ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
481 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/10/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการตรวจสอบสต็อกผลผลิตทางการเกษตรที่อยู่ในความรับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการจัดทำบัญชีข้าวคงเหลือของรัฐเร่งดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาหาแนวทางการบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิดอย่างเป็นระบบให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งนี้ ให้ทุกส่วนราชการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบในประเทศ เช่น ที่นอนยางพารา ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการศึกษาหาแนวทางและมาตรการในการลดภาระหนี้สินครัวเรือนและหนี้นอกระบบที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันให้เกิดเป็นรูปธรรมและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว ๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงมหาดไทยประสานงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการพิจารณากำหนดพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สมควรจัดให้มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นการเร่งด่วน ๑.๕ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) จัดให้มีเวทีการพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจชั้นนำจากสาขาต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐอิตาลี ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลให้ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง รวมถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนเสนอนายกรัฐมนตรีด้วย ๒.๒ ในการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศในโอกาสต่าง ๆ ขอให้ทุกส่วนราชการบูรณาการการทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการกำหนดท่าที การเจรจา และการเสนอความเห็นของประเทศไทยในเวทีต่าง ๆ มีความเป็นเอกภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ๓. ด้านการบริหารราชการ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกำชับให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในกำกับดูแลทำความเข้าใจและปฏิบัติตามแนวทางการทำงานของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยยึดมั่นในหลักความโปร่งใสและปราศจากการทุจริตในการปฏิบัติราชการทุกระดับ และมุ่งเดินหน้าสร้างความปรองดองควบคู่ไปกับการปฏิรูป ๓.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับทุกหน่วยงานในการบูรณาการการใช้ประโยชน์ร่วมกันจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ โดยปรับปรุงฐานข้อมูลที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานทุกเวลา โดยเฉพาะฐานข้อมูลที่ใช้รองรับการให้บริการประชาชน เมื่อดำเนินการปรับปรุงแล้วเสร็จ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแจ้งศูนย์ดำรงธรรมทราบ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการให้บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) ต่อไป ๔. ด้านสังคม ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ประสานงานกับทุกส่วนราชการเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนาซึ่งครอบคลุมใน ๓ มิติ คือ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาคน และการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้บูรณาการงบประมาณในการดำเนินการจากกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ ของทุกหน่วยงาน และให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องข้างต้น เพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๕๕๘ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาถึงการดูแลให้ความช่วยเหลือบุตรธิดาของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สามารถศึกษาต่อจนจบหลักสูตรการศึกษาและมีโอกาสในการทำงานที่ดีด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดแนวทางการจัดระเบียบสังคมตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบรถตู้และรถจักรยานยนต์โดยสารสาธารณะให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืน โดยใช้กลไกเครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ ๕. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๕.๑ ตามที่ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานทุกส่วนราชการเพื่อจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี นั้น ให้ทุกส่วนราชการเร่งเสนอร่างกฎหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนโดยเร็ว และให้เร่งรัดจัดกลุ่มกฎหมาย แล้วส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ สำหรับกฎหมายเร่งด่วนหรือกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณานาน เช่น ภาษีมรดก อย่างน้อยให้ประกาศใช้บังคับก่อนไตรมาสที่ ๓ ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาหาแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนหรือนโยบายสำคัญตามแนวทางที่สอดคล้องกับร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเสนอและอยู่ในระหว่างการพิจารณาในขั้นตอนทางนิติบัญญัติซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานาน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาเร่งด่วนได้อย่างรวดเร็ว ๕.๓ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแผนการจัดตั้งศาลแขวงและศาลจังหวัดในภาพรวมทั่วประเทศในระยะ ๕ ปี ไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. ด้านอื่น ๆ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ติดตามการรายงานและการพยากรณ์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลว่า ภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างไร โดยเฉพาะผลกระทบด้านการเกษตร
|
||||||||||||||||||||||||
482 | การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 จำนวน 8,500 ล้านบาท | สลธ.คสช. | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๘,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง แห่งละ ๑ ล้านบาท และส่วนที่ ๒ ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามสัดส่วนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๒ เงินอุดหนุนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรรตามข้อ ๑.๑ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความมั่นคงถาวร การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การส่งเสริมอาชีพของประชาชน และการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของท้องถิ่นมีความเจริญเติบโต โดยมิให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปใช้จ่ายในการศึกษาดูงานของบุคลากรท้องถิ่น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ๒ ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ การกำกับดูแล และการรายงานผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัดและนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน มุ่งสร้างความเข้มแข็ง และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งให้พิจารณาการบูรณาการเชื่อมโยงดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ข้างเคียงและการดำเนินการของส่วนกลางด้วย |
||||||||||||||||||||||||
483 | การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และการแก้ไขปัญหากำจัดขยะมูลฝอยไม่ถูกต้องและตกค้างสะสมในพื้นที่วิกฤต | ทส | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบ Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และแผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาในพื้นที่วิกฤตที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหากำจัดขยะมูลฝอยไม่ถูกต้องและตกค้างสะสม (ระยะเร่งด่วน ๖ เดือน) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ประกอบด้วย ๔ ขั้นตอน คือ การกำจัดขยะมูลฝอยตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่วิกฤติ (ขยะมูลฝอยเก่า) การสร้างรูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายที่เหมาะสม (ขยะมูลฝอยใหม่) การวางระเบียบมาตรการการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และการสร้างวินัยของคนในชาติมุ่งสู่การจัดการที่ยั่งยืน มีแนวทางการขับเคลื่อนในระยะเร่งด่วน (๖ เดือน) ระยะปานกลาง (๑ ปี) และระยะยาว (๑ ปีขึ้นไป) พื้นที่เป้าหมายระยะเร่งด่วน ๑๑ จังหวัด ระยะปานกลาง ๒๐ จังหวัด และระยะยาว ๔๖ จังหวัด ๑.๒ แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาในพื้นที่วิกฤตที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหากำจัดขยะมูลฝอยไม่ถูกต้องและตกค้างสะสม มีค่าใช้จ่ายรวม ๕๒๖.๙๔ ล้านบาท แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑.๑.๑ ดำเนินการใน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี นครปฐม และสระบุรี เพื่อกำจัดขยะมูลฝอยตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๑.๒ ดำเนินการใน ๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี และสมุทรปราการ เนื่องจากสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยเป็นของเอกชน ในเบื้องต้นจะให้ราชการส่วนท้องถิ่นบังคับใช้กฎหมายให้เอกชนรับผิดชอบดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยที่ตกค้างสะสมด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ถูกต้อง ในกรณีที่ไม่เป็นผลจะได้ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เสนอแนะแนวทางปฏิบัติต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี นครปฐม และสระบุรี เนื่องจากไม่ได้เสนอตั้งงบประมาณและเพื่อให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ เห็นควรอนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๕๒๖.๙๔ ล้านบาท โดยให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องเป็นหน่วยงานดำเนินการ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่จัดทำแผนแม่บทและบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายในภาพรวมของจังหวัด ควรให้มีผู้แทนจากภาคประชาสังคมอยู่ในองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าว การกำหนดมาตรการควบคุมในเชิงปริมาณให้มีความถูกต้องและตรวจสอบได้ รวมทั้งการกำจัดขยะมูลฝอยในกรณีที่ก่อให้เกิดมูลค่าจากการใช้เทคโนโลยีแปลงขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel : RDF) ให้ระมัดระวังในเรื่องประโยชน์ต่างตอบแทนหรือประโยชน์ทับซ้อนเพื่อให้การดำเนินงานมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
484 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา | มท | 19/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. โดยที่การแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยของประเทศเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีมติอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการโครงการกำจัดขยะในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในลักษณะโครงการนำร่องเพื่อเป็นรูปแบบของการดำเนินการกำจัดขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยให้ใช้ที่ราชพัสดุ จำนวน ๓๗๒ ไร่ ๒ งาน ๒๙ ตารางวา ที่ตำบลมหาพราหมณ์ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ในความครอบครองขององค์การสุรา กรมสรรพสามิต สำหรับดำเนินโครงการดังกล่าว และให้ดำเนินการขอใช้ที่ราชพัสดุตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ในส่วนของงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ แผนงานพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน ผลผลิตส่วนราชการมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ ภายในกรอบวงเงิน ๓๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รายการดังกล่าวข้างต้นตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเบื้องต้นก่อนดำเนินการก่อสร้าง การควบคุมการกำกับการดำเนินงานกำจัดขยะมูลฝอยให้เป็นไปตามสุขลักษณะการจัดการขยะมูลฝอยทั่วไป การควบคุมกำกับการขนส่งเพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งและปัญหาขยะมูลฝอยตกหล่นระหว่างทาง การติดตามตรวจสอบ กำกับดูแลการดำเนินการจัดการขยะมูลฝอยทั้งระบบตั้งแต่การเก็บ ขน กำจัด และการเฝ้าระวังติดตามตรวจสอบเป็นระยะ การจัดเวทีประชาคม ชี้แจงประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการดูแลและควบคุมมลพิษในพื้นที่โครงการ ปัญหาอุปสรรค และแนวทางการลดปริมาณขยะและแก้ไขปัญหาขยะอย่างถูกวิธี การจัดตั้งคณะกรรมการในการติดตาม ตรวจสอบ เฝ้าระวังการดำเนินงาน ที่มีองค์ประกอบจากทุกภาคส่วน การพิจารณาความจำเป็นในการขอยกเว้นมิให้นำบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับในการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่ออาศัยอำนาจคณะรักษาความสงบแห่งชาติออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามความจำเป็นต่อไป การควบคุม กำกับ ดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานในการขนย้ายขยะเก่าและก่อสร้างสถานที่กำจัดขยะแห่งใหม่ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ การพิจารณาออกกฎระเบียบรองรับเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และมาตรฐานการคัดแยก การเก็บรวบรวม ขนส่ง และวิธีการกำจัดที่ถูกต้อง ทั้งขยะมูลฝอยของชุมชน ขยะอันตราย และขยะติดเชื้อ รวมทั้งมาตรฐานสัญญาจ้างเอกชนในการดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอย เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานให้ถูกต้องเหมาะสม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนการจัดตั้งโรงกำจัดขยะมูลฝอยในภาพรวมของประเทศเพื่อให้มีโรงกำจัดขยะมูลฝอยเพียงพอที่จะรองรับปริมาณขยะมูลฝอยของทุกจังหวัด และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ อาจพิจารณาแบ่งประเภทและขนาดของโรงกำจัดขยะมูลฝอยตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ด้วย ๔. ให้ฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการบูรณาการการบริหารจัดการเกี่ยวกับขยะมูลฝอยอย่างครบวงจรให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล รวมตลอดถึงการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
485 | การบูรณาการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน (กรณีถนนชำรุดเสียหายในหมู่บ้าน/ชุมชน) | นร52 | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการบูรณาการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน (กรณีถนนชำรุดเสียหายในหมู่บ้าน/ชุมชน) ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงิน ๘๓๕,๙๓๓,๐๒๒ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการก่อสร้างและปรับปรุงถนนที่ชำรุดในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอนาทวี และอำเภอจะนะ) และให้ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนด้านความมั่นคงที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย ๒. ให้ทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมตลอดถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในทุกมิติจากยางพาราในประเทศ หรือผลิตภัณฑ์จากยางพาราชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตในประเทศให้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณยางพาราในสต็อกที่มีอยู่ รวมทั้งให้ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนให้ร่วมดำเนินการในเรื่องดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
486 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 22/07/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินมาตรการดูแลราคาผลิตผลทางการเกษตรที่จะทยอยออกตามฤดูกาล เช่น ลำไย อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ให้ความสำคัญในการดูแลราคาผลิตผลทางการเกษตรทุกชนิดอย่างทั่วถึง มิใช่ดูแลเฉพาะข้าวเท่านั้น ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานระบบประกันสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบสวัสดิการข้าราชการ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และระบบประกันสังคม เพื่อพิจารณาหาแนวทางบูรณาการทั้ง ๓ ระบบให้เกิดประสิทธิภาพและสามารถให้บริการสุขภาพแก่ข้าราชการและประชาชนทุกกลุ่มอย่างเหมาะสม ทั่วถึง และเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการข้างต้น รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับการบริการสาธารณสุขของรัฐภายใต้นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าว่าประชาชนทุกคนสามารถได้รับบริการตามปกติเช่นเดิม และไม่มีการปรับลดเงินงบประมาณหรือปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การเข้ารับบริการใด ๆ ตามแนวทางของมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาความเหมาะสม ผลดี ผลเสียในกรณีที่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการโดยปรับเปลี่ยนสถานภาพจากมหาวิทยาลัยของรัฐไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการและความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาได้เกิดปัญหา เช่น เพิ่มภาระงบประมาณแผ่นดิน ค่าธรรมเนียมทางการศึกษาที่สูงขึ้น เป็นต้น ๓. ด้านแรงงาน ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีนโยบายให้เปิดศูนย์การบริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จตามจังหวัดต่าง ๆ นั้น พบว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ช่วยบรรเทาผลกระทบทั้งต่อนายจ้างและแรงงานต่างด้าวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานมีขั้นตอนดำเนินการต่าง ๆ ที่ใช้ระยะเวลามาก เช่น การขอหนังสือเดินทางจากประเทศต้นทางเพื่อนำมาขอใบอนุญาตทำงาน จึงให้ฝ่ายความมั่นคงร่วมกับกระทรวงแรงงานพิจารณาแนวทางการผ่อนปรนเพื่อให้ขั้นตอนการออกใบอนุญาตทำงานแก่แรงงานต่างด้าวมีระยะเวลาที่เหมาะสมสามารถตอบสนองความต้องการใช้แรงงานในประเทศได้ ๔. ด้านอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมมาตรการดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนกรณีเกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ซึ่งอาจประสบภัยธรรมชาติที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เช่น ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมมีรายงานว่าจะมีพายุหลายลูกพัดผ่านประเทศไทย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดอุทกภัย และในขณะนี้มีข้อมูลว่าปริมาณน้ำในเขื่อนสำคัญ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ อยู่ในระดับต่ำ อาจนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและภัยแล้งในระยะต่อไป จึงขอให้ติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถดำเนินมาตรการต่าง ๆ ได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับมาตรการรองรับแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนโดยเร็วด้วย ๔.๒ ให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงพิจารณาปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัยให้มีความเหมาะสม และให้สำนักงบประมาณประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เพื่อจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกับการดูแลผู้ลี้ภัยในประเทศด้วย ๔.๓ ให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมในการแต่งตั้งคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อดูแลการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเป็นการเฉพาะด้วย ๔.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นแนวทางชั่วคราวที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหารงานและให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง ๔.๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงบประมาณเตรียมจัดทำคำชี้แจงงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ ต่อรัฐสภา โดยให้เน้นในเรื่องการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละภูมิภาคตามยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณแบบบูรณาการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศด้วย ๔.๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำร่างนโยบายรัฐบาล โดยประสานงานคณะกรรมการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้ง เพื่อนำยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการมาประกอบในร่างนโยบายรัฐบาล โดยให้มีสาระครอบคลุมการดำเนินการในทุกด้าน เช่น เศรษฐกิจ (โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าการลงทุน การปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) แรงงาน การศึกษา สาธารณสุข พลังงาน โดยให้ครอบคลุมมิติของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นด้วย ๔.๗ ให้ฝ่ายความมั่นคงโดยกระทรวงการต่างประเทศจัดทำสรุปผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามแผนการจัดตั้งประชาคมอาเซียนว่าได้ดำเนินการเรื่องใดไปแล้วทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจะต้องดำเนินการในเรื่องใดต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามกรอบเวลาของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
487 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 15/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิ จำนวน ๒,๓๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณ โดยมีรายละเอียดระบุวงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ และจำแนกตามกระทรวง การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่จังหวัดและกลุ่มจังหวัด การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้รัฐสภา ศาล และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และการขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ให้ปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง วงเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ ๗,๗๐๐ ล้านบาท เพื่อนำไปปรับใช้ในโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน เช่น โครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการก่อสร้าง ปรับปรุง และบำรุงรักษาเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางคมนาคมสู่ภาคใต้ รวมทั้งใช้สำหรับโครงการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องดำเนินการในระยะแรก ทั้งนี้ หากมีงบประมาณ (งบกลาง) เหลือจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ก็ให้นำมาปรับใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าวข้างต้นด้วย ๓. รับทราบการปรับปรุงวงเงินงบประมาณในลักษณะบูรณาการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากเดิม ๕๒๗,๑๓๒.๕ ล้านบาท เป็น ๔๙๒,๑๖๔.๘ ล้านบาท และให้จัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเกี่ยวกับการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมเพิ่มอีก ๑ เรื่อง ทั้งนี้ ให้หัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยาเป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินการเกี่ยวกับการกำจัดขยะและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการเรื่องนี้ ๔. อนุมัติให้คำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงาน ๕. ให้สำนักงบประมาณนำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณโดยตรง
|
||||||||||||||||||||||||
488 | รายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ภาพรวมความต้องการอัตรากำลังภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรีกรณีกระทรวงกลาโหมขออนุมัติการเปิดบรรจุกองร้อยทหารพรานและกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอรับการสนับสนุนอัตรากำลัง | นร10 | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเปิดบรรจุกองร้อยทหารพราน จำนวน ๑ กองร้อยทหารพราน ให้แก่กรมทหารพรานที่ ๑๒ จังหวัดสระแก้ว ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ดำเนินการในกรอบวงเงิน ๒๖,๘๔๕,๓๐๐ บาท โดยให้กองทัพบกพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวก่อน หากยังไม่เพียงพอให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงสภาพปีถัดไป ให้กองทัพบกเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติอัตราข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเพิ่มใหม่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน ๕,๐๐๐ อัตรา ในปีแรกก่อน สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเนื่องจากต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมในการสอบคัดเลือกและการฝึกอบรมก่อนบรรจุ ดังนั้น หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาดำเนินการก่อน และหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับกรอบอัตรากำลังที่เหลือ จำนวน ๙,๐๐๐ อัตรา ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทบทวนบทบาทภารกิจและปรับปรุงการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานตามภารกิจและการใช้กำลังคนอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า พร้อมทั้งจัดทำแผนการกระจายอัตรากำลังตำรวจชั้นประทวนตามพื้นที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับปริมาณงานและความจำเป็นของภารกิจเสนอให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และให้รับความเห็นของฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เกี่ยวกับการปรับบทบาทภารกิจ การบริหารจัดการงาน และการใช้อัตรากำลัง ในส่วนที่เป็นงานอำนวยการ งานสนับสนุน หรืองานที่สามารถถ่ายโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปดำเนินการ แยกออกจากงานภารกิจหลักด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ การดำเนินการข้างต้นอยู่ภายใต้กรอบอัตรากำลังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ คปร. ยุบเลิก จำนวน ๑๔,๐๐๐ อัตรา ๓. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังชั้นประทวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากการเลื่อนและแต่งตั้งข้าราชการตำรวจชั้นประทวนไปเป็นข้าราชการชั้นสัญญาบัตรจำนวนมาก ดังนั้น การดำเนินการดังกล่าวควรจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นเหมาะสม ภารกิจและหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งที่เลื่อนขึ้น โดยจะต้องพิจารณาถึงการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันด้วย |
||||||||||||||||||||||||
489 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๑.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศในทุกช่องทางให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะต้องดำเนินการเข้าควบคุมการบริหารประเทศ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการโดยยึดถือผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติในเวทีโลกเป็นหลัก รวมทั้งให้พิจารณาถึงประเด็นทางความมั่นคงด้วย โดยประสานงานกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้มีการตรวจสอบและทบทวนการดำเนินการตามผลการประชุม/การเจรจาในครั้งที่ผ่านมาแล้ว เพื่อนำข้อมูล ปัญหา อุปสรรคมาใช้กำหนดท่าทีในการเจรจาข้อตกลง หรือการประชุมในครั้งต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแก้ไขปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ในกรอบของประกาศ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานของท้องถิ่น โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดทำแผนงาน/โครงการให้ชัดเจน สอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๗ จะต้องอยู่ในกรอบนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างเคร่งครัด ๓. กฎหมาย ๓.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวม กลั่นกรอง และจัดประเภทกฎหมายที่สมควรดำเนินการในระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ ให้ชัดเจน ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวมกฎหมายสำคัญ ๆ เพื่อนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติพิจารณาในวาระแรก ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กฎหมายที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และกฎหมายที่เอื้อต่อการปฏิรูปการเมือง เป็นต้น สำหรับกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ให้ศึกษาในรายละเอียดโดยให้เปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณกำหนดขอบเขตของงานหรือประเภทงานที่เหมาะสมกับการดำเนินการประมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้เกิดประสิทธิภาพ รวดเร็ว เสนอต่อฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาก่อนเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๓.๔ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ โดยให้ยึดหลักความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยให้หัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๔. การประชาสัมพันธ์ ๔.๑ ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังในการสื่อสารและให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนและประชาชนโดยเฉพาะเรื่องต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการหรือยังอยู่ในชั้นการพิจารณาที่ยังไม่เป็นที่ยุติหรือที่ต้องนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อน และให้หัวหน้าส่วนราชการทั้งในระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีทำความเข้าใจในข้อสั่งการ นโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ชัดเจนก่อนที่จะให้ข้อมูลใด ๆ แก่สาธารณชน ๔.๒ ให้คณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ร่วมกันจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อชี้แจงผลการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในรอบ ๑ เดือน ให้ประชาชนและผู้สนใจทราบ ๔.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจความพึงพอใจของประชาชนเกี่ยวกับผลงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในระยะเวลาที่ผ่านมา และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบโดยเร็ว ๔.๔ ให้หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ศูนย์บริการประชาชน) กำหนดแนวทางการรวมศูนย์การรับข้อร้องเรียนของประชาชน โดยรวบรวม กลั่นกรอง เสนอแนะแนวทางการแก้ไข ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรม และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ๕. การดำเนินการข้อร้องเรียนและการทุจริต ๕.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงบประมาณตรวจสอบปัญหาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ และค่าตอบแทนที่พนักงานของมหาวิทยาลัยพึงจะได้รับตามสิทธิ แล้วรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๕.๒ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตรวจสอบการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การออกใบประกอบกิจการโรงงาน (รง. ๔) เป็นต้น ๖. เรื่องอื่น ๆ ๖.๑ ให้ทุกหน่วยงานจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนให้สอดคล้องกับห้วงเวลาในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ระยะ โดยจัดทำแผนการดำเนินการให้ชัดเจนว่า เรื่องใดต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน เรื่องใดสามารถดำเนินการในระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ ต่อไปได้ และให้จัดทำรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการเป็นประจำทุกวันตามนโยบายเชิงรุกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอต่อหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ เพื่อรวบรวมเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๖.๒ ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นองค์ประกอบเพิ่มเติมในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๖.๓ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมกับฝ่ายมั่นคงและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สถานีวิทยุชุมชน ให้มีการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเหมาะสมของการจัดตั้งสถานีต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ด้วย ๖.๔ ให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาดำเนินการกรณีข้าราชการที่เป็นสมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) โดยสมัครใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการที่จะเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และข้าราชการบำนาญที่จะกลับไปเลือกรับบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการฉบับเดิม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติในสัปดาห์ต่อไป ๖.๕ ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงและส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อยหาแนวทางในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ ให้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและก่อให้เกิดการกระทบกระทั่ง อันส่งผลในเชิงลบต่อการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
490 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้
๑. เรื่องด้านงบประมาณ ๑.๑ เพื่อให้การอนุมัติใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเสนอเรื่องต่อปลัดกระทรวงเพื่อเสนอหัวหน้าฝ่ายที่รับผิดชอบการปฏิบัติราชการพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วจึงเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาอนุมัติหลักการหรือให้ความเห็นชอบแล้วแต่กรณีต่อไป โดยกรณีที่มีวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้นำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอนุมัติ หากวงเงินเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ให้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอนุมัติ ๑.๒ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐในกรณีต่าง ๆ เช่น งบประมาณปกติ งบกลาง และงบประมาณผูกพันข้ามปี เป็นต้น เป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้อง มอบให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการจัดทำสรุปขั้นตอนการใช้จ่ายงบประมาณในกรณีต่าง ๆ ให้ชัดเจน ครบถ้วน แล้วเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๑.๓ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของแต่ละกระทรวงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้แต่ละกระทรวงพิจารณาทบทวนโครงการ/งานที่เป็นเรื่องเดียวกันและอาจซ้ำซ้อนกับของกระทรวงอื่น เพื่อนำมาบูรณาการร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน สำหรับแผนงานหรือโครงการของส่วนราชการใดที่ยังไม่ดำเนินการ ให้ส่วนราชการพิจารณาทบทวนหรือปรับแผนงานหรือโครงการดังกล่าวให้เหมาะสม โดยให้คำนึงถึงความเป็นธรรม ทั่วถึง และเป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้ภาครัฐให้เป็นมาตรฐาน โดยพิจารณาในแง่ของประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์เป็นหลัก โดยกำหนดมาตรฐานให้เกิดความเป็นธรรมและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดกลไกการดำเนินการ โดยเริ่มจากการเก็บภาษีก่อน เช่น ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก รายได้ของรัฐที่ได้จากสัมปทาน เป็นต้น ๑.๕ การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติ กรณีที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญใช้บังคับ ในขั้นตอนการตั้งคณะกรรมาธิการ ให้สำนักงบประมาณรับไปเตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้ล่วงหน้า โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการให้มีผู้แทนจากทุกภาคส่วนทั้งภาคเศรษฐกิจ ภาคประชาชน หรือผู้มีส่วนได้เสียได้เข้าร่วมพิจารณาให้ข้อคิดเห็นด้วย ๑.๖ ให้ปรับโครงสร้างการจัดส่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ครอบคลุมกรุงเทพมหานคร โดยให้เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้มีการกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของกรุงเทพมหานครให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ๑.๗ มอบหมายรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (พลโท ชาตอุดม ติตถะสิริ) ร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวบรวมรายชื่อคณะกรรมการตามกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดกลไก แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดทำงบประมาณ และมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงาน ๑.๘ มอบหมายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหาแนวทางในการบูรณาการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดทำงบประมาณและนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. เรื่องที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ ๒.๑ กฎหมายที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นข้อจำกัดต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมจิตวิทยา ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมและจัดทำแผนงานว่าเรื่องใดควรดำเนินการในระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ โดยให้เร่งดำเนินการเรื่องที่อยู่ในระยะที่ ๑ ก่อน ๒.๒ โครงการโรงงานยาสูบ ระยะที่ ๒ ให้ดำเนินการตามแผนงานเดิม โดยให้ปรับพื้นที่โรงงานเดิมเป็นสวนสาธารณะ แต่หากจำเป็นจะต้องก่อสร้างที่จอดรถในพื้นที่ดังกล่าวให้ดำเนินการเป็นที่จอดรถใต้ดิน ๒.๓ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้มีการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น ๒.๔ การทำความเข้าใจกับต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และการนิรโทษกรรมที่ยังมีข้อโต้แย้ง รวมทั้งติดตามสถานการณ์การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในสื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด โครงการลงทุนต่าง ๆ ๒.๕ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ เช่น การจ้างงานในประเทศ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทย ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและไม่ก่อให้เกิดมลพิษและมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทย เป็นต้น ๒.๖ โครงการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานให้เร่งดำเนินการโครงการที่ได้รับอนุมัติและได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว รวมทั้งเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน เช่น โครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สำหรับแผนงานหรือโครงการใดที่มีข้อร้องเรียนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริต ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) รับไปติดตาม ตรวจสอบ ก่อนดำเนินการต่อไป การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ๒.๗ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งกำหนดมาตรการในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยให้พิจารณารายละเอียดกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาผลิตผลทางการเกษตร มอบหมายให้หน่วยงานราชการดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกร โดยให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานนำร่องในการรับซื้อผลิตผลจากเกษตรกรโดยตรง ๒.๘ มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา เพื่อลดความเดือดร้อนแก่ประชาชน กลุ่มผู้ค้ารายย่อย เช่น กลุ่มคนพิการ เป็นต้น ๒.๙ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ การกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเริ่มต้นจากการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการแยกประเภทและบริหารจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๑๐ สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการป้องกันน้ำท่วมและแก้ปัญหาภัยแล้ง เช่น การขุดลอกคูคลองแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว เป็นต้น การศึกษา ๒.๑๑ มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) การขาดแคลนครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก เช่น การพัฒนาการเชื่อมโยงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม โดยเชื่อมต่อกับโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ๓. เรื่องด้านความมั่นคง การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ ๓ หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และส่วนราชการปกติ บูรณาการการทำงานเพื่อให้เกิดเอกภาพ โดยให้ กอ.รมน. ภาค ๔ เป็นส่วนหน้าในการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้มีการจัดทำแผนงานด้านความมั่นคง และให้มีคณะกรรมการฟื้นฟูเพื่อสันติภาพ เพื่อสร้างความไว้วางใจและเชื่อมั่นแก่ประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
491 | การป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะ | นร04 | 25/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะ เนื่องจากในภาพรวมทั้งประเทศมีบ่อขยะอยู่รวมทั้งหมดหลายพันแห่ง ประกอบกับการบริหารจัดการปัญหาขยะให้มีประสิทธิภาพจะต้องดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การทิ้งขยะที่ควรจะมีการคัดแยกประเภทขยะอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ต้น การเก็บรวบรวมและขนย้ายขยะ การนำไปใช้ประโยชน์ การกำจัด และทำลายขยะ ซึ่งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ตลอดจนมีข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องมากกว่า ๑๐ ฉบับ จึงขอมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าภาพบูรณาการการปฏิบัติงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อตรวจสอบและกำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการบริหารจัดการขยะในจังหวัดในทุกขั้นตอนให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน ทั้งนี้ การดำเนินการในเรื่องใดเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นที่ไม่ขัดแย้งกับข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ก็ให้เร่งดำเนินการโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
492 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2557 | นร09 | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ดังนี้
๑. หัวข้อในการรณรงค์ “ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย สงกรานต์ทั่วไทยไร้อุบัติเหตุ” ๒. ช่วงเวลาการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ รวม ๗ วัน ๓. เป้าหมายการดำเนินการ สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๖ โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานด้วยตัวเอง ๔. มาตรการทั่วไป ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านถนนและการสัญจรอย่างปลอดภัย มาตรการด้านยานพาหนะที่ปลอดภัย มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และมาตรการด้านการตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุ ๕. มาตรการเน้นหนัก ได้แก่ การควบคุมความเร็วและเมาสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะและให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับรถจักรยานยนต์ รถโดยสารสาธารณะ และรถกระบะที่บรรทุกผู้โดยสารท้ายกระบะเพื่อเล่นน้ำสงกรานต์ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตราย การควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่หรือโดยสารยานพาหนะ การควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การควบคุมการใช้รถจักรยานยนต์เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน การจัดพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ที่มีความปลอดภัยและปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และการดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ผ่านเข้าออกบริเวณจุดผ่านแดนถาวรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๗ ๖. ช่วงเวลาการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ช่วงการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม-๑๐ เมษายน ๒๕๕๗ และช่วงควบคุม ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
493 | เหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะ จังหวัดสมุทรปราการ | นร04 | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ ๑๕๐ ไร่ ในซอยสวัสดี ตำบลแพรกษา อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเพลิงได้ลุกไหม้ขยะที่มีขยะอุตสาหกรรมปนอยู่จำนวนมากและขยายเป็นวงกว้าง เกิดควันสีดำและมีกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจาย ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และสุขอนามัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และในละแวกใกล้เคียง จึงขอมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานเจ้าภาพรับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาในภาพรวมเพื่อดำเนินการและชี้แจงให้ประชาชนทราบต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่เพื่อกำกับติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่โดยด่วนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
494 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2555 | พม | 11/03/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอเชิงนโยบาย การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญต่อความมั่นคงและการพัฒนาของประเทศ สำหรับประเด็นเร่งด่วนและมีช่องทางเอื้อให้ดำเนินการได้ทันทีในระยะสั้น ได้แก่ การนำพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด โดยรัฐควรเร่งดำเนินการเรื่องกองทุนการออมแห่งชาติให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งเร่งพัฒนาระบบหลักประกันทางเศรษฐกิจในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย และการผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ โดยการกระตุ้นและส่งเสริมให้ อปท. เข้ามารับผิดชอบงานด้านการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและคุ้มครองผู้สูงอายุในชุมชนของตนเองอย่างเป็นระบบ ๒. การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และข้อมูลสถิติที่สำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุ จากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๘๓ สัดส่วนของประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่สัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ ๑๓.๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นร้อยละ ๓๒.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๘๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จะเป็นปีที่สัดส่วนของประชากรวัยสูงอายุ สัดส่วนของผู้สูงอายุวัยปลายจะเพิ่มจากประมาณร้อยละ ๑๒.๗ ของประชากรสูงอายุทั้งหมดเกือบ ๑ ใน ๕ ของประชากรสูงอายุ ปัญหาสุขภาพประชากรสูงอายุ จากข้อมูลพบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้สูงอายุมีปัญหาด้านการมองเห็น ร้อยละ ๔๗.๔ ปัญหาด้านการได้ยิน ประมาณร้อยละ ๑๕ นอกจากนี้ ยังพบปัญหาในด้านศักยภาพในการควบคุม การเคลื่อนไหว การพลัดตกหกล้ม การควบคุมระบบการขับถ่าย รวมทั้งข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และ พ.ศ. ๒๕๕๔ สัดส่วนของผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงที่เป็นโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แนวโน้มการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุตามลำพังเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุไทยประมาณ ๑ ใน ๓ ของทั้งหมดยังคงทำงานเชิงเศรษฐกิจ แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุ ๓ อันดับแรก คือ บุตร การทำงาน และเบี้ยยังชีพจากทางราชการ ๓. ความสำเร็จและความท้าทายในการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ จากการติดตามและประเมินแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) การดำเนินงานในภาพรวมของประเทศยังผ่านในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ประเทศไทยยังต้องเร่งดำเนินงานตามแผนผู้สูงอายุต่อไป เพื่อให้สามารถรองรับอัตราการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมสูงวัย อุปสรรคปัญหาต่อการดำเนินงาน คือ การขาดความต่อเนื่องของนโยบายและการทำงานด้านผู้สูงอายุขึ้นกับผู้นำประเทศเป็นสำคัญ การขาดการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและขาดงบประมาณสนับสนุน ชมรมผู้สูงอายุยังขาดความเข้มแข็ง และ อปท. ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังคน ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และระเบียบข้อบังคับในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่องานด้านผู้สูงอายุ เพื่อให้งานด้านผู้สูงอายุก้าวหน้าต่อไป ๔. สถานการณ์เด่นรอบปี ๔.๑ ผลของการประกาศใช้และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งผลให้มีหลักประกันทางเศรษฐกิจเมื่อยามสูงวัยในหลากหลายรูปแบบ ๔.๒ การพัฒนาและปรับระบบบริการสาธารณสุขในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การประเมินผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลระยะยาว การอบรมให้ความรู้แก่ อปท. และผู้ดูแล เป็นต้น ๔.๓ การขยายสิทธิผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และเพิ่มหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินการรองรับสิทธิที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครอง ส่งเสริมการให้สิทธิประโยชน์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เพิ่มช่องทาง การรับรู้ และสามารถเข้าถึงสิทธิได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
495 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 (Annual Inspection : Fiscal Year 2013) | นร01 | 11/02/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2013) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญ (การบูรณาการการตรวจราชการเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ) ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวง ๑.๑ นโยบายการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ด้านปัญหายาเสพติด ผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๖ และการบูรณาการหรือเชื่อมโยงโครงการ/แผนงานตามปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ด้านการป้องกัน การบำบัด ฟื้นฟู และการปราบปราม พบว่าแต่ละจังหวัดได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว จากงบประมาณสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ส่วนราชการ แผนพัฒนาจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และงบอื่น ๆ โดยภาพรวม ส่วนใหญ่การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายรายไตรมาสที่กำหนดไว้ และมีบางกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้เกินเป้าหมาย สำหรับแผนงานที่ยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้นั้น เป็นผลมาจากปัญหาในการทำงานร่วมกันของบางจังหวัด เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีความสามารถในการบริหารจัดการกลไกที่กำหนดแตกต่างกัน อีกทั้งยังคงมีสถิติการจับกุมผู้ค้า ผู้จำหน่าย และจำนวนผู้บำบัดรักษาเพิ่มขึ้น มาโดยตลอด นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของยาเสพติดยังได้ขยายไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมีแนวโน้มเด็กที่ติดสารเสพติดจะมีอายุลดน้อยลงทุกปี ๑.๒ นโยบายการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่าหน่วยงานในส่วนกลางและหน่วยงานในพื้นที่ได้ดำเนินแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม มีความคืบหน้า สามารถสร้างโอกาสในการพัฒนาและรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นระดับหนึ่ง ๒. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะพื้นที่ (Specific Area) ร่วมกันของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวง ๒.๑ เศรษฐกิจการค้าชายแดน ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำสินค้าด้านพลังงาน (LPG) ข้ามแดนบริเวณพื้นที่ชายแดนราชอาณาจักรไทย-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ณ จุดผ่อนปรน บ้านสบรวก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศมาเลเซีย ณ จุดผ่านแดนถาวร ด่านสะเดา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และพบการซื้อก๊าซบรรจุในถังก๊าซหุงต้มของประชาชนหน้าด่านช่องจอม บริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา ณ จุดผ่านแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ สำหรับเรื่องการอำนวยความสะดวกนำเข้า-ส่งออกสินค้าผ่านแดน มีการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้ประกอบการและประชาชนในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าผ่านแดน และการขยายตัวของเศรษฐกิจการค้าชายแดน รวมทั้งเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒.๒ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติ พบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีการเตรียมความพร้อมในแต่ละด้านเพื่อรับสถานการณ์ภัยพิบัติทั้ง ๔ ประเภท ได้แก่ ภัยแล้ง (พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ไฟป่าและหมอกควัน (พื้นที่ ๙ จังหวัดภาคเหนือ) อุทกภัยและดินโคลนถล่ม (พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ) และคลื่นสึนามิ (พื้นที่ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน)
|
||||||||||||||||||||||||
496 | รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2555 | พม | 28/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี ๒๕๕๕ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๐ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญ ๔ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ประชากรเด็กและเยาวชน เป็นการนำเสนอโครงสร้างและแนวโน้มประชากรเด็กและเยาวชน ตลอดจนความต้องการและสภาวการณ์ของเด็กและเยาวชนในอนาคต ๒. ส่วนที่ ๒ สภาพการณ์และแนวโน้ม ผลการดำเนินการ และแนวทางการแก้ไขปัญหาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย เด็กและเยาวชนกับครอบครัว เด็กและเยาวชนกับสุขภาพและความปลอดภัย เด็กและเยาวชนกับการศึกษา เด็กและเยาวชนกับวัฒนธรรมคุณธรรม จริยธรรม เด็กและเยาวชนกับการนันทนาการ เด็กและเยาวชนกับสื่อ เด็กและเยาวชนกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วม รวมถึงสภานักเรียน และการรวมกลุ่ม เด็กและเยาวชนกับการปกป้องคุ้มครองเป็นพิเศษ เด็กและเยาวชนกับการประกอบอาชีพและการมีงานทำ เด็กและเยาวชนกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ เด็กและเยาวชนกับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ๓. ส่วนที่ ๓ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เป็นการรายงานผลงานความก้าวหน้าของสภาเด็กและเยาวชน รวมทั้งวิเคราะห์ความสำเร็จ/ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ๔. ส่วนที่ ๔ งบประมาณการพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นการวิเคราะห์การใช้งบประมาณเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนงานพัฒนาเด็กและเยาวชน แบ่งเป็น ๔.๑ มาตรการเร่งด่วน ประกอบด้วย ด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ด้านการส่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก ด้านสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับเด็ก ด้านมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดปัญหาและผลกระทบจากการตั้งครรภ์ของกลุ่มเด็กและเยาวชน ด้านการปกป้องคุ้มครองเด็ก ด้านผลกระทบจากสื่อ ด้านการเข้าสู่ตลาดแรงงานของเยาวชน และด้านการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ๔.๒ มาตรการระยะยาว ประกอบด้วย เสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพของครอบครัวแบบองค์รวม พัฒนาระบบบริหารจัดการในการคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีการต่อเชื่อมกันมากขึ้น และสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
497 | รายงานประจำปี 2555 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 28/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๕ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ มีสาระสำคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย การกระจายอำนาจด้านภารกิจและอำนาจหน้าที่ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ การกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การกำหนดหลักการการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๓. ส่วนที่ ๓ การดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจ ประกอบด้วย การติดตามและประเมินผล การพัฒนาและฝึกอบรม การเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ และการดำเนินการอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
498 | แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 10/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่วมกัน และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ๓. เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติ ๓.๑ กำชับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกประเภททุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ [เรื่อง การปรับปรุง แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๒๑๖/ว ๑๔๑ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙)] โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะการให้ความร่วมมือช่วยเหลือและสนับสนุน การดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง รวมทั้งการวางตัวเป็นกลางของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทและทุกระดับดังกล่าวด้วย ๓.๒ เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนำงบประมาณมาสนับสนุนการเลือกตั้งได้ โดย ๓.๒.๑ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาดำเนินการไปได้ตามความเหมาะสม ๓.๒.๒ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานเสนอขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓.๒.๓ เห็นชอบให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง สรุปผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐)]
|
||||||||||||||||||||||||
499 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างเท่านั้น ๑.๒ การขยายระยะเวลา ๑.๒.๑ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้าง ต้องเป็นคู่สัญญาที่ได้ลงนามทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยบังคับใช้กับสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามไว้กับหน่วยงานก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งสัญญาดังกล่าว ณ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ยังมีนิติสัมพันธ์อยู่และยังมิได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายหรือสัญญาดังกล่าวยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ แต่ได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ให้ความช่วยเหลือฯ ยกเว้นสัญญาที่หน่วยงานได้พิจารณาก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ แล้วว่า จะบอกเลิกสัญญาเนื่องจากคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญา กรณีสัญญาดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ ๑.๒.๒ สัญญาจ้างก่อสร้างที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๕๐ วัน ในกรณีอายุสัญญาจ้างก่อสร้างน้อยกว่า ๑๕๐ วัน ก็ให้ขยายระยะเวลาได้เท่ากับอายุสัญญาเดิม ๑.๒.๓ สัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปตามข้อ ๑.๒.๒ โดยกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างได้ดำเนินการล่วงเลยกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามสัญญา และได้ถูกปรับไว้ในช่วงก่อนหน้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ยังคงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องรับผิดชอบในส่วนของค่าปรับในช่วงก่อนหน้าที่จะได้รับการช่วยเหลือฯ แต่จะได้รับการลดหรืองดค่าปรับเฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการนี้เท่านั้น และกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ยังอยู่ภายในระยะเวลาตามสัญญา ให้ขยายระยะเวลา โดยนับถัดจากวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเดิม ๑.๒.๔ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือฯ หากการขยายระยะเวลาออกไป มีผลทำให้ผู้รับจ้างไม่ถูกปรับ ก็ให้งดลดค่าปรับ หรือคืนเงินค่าปรับ ตามความเป็นจริง แล้วแต่กรณี ๑.๒.๕ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือ หากสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวมีการจ้างเอกชนควบคุมงาน ค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษา ให้ผู้รับจ้างเป็นผู้รับภาระค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษาสำหรับระยะเวลาที่ได้ขยายออกไป เนื่องจากผู้รับจ้างได้รับประโยชน์จากการได้รับการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ๑.๒.๖ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือจะต้องยื่นคำร้องขอต่อหน่วยงานคู่สัญญาภายใน ๖๐ วัน นับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๒.๗ กรณีคู่สัญญาใดเห็นว่า การได้รับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้และมีเหตุผลอันสมควร ให้หน่วยงานพิจารณา และหากเห็นสมควรขยายระยะเวลา ก็ให้เสนอต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุเพื่อพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๓ การพิจารณาไม่ลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน หากในกรณีที่หน่วยงานได้มีการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างไปแล้ว สืบเนื่องจากผู้รับจ้างได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ซึ่งได้บอกเลิกสัญญาในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ให้ถือว่าไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ๑.๔ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือฯ ดังกล่าว ๑.๕ เพื่อความเป็นธรรมในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และมีมติแจ้งเวียนให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการนี้ไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้ว ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม |
||||||||||||||||||||||||
500 | การประเมินค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา รอบที่ 3 | นร01 | 25/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เกณฑ์ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการประเมินตนเอง รอบที่ ๓ ซึ่งจะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีเกณฑ์ชี้วัด จำนวน ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการจัดระเบียบชุมชน/สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย ด้านการวางแผน การส่งเสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ด้านการบริหารจัดการ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและด้านศิลปะ วัฒนธรรม ศาสนา จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น จำแนกเป็น ๑.๑.๑ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด แบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก จำนวน ๑๓ ภารกิจ ๔๖ ตัวชี้วัด ๑.๑.๒ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะของกรุงเทพมหานคร จำนวน ๒๓ ภารกิจ ๔๙ ตัวชี้วัด ๑.๑.๓ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะของเมืองพัทยา จำนวน ๑๘ ภารกิจ ๗๓ ตัวชี้วัด ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทางด้านเทคนิค วิชาการ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการได้มาตรฐานตามเกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะ ๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการประเมินตนเองตามเกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะดังกล่าว โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรผนวกการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับด้านศิลปะ วัฒนธรรมในงานด้านส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้รวมอยู่ในงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งควรเพิ่มงานด้านศาสนาเป็นเกณฑ์ตัวชี้วัดในงานด้านดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดเชิงคุณภาพเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงาน/ศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการจัดบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....