||||
557 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 23/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ [๔ ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ ช่องทางตู้ ปณ.๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑] รวมทั้งสิ้น ๒๖,๘๗๕ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐกรณีคัดค้านเนื้อหาของร่างกฎหมายที่แก้ไขวาระการดำรงตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเภทเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ๑๐ ลำดับแรก ได้แก่ สาธารณูปโภค ๓,๒๕๓ เรื่อง สังคมเสื่อมโทรม ๒,๒๕๔ เรื่อง การแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ๒,๒๐๘ เรื่อง สวัสดิการสงเคราะห์ ๘๘๘ เรื่อง การกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ๘๑๙ เรื่อง ร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๘๑๙ เรื่อง การประพฤติตนไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๗๘๐ เรื่อง การใช้อำนาจของหน่วยงานของรัฐ ๖๓๙ เรื่อง การพนัน ๕๓๔ เรื่อง และการเกษตร ๔๕๕ เรื่อง |
||||||||||||||||||||||||
558 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (จำนวน 17 คน 1. นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ฯลฯ) | ศธ | 23/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๑๗ คน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ประธานกรรมการ ๒. นายแสวง บุญมากาศ กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน ๓. นายนุชากร มาศฉมาดล กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๕. นายมีชัย วีระไวทยะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายวินัย รอดจ่าย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายสมยศ มีเทศน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. นายสุนันท์ เทพศรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. นายชลอ กองสุทธิ์ใจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. นายปราโมทย์ แก้วสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. นายสุกรี เจริญสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๓. นายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๔. นางบุญศรี พานะจิตต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๕. นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๖. นายวุฒิสาร ตันไชย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๗. พระพรหมดิลก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||
559 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | อก | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ เมื่อการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว เป็นการนำพื้นที่ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปใช้เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน จึงควรเป็นไปตามข้อตกลงยินยอมในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน และหน่วยงานผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ โดยมีการพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเป็นหลักการในเบื้องต้น ขณะที่การพิจารณาในรายละเอียดอื่น ๆ อาทิ ราคาประเมินที่ดิน ควรมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามราคาตลาดในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
560 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 10 - 11 มีนาคม 2556 | พน | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดชัยภูมิ ๑.๑ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดชัยภูมิตั้งอยู่ตอนบนสุดของที่ราบสูงโคราช ทำให้ลักษณะภูมิประเทศร้อยละห้าสิบเป็นที่ราบสูง อีกร้อยละห้าสิบประกอบด้วยป่าไม้และภูเขา เมื่อฝนตกลงมาจึงไหลลงสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการกักเก็บน้ำของแหล่งกักเก็บที่มียังไม่เต็มศักยภาพ ทำให้แหล่งกักเก็บน้ำแห้งขอดในฤดูแล้ง และนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นมาเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง เป็นเหตุให้พืชผลทางเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง จังหวัดจึงได้ประกาศภัยพิบัติทั้ง ๑๖ อำเภอ ๑.๒ การแก้ไขปัญหา ในเบื้องต้นจังหวัดได้อนุมัติงบประมาณให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ๓๖,๕๘๓,๖๗๖ บาท โดยการจัดหาวัสดุทำฝายกระสอบทรายเพื่อชะลอน้ำ จำนวน ๒๖๔ แห่ง ซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ ๑๓ แห่ง ขุดลอกเปิดทางน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร ๓๗ แห่ง ฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น ๘ แห่ง นอกจากนี้ จังหวัดยังมีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อนของราษฎรอีก คือ ระยะแรก เพื่อจัดทำโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๔๑ โครงการ วงเงิน ๒๒๗ ล้านบาท โครงการบ่อน้ำบาดาล ๒๒๕ บ่อ วงเงิน ๒๒.๙๕ ล้านบาท จัดหาเครื่องสูบน้ำขนาด ๘ นิ้ว ๕๐ เครื่อง วงเงิน ๒๗ ล้านบาท จัดหารถบรรทุกน้ำ ๑๖ คัน วงเงิน ๒.๓ ล้านบาท และจัดหาถังน้ำกลาง ๒,๗๑๒ ถัง วงเงิน ๓๘ ล้านบาท สำหรับระยะกลางและระยะยาว จะดำเนินโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๑๑ โครงการ ๒. จังหวัดบุรีรัมย์ ๒.๑ จังหวัดบุรีรัมย์เป็นจังหวัดที่ประสบกับภาวะความแห้งแล้งเป็นประจำทุกปี เนื่องจากในพื้นที่ของจังหวัดจะมีปริมาณฝนตกค่อนข้างน้อย ทำให้แหล่งน้ำที่มีทั้งแหล่งน้ำหลักและแหล่งน้ำขนาดเล็กไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ตลอดฤดูกาล เป็นเหตุให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการอุปโภค บริโภค และทำให้พืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดได้ผลผลิตไม่เต็มที่ โดยเกิดภัยแล้งใน ๒๓ อำเภอ ๑๗๗ ตำบล ๒,๑๑๕ หมู่บ้าน ความเสียหายด้านเกษตร คิดเป็นพื้นที่จำนวน ๑๖๓,๕๒๘ ไร่ ๒.๒ การแก้ไขปัญหา จังหวัดได้ให้รถบรรทุกน้ำที่มีกระจายอยู่ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการต่าง ๆ บรรทุกน้ำไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามหมู่บ้านต่าง ๆ และได้รับการสนับสนุนรถสูบส่งน้ำระยะไกลจากศูนย์ฯ เขต ๕ นครราชสีมา ดำเนินการสูบน้ำจากแหล่งน้ำไปยังสระน้ำประปาหมู่บ้านที่แห้งขอด และกำลังเร่งดำเนินการซ่อมเป่าล้างบ่อบาดาลและซ่อมประปาหมู่บ้านที่ชำรุดให้ใช้งานได้ โดยจังหวัดได้ใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้งไปแล้ว เป็นเงิน ๑๐,๙๓๙,๕๕๒ บาท รวมทั้งประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม คือ จัดหาถังน้ำกลางหมู่บ้าน ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๓,๙๐๐ ถัง วงเงิน ๕๔.๖ ล้านบาท รถบรรทุกน้ำ ๒๐ คัน รวมค่าบริหารจัดการ วงเงิน ๒.๑๙๒ ล้านบาท รถส่งสูบน้ำระยะไกล ๒ คัน วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท และดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๑๔ โครงการ วงเงิน ๓๑๓.๘ ล้านบาท
|
.....