ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
501 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ | สช | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดดำเนินการ โดย ๑.๑.๑ สำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดเป็นนโยบายหลักให้การเดินและการใช้จักรยานเป็นวิธีการเดินทางระยะสั้นที่สำคัญ และทำหน้าที่ประสานงานหน่วยงานภาครัฐในการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ ๑.๑.๒ กระทรวงคมนาคม ส่งเสริมการเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะด้วยการเดินเท้าและการใช้จักรยาน ให้ความรู้ที่เน้นให้ความสำคัญต่อผู้เดินเท้าและผู้ใช้จักรยานทุกกลุ่มคนในการสอบเพื่อขอใบอนุญาตขับขี่ยานยนต์ทุกชนิด ๑.๑.๓ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร และข้อบัญญัติท้องถิ่นให้ผู้เป็นเจ้าของอาคารขนาดใหญ่และอาคารสาธารณะ รวมทั้งสถานีขนส่งสาธารณะ ต้องจัดให้มีที่จอดจักรยานที่สะดวก ปลอดภัย และเพียงพอ รวมถึงกำหนดให้จังหวัดมีหน้าที่สนับสนุนการเดินเท้าและใช้จักรยานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๑.๑.๔ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำหนดให้การเดินและการใช้จักรยานเป็นระเบียบวาระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมและปลอดภัยต่อการเดินเท้า การใช้ทางเท้าและการสัญจรของคนพิการและการใช้จักรยาน กำหนดพื้นที่จำกัดความเร็วของยานยนต์ และช่องทางการเดิน การใช้จักรยาน มีสัญลักษณ์และป้ายบอกชัดเจนในเขตชุมชน และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้และรณรงค์อย่างต่อเนื่อง สร้างความตื่นตัวและสนับสนุนกิจกรรม ด้านการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันแก่สาธารณชน ๑.๑.๕ กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดให้สถานศึกษามีหลักสูตรให้ความรู้และพัฒนาทักษะเกี่ยวกับการเดินและการใช้จักรยาน อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะการใช้สัญญาณมือและไฟจักรยานกับผู้ขับขี่ให้ถูกต้อง ปลอดภัยและสนับสนุนให้ใช้เครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องแก่นักเรียนนักศึกษา รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เดินหรือใช้จักรยานในการเดินทางมาเรียนด้วยการมีส่วนร่วมของนักเรียนนักศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน และจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินและการใช้จักรยานภายในสถานศึกษา ๑.๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวกับการเดินและการใช้จักรยาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการในการเดินทางที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และราคาที่เป็นธรรม ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปเดินและใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการเดินและใช้จักรยานอย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๘ กระทรวงพลังงาน มีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการเดินทางที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ ได้แก่ การเดินและการใช้จักรยาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการในการเดินทาง ๑.๑.๙ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สนับสนุนการท่องเที่ยวด้วยจักรยานและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่พักมีจักรยานให้บริการนักท่องเที่ยว ๑.๑.๑๐ กระทรวงการคลัง มีมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมและสร้างแรงจูงให้ประชาชนใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ๑.๑.๑๑ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รณรงค์ และสร้างองค์ความรู้เพื่อผลักดันนโยบาย และเพื่อสร้างพฤติกรรมสุขภาพด้วยการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ๑.๒ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีสนับสนุนการมีส่วนร่วมเพื่อการจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน โดย ๑.๒.๑ สนับสนุนกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ “การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน” ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาร่างข้อเสนอยุทธศาสตร์การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ตามภาคผนวก ท้ายเอกสารหลัก เป็นเอกสารตั้งต้น ๑.๒.๒ สนับสนุนให้มีการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อยุทธศาสตร์ดังกล่าวและเสนอต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเฉพาะประเด็นเพื่อรับรองร่างยุทธศาสตร์ให้เสร็จสิ้นภายในปี ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเป็นแกนนำประสานกับภาคีที่เกี่ยวข้องด้านการเดินและการใช้จักรยานและภาคีสมัชชาสุขภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ร่วมในกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ฯ รวมทั้งการให้คำปรึกษา คำแนะนำ การสนับสนุนทางวิชาการ การศึกษาดูงานเรียนรู้จากพื้นที่ที่ดำเนินงาน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเดินและใช้จักรยาน โดยนำเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปใช้อาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ การหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดกรอบการดำเนินงานภาพรวมและแนวทางการดำเนินงานในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของภาระงานและงบประมาณ การทบทวนกรอบระยะเวลาที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ ให้มีความเหมาะสมและเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ การพิจารณามาตรการสนับสนุนด้านอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการดำเนินการที่ไม่ได้มุ่งเน้นการพึ่งพิงงบประมาณจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันยังมีอุปสรรค สืบเนื่องจากปัจจัยแวดล้อม (Built Environment) ที่ไม่เอื้ออำนวย จึงควรสนับสนุนแนวทางการลดอุปสรรคในการเดินทางและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันที่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม (Built Environment) ที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งการแสวงหาแนวทางการพัฒนาในด้านธุรกิจ-อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการใช้จักรยาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
502 | รายงานผลการจัดนิทรรศการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศ | นร11 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” ระหว่างวันที่ ๔ ตุลาคม-๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดหนองคาย นครราชสีมา ชลบุรี อุบลราชธานี ขอนแก่น นครสวรรค์ และฉะเชิงเทรา ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการบูรณาการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าร่วมนิทรรศการฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๕๖๔,๓๗๙ คน หรือเฉลี่ย ๒๖,๘๗๕ คน/วัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุดที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๑๓๙,๑๘๓ คน หรือเฉลี่ย ๔๖,๓๙๔ คน/วัน และน้อยที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๔๖,๒๘๔ คน หรือเฉลี่ย ๑๕,๔๒๘ คน/วัน ๒. ความเห็นของผู้ร่วมชมนิทรรศการฯ ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจการจัดนิทรรศการฯ ซึ่งผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่ได้รับทราบข่าวการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/ผู้นำชุมชน รองลงมาคือ สื่อโทรทัศน์ ป้ายประชาสัมพันธ์/แผ่นพับ และเพื่อน/ครอบครัว ตามลำดับ โดยมีความประทับใจนิทรรศการรถไฟความเร็วสูงมากที่สุด รองลงมาคือ การจำหน่ายสินค้า OTOP และกิจกรรมการประกวด “จานด่วนไทย ไปครัวโลก” ตามลำดับ ๓. การดำเนินงานในระยะต่อไป คณะกรรมการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศเห็นควรให้มีการจัดนิทรรศการเพื่อสรุปภาพรวมทั้งประเทศอีกครั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยให้มีการเตรียมข้อมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงให้มีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถชี้แจงและสื่อสารต่อประชาชนและผู้ที่สนใจได้อย่างชัดเจน และครบถ้วน ในเบื้องต้นคณะกรรมการฯ เห็นควรกำหนดช่วงเวลาการจัดนิทรรศการฯ ระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์-๒ มีนาคม ๒๕๕๗ สำหรับสถานที่จัดนิทรรศการฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมทั้งในด้านขนาดของพื้นที่ และความสะดวกในการเดินทางเข้าถึงสถานที่จัดนิทรรศการฯ นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมเสนอให้มีพื้นที่ในการจัดแสดงผลงานที่ได้รับรางวัลการประกวดแนวคิดการออกแบบสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หัวหิน ภายใต้ชื่อ “Design Station Define Identity” และกระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้มีกิจกรรมการประกวดภาพและเรียงความในหัวข้อ “จังหวัดของฉันในปี ๒๐๒๐” ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนและนักศึกษาเกิดความสนใจในการรับทราบข้อมูลของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอีกทางหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
503 | การปรับปรุงข้อเสนอแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร จำนวน ๖ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) วงเงิน ๕ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด ต.แหลมรัง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร-นาตาเซา ต.วังชะโอน อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร วงเงิน ๑๘ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน ต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร วงเงิน ๑๒ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไป ต.ท่าหลวง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองห้วยน้อยเชื่อมโครงการท่อทองแดงผันน้ำจากแม่น้ำปิงลงสู่แม่น้ำยม วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกรมบัญชีกลางแล้ว ๑.๒ ให้จังหวัดพิจิตรรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อประกอบการดำเนินโครงการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการพัฒนาหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่สำคัญที่ถูกบุกรุกจนไม่เหลือสภาพธรรมชาติเดิม จำเป็นจะต้องบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงาน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ควรจัดทำเป็นแผนพัฒนาระยะยาวที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และมีคณะกรรมการกำกับแผนและโครงการในระดับพื้นที่เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เป็นกลไกประสานงานกับหน่วยงานระดับกระทรวงที่มีความเป็นเอกภาพ มีความสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และสามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในกรณีการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ในระยะยาวให้สามารถฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของแหล่งน้ำดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
504 | แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่มและการขยายระยะเวลาแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ | มท | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม เพื่อใช้เป็นแผนกลยุทธ์เชิงรุกที่ใช้ในการบริหารจัดการลดความสูญเสียและลดผลกระทบจากภัยแผ่นดินไหวและอาคารถล่มและเป็นแผนสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ๑.๒ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ จาก พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖ เป็น พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ๑.๓ ให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ถือปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ๒. สำหรับการจัดตั้งกองทุนประกันภัยแผ่นดินไหว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ กปภ.ช. รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภัยแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม เพื่อให้เข้าใจถึงกระบวนการการเกิดของแผ่นดินไหวที่แท้จริงและเพื่อเป็นแนวทางในการลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และควรมีการฝึกซ้อมแผนอพยพหลบภัยเกี่ยวกับภัยแผ่นดินไหวในอาคารสูง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดภัย สำหรับแผนระยะต่อไป ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกรอบทิศทางของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ฉบับใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดตัวชี้วัด (Key Performance Index : KPI) เพื่อประโยชน์ในการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) ประธานกรรมการ กปภ.ช. หารือร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ของฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารให้สอดคล้องกันและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||
505 | "การขยายระยะเวลาแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติและยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน" และ "แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน พ.ศ. 2556 - 2562 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ" | มท | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ จาก “พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๙” เป็น “พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๖๒” ๑.๒ อนุมัติให้ขยายระยะเวลายุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษจากหมอกควัน จาก “พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๙” เป็น “พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๒” ๑.๓ เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๒ ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ มีกรอบระยะเวลาการดำเนินการ ๗ ปี มีหน่วยงานร่วมบูรณาการทั้งสิ้น ๔๔ หน่วยงาน แผนงาน/โครงการ จำนวน ๑๕๓ แผนงาน/โครงการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๐,๓๘๐.๖๒๑๗ ล้านบาท เป้าหมายของแผน ประกอบด้วย การจัดการไฟป่า ลดพื้นที่ไฟไหม้ป่าให้เหลือเพียงไม่เกินปีละ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ จัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรทดแทนการเผาในพื้นที่อย่างน้อยปีละ ๖๐๐,๐๐๐ ไร่ และลดการเผาขยะมูลฝอยในที่โล่งโดยจัดให้มีการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกหลักวิธีและปลอดภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของจังหวัดทั้งหมด และมีการใช้ประโยชน์มูลฝอยไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ ของปริมาณมูลฝอยที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ และยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของงบประมาณให้ดำเนินการตามแผนฯ จำนวน ๑๐,๓๘๐.๖๒๑๗ ล้านบาท หากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อไปดำเนินการตามความเหมาะสมและจำเป็น สำหรับในปีต่อไปให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าในการจัดทำแผนเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย ไฟป่า การเผาในที่โล่ง และหมอกควันนั้น ควรมุ่งเน้นไปที่สาเหตุของปัญหาและการป้องกันที่จะมีผลในระยะยาว เช่น การปลูกป่า การสร้างความชุ่มชื้น และการสร้างแนวป้องกันไฟ เป็นต้น และปรับปรุงแผนฯ ในระยะยาว โดยให้ชุมชนเป็นแกนหลักในการป้องกันอัคคีภัยและหมอกควันในพื้นที่ของแต่ละชุมชนเอง เช่น การให้ชุมชนบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรแทนการเผาโดยนำไปใช้ประโยชน์อื่น หรือการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธี เป็นต้น ไปพิจารณาปรับปรุงแผน และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียต่อการแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดน และควรประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทุกภาคส่วนให้เกิดความตื่นตัวในการป้องกันตนเอง ดำเนินการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการภัยจากอัคคีภัย ไฟป่า การเผาในที่โล่ง และหมอกควันอย่างเป็นระบบ และการสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอที่สามารถปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายได้ตามกิจกรรม/โครงการที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
506 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2556 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและยกระดับการผลิตอาหารปลอดภัยครบวงจรในพื้นที่ ๔ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ให้มีความชัดเจน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งโครงการแปรรูปเถ้าแกลบ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการดำเนินการ ๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะในชุมชน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการโครงการฯ ได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ และสร้างกระบวนการให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมดำเนินโครงการฯ ให้เป็นโครงการนำร่องและขยายผลการดำเนินงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อไป ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการด้านการส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ ความเหมาะสมของอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสิทธิของประชาชนและชุมชนในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่สายทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๕ บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๒ (ทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง), โครงการขยายถนน ๔ ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข ๓๖๖) ระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองลพบุรีด้านเหนือ ๔ ช่องจราจร ระยะทาง ๑๓ กิโลเมตร, โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างจังหวัด โดยการขยายช่องการจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ตลอดเส้นทาง รวม ๒ เส้นทาง และการปรับปรุงทางแยกต่างระดับชัยนาทที่ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒) (กม. ๑๓๑+๕๙๕) ตามความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรจัดงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการศึกษาทางหลวงแนวใหม่ ๔ ช่องจราจร แยกทางหลวงหมายเลข ๓๒ ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (๓๖๖) ระยะทาง ๒๕ กิโลเมตร ในรายละเอียดเพิ่มเติม ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมประสานสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการศึกษาสร้างเกาะกลางแบบยกตัว ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑) ตรงสี่แยกเข้าชัยนาท-บ้านกล้วย กม. ๒๘๐+๕๗๘ (แยกหลวงพ่อโอ-ท่าน้ำอ้อย) ระยะทาง ๒๔.๙๘๔ กิโลเมตร ๒.๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการและขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโครงการฯ ๒.๑.๔ ข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เกี่ยวกับรายงานการติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑-๗/๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่มีความสำคัญยิ่งและต้องดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนไปประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่อไป รวมทั้งให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบันเป็นแกนหลักร่วมติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ดำเนินการแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ เสนอโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒.๑.๕.๑ การปรับการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ให้กระทรวงพลังงานรวมกับกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ ๒.๑.๕.๒ การขอให้ปรับอัตราส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าชุมชนจากพลังงานทดแทนขนาดไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการประกาศใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ของแต่ละประเภทของพลังงานทดแทนที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนมากขึ้น ๒.๑.๕.๓ โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไทยสู่ประชาคมอาเซียน ระยะที่ ๒ (Innovation Coupon for SMEs) ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษารายละเอียดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ โดยนำผลการประเมินโครงการฯ ระยะที่ ๑ มาประกอบการพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๕.๔ ข้อเสนอความเห็นต่อการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า IT (ITA Expansion) ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องการทบทวนการเข้าร่วมการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ โดยปรับรายการสินค้าตามหลักและเจตนารมณ์ของรายการสินค้า IT ให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศพิจารณาตามขั้นตอน ๒.๑.๕.๕ ข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน ให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน หารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงานรับข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ในการกำหนดอัตราการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือในการรับคนพิการเข้าทำงานเช่นเดียวกับภาคเอกชนด้วย ๒.๑.๕.๖ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปเร่งรัดดำเนินการในเส้นทางที่ได้ทำการศึกษารายละเอียดไว้แล้ว และพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการขยายโครงข่ายระบบรางให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕.๗ โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดความสูญเสียจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเล ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอโครงการฯ และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเลไปพิจารณาในการวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ๒.๑.๕.๘ กฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA) ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการผลักดันกรอบการเจรจา Intergovernmental Agreement (IGA) เรื่องกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริการะหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเ
|
|||||||||||||||||||||
507 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 2 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี วันที่ 31 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2556 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๑ โครงการ วงเงินรวม ๕๒๒.๙๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำของทุกจังหวัดให้ส่งรายละเอียดการออกแบบโครงการเบื้องต้นเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาให้ความเห็นในรายละเอียดก่อนดำเนินโครงการ ๑.๔ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ (จังหวัดลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท) รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๓๑ โครงการ วงเงินรวม ๑๖,๔๒๓.๔๒ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๒. ในส่วนของโครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าว ชัยนาท วงเงิน ๗๔.๕๔๗๓ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมการข้าว) ประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ [ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค)] เพื่อดำเนินงานวิจัยและพัฒนาปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งพัฒนาให้จังหวัดชัยนาท เป็นศูนย์กลางผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีที่สุดของประเทศและของโลกเช่นเดียวกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute : IRRI) ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และดำเนินการให้มีการใช้พันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกในแต่ละพื้นที่ โดยให้นำมาใช้ให้ทันต่อการเพาะปลูกข้าวนาปรังรอบที่ ๒ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดจังหวัดที่จะต้องดำเนินการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงการต่างประเทศให้ชัดเจน โดยให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด (KPI) ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
508 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) | นร11 | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) ประกอบด้วย ๕ แผนงาน/โครงการ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๘,๘๗๕ ล้านบาท โดยขอใช้เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน ๑๗,๘๗๕ ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถจำแนกข้อเสนอดังกล่าวออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนแรก โครงการที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จำนวน ๓ แผนงาน/โครงการ วงเงิน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) โครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน การประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund For SMEs) และการขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปีตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และส่วนที่สองโครงการที่ขอรับจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม (คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๘๗๕ ล้านบาท ได้แก่ โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ [โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมการผลิต (Productivity For SMI) และโครงการพัฒนาผลิตภาพของ SMEs ด้านการค้าและบริการ] และโครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๑ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตรวจสอบข้อเท็จจริงการชะลอการร่วมลงทุนของกองทุนร่วมลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยกับผู้ประกอบการ SMEs ในระยะที่ผ่านมา และพิจารณาระเบียบการจัดสรรเงินกองทุน แนวทางและขั้นตอนการร่วมลงทุนให้เกิดความชัดเจน ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ของกระทรวงอุตสาหกรรม และแนวทางการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินโครงการตามข้อเสนอดังกล่าว ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานประเภท ๒ และ ๓ ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ออกไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจชำระคืนค่าธรรมเนียมรายปีให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงวันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ |
|||||||||||||||||||||
509 | กำหนดให้ปี พ.ศ. 2557 เป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยภายใต้หัวข้อ "อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใส่ใจไม่ประมาท" | มท | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยภายใต้หัวข้อ “อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใใส่ใจไม่ประมาท” ๑.๒ กำหนดกิจกรรมในการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๒.๑ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมและการปฏิบัติตนอย่างปลอดภัยเมื่อต้องเผชิญกับอัคคีภัย รวมถึงความสำคัญของการติดตั้งอุปกรณ์และระบบเตือนภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า โรงมหรสพ ฯลฯ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ๑.๒.๒ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานความร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอัคคีภัยด้านต่าง ๆ แก่สาธารณชนผ่านสื่อในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๒.๓ จังหวัดทุกจังหวัดจัดสัปดาห์รณรงค์การป้องกันอัคคีภัยเพื่อเป็นการสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการป้องกันอัคคีภัย โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะในสถานศึกษาและสถานประกอบการต่าง ๆ ๒. ให้ปรับแก้ไขหัวข้อการรณรงค์ จากเดิม “อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใส่ใจไม่ประมาท” เป็น “อัคคีภัยป้องกันได้ ต้องใส่ใจไม่ประมาท” ๓. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปดำเนินงานตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้ กปภ.ช. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔.๑ ควรวางระบบการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนรวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนในการวางแผนการดำเนินงานและประสานงานการป้องกันและแก้ไขอัคคีภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีอาคารสูงและเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา เป็นต้น ทั้งนี้ ควรกำหนดให้มีการซ้อมการเผชิญเหตุการณ์และการช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอ ๔.๒ ควรกำหนดมาตรการการตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์การป้องกันและระงับอัคคีภัยของหน่วยงาน องค์กร และสถานที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ และจัดให้มีแผนผังแสดงทางหนีไฟและทางเข้าออกอาคารในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ๔.๓ ปัจจุบันสภาพป่าในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความชื้นน้อยและอากาศแห้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังไฟป่าที่จะเกิดขึ้นด้วย |
|||||||||||||||||||||
510 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก | ศธ | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) เมื่อวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) และคณะ ได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดสุโขทัย ซึ่งมีพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ โดยเฉพาะอำเภอกงไกรลาศ แม่น้ำยมล้นตลิ่งเกิดภาวะน้ำท่วมขังในระดับสูง ซึ่งได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ปัญหาอุทกภัยจังหวัดสุโขทัยเร่งแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน สำรวจความเสียหายเพื่อจะได้ฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด ให้ประชาชนแจ้งข่าวสารและเตือนภัยสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ดำเนินการสำรวจพนังกั้นน้ำให้อยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมรับมือกับสถานการณ์การไหลบ่าของแม่น้ำ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นตามอำนาจหน้าที่ จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพบปะชี้แจงและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยทุกตำบลของอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง ๒. วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) และคณะ ได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและรับฟังสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดพิษณุโลก โดยจังหวัดพิษณุโลกมีสภาพพื้นที่ราบลุ่มในหลายอำเภอ และมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำน่าน แม่น้ำยม แม่น้ำวังทอง คลองชมพู และแม่น้ำแควน้อย มีพื้นที่ประสบอุทกภัยที่ระดับน้ำลดลงแต่ยังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ จำนวน ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองพิษณุโลก อำเภอพรหมพิราม อำเภอชาติตระการ อำเภอนครไทย อำเภอเนินมะปราง และอำเภอวัดโบสถ์ พื้นที่ที่มีระดับน้ำท่วมขังมากยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ จำนวน ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางกระทุ่ม อำเภอบางระกำ และอำเภอวังทอง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่ม ได้แก่ ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง ยังมีสภาพน้ำท่วมขังมาก ซึ่งได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจังหวัดพิษณุโลก ทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับท้องถิ่น เน้นการประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสารสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด สำรวจความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำในแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่ให้อยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมรับสถานการณ์การไหลบ่าของน้ำ และดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ทันเวลาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง เพื่อฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด สำหรับสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ได้สั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นและให้ดำเนินการวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง
|
|||||||||||||||||||||
511 | มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557 - 2561) | นร | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย มาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ และแนวทางการนำมาตรการดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ ให้ คปร. สำนักงาน ก.พ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ร่วมกับส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการนำมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ให้ คปร. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรอัตรากำลังคืนให้กับส่วนราชการที่มีภารกิจตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ประเทศ และมีภารกิจเพิ่มขึ้น การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการคืนทั้งหมดเพื่อรองรับกับภารกิจของหน่วยงานในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่เพิ่มมากขึ้น การพัฒนาข้าราชการร้อยละ ๑๐๐ ให้มีความรู้ความสามารถทักษะและสมรรถนะตามแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนควรมีการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับการพัฒนา และในการดำเนินมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐฯ ควรครอบคลุมพนักงานมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เช่นเดียวกับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจำ การทำความเข้าใจกับผู้บริหารและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนราชการในราชการบริหารฝ่ายพลเรือนให้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการดำเนินการ การพัฒนาเครื่องมือ กลไก หรือคู่มือการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การให้ความสำคัญกับการวางกรอบหลักเกณฑ์การพิจารณาเพิ่มอัตราตั้งใหม่ให้เหมาะสมกับฐานะการคลังของประเทศในระยะยาวเพื่อให้มีความยั่งยืนและคุ้มค่าด้านบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ การวางระบบหรือกลไกที่สามารถบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น การขยายขอบเขตการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมกำลังคนภาครัฐทุกประเภท (ทั้งในฝ่ายพลเรือนและทหาร) รวมทั้งการจัดทำแนวทางในการส่งเสริมและ/หรือมาตรการสร้างแรงจูงใจอย่างชัดเจน เพื่อให้การถ่ายโอนบุคลากรไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ คปร. และสำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.๑ เนื่องจากแนวทางการบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบทั้งที่สังกัดหน่วยงานภายใต้ฝ่ายบริหารและสังกัดองค์กรต่าง ๆ ที่มิได้อยู่ภายใต้ฝ่ายบริหารยังมีความเหลื่อมล้ำ และไม่ได้มีการบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดการบูรณาการในเรื่องดังกล่าวอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม ควรให้ คปร. รับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๓.๒ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการ ควรคำนึงถึงการเสริมสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถได้มีโอกาสแสดงศักยภาพและได้รับการยอมรับ รวมทั้งควรมีการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อให้มีศักยภาพที่หลากหลายมากขึ้น (Multi Skill) ทั้งนี้ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการควรมีการพิจารณาปรับปรุง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา เพื่อให้ได้กำลังคนที่มีทักษะ สมรรถนะ และทัศนคติที่เหมาะสมและมีใจรักในงานบริการ เพื่อให้สอดคล้องและรองรับการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแนวใหม่ ควรให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การสรรหากำลังคนเข้าสู่ระบบราชการให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||
512 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" | สสป | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการจัดการฐานข้อมูล ได้แก่ ส่งเสริมการจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณ ประเภท และชนิดของขยะมูลฝอย รวมถึงการส่งผ่านข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปยังประชาชนในท้องถิ่นเพื่อให้ได้รับทราบและตรวจสอบข้อมูลการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนของตนเอง และร่วมมือลดปริมาณ จำนวน และประเภทขยะมูลฝอยทุกชนิดจนให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ๒. ด้านมาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ ส่งเสริมให้ท้องถิ่นออกเป็นข้อบัญญัติของเทศบาลหรือมาตรการการจัดการขยะมูลฝอยที่สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน รวมถึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามและการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ส่งเสริมให้ภาครัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในการบริหารขยะมูลฝอยอย่างครบวงจรทั้งระบบ และจัดการขยะอันตราย รวมทั้งรัฐควรอำนวยความสะดวกด้วยการปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เอกชนดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ๓. ด้านงบประมาณและบุคลากร ได้แก่ สนับสนุนหรืออุดหนุนงบประมาณแก่ท้องถิ่นที่มีรายได้ไม่เพียงพอในการจัดการขยะมูลฝอยให้สามารถดำเนินการเดินระบบการจัดการในเบื้องต้นได้ตามความเหมาะสมกับสภาพจริงของท้องถิ่นนั้น ๆ และสนับสนุนให้มีบุคลากรสำหรับดำเนินการจัดการขยะมูลฝอยอย่างเพียงพอ และต้องกำหนดค่าตอบแทนที่ครอบคลุมทั้งเงินเดือนและสวัสดิการในอัตราที่สามารถดำรงชีพได้อย่างไม่ขัดสน ๔. ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ ส่งเสริมและสนับสนุนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยตั้งแต่ระดับครอบครัว จนถึงสังคมเมืองขนาดใหญ่ให้มีความตระหนักในการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยนำกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งส่งเสริมให้ร่วมรับผิดชอบในการจ่ายค่าจัดการขยะมูลฝอยในอัตราที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของท้องถิ่น ๕. ด้านการใช้เทคโนโลยีจัดการขยะมูลฝอย ได้แก่ สนับสนุนให้มีการบริหารจัดการขยะมูลฝอยแบบรวมกลุ่ม เพื่อให้มีต้นทุนในการดำเนินงานด้วยการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลเพียงพอ ดังที่มีการดำเนินการไปแล้วในบางพื้นที่ เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
513 | ผลการประชุมหารือแนวทางการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย | นร01 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัยที่หน่วยงานได้ตกลงร่วมกัน ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมได้ยึดหลักจากแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ "บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย" ใช้ประกอบการกำหนดแนวทางในการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย เป็น ๔ แนวทาง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธาน กบอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ในภาวะปกติ ในการปฏิบัติงานรายวันให้หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุทกศาสตร์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร แจ้งข่าวสารข้อมูลหรือข้อเท็จจริงทั่วไปที่อาจมีผลสืบเนื่อง หรือนำไปสู่ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนทราบ ห้ามนำเสนอข้อมูลในลักษณะแสดงความคิดเห็น เว้นแต่เป็นความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบ หรือนักวิชาการที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ๑.๒ ในการเฝ้าระวัง เมื่อมีเหตุที่อาจมีผลสืบเนื่องหรือนำไปสู่ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ๑.๒.๑ ให้ สบอช. และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติรับผิดชอบในการจัดประชุมและการแจ้งข่าวร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการติดตามสถานการณ์น้ำ ณ สบอช. โดยข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการเฝ้าระวัง ได้แก่ ประกาศหรือข้อมูลที่มุ่งหมายให้หน่วยงาน องค์กร หรือประชาชนเตรียมพร้อมและเฝ้าระวังภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ๑.๒.๒ ให้มีขั้นตอนการเฝ้าระวัง โดยให้กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุทกศาสตร์ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สถานการณ์ฝน สภาพดิน เฝ้าระวังระดับและคุณภาพน้ำในเขื่อน น้ำในแม่น้ำ น้ำใต้ดิน น้ำทะเล โดยส่งข้อมูลดิบและข้อมูลที่ได้วิเคราะห์แล้วเข้าคลังข้อมูล ที่ สบอช. เพื่อเชื่อมข้อมูลกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ให้ทุกหน่วยงานสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกัน ๑.๒.๓ ให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา นำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการเฝ้าระวังดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงต่อไป ๑.๓ การแจ้งเตือนภัย เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ให้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บก.ปภ.ช.) โดย กบอ. และ สบอช. เป็น Command Center เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินสถานการณ์ภัยจากข้อมูลในคลังข้อมูลของหน่วยงานเฝ้าระวัง หากคาดว่าจะมีผลกระทบรุนแรง (ขั้นวิกฤต) จะแจ้งให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ และผ่านกระทรวงมหาดไทย (จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) เพื่อนำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการแจ้งเตือนภัยดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนและเครือข่ายหน่วยเผชิญเหตุทราบอย่างทั่วถึงต่อไป โดยจำแนกระดับความรุนแรงของภัยเป็น ๔ ระดับ คือ อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๑ (สาธารณภัยขนาดเล็ก) อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๒ (สาธารณภัยขนาดกลาง) อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๓ (สาธารณภัยขนาดใหญ่) และอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๔ (สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง) ๑.๔ การยกเลิกสถานการณ์ เมื่อภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำกลับเข้าสู่ภาวะปกติให้ผู้รับผิดชอบแต่ละระดับภัยประกาศยกเลิกสถานการณ์ และให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา นำข้อมูลหรือข้อเท็จจริง การประกาศยกเลิกสถานการณ์ดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงต่อไป โดยสรุปเป็นแนวทางในการให้ข่าวสารสาธารณะและเตือนภัย ได้แก่ การให้ข่าว (แจ้งข่าวสาร) การเฝ้าระวัง การแจ้งเตือนภัย และการยกเลิกสถานการณ์ ๒. ให้แก้ไขข้อความบางประการของการแจ้งเตือนภัย ในส่วนของอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๒ (สาธารณภัยขนาดกลาง) และอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๔ (สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง) รวมทั้งการยกเลิกสถานการณ์ ในส่วนของตารางสรุปแนวทาง การให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ตามความเห็นของกระทรวงมหาดไทย |
|||||||||||||||||||||
514 | สรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ | มท | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคาดหมายลักษณะอากาศ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม และการให้ความช่วยเหลือ ๑.๑ สภาพอากาศ ในช่วงวันที่ ๗-๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยมีกำลังแรง คลื่นสูง ๒-๓ เมตร และในช่วงวันที่ ๑๐-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนตกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทย มีกำลังอ่อนลง ๑.๒ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สั่งการเพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม อันเกิดจากฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง โดยให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๕ ศูนย์เขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ๑๓ จังหวัด ในพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม อันเกิดจากฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ๒. สรุปสถานการณ์อุทกภัย ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ เกิดอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังระบายไม่ทัน และน้ำล้นตลิ่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้น ๓๘ จังหวัด ๒๗๖ อำเภอ ๑,๗๑๖ ตำบล ๑๓,๗๗๙ หมู่บ้าน ๙๓๘,๔๓๕ ครัวเรือน ๓,๐๙๖,๒๐๒ คน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย ๓,๑๕๒,๐๘๓ ไร่ ถนน ๕,๓๙๗ สาย สะพาน ๒๙๙ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๔๒๖ แห่ง ฝาย/ทำนบ ๕๑๙ แห่ง บ้านเรือนถูกน้ำท่วม ๑๕,๖๑๐ หลัง โรงเรียน ๒๒๕ แห่ง วัด ๓๙๙ แห่ง และสถานที่ราชการ ๕๗ แห่ง ๓. สรุปสถานการณ์วาตภัย ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดนราธิวาสเกิดเหตุวาตภัยในพื้นที่อำเภอเมืองนราธิวาส รวม ๔ ตำบล ๙ หมู่บ้าน บ้านเรือนเสียหาย ๑๖๙ หลัง ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๘๔๕ คน โรงเรียนปอเนาะ ๑ แห่ง และเสาไฟฟ้า ๓๐ ต้น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาสร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือแล้ว ๔. สรุปสถานการณ์ภัยแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดที่ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ได้แก่ จังหวัดตาก บุรีรัมย์ และนครราชสีมา รวม ๑๔ อำเภอ ๑๑๒ ตำบล ๑,๒๔๑ หมู่บ้าน และจังหวัดที่ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฝนทิ้งช่วง) ได้แก่ จังหวัดแพร่ ๑ อำเภอ รวม ๒ ตำบล ๑๘ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๓๖๕ ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร ๑๑,๔๔๐ ไร่ ๕. สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหว ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๕.๒๘ น. เกิดแผ่นดินไหวบนบก ขนาด ๒.๕ ริกเตอร์ บริเวณตำบลเวียง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๒๑.๓๗ น. เกิดแผ่นดินไหวบนบก ขนาด ๒.๙ ริกเตอร์ บริเวณสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ห่างจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ ๒๘ กม. และวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๐.๓๘ น. เกิดแผ่นดินไหวในทะเล ขนาด ๖.๖ ริกเตอร์ บริเวณทะเลโอคอตสค์ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย ๖. สรุปสถานการณ์อุบัติภัย และเหตุการณ์สำคัญ ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดบุรีรัมย์ เกิดเหตุรถยนต์กระบะบรรทุกคนงานเสียหลักชนต้นไม้ บริเวณถนนสาย ๒๑๙ มหาสารคาม-บุรีรัมย์ กม.ที่ ๒๑๕-๒๑๖ บ้านโนนสวรรค์ ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน มีผู้เสียชีวิต ๑๖ ราย และได้รับบาดเจ็บสาหัส ๘ คน จังหวัดสมุทรสาคร เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารโรงงานผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิกและกระเบื้องบุผนัง ของบริษัทไทยอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดกระเบื้องไทย ตั้งอยู่เลขที่ ๗๕ หมู่ที่ ๓ ถนนเศรษฐกิจ ๑ ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน และจังหวัดตราด เกิดเหตุหินถล่มลงมาทับเส้นทางสัญจรไป-มา บริเวณทางโค้งก่อนถึงหาดทรายขาว ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง ซึ่งทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตราด อำเภอ ตำรวจท่องเที่ยว เทศบาลตำบลเกาะช้าง ดำเนินการนำหินที่ถล่มลงมาออกจากเส้นทางเรียบร้อยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
515 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายการบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" | สสป | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายการบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน) กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงบประมาณ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ สำนักงานงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. สร้างความสมบูรณ์ในระบบนิเวศลุ่มน้ำ ๑.๑ จัดให้มีพื้นที่ป่าไม้ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่ทั้งหมดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ๑.๒ ปรับปรุง ฟื้นฟู และอนุรักษ์พื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ประกาศเขตไว้แล้ว ๓๕๐ ป่าในเนื้อที่ ๓๔.๒๗ ล้านไร่ มีสัดส่วนร้อยละ ๓๒.๔๘ ๑.๓ อนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำที่เหลืออยู่ ๘.๕๕ ล้านไร่ ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ๑.๔ กำหนดมาตรการการป้องกันและแก้ไขการชะล้างหน้าดินในพื้นที่เสี่ยงระดับรุนแรง ๑๗.๗๘ ล้านไร่ ๑.๕ กำหนดมาตรการการควบคุมและป้องกันพื้นที่แพร่กระจายดินเค็ม ๑๗.๘๐ ล้านไร่ ๑.๖ สงวนรักษาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เพื่อปรับปรุงให้คืนสภาพเป็นป่าอนุรักษ์ และยกเลิกนโยบายการนำป่าเสื่อโทรมไปใช้ประโยชน์เพื่อการอื่น รวมทั้งการนำไปจัดสรรให้กับประชาชน ๑.๗ ปรับปรุง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ทางน้ำและแหล่งน้ำ รวมทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำให้อยู่ในสภาพดี ๑.๘ กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณ และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีระบบบำบัดน้ำเสียรวมและระบบจัดการขยะที่ได้มาตรฐานให้ครบทุกท้องถิ่น ๑.๙ จัดให้มีระบบตรวจสอบและแสดงผลคุณภาพน้ำในลำน้ำที่ผ่านแหล่งชุมชนให้ประชาชนทราบสถานการณ์ ๒. สร้างความสมดุลน้ำ ๒.๑ จัดหาน้ำและพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนที่ขาดแคลนอยู่ในปัจจุบัน ๒.๒ นำโครงการพัฒนาลุ่มน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้นแบบการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก และโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำใกล้เคียง ๒.๓ จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ๒.๔ เร่งดำเนินการพัฒนาระบบชลประทานในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ในส่วนที่ยังไม่ดำเนินการอีก ๑๖.๖๐ ล้านไร่ให้เสร็จ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒.๕ จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการขุดสระน้ำในไร่นาให้ครอบคลุมพื้นที่นอกเขตชลประทานตามความต้องการของประชาชน ๒.๖ พัฒนาระบบการนำน้ำใต้ดินที่สามารถใช้ในการเพาะปลูกขึ้นมาใช้ ๒.๗ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนสามารถบริหารจัดการในระดับครัวเรือนได้ โดยน้อมนำโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่มาเป็นแบบอย่างในการดำเนินการ ๒.๘ จัดให้มีแหล่งน้ำประจำหมู่บ้านและชุมชน โดยการขุดสระน้ำใหม่ หรือขุดลอกแหล่งน้ำเดิมที่เสื่อมโทรมให้กลับมาใช้ได้ตามปกติ ๓. สร้างเอกภาพการบริหารจัดการ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการบริหารทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพ และบังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน ๓.๑ ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยปรับปรุงโครงสร้างองค์กรบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำ ให้มีอำนาจหน้าที่ในการประสานความร่วมมือได้อย่างเป็นเอกภาพ เพิ่มหมวดความร่วมมือ ให้ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับงานบริหารทรัพยากรน้ำ ต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกับคณะกรรมการลุ่มน้ำและสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการลุ่มน้ำอย่างเคร่งครัด และเพิ่มหมวดงบประมาณ ให้สำนักงบประมาณกำหนดกรอบวงเงินตามแผนบริหารทรัพยากรน้ำของลุ่มน้ำหลัก และให้ส่วนราชการที่เสนองบประมาณที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการลุ่มน้ำก่อน ๓.๒ บูรณาการบริหารจัดการโดยใช้วิธีการบริหารจัดการที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริดำเนินการ เป็นแนวทางการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ๓.๓ เร่งรัดการออกพระราชบัญญัติการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... ให้เสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓.๔ จัดทำแผนแม่บทเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางดำเนินการไปสู่การปฏิบัติอย่างบูรณาการ ๓.๕ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบลุ่มน้ำสาขา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและระบบนิเวศ ๓.๖ จัดตั้งองค์กรบริหารลุ่มน้ำในระดับท้องถิ่นและชุมชน ให้ท้องถิ่นและชุมชนสามารถบริหารทรัพยากรน้ำในพื้นที่ของตนเองได้ และรัฐต้องให้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังทั้งด้านความรู้ ประสบการณ์ และงบประมาณ ๓.๗ พัฒนาระบบฐานข้อมูลและจัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลทรัพยากรน้ำ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการได้อย่างเป็นเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน ๓.๘ สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก้าวทันการพัฒนาเทคโนโลยีข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง ๓.๙ ปลูกจิตสำนึกและให้ความรู้กับประชาชนในการใช้น้ำอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
516 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัย ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ และอุทัยธานี | นร | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามสถานการณ์อุทกภัย ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ และอุทัยธานี เมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เดินทางไปกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ ตำบลบ้านโพ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่และมอบนโยบาย เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๖ โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอบางปะอิน และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโพ สรุปได้ว่า พื้นที่ตำบลบ้านโพเป็นพื้นที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นมา ได้เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำล้นตลิ่ง ส่งผลให้ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบน้ำล้นตลิ่งทั้งหมด ๗๙๔ ครัวเรือน โดยองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโพได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อาทิ การสร้างคันกั้นน้ำใต้สะพานดำ สนับสนุนเรือซึ่งจัดซื้อโดยโครงการ SML สนับสนุนไม้เพื่อก่อสร้างสะพาน และหนุนเก็บของ สนับสนุนสุขาลอยน้ำ สนับสนุนหินคลุกเพื่อให้ประชาชนได้สัญจรได้อย่างสะดวก และสนับสนุนเต็นท์พักพิง เป็นต้น ในการนี้ ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเกิดสถานการณ์อุทกภัย ๒. จังหวัดนครสวรรค์ มีพื้นที่ประสบภัย ๑๒ อำเภอ ๔๓ ตำบล ๓๐๓ หมู่บ้าน ๒ เขตเทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ ๑๗,๖๖๕ ครัวเรือน ๕๘,๒๖๙ คน พื้นที่ทางการเกษตร ๗๔,๗๕๘ ไร่ บ่อปลา/กบ ๑๗ บ่อ ท่อระบายน้ำ ๓๑ แห่ง คอสะพาน ๕ แห่ง ฝาย ๓ แห่ง คันคลอง/คันเมือง ๒๗ จุด ปัจจุบันสถานการณ์ได้ยุติลงแล้ว ๗ อำเภอ ยังคงมีสถานการณ์ (พื้นที่ถูกน้ำท่วมขังอยู่) ๕ อำเภอ ๑๒ ตำบล ๘๔ หมู่บ้าน ราษฎร ๒,๐๖๑ ครัวเรือน ๖,๓๔๙ คน ๓. จังหวัดอุทัยธานี ปัจจุบันพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีประสบปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน และพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย เนื่องจากมีฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นมา ซึ่งจังหวัดได้ประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉินแล้ว จำนวน ๘ อำเภอ ๖๔ ตำบล ๔๓๕ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขังบ้านเรือน ๒,๕๖๓ หลังคาเรือน ๗,๖๘๙ คน ถนนเสียหาย ๒๐๕ สาย คอสะพาน ๕ แห่ง ฝาย ๓ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๓๕ แห่ง คันคลอง ๑๒ แห่ง คันเหมือง ๑๖ แห่ง และพื้นที่ทางการเกษตรประสบภัยทั้งสิ้น ๕๘,๖๙๔ ไร่ คาดว่าจะเสียหาย ๓๗,๘๗๑ ไร่ แบ่งเป็น นาข้าว ๓๒,๕๒๔ ไร่ พืชไร่ ๕,๓๐๓ ไร่ พืชสวนและอื่น ๆ ๔๔ ไร่
|
|||||||||||||||||||||
517 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๕,๙๓๑ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในหลากหลายประเด็น ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารออมสิน ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||
518 | (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. 2556- 2559) | ศธ | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) ตามมติคณะกรรมการสภาการศึกษา ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดย (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรี ทั้งจากภาครัฐและเอกชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษานำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีทั้งการพัฒนาเยาวสตรีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ การพัฒนาทักษะความรู้ด้านอาชีพและศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการสร้างครอบครัวอบอุ่นและภูมิคุ้มกันตนเองจากภัยสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภูมิปัญญา ทักษะชีวิต และค่านิยมสร้างสรรค์ ธำรงไว้ซึ่งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทางวัฒนธรรมของเยาวสตรีไทย ยุทธศาสตร์การส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต มีทักษะอาชีพพื้นฐาน และศักยภาพทางเศรษฐกิจของเยาวสตรี และยุทธศาสตร์การเสริมสร้างครอบครัวอบอุ่น เยาวสตรีมีภูมิคุ้มกันตนเองต่อภัยคุกคามของปัญหาสังคม รวมทั้งแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ไปดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการ หรือนำแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ สู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการบูรณาการแผนงานให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) และยุทธศาสตร์การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (Life Cycle Development) ให้ชัดเจนก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการส่งเสริม พัฒนาและสร้างความตระหนักให้เยาวสตรีในสถานศึกษาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม มีวิจารณญาน และรู้เท่าทัน เพื่อประโยชน์ในการศึกษา เรียนรู้ และทำงาน การปลูกฝังให้เยาวสตรีได้เรียนรู้และมีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และบรรพบุรุษของชาติไทยโดยเฉพาะวีรสตรีท่านต่าง ๆ พร้อมทั้งการมีจิตสำนึกที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การให้ความสำคัญกับการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือและขับเคลื่อนเพื่อขยายผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพสตรีและเยาวสตรี ทั้งในระดับจังหวัด โรงเรียน และชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เป็นรูปธรรม รวมทั้งมีการพัฒนาสตรีและเยาวสตรีอย่างต่อเนื่อง ทั้งสตรีในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา โดยใช้ประชากรสตรีในพื้นที่เป็นเป้าหมายมุ่งพัฒนาเชื่อมโยงกับสภาพปัญหาต่าง ๆ ของสตรีและเยาวชนสตรีในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
519 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" | สสป | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมโยธาธิการและผังเมือง สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ระดับนโยบาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดนโยบายให้มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือในชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก อีกทั้งควรให้มีระเบียบและข้อกำหนดในด้านงบประมาณให้มีความคล่องตัวและเอื้อต่อการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ๒. ระดับพื้นที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ประสานงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ เพื่อจัดบริการสุขภาวะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนที่มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือชุมชน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยจัดบริการให้ครบทุกมิติสุขภาวะทั้ง ๔ ด้าน คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา ๒.๒ สนับสนุนการจัดบริการสังคมอื่น ๆ เพื่อสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น ยานพาหนะในการรับส่ง กายอุปกรณ์ และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ๒.๓ สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายแนวคิดการพัฒนารูปแบบของกระบวนการทำงาน ในลักษณะการมีส่วนร่วมและเชื่อมประสานของทุกฝ่าย (ชุมชน อปท. ทีมนักวิชาการวิชาชีพสุขภาพ) ร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้เกิดสังคมไม่ทอดทิ้งกัน มีชุนชน บ้านของเขาเป็นฐาน
|
|||||||||||||||||||||
520 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... | สธ | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับร่างมาตรา ๕ ที่กำหนดขอบเขตสิทธิรับบริการสาธารณสุขของพนักงานส่วนท้องถิ่นและบุคคลในครอบครัวให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อาจไม่สอดคล้องกับมาตรา ๙ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ที่ให้กำหนดเฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานที่สามารถใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น และการเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ รวมทั้งการเร่งบูรณาการระบบจัดส่งข้อมูลระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสถานพยาบาลให้มีความพร้อมในการดำเนินการก่อนการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับประเด็นอภิปรายและความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....