ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 14 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 261 - 280 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
261 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... | สว | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้อำนาจของรัฐในการบริหารทรัพยากรน้ำควรกำหนดกรอบหลักเกณฑ์การใช้อำนาจที่ชัดเจน เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าใช้สอยแหล่งน้ำ และควรกำหนดนโยบายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนหรือกระบวนการตามกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ ส่วนการตราพระราชกฤษฎีกาควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชน สำหรับการออกกฎกระทรวงควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำ ควรกำหนดให้มีการขึ้นบัญชีผู้ได้รับการเลือกไว้แทนตำแหน่งที่ว่าง และการจัดทำแผนแม่บทจะต้องเป็นแผนแม่บทที่บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรน้ำในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดและมีบทกำหนดโทษที่เหมาะสม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
262 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....รวม 2 ฉบับ | มท | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นได้สะดวกและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมการใช้สิทธิเข้าชื่อเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เช่น การกำหนดบทนิยามของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การกำหนดผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและผู้มีสิทธิถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น การกำหนดอัตราโทษทางอาญาสำหรับความผิดฐานปลอมลายมือชื่อ การกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาให้มีการใช้สิทธิโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของผู้ที่ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอน นั้น ควรกำหนดให้ผู้ที่ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอนในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ และควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น และกำหนดหลักประกันว่าผู้พิการทางสายตาจะสามารถรับทราบเนื้อหาในข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มีการเข้าชื่อเสนอแต่ละครั้งด้วย รวมทั้งควรกำหนดแบบฟอร์มเอกสารที่กำหนดรายละเอียดให้ประชาชนกรอกข้อมูลได้โดยง่ายและสะดวก และกำหนดช่องทางในการปิดประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพิ่มเติม นอกจากนี้ การพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นของสภาท้องถิ่น ควรมีการกำหนดให้ผู้แทนผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นมีสิทธิเข้าร่วมในการประชุมคณะกรรมการสภาท้องถิ่นในกรณีพิจารณาหลักการของข้อบัญญัติท้องถิ่น และควรมีหลักประกันความต่อเนื่องในการพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มาจากการเข้าชื่อเสนอของประชาชน ส่วนร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควรให้ผู้ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอนในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ และการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง ควรคำนึงถึงจำนวนคะแนนเสียงที่ใช้ในการถอดถอนที่ต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในท้องที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
263 | ขอรายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561 | กษ | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี ๒๕๖๑ โดยส่วนราชการ ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินกิจกรรม ได้แก่ ฝายยาง สระน้ำ บล็อกยางปูพื้น ภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) ถนนงานยางพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต และถนนงานดินซีเมนต์ผสมยางพารา วงเงินงบประมาณ ๒๔,๗๖๐.๕๒ ล้านบาท ปริมาณน้ำยางสดที่ใช้ ๙๗,๙๒๐.๖๑ ตัน ดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้ว ๑๑,๘๔๙.๕๙ ล้านบาท ใช้น้ำยางสด ๒๒,๒๖๒.๓๗ ตัน คงเหลือที่อยู่ระหว่างดำเนินการโครงการฯ อีกจำนวน ๑๒,๙๑๐.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย (๑) งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามนัยของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๕๗ ในกรณีที่มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประเภทงบกลาง ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ (๒) เงินรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) (งบสะสม อปท.) ซึ่งมีลักษณะเป็นเงินนอกงบประมาณ เห็นควรให้ อปท. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และ (๓) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกับสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเพื่อพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ และพิจารณาจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีถัดไป ให้มีความสอดคล้องต่อเจตนารมณ์และไม่ขัดกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานของรัฐอย่างเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นควรสนับสนุนให้หน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานคร พิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ยางให้เหมาะสมกับภารกิจให้มากขึ้น เช่น บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) บล็อกยางปูพื้นสนามฟุตซอล ผลิตภัณฑ์เครื่องนอน เป็นต้น โดยจัดทำเป็นโครงการที่สามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน และเอื้อต่อการส่งเสริมการใช้ยางพาราอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้และเพิ่มมูลค่ายางพาราที่สามารถส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมภายในประเทศให้ได้รับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
264 | รายงานประจำปี 2560 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๐ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การจัดทำและทบทวนร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ฉบับที่ ๓ การส่งเสริมส่วนราชการให้เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ให้แก่ อปท. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อเป็นรางวัลสำหรับ อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และการติดตามผลการดำเนินงานตามภารกิจถ่ายโอนของ อปท. เป็นต้น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ ก.ก.ถ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
265 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกลุ่มจังหวัด (อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด) เรื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ | นร12 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกลุ่มจังหวัด (อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด) เรื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดย อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัดได้ตรวจสอบและประเมินผลการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง ๑๐ แห่ง (ตาก เชียงราย มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา ตราด หนองคาย นราธิวาส นครพนม และกาญจนบุรี) และได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัดจึงได้ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา รวมถึงได้เปรียบเทียบกับกรณีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ตลอดจนได้วิเคราะห์และเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษบรรลุตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด ได้แก่ (๑) การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (๒) การกำหนดให้มีกฎหมายเฉพาะรองรับเพื่อบริหารจัดการภายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และ (๓) การกำหนดเจ้าภาพรับผิดชอบเต็มเวลา โดยจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ กำกับดูแล และติดตามการดำเนินการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในประเด็นอื่น ๆ เช่น การกำหนดมาตรการจูงใจให้มีการลงทุนเพิ่มเติม การสร้างความรู้ความเข้าใจกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมทวิภาคีหรือพหุภาคีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวชายแดนเชื่อมต่อกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ. เช่น ควรกำหนดเป้าหมายของแต่ละเศรษฐกิจพิเศษ โดยคำนึงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงการค้า และศักยภาพของกลุ่มจังหวัดทั้งของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายเชิงนโยบายของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และอาจพิจารณาตัดโอนอัตราข้าราชการที่เพิ่มใหม่เพื่อรองรับการปฏิบัติภารกิจที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษมากำหนดเป็นอัตรากำลังของสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำหรับกรณีที่ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด มีข้อเสนอแนะให้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ เสนอคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่า มีความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว ให้ดำเนินการให้ถูกต้องและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้คำนึงถึงแนวทางการจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานใหม่ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
266 | ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่คณะรัฐมนตรีควรทราบ | นร05 | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวม ๕ ฉบับ โดยมีผลใช้บังคับต่อนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๔. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒ (๙) พ.ศ. ๒๕๖๑ ๕. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๓ พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
267 | ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... | ศธ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการคุ้มครอง การดูแล การพัฒนาและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั่วถึงและเท่าเทียมตามหลักวิชาการ เชื่อมโยงการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อระหว่างช่วงก่อนวัยเรียนและวัยเรียน และเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยให้เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความเชื่อมโยงและความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... รวมทั้งข้อสั่งการที่ให้พิจารณาในขั้นตอนการปฏิบัติ ประสิทธิภาพและความเข้าใจที่ตรงกันขององค์กร เจ้าหน้าที่ และประชาชน มากกว่าคำนึงเพียงหลักการหรือการดำเนินการตามแบบอย่างจากต่างประเทศ และให้พิจารณาการดำเนินการในระยะแรกว่าจะฝากความหวังกับการบริหารจัดการของท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างไร ต้องพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้พร้อม ก่อนนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และมีการประเมินผลเฉพาะจุดหรือเฉพาะพื้นที่ก่อน และความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เช่น ความจำเป็นในการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย การกำหนดหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ชัดเจนและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ความจำเป็นในการกำหนดให้มีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย การพิจารณาปรับเพิ่มอำนาจหน้าที่และกลไกการกำกับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติแทนการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยขึ้นใหม่ และกรณีร่างมาตรา ๒๗ วรรคสอง ให้บรรดารายได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยแล้วให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ควรปฏิบัติตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากนี้ มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ได้กำหนดให้ระวางโทษปรับห้าแสนบาท กรณีที่ผู้ใดฝ่าฝืนให้มีการรับเด็กปฐมวัยเข้าในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ โดยวิธีสอบคัดเลือก อาจเป็นการตรากฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๗ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย และให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษารับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
268 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร04 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เสนอตามกรอบการปฏิรูปการศึกษาตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยนำหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญและมีความจำเป็นมากำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนสร้างเสริมให้ระบบการศึกษามีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อการศึกษา และสร้างเสริมธรรมาภิบาลของระบบการศึกษา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา (แก้ไขให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่เห็นควรตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และการรองรับรูปแบบการเรียนการสอนสมัยใหม่ โดยเฉพาะความสำคัญของดิจิทัลแพลตฟอร์ม ควรเพิ่มเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ ควรกำหนดความสัมพันธ์ด้านการร่วมมือระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาให้ชัดเจน ควรพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ควรทบทวนความซ้ำซ้อนของหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้กับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว และควรให้มีการจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันหลักสูตรและการเรียนรู้แห่งชาติ และศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการศึกษาแห่งชาติ และให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งหน่วยงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
269 | ร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร01 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งหรือตั้งแต่ ๒ แห่งขึ้นไป อาจดำเนินกิจการที่มีลักษณะเป็นการพาณิชย์หรือการบริการสาธารณะขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบรัฐวิสาหกิจท้องถิ่นหรือองค์การมหาชนท้องถิ่น ตามร่างมาตรา ๒๗ และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร และควรจะมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเหมาะสมและรูปแบบเฉพาะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่และรูปแบบ และควรจะต้องคำนึงถึงภารกิจและอำนาจหน้าที่โดยไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
270 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ 32 | กห | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๒ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดมะละแหม่ง รัฐมอญ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมี พลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ ๓ และ พลโท มินหน่อง ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ ๔ เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้บังคับหน่วยที่ประจำการตามแนวชายแดน เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรและความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างทั้งสองกองทัพ ๒. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันกรณีเรือล่ม/เรือสูญหายใกล้กับเขตแดนทางทะเล การปราบปรามการค้ามนุษย์ โครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน โครงการผืนป่าอาเซียน ความร่วมมือด้านสังคม สาธารณสุข การศึกษา และเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้และยกระดับความร่วมมือในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน โดยฝ่ายเมียนมายินดีที่จะจัดให้มีการลาดตระเวนทางน้ำร่วมกัน ๓. ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะขยายความร่วมมือในการจับกุมผู้กระทำผิดคดียาเสพติดและยกระดับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด และจะขยายความร่วมมือดังกล่าวไปยังหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สำนักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดน (Border Liaison Office) ๔. ทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีต่อความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างเป็นธรรมในแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก รวมทั้งความสำเร็จของคณะสำรวจของทั้งสองฝ่ายในการตรวจสอบหลักเขตแดน หลักอ้างอิงเขตแดน และการสร้างหลักเพิ่มเติม (จำนวน ๑๘ หลัก) บริเวณแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก และทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีในการบังคับใช้แนวทางด้านเทคนิคในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำเมยและน้ำแม่กระบุรี โดยตกลงที่จะให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และประชาชนในท้องถิ่นของตนปฏิบัติตามหลักการที่ได้ตกลงไว้ในแนวทางด้านเทคนิค นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ดำเนินการหรือกิจกรรมใด ๆ ที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือทำลายสันปันน้ำ หรือคุณลักษณะทางภูมิศาสตร์อื่น ๆ ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศ ตลอดจนเห็นพ้องที่จะนำประเด็นการดูดทรายจากแม่น้ำเมย ปัญหาเกาะของแม่น้ำเมย ปัญหาบ้านแม่โกนเกน ปัญหาคอกช้างเผือก ปัญหาของ ๓ เกาะที่ปากแม่น้ำกระบุรี การก่อสร้างบริเวณช่องทางพระเจดีย์สามองค์ และการวางกำลังฐานปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ดอยลางซึ่งเกิดจากความไม่ชัดเจนของเส้นเขตแดนและการยึดถือแผนที่คนละฉบับเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee : JBC) ๕. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เรือประมงไทยเข้าไปทำประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำเมียนมา ๖. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่ออาชญากรรมข้ามแดน และการเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยพกพาอาวุธและกระสุนเข้าไปในเมียนมา รวมทั้งการนำเข้าและส่งออกสินค้าทุกประเภทผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา (แม่สอด-เมียวดี) โดยจะมีการประสานข้อมูลต่าง ๆ ผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
271 | ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561)] | นร | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๖ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
272 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลอง ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลอง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะกรรมการระงับอุบัติเหตุจากมลพิษในขณะนี้ แต่อาจต้องมีการดำเนินการปรับปรุงมาตรการ แนวทางหรือแผนงานในการแก้ไขเหตุฉุกเฉิน ในแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แผนปฏิบัติการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาตรการป้องกันและแผนฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่แก้ไขไว้ล่วงหน้า และแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายอันเกิดจากการแพร่กระจายมลพิษหรือภาวะมลพิษตามมาตรา ๕๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
273 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านสวนและตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านสวน และตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๖๑ และทางรถไฟสายตะวันออก และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีแผนปรับปรุง/ก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางรถไฟในระยะต่อไปประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณากำหนดรูปแบบโครงสร้างทางต่างระดับที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรูปแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรถไฟก่อนดำเนินการปรับปรุง/ก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
274 | รายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ 3 | มท | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ ๓ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การขับเคลื่อนตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท จำนวนตลาดทั้งหมด ๖,๖๑๐ แห่ง ได้ดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายพื้นที่ค้าขายในตลาดที่เปิดทำการอยู่แล้ว และจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐทั่วประเทศและกรุงเทพมหานคร ๒. การจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการ กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท ขยายพื้นที่ค้าขายเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ จำนวน ๖,๖๑๐ แห่ง โดยมีผู้ลงทะเบียน ๑๐๕,๓๙๘ ราย ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดสรรจำหน่ายสินค้าแล้วร้อยละ ๙๑.๓๒ (จำนวน ๙๖,๒๔๖ ราย) มีจังหวัดที่ดำเนินการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเสร็จสิ้นแล้ว ๕๑ จังหวัด ยังคงเหลือผู้ประกอบการที่รอการจัดสรรพื้นที่ค้าขาย ๙,๑๕๒ ราย และนับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ มีการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศ ๑,๒๑๙.๓๓ ล้านบาท สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ๑,๘๑๐ บาท ต่อเดือน (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ๓. การปรับปรุงตลาดให้ได้มาตรฐานตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุกประเภทโดยผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (Chief Marketing Officer : CMO) กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการตรวจประเมินตลาด โดยได้ดำเนินการประเมินแล้ว จำนวน ๑,๗๗๖ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๓๐ ของจำนวนตลาดประชารัฐ ผลจากการประเมิน พบว่า มีตลาดที่อยู่ในระดับดีมาก ๒๕๓ แห่ง (ร้อยละ ๑๔.๒๕) และต้องปรับปรุง ๓๔๙ แห่ง (ร้อยละ ๑๙.๖๕) ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการปรับปรุงตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้คุณภาพที่ยั่งยืนต่อไป ๔. หลักสูตรและจัดการอบรมผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (CMO) องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้จัดทำหลักสูตรอบรมการบริหารจัดการตลาดให้กับ CMO และผู้ประกอบการ โดยได้ดำเนินการจัดอบรมแล้ว จำนวน ๒๕ จังหวัด มีผู้เข้าร่วมอบรม ๓,๐๓๙ คน ๕. คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดทำคลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ ในระดับอำเภอ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการที่ไม่มีประสบการณ์ค้าขาย ปัจจุบันได้พัฒนาไปแล้ว ๖,๒๙๘ ราย แบ่งเป็นการพัฒนาด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ๒,๑๑๑ ราย ด้านประสบการณ์ค้าขาย ๒,๑๙๑ ราย ด้านประสานแหล่งทุนเพื่อต่อยอดการผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ๑,๙๐๔ ราย และด้านอื่น ๆ (ภาษาอังกฤษ การลงทะเบียน OTOP) ๙๒ ราย ๖. การส่งเสริมตลาดประชารัฐเพื่อการท่องเที่ยว ตลาดประชารัฐได้รับการยกระดับเป็นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัด ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยจังหวัดคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพเพื่อเสนอเป็นกิจกรรมในการปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จำนวนตลาด ๑๗๑ แห่ง จาก ๗๐ จังหวัด โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับข้อมูลตลาดประชารัฐเพื่อบรรจุในปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” แล้ว และบูรณาการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการประชาสัมพันธ์ตลาดประชารัฐในช่องทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีการบรรจุตลาดประชารัฐไว้ในโปรแกรมแนะนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ๗. การสนับสนุนพื้นที่ในตลาดประชารัฐช่วยเหลือเกษตรกรนำสินค้าเกษตรมาจำหน่ายในตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้สนับสนุนการรับสินค้าเกษตรเพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าทางการเกษตรตามฤดูกาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้นตลาด โดยในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ ได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในการจำหน่ายสินค้าข้าว ผักผลไม้ เกษตรอินทรีย์ และสินค้าแปรรูป มีเกษตรกร ๕,๗๐๒ ราย สร้างรายได้ ๒,๔๓๓,๓๖๔ บาท ๘. การประเมินโครงการเพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชนได้จัดทำแบบสอบถามออนไลน์เพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ผู้ซื้อมีความพึงพอใจในการใช้บริการตลาดประชารัฐ ๙. ก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ ได้แก่ ขยายตลาดประชารัฐในพื้นที่ให้เป็นตลาดกลางพืชผลทางการเกษตรของจังหวัดหรืออำเภอ และคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีการดำเนินการเป็นเลิศ (Best Practice) ของจังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
275 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่สามารถดำเนินกิจการได้เพียงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น อันเป็นการเพิ่มรูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองและขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารของท่าอากาศยานในภูมิภาค ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ควรกำหนดแผนบริหารความเสี่ยงหากเกิดกรณีที่ผลการดำเนินงานด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ ควรพิจารณารูปแบบการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ และควรพิจารณาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ การกำหนดโครงสร้างการบริหารกิจการระบบขนส่งทางรางภายหลังที่มีการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว และการกำหนดรูปแบบของหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองในส่วนภูมิภาค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
276 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 4/2561 | นร | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งมีความคืบหน้าการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ๓ เรื่อง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กขร. เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และรวบรวมและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ที่ได้รับ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการยาเพื่อประชาชน กขร. มีมติให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแบบสำรวจการจัดซื้อยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาในบัญชีนวัตกรรมไทยในโรงพยาบาลสังกัดของกระทรวงอื่นเพิ่มเติม และร่วมกับกรมบัญชีกลางพิจารณาแนวทางการจัดซื้อยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมตามความเหมาะสมต่อไป ๒. การปรับกฎหมายหรือระเบียบเพื่อจัดจ้างผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง กขร. มีมติให้กระทรวงมหาดไทย โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบเพื่อให้รองรับการจ้างงานนักบริบาลชุมชน (Care Giver) ครอบคลุมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ๓. การจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียว (National Single Emergency Number) กขร. มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณพิจารณางบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียวเพิ่มเติมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
277 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ก้อนเชื้อเพลิงขยะ (RDF) .. ทางออกของการกำจัดขยะชุมชน ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ก้อนเชื้อเพลิงขยะ (RDF) .. ทางออกของการกำจัดขยะชุมชน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สรุปผลการดำเนินงานได้ เช่น กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎกระทรวงในการควบคุมและออกแบบมาตรฐานการทำงานที่ดีแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการขยะมูลฝอย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างดำเนินการยกร่างประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณลักษณะของเชื้อเพลิงขยะที่เหมาะสมสำหรับขยะมูลฝอยชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เช่น การจัดเก็บและค่าธรรมเนียมในการจัดการขยะมูลฝอยควรมีการศึกษาในเรื่องของการใช้เครื่องมือทางด้านเศรษฐศาสตร์มาพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการขยะมูลฝอย เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
278 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รวบรวมผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความเห็นสอดคล้องและได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการวิสามัญฯ ไปบ้างแล้ว ได้แก่ (๑) การดูแลสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งในที่สาธารณะ สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้กำหนดไว้ใน (ร่าง) แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) โดยกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสถานที่พักพิงให้สัตว์ที่ตกเป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว (๒) การปฏิรูปกฎหมาย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีบทบัญญัติให้เจ้าของสัตว์มีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียนสัตว์ เป็นต้น และ (๓) การจัดการเชิงนโยบาย เช่น การจัดทำมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการของสถานสงเคราะห์สัตว์ที่จดทะเบียนตามกฎหมายให้เป็นรูปธรรม เป็นต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
279 | ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 6 ฉบับ | นร09 | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดการเลือกตั้ง การได้มาซึ่งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง รวมทั้งกำหนดวิธีการดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งได้ในเชิงรุก และปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑.๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ และที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑.๒ ถึงข้อ ๑.๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ ทั้ง ๖ ฉบับ โดยคำนึงถึงการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามนัยมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กรณีตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต รวมถึงความคุ้มค่า ต้นทุน และประโยชน์ของภาครัฐและประชาชนที่จะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
280 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตทึ่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลคอกกระบือ และตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. ....) | คค | 28/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ ตำบลหนองปรือ ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี ตำบลศีรษะจระเข้ใหญ่ ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง และตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลคอกกระบือ และตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ กับถนนรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี และขยายทางหลวงชนบท สค.๒๐๓๒ บริเวณแยกทางหลวงหมายเลข ๓๕-บ้านโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค อันเป็นการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งระบบโลจิสติกส์ให้มีความสมบูรณ์รองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และกรณีที่เป็นการก่อสร้างถนนสายใหม่และมีมูลค่าการลงทุนสูง เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบเสนอรายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตามขั้นตอนต่อไป และเห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมของช่วงเวลาที่จะดำเนินการดังกล่าว โดยคำนึงถึงความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรของโครงข่ายถนนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่โดยรอบ เพื่อลดขนาดการลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งให้กรมทางหลวงชนบทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กรมทางหลวง กรมโยธาธิการและผังเมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพ พร้อมทั้งความสำคัญของแผนและโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐเป็นไปอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....