ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 22 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 421 - 440 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
421 | การเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล | มท | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยกระทรวงมหาดไทยได้ประชุมการเตรียมความพร้อมฯ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ให้ทุกหน่วยงานยังคงภารกิจในการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วม และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูฝนตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นศูนย์กลางในการประสานการปฏิบัติกับทุกหน่วย และรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อสรุปผลเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ๓. ให้หน่วยงานอื่น ๆ เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย การประปานครหลวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตลอดจนภาคเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้างเส้นทางคมนาคม เป็นต้น ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาขยะอุดตันเส้นทางการระบายน้ำ ๔. ให้กรุงเทพมหานครเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ในการร่วมจัดการกรณีขยะที่มาอุดตันทางน้ำ และสร้างปัญหาให้กับระบบสูบน้ำ ๕. ให้กรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรับข่าวสารเพื่อการแจ้งเตือนประชาชนในการสัญจรในพื้นที่การจราจรติดขัดในช่วงฝนตกหนักจากกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.๐๒) และเพิ่มช่องทางในการสื่อสารกับประชาชนให้มากขึ้น ๖. ในอนาคตสถาบันอาชีวะในทุกจังหวัดจะปฏิบัติการขยายผลในภารกิจเพื่อสังคม โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับจังหวัด ผ่านทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทั่วประเทศ ๗. ให้แต่ละหน่วยงานจัดทำช่องทางการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ในแต่ละระดับ โดยเฉพาะในระดับหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ต้องมีความพร้อม และสามารถสื่อสารกันได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เมื่อเกิดปัญหาในแต่ละแห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
422 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการบริหารงาน ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และระบบการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการบริหาร ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และระบบการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระบบการบริหารงาน ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และระบบการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
423 | การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2558 | มท | 21/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน ๑,๑๗๓ บ่อ แยกเป็นพื้นที่ที่มีไฟฟ้า จำนวน ๙๒๘ บ่อ และไม่มีไฟฟ้า จำนวน ๒๔๕ บ่อ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สามารถพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงจุดดำเนินการได้ ตามวัตถุประสงค์เดิม โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ภายหลังดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลแล้ว ให้มีการจัดทำทะเบียนคุม และระบุพิกัดที่ตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งส่งมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการใช้ประโยชน์และบำรุงรักษาต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากโครงการฟื้นฟูบูรณะแหล่งน้ำเดิมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย ภายใต้แผนงาน/โครงการบูรณะแหล่งน้ำเดิมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยแล้งและอุทกภัย ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่มีวงเงินเหลือจ่ายภายในกรอบวงเงิน ๓๗๔,๒๖๘,๗๖๙ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และราคามาตรฐานเดียวกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานในการสูบน้ำในพื้นที่ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลที่ไม่มีไฟฟ้า
|
|||||||||||||||||||||||||||
424 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... | พม | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการนิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามข้อสังเกต โดยขอให้จังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดเตรียมการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้จัดเตรียมโครงสร้าง อัตรากำลัง บุคลากร และงบประมาณที่จะปฏิบัติภารกิจหอพักอย่างเพียงพอแล้ว ๒. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดำเนินกาาตามข้อสังเกต โดย ๒.๑ จัดทำข้อมูลถ่ายโอนภารกิจ ตลอดจนบรรดาทะเบียน ข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการหอพักที่ต่อใบอนุญาตและไม่ได้ต่อใบอนุญาต โดยได้จำแนกตามเขตพื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานครไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อถ่ายโอนภารกิจหอพักให้กรุงเทพมหานคร ๒.๒ ประสานให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดดำเนินการจัดส่งฐานข้อมูลการจดทะเบียนหอพักตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๐๗ มาให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เบื้องต้นแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้รับข้อมูลเบื้องต้นจากจังหวัดต่าง ๆ แล้ว จำนวน ๕๖ จังหวัด ๒.๓ จัดทำคู่มือการจดทะเบียน ขั้นตอนวิธีการและรวบรวมบรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง แนวปฏิบัติ แนวคำวินิจฉัย ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และแบบพิมพ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ การกำกับดูแลกิจการหอพัก ซึ่งสามารถใช้ปฏิบัติภารกิจทีไดรับการถ่ายโอนภารกิจหอพักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ กำหนดแผนการปฏิบัติงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานและจัดฝึกอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับจังหวัด (ครู ก.) เพื่อให้ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ และวิธีการในการปฏิบัติงานราชการกำกับดูแลกิจการหอพัก และสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง นำไปขยายผลให้แก่พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับพื้นที่ต่อไป โดยมีกรมกิจการเด็กและเยาวชน สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เป็นพี่เลี้ยง ๒.๕ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ให้คำปรึกษา แนะนำ และช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒.๖ การดำเนินงานอื่น ๆ จะปฏิบัติตามขั้นตอนการกระจายอำนาจ ตาแมผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
425 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (๑ ช่องทาง) รวมทั้งสิ้น ๕๖,๘๔๒ ครั้ง จำนวน ๓๖,๓๙๗ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ ปัญหาหนี้สินนอกระบบ แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย ตามลำดับ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณากำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการเร่งรัดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว แล้วเสนอมาตรการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับหนี้สินนอกระบบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
426 | รายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย | พม | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ (๑) ควรพิจารณาปรับปรุงระบบบำนาญที่เป็นระบบร่วมจ่ายเงินสมทบ (Contributory) และไม่ต้องร่วมจ่ายเงินสมทบ (Non-contributory) รวมทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุควรพิจารณาความพอเพียงและความยั่งยืนต่อเนื่องจากประชากรสูงวัยมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (๒) เพิ่มแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในตลาดแรงงาน สนับสนุนให้ผู้ชายมีส่วนร่วมในการดูแลครอบครัว เพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถศึกษาเล่าเรียนควบคู่กับการทำงานได้ และมีมาตรการสนับสนุนครัวเรือนรุ่นกระโดดที่ยากจน เพื่อให้ผู้สูงวัยในครอบครัวสามารถดำรงชีวิตได้ และ (๓) ควรส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งพื้นที่ปริมณฑลที่ไม่ใช่เมืองใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการย้ายถิ่น และการกำหนดมาตรการ ระเบียบ ข้อบังคับควรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้ามามีส่วนร่วม ๑.๒ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านการปรับสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสาธารณะที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ (๑) ส่งเสริมและขยายให้มีชุมชน/เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (๒) สนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจให้พัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งการตลาดเพื่อรองรับสังคมสูงวัย และ (๓) เสนอคณะรัฐมนตรีให้หน่วยราชการ/ท้องถิ่น จัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงได้ ๑.๓ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านสุขภาพ ได้แก่ (๑) ผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนการดูแลผู้สูงอายุ โดยอาศัยการบูรณาการและการส่งต่อการดูแลผู้สูงอายุ สนับสนุนการพัฒนาความเข้มแข็งกองทุนสวัสดิการชุมชนที่มีการจัดตั้งแล้ว และพัฒนาสวัสดิการชุมชนให้หลากหลายขึ้น (๒) ควรมีระบบดูแลระยะกลาง ระยะยาว และระยะสุดท้ายในสถานพยาบาล บ้าน และชุมชน (๓) ควรพัฒนาขีดความสามารถของสถานบริการสุขภาพในเขตเมือง (๔) ควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้มีผู้ศึกษาสาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และการสร้างบุคลากรระดับกึ่งวิชาชีพและไม่ใช่วิชาชีพ รวมไปถึงการรักษาบุคลากรให้คงอยู่ในสาขาอาชีพให้นานที่สุด ๑.๔ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านสังคม ได้แก่ (๑) การส่งเสริมการวางแผนชีวิต (Life Planning) โดยเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงเรื่องรายได้ การส่งเสริมการออมก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ และมีมาตรการสนับสนุนครอบครัวที่ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามลำพัง และ (๒) มีการนำเสนอภาพลักษณ์ผู้สูงอายุในทางบวกผ่านสื่อสาธารณะให้หลากหลายขึ้น ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องต่อประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยและต้องระมัดระวังความขัดแย้งที่อาจจะเกิดจากความเห็นที่ไม่ตรงกันของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และการดำเนินการใดที่มีผลให้ต้องเพิ่มรายจ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนทุกครั้ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
427 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2558 เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น | สลธ.คสช. | 30/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๙/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้นายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี ๒. ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๑ ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ระงับการปฏิบัติราชการในตำแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราวและไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งประจำสำนักงานปลัดกระทรวงที่สังกัดโดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิมและให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดมอบหมาย ๓. ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๒ กลุ่มที่ ๓ และกลุ่มที่ ๔ ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ระงับการปฏิบัติราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งอยู่เป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ๔. ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๕ ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ไปช่วยราชการที่ศาลากลางจังหวัดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นตั้งอยู่หรือสถานที่ราชการอื่นตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนดแต่ต้องมิใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่เดิม โดยไม่ต้องมีคำร้องขอ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นผู้บังคับบัญชามีอำนาจมอบหมายให้ผู้นั้นปฏิบัติงานตามความเหมาะสม ในกรณีนี้ มิให้บุคคลดังกล่าวได้รับเงินประจำตำแหน่งและสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการชั่วคราว ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๕ อันเนื่องจากการไปช่วยราชการตามคำสั่งนี้ ๕. นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี อาจมีคำสั่งหรือมติเปลี่ยนแปลงคำสั่งตามข้อ ๑ ถึงข้อ ๕ ได้ตามที่เห็นสมควร
|
|||||||||||||||||||||||||||
428 | รายงานประจำปี 2557 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 23/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๗ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ โดยมีสาระสำคัญแบ่งเป็น ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ และคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย (๑) การกระจายอำนาจด้านการถ่ายโอนภารกิจและอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ (๓) การดำเนินการแก้ไขกฎหมาย (๔) การติดตามและประเมินผล และ (๕) การดำเนินการเรื่องอื่น ๆ ๓. ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก แบ่งเป็น ภาคผนวก ๑ ผลการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี พ.ศ. ๒๕๕๖ และภาคผนวก ๒ ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
429 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2558) | ทส | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นเรื่องที่เป็นหลักการหรือเรื่องทั่วไป ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในไตรมาสที่ ๑-๒ (ตุลาคม ๒๕๕๗-มีนาคม ๒๕๕๘) คิดเป็นร้อยละ ๔๒ จำนวน ๑๓,๓๐๖.๕๒ ล้านบาท ๑.๒ การเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้มีการประชุมในระดับทวิภาคีและระดับรัฐมนตรีกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมทั้งมีการสัมมนาระดับสูง ๑.๓ การจัดทำโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ ได้ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๕ อย่างเคร่งครัด และดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขการทุจริตและประพฤติมิชอบและส่งเสริมคุ้มครองจริยธรรม รวมทั้งมาตรการป้องกันและลดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๔ การเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติตามหลักการ ๓ ประการ ในการเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๑.๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้แจ้งรัฐวิสาหกิจในสังกัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗) โดยเคร่งครัด ๒. ประเด็นเรื่อง/โครงการสำคัญเร่งด่วน ๒.๑ ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ ได้ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำเพื่อแก้ปัญหาการตื้นเขินและเสื่อมสภาพของแหล่งน้ำพื้นที่ชุ่มน้ำให้คืนสู่ความสมบูรณ์ บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำและปัญหาน้ำท่วม การพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค น้ำดื่มสะอาดให้แก่โรงเรียน และพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก รวมทั้งดำเนินโครงการคืนคลองให้น้ำไหล คืนความใสให้แม่น้ำทั่วประเทศ และการจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร ปี ๒๕๕๘ มีเป้าหมายส่งมอบที่ดิน จำนวน ๑๖๐,๓๒๗ ไร่ และเตรียมพื้นที่สำหรับดำเนินการจัดที่ดินทำกินชุมชน ระยะที่ ๒ ในพื้นที่ ๘ จังหวัด ๕๑,๙๒๙ ไร่ รวมทั้งดำเนินโครงการสนับสนุนป่าพื้นบ้านธนาคารอาหารชุมชน (FOOD BANK) ในพื้นที่ ๖๔ จังหวัด ๒๖๐,๐๐๐ ไร่ ๒.๒ ด้านสังคม ได้แก่ การจัดการขยะมูลฝอยและน้ำเสีย ได้ดำเนินการจัดทำโครงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ ในระยะยาว ๑๕ ปี จำนวน ๑๙ พื้นที่ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ๒ โครงการ ๘ พื้นที่ ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และดำเนินโครงการสร้างวินัยของคนในชาติมุ่งการจัดการที่ยั่งยืน ตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ได้มีการประสานการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน จำนวน ๖๑๗ เรื่อง และมีการประสานแจ้งให้หน่วยงานต่าง ๆ นำเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการแล้ว ๒.๓ ด้านกฎหมาย การรวบรวมกฎหมาย ระเบียบที่ล้านสมัยหรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วน และจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมาย ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย รวมจำนวน ๑๘ ฉบับ และมีกฎหมายที่ประกาศใช้แล้ว ได้แก่ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๗ พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
430 | แนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศตามแนวทางของกระทรวงมหาดไทย | มท | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเสนอให้มีการจัดกลุ่มพื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการจัดการขยะมูลฝอย แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มพื้นที่ขนาดใหญ่ (L) กลุ่มพื้นที่ขนาดกลาง (M) และกลุ่มพื้นที่ขนาดเล็ก (S) และพื้นที่พิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งเสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจและหน้าที่เพิ่มขึ้นในเรื่องการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทาง/วิธีการในการกำจัดขยะมูลฝอยให้ประชาชนได้รับทราบ และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่มีการสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปัญหาขยะในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการขยะของประเทศในภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้มีกลไกเพื่อบูรณาการการแก้ปัญหาขยะในภาพรวมให้เป็นเอกภาพ และการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทที่สำคัญในฐานะเป็นหน่วยงานกำกับ ควบคุม ดูแล และติดตามตรวจสอบการจัดการขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเห็นควรพิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอย เพื่อบูรณาการการดำเนินงานให้เป็นเอกภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน หรือขัดแย้งกันเอง รวมทั้งมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพปัญหา และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนภาระงานของราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
431 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี ปี 2558 | มท | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี ปี ๒๕๕๘ วงเงินลงทุนรวม ๒,๙๙๗.๖๓๙ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป โดยให้ กปภ. ใช้เงินรายได้ชำระคืนการกู้เงินดังกล่าว ๒. ให้ กปภ. ไปหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ดำเนินการทั้งหมดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ที่ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ และกิจกรรมที่ดำเนินการเข้าข่ายห้ามกระทำการตามข้อ ๑๐ ในประกาศดังกล่าวหรือไม่ ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการพร้อมจัดทำแผนรองรับปัญหาขาดแคลนน้ำดิบ ภัยพิบัติ การลดอัตราน้ำสูญเสีย และการบริหารจัดการแรงดันน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของ กปภ. และจัดทำแผนการตลาดในการเพิ่มผู้ใช้น้ำรายใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมายและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิตและบริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงด้านแหล่งน้ำดิบเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำดิบและน้ำประปา รวมทั้งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อลดอัตราน้ำสูญเสียขององค์กร โดยแสดงรายละเอียด เป้าหมาย ตัวชี้วัด วงเงินลงทุน และผลลัพธ์เป็นรายปี เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาโครงการปรับปรุงขยายการประปาที่จะเสนอใหม่ต่อไป ตลอดจนประสานงานระหว่างส่วนราชการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับส่วนกลาง อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และหน่วยงานผู้ปฏิบัติในพื้นที่เพื่อบูรณาการเรื่องการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำในพื้นที่มาเป็นแหล่งต้นทุนน้ำดิบในกระบวนการให้เป็นไปด้วยความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาดำเนินการด้วยความโปร่งใส พร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ และให้มีการพิจารณาการจ้าง ดำเนินการโดยแรงงานท้องถิ่นในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
432 | มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว | กก | 09/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการจัดการประชุม อบรม สัมมนา ในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยให้ใช้บริการโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งกรณีมีการคาดหมายที่จะใช้สถานที่ในการจัดประชุมในเขตภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ขอให้พิจารณาความเหมาะสมในการเลือกใช้ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา เป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจในลำดับต้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลโรงแรมหรือศูนย์การประชุมสัมมนา ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้ทราบ พร้อมทั้งจัดบริการเสริมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจแก่หน่วยงานผู้จัดการประชุม อบรม สัมมนา ให้ใช้บริการสถานที่ดังกล่าวมากขึ้น และควรรวบรวมรายชื่อโรงแรมที่สามารถรองรับการจัดประชุม อบรม สัมมนา ในต่างจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานสามารถค้นหาได้สะดวก รวมทั้งกำหนดอัตราค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มในอัตราพิเศษสำหรับส่วนราชการที่อยู่ในเกณฑ์อัตราการเบิกจ่ายตามระเบียบของกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เร่งจัดทำแผนบริหารธุรกิจจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการบริหารให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับระยะเวลามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
433 | รายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชนรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำ สถานีขนส่งทั่วประเทศ | คค | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทp DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) กรมการขนส่งทางบกได้เร่งพัฒนาการให้บริการด้วยรถแท็กซี่ โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการให้บริการด้วยการประเมินผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in ร่วมประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการรถแท็กซี่ โดยตั้งแต่เปิดใช้บริการวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์-๑๔ เมษายน ๒๕๕๘ มีผู้ดาวน์โหลดรวมกว่า ๒๐,๐๐๐ ราย ในจำนวนนี้มีการแสดงความคิดเห็นและเรื่องร้องเรียนที่ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งหมด ๙๘๖ เรื่อง และจากข้อมูลพบว่าค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของผู้โดยสารอยู่ที่ ๒.๘ จากคะแนนเต็ม ๔ นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล DLT Check in กับฐานข้อมูลทะเบียนและเรื่องร้องเรียนของกรมการขนส่งทางบกเพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลกระทบในการประเมินความพึงพอใจการให้บริการรถแท็กซี่ พร้อมจัดกลุ่มรถแท็กซี่ที่มีปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ของกรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตอบรับและจัดการเรื่องร้องเรียนทุกเรื่องที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้โดยสารมากที่สุดถึงร้อยละ ๒๖ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแท็กซี่และสร้างแรงจูงใจยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ที่ทำดี โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพื่อกำหนดทิศทางการจัดระเบียบการให้บริการด้วยรถแท็กซี่อย่างมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ๑.๒ การยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบกได้ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้วยการพัฒนาห้องน้ำตามสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการออกแบบห้องน้ำตัวอย่างมาตรฐานสำหรับสถานีขนส่งผู้โดยสารเพื่อใช้เป็นแนวทางในการซ่อมแซม ปรับปรุง หรือก่อสร้างห้องน้ำใหม่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ พร้อมทั้งกำหนดให้จำนวนห้องน้ำมาตรฐานประเภทต่าง ๆ มีเพียงพอกับผู้ใช้บริการในสถานีทุกระดับ และสามารถให้ผู้ป่วยที่นั่งรถเข็นใช้งานได้สะดวกปลอดภัย นอกจากนี้ สุขภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกโดยต้องอยู่ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานส้วมสาธารณะระดับประเทศ (Healthy Accessibility Safety : HAS) ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยเปิดให้ใช้บริการฟรี และมีมาตรฐานการดูแลและบำรุงรักษาห้องน้ำในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้อยู่ในสภาพดี ตอบสนองความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ ปัจจุบันสถานีขนส่งผู้โดยสารในการควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบก จำนวน ๖๐ แห่ง พร้อมกับสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารงานโดยบริษัท ขนส่ง จำกัด และเอกชนอีก ๙ แห่ง จะปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ส่วนสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๔๘ แห่ง อยู่ระหว่างรอการพิจารณางบประมาณ ทั้งนี้ เป้าหมายของกรมการขนส่งทางบก คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารต้องมีห้องน้ำที่สะอาดถูกสุขลักษณะ พร้อมใช้งานตลอดเวลา มีความพร้อมสามารถรองรับประชาชนผู้ใช้บริการ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการจัดหาสถานที่พักรอผู้โดยสาร ณ จุดรับส่งผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่) ในสถานีขนส่งผู้โดยสารต่าง ๆ เพื่อให้บริการประชาชนในระหว่างที่รอรถและจัดให้มีรถแท็กซี่ให้บริการประชาชนอย่างเพียงพอ รวมทั้งจัดให้มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลต่าง ๆ และให้ประชาสัมพันธ์ช่องทางในการร้องเรียนการให้บริการ แนะนำการให้บริการผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้ ในกรณีที่ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการหรือการปฏิเสธผู้โดยสารของรถแท็กซี่ ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบและดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง เช่น การยึดใบอนุญาตขับรถ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
434 | การแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนเติบโตจนเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งในสิบของโลก ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนนิยมเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากประเทศต่าง ๆ และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทยยกเว้นการเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนบางรายเสนอค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายในรูปแบบซื้อบริการนำเที่ยวเสริมและนำเที่ยวในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่เรียกว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญ สำหรับปัญหานักท่องเที่ยวแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ได้เกิดเพียงในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้น แต่เกิดได้กับนักท่องเที่ยวทุกเชื้อชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านั้นยังไม่ทราบและไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมและประเพณีไทย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจึงได้แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จัดทำคู่มือ “Useful Tips for a Happy Holiday in Thailand” เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของไทยแจกจ่ายผ่านหลายช่องทางสำคัญ อาทิ สถานทูต สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทั่วประเทศ ศูนย์การค้า และโรงแรมต่างๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับทราบ ๑.๒ ออกตรวจการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและตรวจการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ตามแหล่งต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบริการ ๑.๓ จัดสัมมนาให้ความรู้แก่มัคคุเทศก์เกี่ยวกับสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรทำและไม่ควรทำ หรือ Do and Don’t ๑.๔ จัดอาสาสมัครนักท่องเที่ยวใน ๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี และภูเก็ต เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ จัดอบรมสร้างเครือข่ายแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์ โดยจัดให้มีการสร้างเครือข่ายสอดส่องผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ๑.๖ ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยให้คนไทยเป็นตัวแทน (nominee) ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หากนักท่องเที่ยวพบปัญหาสามารถโทรแจ้งสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว ๑๑๕๕ ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ๒.๑ จัดให้มีสถานที่จอดรถโดยสารท่องเที่ยวบริเวณชานเมืองเพื่อแก้ปัญหาการจราจร และโบราณสถานชำรุดเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากแรงสั่นสะเทือนของรถโดยสาร และจัดให้มีรถโดยสารขนาดเล็กรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงานแก่ประชาชนที่อยู่ในท้องที่นั้น ๆ ด้วย ๒.๒ รณรงค์และผลักดันให้เกิดความตื่นตัวในการปรับปรุง พัฒนา และสร้างมาตรฐานห้องน้ำสะอาด ปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๓ พิจารณาจัดสรรเงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณเพียงพอในการดูแลบริเวณโดยรอบโบราณสถานหรือแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ ด้วย ๓. โดยที่ปัจจุบันธุรกิจการท่องเที่ยวประสบปัญหาสำคัญ คือ การขาดแคลนมัคคุเทศก์ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ จึงเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้แก่ผู้ที่จบการศึกษาแล้วและยังไม่มีงานทำเป็นเป้าหมายแรก และกลุ่มผู้ที่มีความสนใจพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถเพื่อพัฒนาเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพต่อไป และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดฝึกอบรมบุคลากรในท้องถิ่นให้เป็นอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการให้บริการและดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||
435 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น รวม 3 เรื่อง (การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง พร้อมทั้งข้อสังเกต) | สว | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ได้แก่ เรื่อง การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เรื่อง ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง รวม ๓ เรื่อง มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การจัดระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา และลักษณะการปกครองท้องที่ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
436 | การพิจารณาแผนงาน/โครงการ ตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร 7 กลุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | มท | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการของจังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๕ โครงการ ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวบรวม และแปรรูปข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ (๒) โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตพื้นที่นำร่อง (ระยะสั้น) (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง (๔) โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตอ้อย และ (๕) โครงการเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลบัวใหญ่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการโครงการตาม (๑) (๒) (๓) และ (๕) ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๗,๑๙๐,๒๗๕ บาท โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละโครงการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับโครงการตาม (๔) ให้ใช้จ่ายจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายหรือปรับแผนจากงบปกติของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายดำเนินการก่อน ซึ่งตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับภารกิจดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และหากเป็นแผนงาน/โครงการที่จะต้องขอรับการจัดสรรจากเงินงบประมาณเนื่องจากการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลาง ให้เสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการผลิตและการตลาดเพื่อลดความซ้ำซ้อนและมีความเชื่อมโยงกัน และควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการตลาดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ ควรส่งเสริมการปลูกในเขตที่เหมาะสมกับพืชนั้น ๆ ควรกำหนดพื้นที่เป้าหมาย จำนวนเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์ที่จะเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งภาคเอกชนที่จะรับซื้อผลผลิต ควรมีการเพิ่มศักยภาพการผลิตทั้งการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่ม และควรให้ความสำคัญกับคุณภาพดินและปริมาณเมล็ดพันธุ์ดีที่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกร และให้กระทรวงมหาดไทยหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาล และขอความร่วมมือภาคเอกชนในพื้นที่ที่จะรับซื้อผลผลิต อาทิ อ้อย มันสำปะหลังจากเกษตรกรในโครงการและให้การสนับสนุนเงินทุนแก่เกษตรกรด้วย รวมถึงมอบหมายจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ และพิจารณาขยายผลโครงการในพื้นที่อื่น ๆ โดยบรรจุเป็นแผนงานโครงการในแผนพัฒนาจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. อนุมัติให้กรมชลประทานเข้าไปดำเนินการในพื้นที่กิจกรรมขุดลอกแหล่งน้ำเพื่อการผลิต จำนวน ๔๓ แห่ง ของโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตพื้นที่นำร่อง (ระยะสั้น) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าว ให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์วิธีการที่กฎหมายกำหนด ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนงาน/โครงการตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร ๗ กลุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการอย่างละเอียด รอบคอบ และรัดกุม เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณของแผ่นดิน ทั้งนี้ เพื่อให้แผนงาน/โครงการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ หรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการเพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
437 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 ระยะครึ่งแผน | สธ | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ระยะครึ่งแผน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม มีความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน มาตรการและแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม รวม ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ การสุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ และด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการทางกฎหมายด้านขยะมูลฝอยและแนวทางปฏิบัติในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย รวมทั้งพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบ การรายงานผล และแจ้งเตือนสถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ๔ ด้าน คือ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉิน และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านคุณภาพอากาศ ผลการตรวจวัดมลพิษทางอากาศในบรรยากาศของพื้นที่เสี่ยงในบางพื้นที่ ส่วนใหญ่มีฝุ่นละออง สารเบนซีน และสาร ๑,๓-บิวตาไดอีนในบรรยากาศเกินค่ามาตรฐาน การเข้าถึงน้ำบริโภคอุปโภคอย่างเพียงพอของครัวเรือนไทยและคุณภาพน้ำบริโภค ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ครัวเรือนมีน้ำบริโภคอุปโภคเพียงพอตลอดปีร้อยละ ๙๙.๕๕ การพัฒนาสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร มีการดำเนินโครงการพัฒนาตลาดและโครงการสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำอย่างต่อเนื่อง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานมากกว่าร้อยละ ๘๐ ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยะมูลฝอยได้รับการกำจัดถูกต้องตามหลักวิชาการร้อยละ ๒๓.๕๗ นำไปใช้ประโยชน์ร้อยละ ๒๑.๓๕ มูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดในเตาเผาร้อยละ ๗๘.๗๕ และ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ขยะมูลฝอยได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๒๘ แต่การนำไปใช้ประโยชน์ลดลงเหลือร้อยละ ๑๙ และมูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสมลดลงเหลือร้อยละ ๗๕ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ มีแผนงานโครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมทั้ง ๖ ด้านเพิ่มขึ้น ด้านส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อม พบว่า มีการดำเนินการโครงการส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรคต่าง ๆ รณรงค์การคัดแยกขยะ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มีการดำเนินงานทั้งด้านการบริหารจัดการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เกิดความร่วมมือและเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกันระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เดิมและเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทุกด้าน ทั้งนี้ การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยภาคละ ๑ แห่ง พบว่า ภาคเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ภาคกลาง มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และภาคใต้ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล |
|||||||||||||||||||||||||||
438 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 2/2558 | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ในการสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในระยะที่สองเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม (โดยเฉพาะการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็ง และสร้างความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ) โดยยึดหลักการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ลดความขัดแย้ง และการดำเนินการตามกรอบกฎหมาย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องการบังคับใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๑.๒ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) แก้ไขปัญหาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเร่งขึ้นทะเบียน SMEs ให้ครอบคลุมและครบถ้วนโดยเร็ว และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งพิจารณาขยายเพดานวงเงินกู้ให้เหมาะสม โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจใหม่ กลุ่มส่งออก กลุ่มที่ต้องการขยายการผลิตในประเทศ และกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูศักยภาพ ๑.๓ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกันเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการเบิกจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการดำเนินการเพื่อการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๔ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสนับสนุนและผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๖ แห่ง (๕+๑) ให้สำเร็จในปีนี้ รวมทั้งดำเนินการให้สิทธิการเช่าพื้นที่การลงทุนสำหรับเอกชนเป็นไปตามพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๒ (กำหนดเวลาเช่าไม่เกิน ๓๐ ปี แต่ไม่เกิน ๕๐ ปี และสามารถต่อระยะเวลาการเช่าออกไปอีกได้ไม่เกิน ๔๙ ปี) ๑.๕ มอบหมายคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง ๑.๖ มอบหมายกระทรวงการคลังตรวจสอบปัญหาความล่าช้าของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๒. ในส่วนที่มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานการดำเนินการกับคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
439 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๒.๗๒ ล้านล้านบาท และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ โดยปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มขึ้น จำนวน ๘,๒๗๕.๐๔ ล้านบาท และปรับเพิ่มให้สภากาชาดไทยเป็นค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ก้าวหน้าทางวิชาการ จำนวน ๒๖๔.๙๖ ล้านบาท ๑.๒ ปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในส่วนของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรร เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างและปรับปรุงอาคาร จำนวน ๒ โครงการ จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงสร้างงบประมาณ มีการปรับปรุงในส่วนรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนภายในวงเงินเดิม ๑.๔ การจำแนกยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ โดยปรับปรุงวงเงินใน ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม และรายการค่าดำเนินการภาครัฐภายในกรอบวงเงินงบประมาณ ๒.๗๒ ล้านล้านบาท ๒. เห็นชอบการทบทวนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย ซึ่งมีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา อีกจำนวน ๑,๐๖๘.๐๙ ล้านบาท (กระทรวงกลาโหมและสภากาชาดไทย) รวมเป็นเงินงบประมาณด้านการวิจัย จำนวน ๒๕,๓๗๓.๑๙ ล้านบาท และยังมีเงินรายได้ด้านการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยของรัฐต่าง ๆ อีกจำนวน ๗,๘๕๑.๓๙ ล้านบาท รวมทุกแหล่งเงิน เป็นจำนวน ๓๓,๒๒๔.๖๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาคเอกชน) คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ ๐.๒๕ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก จำนวน ๘,๕๔๐ ล้านบาท โดยลดงบประมาณรายการเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สอดคล้องด้วย ๔. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำมติคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑-๓) ไปจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบงบประมาณ และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ก่อนไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบ และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๕. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เตรียมการให้เกิดความพร้อมในการจัดซื้อจัดจ้าง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
440 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 16 - 20 มีนาคม 2558) | สผ | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ จำนวน ๒๕ คณะ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๖-๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๒. สำหรับประเด็นข้อเสนอของคณะกรรมาธิการการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นเกี่ยวกับการกระจายอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นั้น เพื่อให้การบริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาผลดำเนินการในงานรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านมา เพื่อนำมาวิเคราะห์และจัดแบ่งอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบให้เหมาะสม แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาดำเนินการด้านการปฏิรูปการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพแก่เด็ก นักเรียน นักศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยปฏิรูปในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้เกิดความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น และเร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน ๓-๖ เดือน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับและติดตามให้กระทรวงพลังงานพิจารณาดำเนินการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โดยการดำเนินการดังกล่าวต้องพิจารณาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย ทั้งนี้ ให้หารือหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงก่อนดำเนินการเจรจาด้วย ตลอดจนให้พิจารณาแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑ และแนวทางการบริหารจัดการสัมปทานปิโตรเลียมที่กำลังจะหมดอายุ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
.....